รีวิวเที่ยวกรุงเทพฯ :: How To Spend One Day In Bangkok by BTS & MRT

เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ชาวกรุงผู้สดใสและไฉไลอย่างเรา ก็มักจะมองหาที่เที่ยว ที่กิน ที่ช้อป คาเฟ่แสนเก๋ไว้นั่งอัพเดทชีวิตกับแก๊งเพื่อน หรือสถานที่พักผ่อนอื่น มาเติมความสุขให้ให้ตัวเอง เพื่อมาชดเชยวันทำงานอันเหนื่อยล้า ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต้องอยากมีไลฟ์บาล๊าซ์ที่ลงตัว ได้ทำสิ่งที่ชอบในวันหยุดของแต่ละคนกันทั้งนั้น แต่ถ้าใครเริ่มรู้สึกโนแพลนไม่รู้ว่าตื่นเช้าวันหยุดหน้าจะไปไหน ทำอะไร ที่ไหน วันนี้ทางเราก็มีอีกหนึ่งตัวอย่างการใช้ชีวิตในหนึ่งวันที่พวกแกทั้งหลายสามารถเอาไปปรับใช้ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่แค่ช่วงวันหยุดเท่านั้น แต่รวมถึงวันทำงานจันทร์ถึงศุกร์ โดยเราจะพาไปเอ็นจอยตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำทุกกิจวัตรประจำวันให้พิเศษขึ้น ตามเส้นทาง BTS และ MRT ที่จะมาเชื่อมต่อทุกย่านความสุขทั่วกรุงให้ถึงกัน แล้วพวกแกจะรู้ว่าชีวิตดี ที่ลงตัวในเมืองกรุงมีอยู่จริง … ส่วนจะมีสถานีไหน โลเคชั่นไหนน่าสนใจบ้าง ตามมาเลย!

สำหรับเราการมีที่อยู่อาศัยดีถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตในเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราเลยอยากนำเสนออีกหนึ่งคอนโดดี ๆ อย่าง ‘ASPIRE สาทร –ราชพฤกษ์’ ที่เป็นหนึ่งในคอนโด High Rise ที่จะมาเพิ่มความสุขในพื้นที่ส่วนตัวให้เรามากขึ้น ซึ่งตอบโจทย์ในทุกไลฟ์สไตล์มีจุดเด่นน่าสนใจอยู่เยอะมาก ด้วยความที่ทำเลตั้งอยู่บนถนนราชพฤกษ์ตอนต้นใกล้ตัวเมือง ทำให้ไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวกสบายมาก ๆ ยิ่งตัวคอนโดอยู่ติดกับทางเดิน Sky Walk บางหว้า INTERCHANGE ที่เชื่อมโยงเพียง 1 ก้าวไปยัง BTS และ MRT แล้ว ไม่ว่าเราจะไปย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวอย่าง สาทร สีลม สยาม ก็สามารถนั่งต่อเดียวได้ไม่ต้องเปลี่ยนสาย แถมสายสีน้ำเงิน ท่าพระ – เตาปูน ยังไปเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงได้อีกด้วย นอกจากนั้น สถานีท่าพระเอง ก็ยังเชื่อมต่อไปกับ MRT สถานีหัวลำโพง ให้เราไปอิ่มอร่อยกับย่านเยาราชหรือพระนครได้สบาย ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงไม่ถึง 30 นาทีเท่านั้นจ้า

การตกแต่งด้านในคอนโดให้ความรู้สึกเรียบหรูดูแพง โดยพื้นที่ของ Lobby ออกแบบมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเพดานสูงทำให้ดูโปร่งโล่งสบาย การตกแต่งออกไปทางโทนสีทอง ๆ และการใช้เส้นแสงสีเหลืองตัดตามขอบ และมุม ทำให้พื้นที่ดูมีมิติและน่าหลงใหล รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ก็มีสไตล์คงคอนเซ็ปความชิคไว้อย่างลงตัว และนอกจากความสวยงามที่เราเห็นแล้ว ยังตอบสนองเรื่องฟังก์ชันการใช้สอยอีกด้วย โดยเค้าออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้ตอบโจทย์กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็น Digital Community ไม่ว่าจะเป็น Working Cocoon Pod, Co Working Space พร้อม Techno Booth ไว้ให้เราได้นั่งคุยเพลิน ๆ หรือจะใช้เป็นที่นั่งรับแขกก็ยังได้ เรียกได้ว่าตอบโจทย์ชีวิตจริงมาก ๆ

ในส่วนของห้องก็มีถึง 4 รูปแบบให้เราเลือกตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ทั้งห้อง studio 26 ตร.ม. ซึ่งกั้นห้องเป็น 1 bedroom ได้, ห้อง 1 bedroom 31.5-32 ตร.ม. ที่มีครัวแยกเป็นสัดส่วน, ห้อง 1 bedroom plus 35 ตร.ม. ที่มีพื้นที่ห้องอเนกประสงค์ห้องเล็ก ๆ ให้เพิ่มเติม ที่เราอาจทำเป็นห้องทำงานได้ และสุดท้ายห้อง 2 bedroom 46.5-48 ตร.ม. เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็กที่เน้นความสะดวกสบายเป็นพิเศษ ซึ่งบอกเลยว่าแต่ละห้องนั้น เค้าได้ออกแบบมุมต่าง ๆ และทุกอย่างไว้อย่างลงตัว ให้เราสามารถใช้พื้นที่ทั้งห้องได้อย่างคุ้มค่า ไม่อึดอัด แยกสัดส่วนห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ และห้องรับแขกได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์กับคนที่ต้องการความสงบเงียบไม่วุ่นวาย แต่เดินทางเข้าใจกลางเมืองได้อย่างสบายเช่นกัน

07.00 น.

หลังจากนอนเต็มอิ่มหลับเต็มตื่นพักผ่อนภายในห้องอันแสนสงบสุขที่มีให้เราเลือกหลากหลาย room type แล้ว เราก็เตรียมตัวออกเดินไปใช้ชีวิตชาวกรุงผู้แสนสดใสในวันสบาย ๆ โดยเริ่มจากมื้อเช้าที่ขาดไม่ได้ กับอาหารธรรมดาระดับมิชลินสตาร์ “โจ๊กปริ้นซ์ บางรัก” ที่แกสามารถเดินทางมาง่ายมาก ต่อเดียวถึงด้วยรถไฟฟ้าจากสถานีบางหว้าลงสถานีสะพานตากสิน เดินต่ออีกนิดก็ถึงหน้าร้าน อย่างที่รู้กันว่าโจ๊กเจ้านี้เป็นร้านเก่าแก่ในตำนานที่เปิดขายมากว่า 60 ปี  ซึ่งเป็นโจ๊กสูตรโบราณสไตล์จีนกวางตุ้ง ตัวร้านจะอยู่ริมถนนเจิรญกรุง มีโต๊ะเก้าอี้เรียงเป็นแถวให้ลูกค้าสามารถนั่งกินโจ๊กร้อน ๆ ได้ บอกเลยว่าแค่เดินมาหน้าร้านก็ได้กลิ่นหอมยั่วยวนชวนน้ำลายไหลจนใคร ๆ ที่เดินผ่านต้องหยุดแวะกันทั้งนั้น

ทีเด็ดของโจ๊กปริ้นซ์อยู่ที่ทางร้านจะใช้ปลายข้าวหอมมะลิมาต้มทำให้ตัวเนื้อโจ๊กไม่ข้นมาก ไม่เป็นเนื้อข้าวเม็ด ๆ แต่จะออกเหลว ๆ นิดหน่อยสไตล์กวางตุ้ง ส่วนเนื้อหมูจะใช้สะโพกหมูอย่างดี นำมาบดละเอียดแล้วปรุงรสปั้นเป็นก้อน แล้วใส่ลงไปในโจ๊กต้มไปจนหมูสุกทำให้ได้เนื้อโจ๊กที่หอมหวาน ครื่องในทั้งตับ เซี่ยงจี้ กระเพาะ และไส้หั่นชิ้นใหญ่ ๆ เต็มปากเต็มคำ อีกลักษณะเด่นคือกลิ่นหอมไหม้ที่บางคนอาจตกใจนึกว่าร้านต้มไหม้ หรือได้โจ๊กก้นหม้อหรือเปล่า แต่จริง ๆ ไม่ใช่จ้าแก นี่แหละคือรสชาติที่ไม่เหมือนโจ๊กร้านไหน มาชิมแล้วจะติดใจ ร้านนี้เปิด 2 ช่วงคือช่วงเช้า 6.00-12.00 น. และช่วงเย็น 16.30-22.00 น. อยากกินช่วงไหนก็เลือกเวลาให้ดี จะกินมื้อเช้าแล้วนั่งรถไฟฟ้าต่อไปทำงานแถวสถานีศาลาแดงหรือสยามก็สะดวก

09.00 น.

ฟินกับรสชาติดั้งเดิมของโจ๊กสไตล์กวางตุ้งไปแล้ว สาย ๆ วันหยุดแบบนี้ก็ต้องไปหาอะไรเพิ่มแพชชั่น เติมแรงบันดาลใจในการใช้ให้ชีวิตกันสักหน่อย และหนึ่งในสถานที่เราอยากแนะนำก็คือ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สถานที่จัดแสดงนิทรรศการตามผลงานของศิลปินแขนงต่าง ๆ และร่วมกับองค์กรศิลปะนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านดนตรี กวี ภาพยนตร์ เสวนา และวรรณกรรม เพื่อให้เราได้มาเปิดโลกทัศน์ใหม่ทางการเรียนรู้ที่กว้างขึ้น เป็นที่ที่ใช้แลกเปลี่ยนทางความคิด และเป็นเวทีในการแสดงออกของประชาชนที่ทุกคนที่สามารถทำได้ และเข้าถึงได้ง่ายๆเช่นกัน ตัวอาคารหอศิลปนี้เป็นอาคาร 9 ชั้นสีขาว โถงกลางโค้งเป็นวงกลม มีการตกแต่งที่เรียบง่ายแต่ดูโมเดิร์นและทันสมัย แต่ละชั้นก็จะมีพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการแตกต่างกันไป โดยงานแสดงจะมีจัดขึ้นตลอดทั้งปี เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของหอศิลป์กรุงเทพกันเลยทีเดียว การเดินทางก็ง่ายมากแค่นั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งก็แค่ต่อเดียวจากสถานีบางหว้าเท่านั้นจ้า

หลังจากเสพงานศิลป์ ชมความอาร์ตของงานศิลปะไปแล้ว ก็ลงมาชั้นล่างเพื่อเติมความสุนทรีให้ช่วงเช้านี้สมบูรณ์มากขึ้นด้วยกาแฟดริปดี ๆ สักแก้ว จาก Gallery ร้านกาแฟเล็ก ๆ น่ารักอบอุ่นในสไตล์ฮิปสเตอร์อย่างแท้จริง บอกเลยว่าเป็นร้านกาแฟที่มีความ Art เป็นอย่างมาก มีเมนูและเมล็ดกาแฟจากหลากหลายที่ หลากหลายประเทศให้เราเลือกชิม แน่นอนว่ามาร้านนี้ต้องไม่พลาดชิมกาแฟดริป ด้วยวิธีที่ใช้การหยดน้ำร้อนลงบนเมล็ดกาแฟบด แล้วค่อย ๆ ใจจดใจจ่อรอให้น้ำนำพากลิ่นและรสชาติของกาแฟไหลผ่านตัวกรองออกมาอย่างช้า ๆ ทำให้ได้รสชาติกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีกลิ่นหอม นุ่มละมุนลิ้น หรือจะสั่งเป็น Coffee Jelly กาแฟวุ้น ที่เป็น Signature ของร้านมาทานก็ดีงามไม่แพ้กัน ทำให้เช้านี้ยิ่งรู้สึกดีกระปรี้กระเปร่าตาสว่างเป็นพิเศษเลยละ

11.00 น.

เพิ่มแพชชั่นในการใช้ชีวิตไปแล้ว ก็ขอเวลามาเคลียงาน ตอบเมลล์สักหน่อย เพราะไม่ไกลจากหอศิลป์มี co-working space เปิดใหม่มาเอาใจสายฟรีแลนซ์ และผู้ที่กำลังมองหาพื้นที่เช่าออฟฟิศ-สำนักงาน ที่นี่มีนามว่า ‘Spaces’ อยู่ที่อาคารจามจุรีสแควร์ เราสามารถนั่ง MRT มาลงที่สถานีสามย่านและเดินขึ้นลิฟท์แบบสวย ๆ ไปที่ชั้น 24 ได้เลยจ้า โดยพื้นที่ภายใน Spaces นี้ แบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ ทั้งแบบเช่ารายชั่วโมง รายวัน และรายเดือน หรือจะเช่าเป็นออฟฟิตสำนักงานก็มีเช่นกัน ด้านหน้าจะมุม Common Area ที่มีโต๊ะทำงาน ไว้ให้นั่งเล่นไว้พบปะสังสรรค์ จะมาเดี่ยว มาคู่ หรือมาเป็นกลุ่ม ก็มีโต๊ะรองรับได้ทุกแบบทุกสไตล์ มานั่งแล้วรู้สึกผ่อนคลายเพราะเน้นการตกแต่งที่เรียบง่าย เต็มไปด้วยงานศิลปะ แถมใครปั่นงานจนตาล้าก็สามารถมาพักสายตาด้วยการชม City View จากมุมสูงของสามย่านจากกระจกของที่นี่ได้เช่นกัน เรียกได้ว่าที่นี่ตอบโจทย์กับคนรุ่นใหม่แบบเรามาก ๆ

12.00 น.

เที่ยงตรงถึงเวลานัดกับแก๊งค์เพื่อนสาวมาอัพเดตชีวิตสุดชิคที่คาเฟ่สุดน่ารักย่าน BTS เพลินจิต ซึ่งปกติเมื่อก่อนร้าน RADI นี้จะขายเพียงแค่เบเกอรี่ คัพเค้ก บราวนี่ และมาการองเท่านั้น จนค่อย ๆ เพิ่มเมนูจนกลายมาเป็นร้านแบบ Take Away ที่เสิร์ฟเบเกอรี่และแซนวิชยามเช้าที่ทำสดใหม่ทุกวัน แต่ตอนนี้ทางร้านก็ได้ขยายสาขามาเปิดใหม่ที่ซอยมหาทุน แน่นอนว่าสายคาเฟ่ฮอปปิ้งแบบเราไม่มีพลาด อะไรดี อะไรใหม่เป็นต้องไป บริเวณหน้าร้านตกแต่งด้วยโทนสีชมพูหวานละมุนละไมเอาใจสาว ๆ เป็นที่สุด ส่วนด้านในก็ตกแต่งแบบเรียบง่ายมินิมอล เน้นรสชาติอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ เลือกใช้วัตถุดิบอย่างดี เพราะงั้นที่นี่จึงเหมาะแก่การนัดเพื่อนมาทานขนมแบบจุก ๆ เม้าท์กันได้ยาว ๆ ไปเลย

14.00 น.

ท่ามกลางยุคสมัยที่คาเฟ่เพิ่มขึ้นทุกวันแบบนี้ คงมีไม่กี่ร้านที่จะทำให้เราอยากรู้สึกไปนั่งชิล อ่านหนังสือ ถ่ายรูป เหมือนคาเฟ่ “WWA Portal” แห่งนี้ ที่นี่เน้นการตกแต่งเรียบง่ายแนว Minimal โดยใช้สีเงินสแตนเลสตกแต่งทั้งร้านที่ให้ความรู้สึกดิบ ๆ และกระจกบานใหญ่ที่มีเพียงชื่อร้านสกรีนไว้ เปิดโล่งให้เห็นบรรยากาศภายในร้าน ดูเป็นเหมือนกับ Lab ขนาดย่อมที่มีบาริสต้าเป็นนักวิทยาศาสตร์กำลังชงเครื่องดื่มให้เรากิน ที่มาของชื่อร้าน WWA แปลตามตัวอักษรว่า World Wide Arabica เพราะทางร้านมีเมล็ดกาแฟจากหลากหลายที่มาให้ได้เลือกชิมกัน ถ้าใครไม่รู้จะเลือกแบบไหนดี บาริสต้าในชุดกราวน์ก็สามารถให้คำแนะนำได้เป็นอย่างดี ส่วนถ้าใครไม่ถนัดกาแฟ ก็มีเครื่องดื่มแบบ Non-Coffee ให้เช่นกัน

สำหรับมุมที่เราชอบที่สุด ก็คือบาร์ที่ดูเรียบง่ายสบาย ๆ สามรถนั่งดูบาริสต้าชงกาแฟหรือดริปกันต่อหน้าต่อตา เรียกได้ว่าเปลี่ยนบรรยากาศการกินกาแฟไปจากเดิมเลยทีเดียว ถ้าใครอยากจะแวะมาชิม ก็เดินทางไม่ยากเพียงนั่ง BTS หรือ MRT มาลงสถานีอโศก แล้วเดินเข้ามาเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับร้านสีขาวสะดุดตานามว่า WWA นี้แน่นอน

16.00 น.

แดดเริ่มอ่อนลง แต่แรงกายเรายังเหลือ ก่อนมื้อเย็นเราสามารถกลับมาใช้ facility ต่าง ๆ ที่มีมากมายในโครงการของ ASPIRE สาทร – ราชพฤกษ์ ซึ่งจุดเด่นอีกอย่างของที่นี่คือมี Rooftop Garden ที่ทำให้เราได้เห็นวิวเปิดโล่ง รับลม และใกล้ชิกับดธรรมชาติเพื่อให้เราได้ใช้พื้นที่พักผ่อนในรูปแบบของลานกิจกรรม เป็น Sharing Space ไม่ว่าจะเป็น Relax Sitting และ Amphitheater, Jogging track, BBQ area, Outdoor TRX รวมถึงลานสําหรับเล่นกีฬาแบบกลุ่ม (Co- Sporting) ที่รองรับกีฬาหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นฟุตซอล แฮนด์บอล แชร์บอล และโยคะ ที่สำคัญยังเป็นจุดชมวิวที่ทำให้เราได้เห็นวิวเมืองแบบ 360 องศา มองเห็นย่านสีเขียวของฝั่งตะวันตกและตะวันออก รวมถึงสถานีรถไฟฟ้าบางหว้าได้ทั้งสถานีเลย

ในส่วนของห้องฟิตเนส ก็มาในคอนเซ็ป The Complete Workout ที่ให้เราได้ใช้เวลาfit&firm แบบจริงจังสุด ๆ กับพื้นที่ฟิตเนสขนาดใหญ่ถึง 140 ตร.ม. พร้อมอุปกรณ์ใหม่ล่าสุด ตามความต้องการของคนรักสุขภาพ โดยทางคอนโดเลือกใช้เครื่องออกกำลังกายแบรนด์ Matrix ซึ่งเป็นแบรนด์ใน top 3 ที่ได้รับไว้วางใจจากผู้ที่ทำงานด้านสาธารณสุข  คุ้มค่ามากเว่อร์ เพราะถ้าเครื่องออกกำลังกายที่คอนโดดี ก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มไปฟิตเนสที่อื่นให้เปลืองเพิ่มเลยละแก ที่สำคัญระหว่างแกออกกำลังกายก็สามารถมองวิวสระว่ายน้ำได้ด้วย

ฟิตเนสเสร็จเลือดสูบฉีดจนพุ่งพล่าน ก็กระโดดลงสระแหวกว่ายต่อในสระ Duet Pool ที่ยาวกว่า 40 เมตรได้เลย ซึ่งสระว่ายน้ำของคอนโดนี้ถูกออกแบบให้เป็น 2 ฟังก์ชั่น คือเป็น Active Pool ที่เป็นสระว่ายน้ำยาวขนาด 25 เมตร สำหรับการว่ายน้ำอย่างจริงจัง และ Passive Pool สำหรับนอนแช่ผ่อนคลายบนบ่อจากุชชี่ เราชอบการดีไซน์ของสระที่นี่มาก ออกแบบอย่างมีสไตล์ให้ดูน่าใช้ไปซะหมด แถมมี sunbed บนผิวน้ำให้เราหยิบหนังสือสักเล่มไปนอนอาบแดดบ่มผิวแทนอีกด้วย

18.00 น.

ดื่มด่ำกับทุก facility ที่มีอย่างครบครันในคอนโดไปแล้ว ถึงเวลาของมื้อเย็นที่รอคอยกับ อีกหนึ่งย่านที่ถือเป็นแหล่งรวมเมนูสตรีทฟู้ดไว้มากมายอย่างเยาวราช ซึ่งจากคอนโดสามารถเดินไปขึ้น MRT บางหว้าเพื่อมายังสถานีเปิดใหม่วังมังกรได้เลย ไม่ต้องนั่งทนรถติดหลายต่อให้ปวดใจอีกต่อไป ซึ่งสถานีใหม่นี้จะพาเราสวมบทบาทเป็นอาหมวยเล็ก หมวยใหญ่ดึงเอากลิ่นอายของ 2 วัฒนธรรมคือ ไทยและจีน มาเป็นแรงบันดาลใจที่ช่วยผสมผสานกัน จนกลายมาเป็นสถานีลอดลายมังกร ที่มีการตกแต่งด้วยมังกรกับดอกบัวที่เป็นเอกลักษณ์ของทางวัดมังกรกมลาวาส อีกทั้งยังต้องการสื่อให้เห็นความเป็นอยู่ของชาวจีนด้วยการเน้นโทนสีแดงสีเฮง ๆ เป็นหลักตลอดทั้งสถานี เอาจริงคือเก๋มาก สวยมาก ใครที่พกกล้องไปด้วยได้รูปสวย ๆ กลับมาแน่นอน

มาถึงย่านเยาวราช ย่านการค้าที่รวมของเด็ด ของดี ของกินดัง ๆ ที่มากี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ เริ่มตั้งแต่ต้นจนสุดปลายถนน เราจะได้พบเห็นร้านรวงนับร้อยเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวที่หิ้วท้องหิว ๆ เข้ามาลิ้มชิมรสอาหารจีนแบบต้นตำรับกันอย่างคับคั่ง แต่นอกจากอาหารจีนแล้วยังมีของกินอร่อยทั้งคาวหวานอีกมากมาย ซึ่งในวันนี้เราจะพาไปชิม 3 ร้านเด็ดที่การันตีเลยว่าไปกินตามแล้วไม่มีผิดหวังแน่นอน เริ่มจากร้านแรก ก๋วยจั๊บอ้วนโภชนา หรือที่เราเรียกอีกชื่อว่า ก๋วยจั๊บหน้าโรงหนัง  นั่งทานไปก็นั่งดูบรรยากาศแบบโรงหนังย้อนยุคไปได้บรรยากาศสุด ๆ ส่วนก๋วยจั๊บร้านเฮียอ้วนนั้นถูกใจเรามาก เพราะเส้นเขาจะหนึบ ๆ ไม่เหมือนเส้นก๋วยจั๊บทั่วไป ตัวน้ำซุปก็หอม เผ็ดร้อนพริกไทย เครื่องในก็ดีงาม เค้าบอกว่าเวลาทานร้อน ๆ จะช่วยขับลมได้ดีมาก ๆ ด้วยละ

ต่อกันที่ร้านสองยังอยู่ที่ของคาวกับร้านแกงกะหรี่นายโย่ง หน้าตลาดเก่าเยาวราช ที่มีตำนานความอร่อยมานานถึง 80 ปี มีทั้งแกงกะหรี่ เนื้อ-หมู-ไก่-ปลา รสชาติดี เผ็ดอ่อน ๆ เสริมทัพด้วยไข่ต้มยิ่งลงตัว ร้านนี้มีชาวต่างชาติแวะเวียนเข้ามาเยอะเลยแก เรียกกันว่า Mr.Tall’s curry shoppe ซึ่งนายโย่งแกวางยุทธศาสตร์ร้านดีมาก มีทั้งสองฝั่งถนนดักลูกค้าทั้งสองทิศทาง คนจึงคึกคักตลอดแถมราคาก็เบา ๆ สบายกระเป๋าแค่เพียงจานละ 40-50 บาทเท่านั้น ก็อร่อยแบบจุก ๆ ไปเลยจ้า

ของหวานกันบ้างกับร้านสามที่เลือกแล้วเลือกอีก จนสุดท้ายก็ต้องร้านนี้แหละเด็ดจริง เพราะเห็นจากแถวที่ต่อยาวเหมือนเล่นงูกินหางแล้วนั้น เราเลยต้องขอชิมขนมปังเจ้าเด็ดนี้สักหน่อย เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ขนมปังที่มีให้เลือก 3 แบบ 9 หน้า ทั้งแบบกรอบนอกนุ่มใน, แบบกรอบกรุบ และแบบนุ่ม ๆ ใครชอบแบบไหนก็สั่งได้หมด แนะนำว่าควรไปตั้งแต่หัวค่ำไม่งั้นอาจช้ำใจเพราะต้องต่อแถวรอนานเป็นชั่วโมงก็เป็นได้

และนี่คือหนึ่งวันของการใช้ชีวิตที่คุ้มค่าตามไลฟ์สไตล์คนกรุง ทำให้เรารู้ว่าถ้าเราเลือกทำเลที่พักอาศัยที่ดี ชีวิตความเป็นอยู่ของเราก็จะง่ายขึ้นในทุก ๆ ด้าน ได้ทำกิจวัตรทุกอย่างที่อยากทำ ได้ไปในที่อยากไป เหมือนการได้พักในคอนโดที่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง ASPIRE สาทร –ราชพฤกษ์ นี้ ก็เป็นอีกอย่างที่เราเชื่อว่าจะต้องมาเติมเต็มให้ชีวิตคนเมืองลงตัวและมีความสุขมากขึ้น และพิเศษสุดตอนนี้กับโปรโมชั่นฉลองเปิด MRT เพียง 1 ก้าว เชื่อมต่อรถไฟฟ้า 2 สาย BTS X MRT สถานีบางหว้า อินเตอร์เชนจ์ กับคอนโดพร้อมอยู่ จบครบทุกไลฟ์สไตล์แบบ Triple Facilites พร้อมชมวิว 360 องศาบนชั้นดาดฟ้าที่สูงที่สุดในย่าน แบบ 1 ห้องนอนขนาดใหญ่ ราคา 2.59 ล้านบาท โดยจอง 999 ก็ผ่อนเบา ๆ เริ่ม 2,590 บาท/เดือน แถมฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน + MRT 1 ปี อีกด้วยจ้า ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ คลิก https://bit.ly/2lCQuar โทร 1623

เชื่อเราเถอะว่าแค่เดินทางง่ายไปไหนมาไหนสบาย แค่นี้ชีวิตก็ดีขึ้นไป 70 เปอร์เซ็นต์แล้วจ้า