นา เขา เรา น่าน 4 วัน 3 คืน

หลังจากปากกาหัวหน้าเซ็นลาพักร้อนให้ 2 วัน ตัวผมก็ไม่รีรอ เย็นวันนั้นกลับห้องก็รีบทำการบ้านเลย ทันที น่านนคร 4 วัน 3 คืน เราตั้งใจว่าจะต้องเก็บที่เที่ยวให้ได้มากที่สุด ทะเลหมอก ภูเขา ทุ่งนา น้ำตก แต่ทั้งหมดจะต้องไม่เร่งรีบเพราะถ้าเร่งรีบม่ะไหร่เราไม่เคยอินกะสถานที่เลยสักครั้ง และถ้าพูดถึงจังหวัดน่านในความคิดของเราคือจังหวัดเล็กเล็กเที่ยว 4 วัน 3 คืนคงเก็บที่เที่ยวครบหรือไม่ก็เกือบหมด แต่ป่าวเลยยิ่งหาสถานที่ท่องเที่ยวยิ่งมีแต่ที่น่าสนใจผุดขึ้นมาเรื่อยเรื่อย แน่นอนถ้าหาวนอยู่อย่างนี้ก็คงไม่ได้ข้อสรุปสักที ยกมือขอตัวช่วยครับ!! Inbox หารุ่นพี่เซเลปเมืองปัวท่านหนึ่ง เราบอกสถานที่ทั้งหมดที่เราอยากไปกับรุ่นพี่ พี่เค้าก็ช่วยสรุปมาให้ดังนี้ “4 วัน 3 คืนของเราเป็นทริปตะลุยน่านเหนือล่ะกัน” รุ่นพี่กล่าว เริ่มต้นที่สวนยาหลวง อำเภอท่าวังผา แล้วไปปิดทริปแบบสโลไฟล์ที่อุ่นไอมาง ณ สะปัน ที่อำเภอบ่อเกลือ แต่ระหว่างนั้นก็ปรับเปลี่ยนกันตามความเหมาะสม เที่ยวธรรมชาติเที่ยวฤดูฝนก็ต้องเผื่อใจไว้นิดนึงเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้


การเดินทางเราเลือกติดปีกบินไปลงที่น่าน เหตุผลคือรวย เฮ้ย!! ไม่ใช่ล่ะเราแค่ต้องการประหยัดเวลา แต่สุดท้ายคือตกเครื่องจร้า จากไฟล์ 8.45 เลื่อนไปเป็น 12.45 ระหว่างรอก็จับโปรเกม่อนดอนเมืองวนไปค่ะ ในส่วนความโง่นั้นเราไม่ขอพูดถึงโน๊ะ ขอวาร์ปมาที่ท่าอากาศยานน่านนครเลยล่ะกัน แผนเดิมคือเราต้องโบกรถไปลงที่แยกท่าวังผา แล้วรุ่นพี่เซเลปเมืองปัว(พี่กบ) จะมารอรับแล้วไปขึ้นสวนยาหลวงด้วยกัน แต่ด้วยความหล่อ(หรอ)ของเรา พี่กริชผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านสันเจริญเข้ามาทำธุระในเมืองพอดี๊ เราก็เลยขอติดรถพี่เค้าเข้าไปหมู่บ้านสันเจริญด้วย พี่เค้าใจดีมากมารับเราถึงหนามบินเลย

จากนั้นก็ยิงยาวไปเจอพี่กบที่หมู่บ้านสันเจริญ มีแวะตลาดสดท่าวังผาเพื่อหาเสบียงเล็กน้อย เมื่อถึงที่นัดหมายโรงคั่วกาแฟบ้านสันเจริญของพี่กริช เราก็มีสมาชิกมาเพิ่มอีกหนึ่ง พี่ออยเพื่อนรุ่นพี่ของพี่กบที่มาร่วมทริปนี้ได้เพราะความตกเครื่องของเรานั่นเอง เมื่อทุกคนพร้อม 4W ที่ติดต่อไว้ก็มารับพวกเราถึงโรงคั่วพาเราตรงดิ่งขึ้นสวนยาหลวง ระยะทางก็สั้นสั้นแค่ 10 กิโลเมตรเอง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ที่สำคัญต้องใช้โซ่พันล้อด้วย โหดแค่ไหนถามใจดู เราเลือกนั่งหลังกะบะกัน 3 คน อยากได้บรรยากาศชิวชิว แต่ไม่ชิวเลยลุ้นตลอดเส้นทางว่าเมื่อไหร่จะถึง จนในที่สุดก็มาถึงกระท่อมที่พวกเราจะพักกันคืนนี้ เป็นกระท่อมในไร่กาแฟของน้าพี่กริชทำไว้เพื่อมานอนเฝ้าไร่เวลาถึงฤดูเก็บเม็ดกาแฟ หรือตอนมาใส่ปุ๋ย สาเหตุที่ต้องนอนที่นี่คือ หนึ่งพี่กริชกลัวลมด้านบนสวนยาหลวงจะแรง ฝนตกหนักแล้วจะนอนไม่ได้กัน สองพี่กบกับพี่ออยไม่ได้พกเต๊นท์มาด้วย แต่เรามีความอยากนอนเต๊นท์สูงมากก็เลยขอพกเต๊นท์ขึ้นไปบนสวนยาหลวงด้วยล่ะกัน ส่วนขึ้นไปจะได้กางหรือไม่ได้กางค่อยว่ากัน

                       

หลังจากเก็บของลงกระท่อมเรียบร้อยเราสามคนบวกพี่คนขับอีกหนึ่งขับจากกระท่อมขึ้นสวนยาหลวงทันที ส่วนพี่กริชรออยู่ที่กระท่อมเพื่อเตรียมอาหาร เตรียมที่นอนรอ ส่วนพวกเรามาได้ทันเวลาพอดีแสงเย็นงามมาก เพลงมาค่ะ!! ดื่มชีวิตช้าช้าแล้วพักผ่อน ลืมความจริงร้ายร้ายทิ้งเอาไว้ก่อน… แล้วก็เก็บภาพกันจนมืด ณ เวลานั้นก็ต้องขอเปลี่ยนใจกลับไปนอนที่กระท่อมเพราะน้ำค้างกับลมด้านบนแรงมาก ถ้าจะนอนคนเดียวก็กลัวผีด้วย อิอิ

กลับลงมาถึงกระท่อมอาหารก็เกือบเสร็จเหลือแค่ข้าวที่ยังหุงไม่สุก และนี่คือครัวน้อยในกระท่อมกลางไร่กาแฟ

เมื่อข้าวสุกอาหารทุกอย่างก็ถูกจัดลงบนโต๊ะ น้ำพริก หมูย่าง ไก่ย่าง ผักต้ม หน่อไม้สดต้ม(อันนี้ใส่ดอกจันทร์ให้สามดอกวัตถุดิบสดจากป่าที่พี่กริชลงทุนไปหาให้ระหว่างที่เราขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกกัน) อาหารพร้อม ข้าวพร้อม ก็ลงมือทานได้ อาหารทุกอย่างอร่อยมากขอกดเลิฟหน่อไม้ กดไลค์หมูย่าง ถึงแม้น้ำพริกจะเค็มไปหน่อยก็ตาม ฮ่าฮ่า ปล.ที่ถ่ายภาพอาหารมาสว่างไม่ใช่ว่าด้านบนมีไฟฟ้าใช้นะ แสงมาจากไฟฉายที่เตรียมขึ้นไปครับ

เมื่อทานเรียบร้อยก็ถึงเวลาโหมดใครโหมดมัน เล่นมือถือ(3จีเข้าถึง) อาบน้ำ(มีห้องน้ำให้อาบ) ส่วนเราขอแค่แปรงฟันล้างหน้าพอ น้ำค่อยรวบยอดอาบทีเดียวตอนเช้า ช่วยชาติประหยัดพลังงานครัช ฮ่าฮ่า แบบนี้ก็ได้นะแกร เมื่อเรียบร้อยก็รีบเข้านอนเพราะว่าจะต้องตื่นแต่เช้าขึ้นสวนยาหลวงอีกครั้งเพื่อไปดูทะเลหมอก

เช้าวันใหม่สดใสฝุดฝุดที่กระท่อมในไร่กาแฟถูกปกคุมไปด้วยหมอก อากาศเช้านี้คือเย็นสบายมาก ปอดมีความสดชื่นร่าเริง เราทั้งสามรีบล้างหน้าแล้วกระโดดขึ้นกระบะเพื่อตรงดิ่งไปสวนยาหลวงทันที ระยะทางจากกระท่อมขึ้นไปยอดประมาณ 2 กิโลเมตร

ต้องบอกเลยว่าเช้านี้ถนนเละมากมากกว่าเดิมหลายเท่าเพราะตอนกลางคืนฝนตก ขับออกไปได้นิดเดียวรถตกหลุมลึกประมาณเข่าเสียงดัง ปั้ง!! หัวเรากระแทกกับกระจกด้านหน้ารถอย่างจัง ดีนะที่หัวไม่เป็นอะไร แต่กระจกคือร้าวเลยจร้าา หลุมลึกขน๋าดนี้เร่งเครื่องก็ขึ้นมะไหว ยอมรับตอนนั้นคือถอดใจแล้ว แต่พี่กริชกะคนขับก็คงไม่อยากให้เราผิดหวังถอยหลังมาตั้งหลักแล้วเร่งเครื่องพาเราขึ้นมาถึงสวนยาหลวงจนได้

แต่พระเจ้าไม่เข้าข้างคนหล่อเลย ขาวทุกตารางเมตรทิวเขาสลับซับซ้อนที่เคยเห็นเมื่อวานตอนเย็นก็ถูกหมอกฟุ้งกระจายปกคลุมไปหมด สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดเพื่อฆ่าเวลารอฟ้าเปิด คือ ดิฟกาแฟ กินมาม่า ฟังเพลงวนไปค่ะ

       

       

แต่รอจน 10 โมงกว่ากว่าก็ไม่มีทีท่าว่าฟ้าจะเปิด ยิ่งอยู่ยิ่งหนาวและไหนไหนก็มาล่ะขอรอยันเที่ยงล่ะกัน กางเต๊นท์ K2 แล้วเข้าไปนอนรอเลยครับ เต๊นท์ดีงามฝุดกันฝนกันลมกันหมอกดีมาก ไม่หนาวเลย หลับหลับตื่นตื่นตื่นตื่นหลับหลับยันเที่ยงวันหมอกก็ไม่มีวี่แววจะหายฟุ้งกระจายหนักเหมือนเดิม

         

รอต่อไปก็ไม่ไหวล่ะคงต้องถึงเวลาเก็บข้าวของกลับลงเขาแบบผิดหวัง ระหว่างทางลงมีแวะเก็บภาพบรรยากกาศข้างทางมาบ้างได้ความสวยงามความดิบของป่าไปอีกแบบ จากนั้นก็ลงรัวรัวลุ้นกันต่อไป… สุดท้ายรถ 4W ก็พาเรามาส่งที่เดิม โรงคั่วกาแฟ สวนยากหลวงอย่างปลอดภัย การขึ้นสวนยากลวงถ้าตับไม่สลับที่กับไต แล้วหัวใจไม่สวิงกิ้งกับปอดคือผิดคอนเซปนาจา เท่ากับมาไม่ถึงที่นี่ ฮ่าฮ่า

พอลงมาถึงที่หมู่บ้านสันเจริญพี่กบกับพี่ออยแยกกลับปัวไปก่อน ส่วนเราเดินตามตูดพี่กริชเลยครับขอขึ้นสวนยาหลวงอีกรอบ ซึ่งวันนั้นมีนักท่องเที่ยวอีกสองกลุ่มมารอขึ้นโชคดีตรงที่เราไปขอหารค่ารถขึ้นกับเค้าแล้วเค้าโอเคร ระหว่างที่รอรถ 4W มารับ เราขอพูดอะไรหน่อยนะ 95% ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่หมู่บ้านสันเจริญ คือ “สวนยาหลวง” แต่เราขอบอกตรงนี้เลยว่านอกจากสวนยาหลวงแล้วกาแฟที่นี่เด็ดจริงจริงใครมาที่นี่แล้วไม่ได้ลองคือมาไม่ถึงครับ ระหว่างรอรถ พี่กริชก็ทำกาแฟให้กินอีกหนึ่งแก้ว

       

รอจนสามโมงเกือบสี่โมงจึงได้ข้อสรุปว่าทุกคนอดขึ้นสวนยาหลวงเพราะไม่มี 4W คันไหนกล้าเสี่ยงพาเราขึ้นเนื่องจากฝนตกตกหยุดหยุดตลอดทั้งวัน เงิบสิครัชผม!! แผนเปลี่ยนอีกแล้วเรานี่ต้องรีบขอพี่อีกกรุ๊ปนึงติดรถไปลงแยกท่าวังผา เพื่อจะโบกรถต่อไปปัว พอมาถึงแยกเราก็เริ่มโบกรถโบกยุ 10 คันมีรถจอดให้แค่คันเดียวแต่ลุงเค้าจะเลี้ยวซอยหน้าแล้วไปไม่ถึงปัว จากนั้นก็โบกวนไปค่ะและก็ไม่มีใครจอดรับเราอีกเบยจนในที่สุดรถคันหนึ่งก็มาจอด พอเค้ากระจกรถเปิดลงมา อ๊าว!! พี่สี่คนแก๊งเดิมที่เราขอติดรถลงมาจากสวนยาหลวงนี่หว่า พี่เค้าก็บอกให้ขึ้นมาแล้วพาเราติดรถไปส่งที่ปัวด้วย ( #ขอบคุณพี่ทั้งสี่ผ่านรีวิวนี้ด้วย ) เอฟวานไอ.ตอนแรกพี่เค้าจะไปค้างเสมอดาวกันแต่เปลี่ยนแผนกระทันหันเลยวนกลับมาทางเดิมเพื่อจะไปปัว พี่เค้าก็เลยวนกลับมาเจอเราอีกรอบ

เมื่อเราถึงปัวเราก็รีบโทรหาพี่กบทันทีพี่กบก็ออกมารับและครั้งนี้พี่กบพาพี่สาวมาด้วยอีกหนึ่งคนชื่อว่าคุณครูโจแอน(มักม่วน) พี่กบบอกว่าคืนนี้ค้างที่บ้านพี่ล่ะกันพี่เตรียมที่นอนไว้ให้ล่ะแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยขึ้นไปเที่ยวที่ สะจุกสะเกี้ยง แผนเดิมคือเราจะไปนอนที่สะจุกสะเกี๊ยนแต่เวลาไม่ทันก็เลยต้องนอนที่ปัว เมื่อเจอพี่กบเรียบร้อยพี่เค้าก็พาเราไปเก็บของ อาบน้ำที่บ้านก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ออกไปหาข้าวเย็นทานกัน และในส่วนของมื้อเย็นนั้นเราไปกินกันที่ร้านครัววันดีดีร้านอาหารพื้นเมืองชื่อดังของเมืองปัว กับข้าวอร่อยมากทุกสิ่งอย่างจริงจริง ใครมาพักที่ปัวลองแวะมาชิมนะ ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างคือราคาไม่แพงเกินไป ร้านนี้พี่ให้สามผ่าน /// เลยครัช เมื่ออิ่มท้องก็กลับบ้านพี่กบล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำ เล่นโทรศัพท์ แล้วก็นอน

อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 3 ณ เมืองปัว เราตื่นแต่เช้ารีบล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปหาซื้อกับข้าวเช้าที่ตลาดปัว โจ๊กเจ้าดัง หนมหวาน น้ำเต้าฮู้ ปลาท่องโก๋ น้ำพริกหนุ่ม แคปหมู จัดหนักจัดเต็มมาก

       

       

พอซื้อเสร็จเรียบร้อยพี่กบก็พาเราไปเก็บภาพมุมต่างต่างทั่วเมืองปัว หน้าฝนที่นี่มีความกรีนมาก ดูแล้วสดชื่น ขับวันไปวนมาแล้วมาจบที่จุดชมวิวทุ่งนา ณ วัดภูเก็ต อิ่มมากกับภาพถ่าย

       

      

จากนั้นก็กลับเข้าบ้านเพื่อทานข้าวเช้า อาบน้ำ เก็บของเตรียมตัวมุ่งหน้าไป อ.บ่อเกลือกันต่อ การเดินทางไปบ่อเกลือครานี้นอกจากเรา พี่กบ คุณครูพี่โจแอน(มักม่วนแล้ว) เรามีอีกหนึ่งสมาชิกมาร่วมด้วย พี่หมอเอกพี่ชายคุณครูพี่โจแอนเจ้าของ อุ่นไอมาง ณ สะปัน นั่นเอง

และก่อนจะเดินทางออกจากเมืองปัวพี่พี่ก็พาเรามาจัดก๊วยเตี๋ยวชื่อดังที่อยู่คู่เมืองปัวมาช้านานนั่นก็คือร้านก๊วยเตี๋ยวต้นหูหวาง หน้าตาก๋วยเตี๋ยวคือธรรมดามากแต่รสชาติดีงามมากเลยครับ เมื่อทานกันเสร็จเรียบร้อยเราทั้งสี่ก็มุ่งหน้าไปบ่อเกลือทันที

จากปัวถึงอุ่นไอมาง ณ สะปัน เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงเราเจอทุกสภาพอากาศไม่ว่าจะเป็นหมอกก้อน หมอกฟุ้ง ฝนตก แดดออก ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างทางมีแวะถ่ายภาพกันตลอด เราขอบอกเพื่อนเพื่อนตรงนี้เลยว่าเส้นทางปัว-บ่อเกลือ เป็นอะไรที่ฟินและกรีนมาก แต่ทางก็คดเคี้ยวเอาเรื่องเหมือนกัน ถ้ามาเที่ยวหน้าฝนก็ต่องระวังกันเป็นพิเศษ

      

      

เวลาสามโมงกว่ากว่าเกือบสี่โมงเราก็เดินทางมาถึงที่พักคืนสุดท้ายของเรานั่นก็คืออุ่นไอมาง ส่วนบรรยากาศที่นี่จะเป็นอย่างไรรอแพพนะ เพราะเราต้องรีบไปขึ้นสะจุกสะเกี้ยงให้ทัน เก็บของเข้าห้องพักเรียบร้อยก็ออกเดินทางต่อไปที่จุดนัดพบสำหรับขึ้นสะจุกสะเกี้ยง

ระหว่างทางมีอันต้องได้แวะอีกครั้งเมื่อเจอทุ่งนาที่สวยงามที่หมู่บ้านเวร ตอนนั้นคาอต้องใช้ความเร็วสูงมากในการเก็บภาพเพราะกลัวไปไม่ทันขึ้นสะจุกสะเกี้ยง

       

เมื่อมาถึงจุดนัดพบน้องสายสก๊อยสองคน สายแว๊นหนึ่งคน มารอรับเราที่ทางขึ้น ในส่วนของสะจุกสะเกี้ยงนั้นขึ้นได้ 2 วิธี คือจ้าง 4W ขึ้น หรือไม่ก็จ้างมอไซด์พาขึ้น (มีทางแคบให้มอไซวิ่งได้) เพราะถนนที่นี่เละ เป็นร่องลึก เรามาสี่แต่ไมมีคนมารับแค่สาม ไม่ต้องงงนาจาเพราะพี่หมอเอกรอเราสามคนอยู่ด้านล่างครั

จากจุดนัดพบขึ้นสะจุกสะเกี้ยงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ตลอดทางโคตรฟินกับหมอก นาขั้นบันได นาหิน จุดชมวิวที่หมู่บ้านเปียงซ้อ หอดูไฟ

      

      

      

เก็บภาพทุกจุดจนครบแล้วกฌมาจบที่สะจุกสะเกี้ยง เห็นที่พักในไร่ชาราคาแล้วแต่จะให้ผมนี่ใจเต้นแรงมากเสียดายไม่ได้พักที่นี่ เริ่มเย็นก็เริ่มหิวถึงเวลาแว๊นลงเขากลับที่พัก

เมื่อมาถึงที่พักกับข้าวทุกอย่างก็พร้อมเสริฟ น้ำพริก ผักต้ม ไข่เจียว ผักกูดผัดน้ำมันหอยกินกันจนพุงกางเลยครับ พออิ่มหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มย่อนผมต้องขอตัวพี่พี่ไปอาบน้ำแล้วนอนเอาแรงก่อนเพราะว่าเพลียหนักมากทั้งถ่ายรูป ทั้งเดินทางทั้งวัน ที่นอนเราเป็นแบบกระโจมริมน้ำหัวถึงหมอน เสียงน้ำไหลขับกล่อมสลบทันทีเลยครับ

อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สี่วันสุดท้ายของทริป ผมตื่นขึ้นมาท่ามกลางไอหมอก ในกระโจมริมน้ำที่อุ่นไอมางบรรยากาศยามเช้าที่สะปันเงียบสงบมาก คือเป็นอะไรที่ผ่อนคลายเหมาะแก่การมาผักผ่อนสุดสุด หลังจากตื่นสิ่งแรกที่เราทำเมื่อแปรงฟันก็คือถือกล้องหนึ่งตัว เก็บภาพบรรยากาศที่อุ่นไอมา

      

      

แล้วก็ปั่นจักรยานเข้าหมู่บ้านไปจุดชมทุ่งนา สะพานแขวน เก็บบรรยากาศภายในหมู่บ้าน

      

      

แล้วถึงค่อยวนกลับมาทานข้าวเช้ากาแฟเพื่อรอพี่กบพาไปน้ำตกสะปันต่อ

      

เมื่อพวกเรียบร้อยเรื่องแดรกก็ถึงเวลาไปเที่ยวน้ำตกกันต่อ น้ำตกสะปันวันนั้นความสวยอาจได้แค่ 5 เพราะว่าน้ำสีชาเย็นมากเนื่องจากฝนตกหนักทำให้ดินแดงไหลปนมากับน้ำ แต่ความชุ่มชื่นความกรีนเราให้ 10 เต็ม ยังไงถ้ามาสะปันไม่ควรพลาดน้ำตกนี้นะครับ ยิ่งอยู่ยิ่งเพลินทั้งน้ำตกมีเราอยู่ 3 คนคือไม่ต้องแย่งมุมถ่ายภาพกะครมันก็เลยทำให้เราสนุกยัน 11 โมงกว่า ณ เพลานั้นคงถึงเวลาต้องกลับไปอาบน้ำเก็บของเดินทางไปหนามบินได้แล้ว

       

       

จากสะปันแวะนู้นนี่นั่นผมมาถึงในเมืองน่านประมาณสามโมงกว่ากว่าเกือบสี่โมง พอดูเวลาแล้วก็ยังพอมีเหลือให้เที่ยวในเมืองบ้าง ก่อนขึ้นเครื่องกลับผมก็เลยให้พี่กบพาไปไหวพระที่วัดพระธาตุเขาน้อย แลนด์มาร์คหลักที่มาน่านแล้วไม่ควรพลาดที่จะแวะมาเช็คอิน

แล้วไปต่อที่หนมหวานป้านิ่ม

      

หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ 4 วัน 3 คืนมากกว่าความสนุกที่ได้รับคือความน่ารักความมีน้ำใจของคนน่านที่มีต่อเรานี่แหล่ะ ขอบคุณทุกคนจากใจจริงที่ช่วยเหลือเรื่องการเดินทาง ที่พัก แนะนำข้อมูลที่เที่ยวต่างต่างมาให้เรา น่านนครชื่อนี้ถูกบันทึกไว้แล้วในใจเรา มีโอกาสเรากลับไปอีกแน่นอนครับ