Taiwan Travel Guide :}

“เผยหนี่ชวี่คั่นหลิวซิงหยี่ลั่วจ้ายเจ้อตี้ชิวซ่าง ย่างหนี่เตอเล่ยลั่วจ้ายหว่อเจียนป่างเหย้าหนี่เซียงซิ่นหว่อเตออ้าย จื๋อเขิ่นเหวยหนี่หยงกั่น หนี่ฮุ่ยคั่นเจี้ยนซิ่งฝูเตอส่อจ้าย” ให้ท่อนฮุกเพลงประกอบซี่รี่สุดฮิตอย่างรักใสใสหัวใจสี่ดวง เปนคนอินโทรทริปนี้แทนล่ะกัน ไม่ขอบอกนะว่าเรารุ่นไหน เอาเป็นว่าถ้าแกรรู้จักเพลงนี้กะซีรี่สุดฮอตเรื่องนี้ แกรก็น่าจะโตมาในยุคเดียวกันกะเรา ฮ๋าฮ๋า ไต้หวันหรอ หึหึ บั๊บว่าประเทศบร้าไรเนี่ยไม่อยากจะเม้าท์เลยแกร๊ เที่ยวครั้งแรกก็ทำเอาอินแบบอินโคตรโคตร เล่นซะอยากเลื่อนตั๋ว เครื่องบินกลับไทยไปอีกสักสองสามสี่ห้าอาทิตย์เล๊ยยยย เราชอบที่นี่มากนะ ทั้งเรื่องอาหาร ทั้ง Street Art ทั้งควาอลังการของตึกรางบ้านช่อง ทั้งแหล่งชอปปิ้ง รวมถึงธรรมชาติที่หาสัมผัสได้ไม่ไกลจากกรุงไทเป ดีขนาดนี้ถ้าจะไม่เมาท์ให้ฟังก็เกรงว่าจะจุกอกตายซะก่อน เอาเป็นว่าไต้หวัน 3 วัน 2 คืน ไม่บอกต่อไม่แชร์ต่อไม่ได้แล้ว


หลังจากไต้หวันประกาศฟรีวีซ่า เรากะเพื่อนก็ไม่รีรอ ที่จะหาวันเพื่อเดินทางไปเที่ยวสักครั้ง ซึ่งเราได้ข้อสรุปว่าทริปนี้ของเราจะไปในเดือนธันวาปี 59 ก็คือปลายปีที่แล้วนี่เอง


  DAY 1

เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิเวลา 7 โมงเช้า ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที ก็มาถึงสนามบินเถาหยวน เอฟวายไอ.เวลาที่ไต้หวันจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงนะครัช

Tip : กรุงเทพฯ-เถาหยวน มีเที่ยวบินและสายการบินที่บินตรงเยอะแยะมากมาย แต่รอบนี้เลือกบินกับสายการบินที่รักเราเท่าฟ้า “การบินไทย” ไงล่ะจ๊ะ ค่าตั๋วไป-กลับประมาณ 13,000 บาท

นี่คือความสวยงามและความอลังการของสนามบินเถาหยวน

หลังจากที่รับกระเป๋าจากสายพานเรียบร้อย สิ่งต่อไปที่เรามองหาก็คือ Local Sim ในส่วนของสายโชเชียลที่ไปไหนต้องกดทวิตเตอร์ อัพไอจี อัพเฟสอวดชาวบ้านชาวเมือง แต่ว่าไม่ได้เปิดโรมมิ่งไปจากไทย เราขอแนะนำว่าก่อนผ่าน ตม. ให้สังเกตขวามือจะมีร้านขายซิมเรียงกันอยู่สามร้าน ส่วนแพคเกตก็จะมีทั้งแบบ 3 วัน, 5 วัน, 7 วัน ไล่ขึ้นไปเรื่อยเรื่อยถึงแพคเกต 1 เดือนก็มีนะเออ ส่วนเราจัดแพคเกตแบบ 5 วัน 4G Unlimited มาในราคา 300 NT ( ราคาโปรโมชั่น // โทรไม่ได้เล่นเนตได้อย่างเดียว )

Local Sim ปัจจุบันมีให้บริการอยู่ 3 รายใหญ่ใหญ่ คือ Taiwan Mobile, Chunghwa Telecom และ Far EastTone หลักฐานที่ใช้ซื้อซิมก็แค่ Passaport บวกกับยื่นหน้าสวยสวยให้เค้าดูแปบเดียวก็เรียบร้อย ส่วนค่ายที่เราเลือกใช้ในครั้งนี้ก็คือ Chunghwa Telecom ความเร็วแรงดีไม่มีตกไม่ว่าจะไปไหนมาไหนขึ้นเขาลงห้วย มุดไต้ดิน สัญญาณไม่เคยขาดอัพรูปได้ตลอดเวลา

พอได้ซิมเรียบร้อยเราก็ไปต่อแถวเดินผ่าน ตม. ออกมายังช่องขายตั๋วรถบัส ซึ่งรถบัสจากเถาหยวนไปยังไทเปมีด้วยกันหลายสาย ปอ. ก็มี รถฟรีก็มา อิบ้าไม่ใช่ไทยแลนด์ ฮ่าฮ่า มีสาย 1819, 1840, 1841, 1843 และก็ 1860 แต่ที่เราขึ้นและแนะนำจะเป็นสาย 1819 เพราะสายนี้ออกจากหนามบินตรงดิ่งไปยัง Tipei Main Station เลย ส่วนสายอื่นมีอ้อมน้อยอ้อมใหญ่ผ่านตลาดบางพลูบ้าง บางแคบ้าง อาจใช้เวลานานกว่า ราคาตั๋วก็อยู่ที่ 125 NT

นี่คือสถาพภายในรถนะครัช เออแกรตรงเบอะนั่งมีเลขที่นั่งด้วยนะแต่ไม่ต้องสนให้มองแล้วเชิดใส่ เพราะว่าถ้ามีตั๋วคือนั่งตรงไหนก็ได้เอาที่ชอบที่ชอบเล

เอฟวายไอ.ข้อเสียของการนั่งรถบัส คือ แถวต่อซื้อตั๋ว กับแถวที่ต่อเพื่อขึ้นรถยาวมาก ซึ่งเราเสียเวลารอโคตรนานเลยแกร๊

ประมาณ 1 ชั่วโมง รถบัสก็พาเรามาถึงที่ Tipei Main Station สิ่งที่เราจะทำต่อก็คือเอาปลาเก๋า เอ๊ย!! กระเป๋าไปเก็บที่ รร เพราะมันหนักมากกกกก

Easy Card คือทางเลือกที่ดีย์งามที่สุดสำหรับการเดินทางไปไหนมาไหนในกรุงไทเป เพราะบัตรนี้ใช้ได้กับทั้งรถไฟฟ้า ( MRT) และรถบัส ซึ่งอีบัตรนี้ราคาบัตรจะอยู่ที่ 100 NT ส่วนจะเติมกี่บาทก็ up to มึง เอ๊ย up to you เลยจร้า จาก Tipei Main Station ไปที่ รร ก็แอบไกลอยู่นะจะได้เดินก็ 3 ถานี ไม่ไหวหรอก เรากะเพื่อนก็เลยไปต่อแถวจัด Easy Card มาคนล่ะ 1 ใบ

หลังจากได้บัตรเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินไปยังสถานี Zhongxiao Fuxing ซึ่งที่พักเราอยู่ใกล้ใกล้กับสถานีนี้เลย

พอถึงสถานีปลายทางของเรา ก็แค่เดินเท่เท่ออกทางออก 14

 

ก็จะมาโผล่ที่ตึกของ รร ที่เราจะพักในครั้งนี้ Royal Host คือตึกที่เค้าแบ่งเช่าเป็นชั้นชั้น โดยที่พักของเราจะอยู่ในชั้นที่ 10 ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าโคตรส่วนตัว เพราะที่พักมีทั้งหมดแค่ 5 ห้องเอง

พิกัด รร : https://goo.gl/maps/LduJjNBv76t

 

คือ ตอนจองเราค่อนข้างโอเครมากกับบรรยากาศภายในห้องพัก แล้วพอมาจริงจริงเราโอเครมากกับระบบความปลอดภัยของที่นี่ หลังจากเช็คอินจะได้กุญแจ 2 ดอก คีการ์ดอีก 1 กะรหัสลับอีกหนึ่ง โดยกุญแจดอกแรกคือเอาไว้เปิดประตูตึก คีการ์ดเอาไว้ใช้ตอนขึ้นลิฟห์ รหัสผ่านเอาไว้กดเพื่อเปิดประตูเข้าไปในโซนของที่พัก ส่วนกุญแจอีกดอกเอาไว้เข้าห้องพัก เราแนะนำเลยแกรถ้าไปไต้หวันต้องพักที่นี่

เราจองผ่านเวบนี้เลยครัช
Da-an 大安 : https://asiayo.com/itemview_246.html
( ปล.มันเปนภาษาจีนนะหาคนรู้ภาษาจีนมาช่วยจองเอาล่ะกัน )

ส่วนห้องที่เราจองทั้งสองคืนก็จะเป็นห้อง A+ Charm apt room -10C ราคาต่อคืนอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาท สองคืนก็ 3,600 บาท แต่ไปกันสองคน สรุปค่าที่พักเราก็โดนกันไปคนล่ะ 1,800 บาท

ความดีงามที่เราได้บอกตั้งแต่แรกก็ต้องยกให้เรื่องระบบความปลอดภัย กับความสะดวกในการเดินทาง เพราโลเคชั่นแหล่มมากมันติดกะ MRT เลย

หลังกดรหัสผ่านเข้าไปในโซนที่พัก เราจะพบกับความอาร์ทของรูปภาพที่ติดตามฝาผนังและของตกแต่งต่างต่างที่โคตรลงตัว ซึ่งเจ้าของเค้าทั้งวาดทั้งคัดสรรรมาตกแต่งด้วยตัวเองทั้งหมด

           
จากบรรยากาศภายในที่พักเรามาดูกันที่ห้องพักบ้างเพราะเราอุส่าบรรจงค้นหาและจองเองกะมือ ยอมรับว่าตอนนั้นแอบมีความกังวลเหมือนกันว่าห้องพักจะออมาหน้าตาไม่เหมือนกับที่เราคลิกจองในเน็ตเพราะช่วงก่อนที่เราจะไป มีประเด็นร้อนในพันทิพย์เหมือนกันที่มีนักท่องเที่ยวจากบ้านเราจองที่พักไว้แต่พอไปเจอจริงคือหน้ามือหลังตีน แต่พอเปิดเข้าไปก็มีความโล่งอกที่พักเหมือนในรูป สะอาดและกว้างกว่าที่เราคิด
ห้องน้ำก็จัดว่าโอเครมากมาก
ภายในห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างต่างต่างครบคัน ทีวี กาน้ำร้อน ไดเป่าผม แก้ว ตู้เย็น
           
ส่วนวิวในรูปนี่ก็มาจากหน้าต่างในห้องพักเราเลย ดีงามไหม๊แกร….
[ ข้อมูลที่พักเพิ่มเติม ] อย่างที่เราบอกว่าตรงที่เราพักมีแค่ห้าห้องเพราะฉะนั้นถ้าไม่วางแผนจองล่วงหน้าดีดี ที่นี่อาจเต็มได้และถ้าเกิดมันเต็มจริงจริง เรานะนำอีกสองที่ก็คือThe Six Apartment 6號寓所:
https://asiayo.com/itemview_1282.html東區 A plus:
https://asiayo.com/itemview_1281.htmlสองอันนี้ก็เป็นเจ้าของเดียวกันกะอันที่เราพัก เพราะฉะนั้นความปลอดภัย ควาสะอาด ความสะดวก ไว้ใจได้เช่นกันหลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย ล้างหน้าล้างตาก้มดูเวลาก็ 5 โมงเย็นล่ะ ถึงเวลาที่เรากะเพื่อนจะออกไปเที่ยวกันบ้างแล้ว .
 
“bubble ice/hot” เป็นเมนูสุดฮิตของคนไต้หวันเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่ มายืนต่อแถวซื้อกันเต็มไปหมด โดยปกติอีเมนูนี้เค้าทานเป็นของว่าง หรือของหวานหลังอาหาร ถ้าแกรไปตอนเที่ยงคิวจะยาวหน่อยนะ

ที่ไทเปจะมีร้านให้เลือกทานกันค่อนข้างเยอะ แต่ร้านที่คนไต้หวันแนะนำ คือ ร้านนี้เลยตามรูปเพราะแว้อ่านชื่อไม่ออกจร้า เอฟวายไอ.เราได้ลองทั้งแบบร้อนและแบบเย็นเราว่าแบบเย็นดีย์งามกว่า

พิกัดร้าน : https://goo.gl/maps/QdXELAdV6vk

จากร้าน bubble ชื่อดังเราตรงดิ่งไปที่ร้าน Pretty Night View Restaurant เพื่อไปจัดดินเนอร์ท่ามกลางแสงเทียน ซึ่งร้านนี้จะตั้งอยู่บนเขาyangmin mountain แน่นอนว่าถ้าขึ้นไปนอกจากอากาศกับมื้อดินเนอร์ที่โคตรโรแมนติกแล้ว แกรยังจะได้เห็นวิวสุดคูลจากแสงไฟกรุงไทเปยามค่ำ #จะฟินมากถ้าคนข้างข้างคือแฟนไม่ใช่เพื่อน ฮ่าฮ่า
อากาศค่ำวันนี้ประมาณ 13 องศา เบียร์ขวดนี้ช่วยคลายความหนาวลงไปได้เยอะ ปล.เบียร์ไต้หวันกินง่ายจุง

ส่วนเมนูก็เปนจานเด็ดแบบฉบับไต้หวันสไตล์เลย ซึ่งแต่ล่ะเมนูที่เราสั่งมาแดรก อุ๊ยหยาบคาย!! ที่เราสั่งมาทานกันค่ำนี้ทางร้านก็เป็นคนแนะนำหมด

ปล.อาหารไต้หวันรสชาติโอเครเลยนะครับไม่จืดอย่างที่คิดแฮะ

พิกัดร้าน : https://goo.gl/maps/xd1EHgzSPVt

หลังจากอิ่มมื้อเย็นเราก็มาเดินเล่นกันต่อที่ night market และอย่างที่รู้รู้กันว่า night market ในกรุงไทเปมีหลายแห่งมาก เพราะฉะนั้นคืนแรกเราขอเลือกไปที่ Shilin Market

พิกัด : https://goo.gl/maps/xgWaymrURDx

ความตั้งใจของเรากะเพื่อนคือมาเดินย่อยอาหาร แต่พอมาเดินจริงจริงกับจุกหนักกว่าเดิม บั๊บว่าของกินเพียบเลย แล้วเรากะเพื่อคือสายแดรกด้วยไง ณ จุดนี้ของฝาก รองเท้า ปลาเก๋า อะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของกินเราจะยังไม่สนใจ เรามาโฟกัสกันที่ของกิน ของกิน และของกินเท่านั้น

ปล.ร้านแต่ล่ะร้านต่อไปนี้อยู่ใน Shilin Market ถ้าไปตามลอยก็ต้องลองเดินหากันดูเองนะ

ร้านแรก : ไก่ทอดชิ้นยักษ์ร้านนี้ต้องบอกเลยว่าถ้ามาแล้วไม่ได้กินคือมาไม่ถึง แถวยาวมากยาวแค่ไหนนี่ให้นึกถึงเกมส์งูในโนเกีย 3310 ที่แบบพอกินแล้วหางยาวขึ้นเรื่อยเรื่อย ร้านนี้ก็เช่นกันแถวขดขดมาหลายชั้นมาก ไอ่เรากะเพื่อนก็ไม่ยอมแพ้ยาวแค่ไหนคนไทยสายแดรกอย่างเราก็รอไหว
นี่ค่ะผลงานของฟามพยาม “ยัดเข้าไป”
ร้านที่ 2 : ชาไข่มุก ชาไข่มุกกะไต้หวัน คงเป็นของคู่กันเพราะมันหากินได้ง่ายมากไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก เพราะฉะนั้นมาถึงไต้หวันก็ควรจะต้องลอง
ร้านที่ 3 : ร้านไอติมร้านนี้เห็นคนนั่งกินกันเยอะ ต่อแถวกันก็แยะ ที่สำคัญมันอยู่ถัดจากร้านชาไข่มุกเลย จบชาไข่มุกก็โดนเข้าใส่ไอติมกันต่อเลย โอ๊ย……. กินกันขนาดนี้ตั้งแต่ดินเนอร์ ไก่ทอด ชาไข่มุก มาไอติม ถ้าไปกับเพื่อนสายชิวมันคงบอกให้เราหยุดกิน แต่นี่ไปกับเพื่อนสายแดรกก็เลยไม่มีใครห้ามใคร ว่าแล้วจบไอติก็ไปต่อที่ร้านถัดไปเลยล่ะกัน

ร้านที่ 4 : เนมูต่อไปที่เราจะแหลก เป็นสตอเบอรี่ มะเขือเทศ เสียบไม้เคลือบน้ำตาล อันนี้จัดว่าโอเครเลยครับสตอเบอรี่เปรี้ยวเปรี้ยวกะน้ำตาลหวานหวานที่เคลือบ พอกัดเข้าไปนี่ลงตัวสุดสุด #แซ่บเว่อ

ร้านที่ 5 : ไม่รู้ว่ามันคือน้ำอะไรแต่เราขอเรียกมันว่า น้ำกบ ดีออกมากเมิงลองดูป้ายสิมีแต่ภาษาจีนกับรูปกบ อีกทั้งแม่ค้าก็หน้าเหมือนกบ ( #ปากหมาไปล่ะกรู ฮ่าฮ่า )

อีน้ำนี้ดูภายนอกคือเหมือนชามะนาวบ้านเราแต่ใส่วุ้นเข้าไปด้วย เห็นคนมุงซื้อเยอะก็เลยลองซื้อดู คำแรกที่ดูดแทบพุ่ง เชี่ย น้ำไรหว่ะ ไม่อร่อยเอาซะเลย …..

*** มันไม่อร่อยแต่ถ้าแกรไปก็ต้องลองนะ ….

อันนี้ขนมไรม่ะแน่ใจเดินผ่านเฉยเฉยเห็นว่าน่ากินดี แต่บ่ได้ลองเน้อ
ร้านที่ 6 : เมนูนี้เราให้เป็นที่สุดของคืนนี้ที่ Shilin Market มันคือหมี่ขาวหอยนางลม มีความอร่อยและคล้ายกับเส้นหมี่ร้านหน้าแบบบ้านเรา แต่มันต่างที่รสชาติจะออกเปรี้ยวหน่อยหน่อย ชื่อร้านจำไม่ได้ แต่ลองเดินหาดูนะมีขายแค่เจ้าเดียว สังเกตร้านที่คนต่อแถวซื้อเยอะเยอะ
ร้านที่ 7 : ร้านสุดท้ายของค่ำคืนนี้เพราะถ้ากินอีกมีอ้วกแน่นวล ร้านนี้ชื่อว่า Zhong Cheng Hao นี่คือร้านแรกตั้งแต่กินมาที่ป้ายชื่อหน้าร้านมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ
ความเด็ดดวงของร้านนี้ก็ต้องยกให้เมนูหอยทอด ซึ่งกรรมมวิธีการทำและหน้าตาก็คล้ายคลึงกับหอยทอดบ้านเราเลย
สองเมนูที่จัดมา
 นอกจากหน้าตาอาหารที่คล้ายบ้านเราแล้ว ความเลี่ยนก็ไม่ต่างกันกะบ้านเรา สองสามคำแรกนี่คือฟินแท้แต่พอกินไปกินไปกินไปความเลี่ยนก็บังเกิด
นี่แค่วันแรกนะแกร๊ ความแดรกยังเยอะขน๋าดนี้ // คลานกลับ รร อาบน้ำนอนก่อน แยกย้ายเจอกันใหม่พรุ่งนี้ …..
Day 2 

เรากับเพื่อนตื่นกันแต่เช้าตั้งใจจะตะเวนเก็บที่เที่ยวคาเฟ่ ในกรุงไทเปให้ได้มากที่สุด แต่แล้วเราก็พบว่า 90% ของร้านค้า คาเฟ่ และเอฟเวอรี่ติงจิงกาเบลในไทเปจะเปิดตอนประมาณ 11 โมง แต่ก็ไม่เปนไร เดินเล่นถ่ายภาพไปเรื่อยเรื่อยก็ได้มื้อเช้าวันนี้เราฝากท้องกันที่ร้าน Ireland’s Potato ร้านนี้จะมีหลายสาขา เมนูเด็ดก็ตามชื่อเลย เฟรนฟรายชีสเยิ้ม มันฝรั่งอบชีท จัดว่าเด็ดด

พออิ่มมื้อเช้าเรากับเพื่อนก็เดินเก็บภาพเล่นกันทั่วกรุงไทเป
      
      
      
      
นอกจากนี้ทั่วทั้งกรุงไทเปเราจะเจอกับ street art ใครที่อยากได้แบลคกราวสวยสวยไว้ถ่ายรูป บอกได้คำเดียวว่าเดินถ่ายกัน เ-พ-ลิ-น
เดินเที่ยวเล่นไปมาก็เริ่มรู้สึกคอแห้งและตอนนี้เราก็ยืนอยู่ที่ร้านขายน้ำร้านนึง ซึ่งเราสดุดตากะเมนู papaya milk เอามากมาก ส่วนเพื่อนเราหรอ นางบอกต้องร้านนี้เท่านั้นพร้อมกับชี้บอกเราว่ามึงดูพ่อค้าสิ แซบมาก!! ว่าแล้วนางก็เดินไปเกาะหน้าร้านสั่งน้ำเลยจร้าาาา
“นมมะละกอ” เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินและก็เพิ่งเคยได้กิน // แอบอร่อยสดชื่นเหมือนกันนะเนี่

ได้น้ำดับกระหายแล้วเราก็เดินกันต่อ เออแกร๊อีกอย่างที่แกรจะพบบนท้องถนนในกรุงไทเป ก็คือร้านค้ารถเข็น คล้ายคล้ายบ้านเราเลยแต่แค่ไม่แน่นไม่เยอะเหมือนบ้านเร

อันนี้ก็คล้ายโดนัทเคลือบน้ำตาลบ้านเราแต่แป้งมีความเหนียวกว่า ส่วนกลมกลมคือขนมไข่เหี้ยชัดชัด ทั้งหน้าตาทั้งรสชาตินี่คือสำเนาถูกต้องเลยเหมือนบ้านเรามาก

อันนี้น่ากินมาก // แต่ยังไม่ได้ลอง
ภาพบรรยากาศบนท้องถนนยามเช้าของกรุงไทเปเราขอจบที่ภาพเกาลัดคั่วร้านนี้นะเออ ตอนนี้คาเฟ่ ร้านค้า Museum เริ่มทะยอยเปิดแล้ว
ได้หมดถ้าสดชื่น ice monster ร้านนี้ทำเราอึ้งมากเพราะตั้งแต่ร้านเปิด คนก็มาต่อแถวยาวทะลุออกมานอกร้านเลย ไอ่เรากะเพื่อนก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเห็นคนต่อเราก็ไปต่อบ้าง เหนคนที่นี้เค้าฮิตกินอะไรก็กินตามเข้า ให้ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ต่อแถวมาต่อแถวกลับไม่โกง แดรกมากแดรกกลับไม่โกง ฮ่าาาา #มีสำนวนนี้ด้วยหรา
บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างดี ส่งเพื่อนไปต่อแถวส่วนเราเข้ามาหาที่นั่ง และเก็บภาพรอ
เห้ย!! คือดีย์ คือสดชื่นมากมาก ค่อยคุ้มค่ากะการต่อแถวหน่อย เพื่อนถาม มรึงต่อหราาาาาาแล้วมันก็ชี้ตัวเอง กรูค่ะกรูกรูคือคนที่ยืนขาแข็งต่อแถว ฮ่าาาา#เพื่อนเราเปนคนตัลลั๊ค
พิกัดร้าน : https://goo.gl/maps/Npp9i2mrtN12
Taiwan Design Museum :

พิกัด : https://goo.gl/maps/SmaiccAJgk82

 

วันที่เราไปค่อนข้างคึกคักเพราะด้านนอกมีคล้ายคล้ายตลาดนัดขายของที่ระลึกน่ารักกิ๊บเกร๋

ตัว Museum จะเป็นตึกสีเทามีทั้งโซนที่เข้าชมฟรี และโซนที่เสียตัง

 โซนนี้ฟรีก็เลยเดินเข้าไปดู อิอิ จะเป็นเกี่ยวกับพวกวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี

และนอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดนิทรรศการแบบเวียน ซึ่งช่วงที่เราไปก็ตรงกะธีมคิ้วคิ้วอย่าง คุมะมง
ต่อแถวซื้อบัตรแล้วเดินเข้าไปเก็บภาพด้านใน musseum ได้เลย
โดยข้างในก็จะมีคุมะมงอยู่เป็นจุดไว้ให้เราได้ไปยืนโพสท่าคิ้วคิ้วถ่ายรูปคู่
จาก Museum เราเดินดุ่มดุ่มกันไปยังร้านหนังสือที่เค้าว่าสวยติดอันดับโลก
ถึงแล้วครับร้านหนังสือที่เราบอก แค่หน้าร้านก็มีความกิ๊บเกร๋ยูเรด้า เดินมาถูกเพราะพิกัดด้านล่างเลยจร้า
พิกัดร้าน : https://goo.gl/maps/MiotfM97SpJ2
ร้านจะเป็นร้านเล็กเล็กที่มีหนังสือโคตรหลากหลาย ตกแต่งถือว่าลงตัวสุด เรากะเพื่อนนี่เพลินมากกกกก
นอกจากหนังสือแล้วภายในร้านยังมีกาแฟให้สั่งมาดื่มได้อีกด้วย ณ จุดนั้นสั่งกาแฟหนึ่งแก้วแล้วก็ดูหนังสือร้านเค้าวนไปค่ะ
      
พอเปิดประตูออกจากร้านหนังสือมาก็จะพบกะคาเฟ่หนึ่งร้านชื่อว่า VVG Bistro อันนี้แค่มุมหน้าร้านก็ดูน่านั่งมากแล้วอ่ะ
ในขณะที่คุยกับเพื่อนว่าจะเข้าไม่เข้าขาเราทั้งสองก็เหยียบเข้าไปในร้านเรียบร้อยแล้ว
ทั้งพ่อค้าแม่ค้าร้านนี้บอกได้เลยว่า แซ่บ มาก …..
เซทนี้ที่สั่งมาแดรกเป็นเซทที่ทางร้านแนะนำเพราะว่าเป็นช่วงโปรโมชั่น และจากการมองซ้ายมองขวา เกือบทุกโต๊ะสั่งเซทนี้มาทานเราก็เลยบอกเค้าไปว่า เอาแบบนี้แหล่ะ หนึ่งที่ รสชาติของอาหารจัดว่าอร่อยและเฮลตี้สุดสุด
ตอนนี้เวลา 15.30 น. เรากับเพื่อนตัดสินใจมุ่งหน้าไปยัง ภูเขา Xiangshan(เซี่ยงซาน) หรืออีกชื่อนึงว่า Elephant Mountain หรือง่ายง่ายไทยไทยก็ เขาช้าง ( ไม่มีเผือกนะจ๊ะ ) เพราะถ้าเขาช้างเผือกโทรจองยากค่ะเต็มตล๊อดตล๊อด
วิธีการเดินทางก็ง๊ายแสนง่าย : นั่ง MRT มาลงที่สถานี Xiangshan((象山) สายสีแดงสถานีสุดท้ายเลยครับ พอมาถึงก็ออกประตู 2 แล้วก็เดินตามตูดคนอื่นไปเลย และก็ไม่ต้องกลัวหลงมีป้ายบอกตลอดทาง

ส่วนการเดินขึ้นก็ไม่ลำบากเลยมีบันไดตลอดทาง อากง อาม่า ลูกเด็กเล็กแดง เดินได้ทุกคนคอนเฟิมจ๊ะ
เราใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 20 นาที ซึ่งวันที่เราไปคนค่อนข้างแน่นเพราะตรงกับ ส-ท พอดี ฮ่าฮ่า
แลนมาร์คของที่นี่ก็ต้องยกให้ ตึก 101 ตึกนี้เลยจร้า
วิวด้านบนก็สุดสุด แบบว่าเห็นความเจริญของตึกความเป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขา ….. ดีต่อใจสุด
      
      

อีกหนึ่งไฮไลท์ของการเดินขึ้นมาบนเขาช้างก็คือ การมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเราบอกเลยว่า สวยสัสรัสเซียเอทิโอเปียเอกวาดอ ” ลมเย็นเย็นนั่งมองอาทิตย์ลูกโตโตสีแดงค่อยค่อยลับหายไปหลังเขา “

ตลาดปลา ( fish market ) : คือสถานที่ต่อไปที่เพื่อนเราบอกว่าอยากไป คำถามแรกที่เราเอ่ยออกไป คือ มุงจะไปทำไร บวกกับภาพในหัวตอนนี้ความคาวความตลาดปลาอ่างศิลาลอยมาเลยจร้า เพื่อนบอกว่าทั้ง sea food ทั้ง sashimi ถูกและสดมาก มึงเดินเป็นสเต็ปซ้ายขวาซ้ายตามกรูมาเลย

วิธีการเดินทางไปตลาดปลาก็คือ : นั่ง MRT สายสีน้ำตาลไปลงที่ Zhongshan Junior High School จากนั้นก็เลือกเอาว่าจะเดิน 2 กิโลเมตร หรือ นั่งแท็กซี่ไป สำหรับใครที่จะไปแท็กซี่ให้บอกเค้าว่าไป ไถเป่ยหวี่ซื่อ ถ้าเค้ายังไม่เข้าใจก็ยื่นพิกัดด้านล่างนี้ให้เค้าเลย

พิกัด fish market : https://goo.gl/maps/jqaBH

นี่คือภาพแรกที่เราเจอเมื่อลงจากแท็กซี่ คนนั่งโซ้ยเรียงรายเลยครับบนโต๊ะก็จะมีทั้งปลาดิบ ซูชิ อาหารทะเล เยอะแยะมากมาย กรูนี่ถึงขั้นกลืนน้ำลายเลยจร้า

หลุดเข้าไปข้างในก็จะพบกับ 2 โซน โซนแรกก็จะเป็นกุ้ง ปูยักษ์ ปลา แบบว่าโคตรสด ดำผุดดำว่ายไปมาในบ่อ กับอีกโซนก็เปนร้านอาหารที่มีทั้งแบบแพคใส่กล้องให้ซื้อไปนั่งแดรกข้างนอกเหมือนกะคนกลุ่มแรกที่เราเหน หรือถ้าใครอยากกินกันสดสดข้างในก็จะมีพ่อครัวที่คอยบรรจงรังสรรแต่ล่ะเมนูให้ทาน
      
      
ในส่วนของมื้อเย็นนี้จัดไปชุดใหญ่เลยครับไม่ว่าจะเปน sashimi sushi หอยนางลม ทุกอย่างสดและฉ่ำมาก อร่อยเอี้ยเอี้ย แต่ราคาไม่ได้เบาแบบที่คิด แอบแรงยุนะ!! ปล.ความละมุนและความหวานของหอยยังติดที่ริมฝีปากอยู่เล๊ยยยย
จากตลาดปลาเรากะเพื่อนชวนกันมาเดินเล่นต่อที่ Raohe St. Night Market แค่อีสองตัวนี้อ้าปากชวนกันก็เปนอันรู้ว่าคงไม่พ้นเรื่องแดรกแน่นวลลล ที่นี่ก็อีกหนึ่งตลาดนัดกลางคืนของกรุงไทเปที่มีแต่ของแซ่บแซ่บให้เลือกทานเต็มไปหม
ว่าแล้วก็เริ่มตะลุยแดรกกันนะบัดนาววววววว

หอยค่ะหอย ร้านแรกมีความหอย 2 แบบ ที่ย่างบนเตาลักษณะคล้ายคล้ายเตาหนมครกบ้านเรา แต่ร้านนี้ขอผ่านไปก่อนเพราะตอนนี้เรามีความอยากของหวานมากกว่าของคาว

หมึกย่างของคาวผ่านก่อน

เดินเรื่อยเรื่อยดูนู้นนี่นั่นจากที่ตอนแรกหนาวตอนนี้กรูร้อนมากค่ะ คนเยอะและแน่นสุด “เบียดกันชนิดหน้าชนคอกระดอชนตูด” เลยทีเดียวเชียว เบียดจริง เดินไปเดินมาเราก็มาสะดุดตากะขนมร้านนี้

แกรคิดนะ ไข่มุก(ที่เค้าเอาไว้ทำชาไข่มุกที่สีดำดำอ่ะ) + หนมปังก้อนสี่เหลี่ยม + นมข้น แกรว่าสามสิ่งนี่แมทกันป่ะ คือถ้าเอามาวางเรียงกันเราคงจินตนาการไม่ออกว่าขนมมันจะออกมาหน้าตาแบบไหน แต่นี่มาเห็นเค้าทำต่อหน้าต่อตาและวิธีก็แลดูง่ายโคตรโคตร

1. ทอดหนมปังสี่เหลี่ยมให้กรอบนอกนุ่มใน
2. ผ่าด้านหน้า
3. เอาไข่มุกอันดามันที่แช่น้ำแล้วใส่เข้าไป ( ถ้าไม่มีไข่มุกอันดามันอนุโลมให้ใช้ของอ่าวไทยได้ )
4. จากนั้นก็ส่ายนมข้นเยอะเยอะ

เด๋วนะนี่คือเพจทำอาหารหรอ???? ป่าว!! ที่เอามาบอกเพราะเห็นมันทำง่ายและน่าจะทำแหลกเองได้

*** อร่อยชิบหาย งานนี้ก็เลยมีเบิ้ลสอง อิอิ

แดรกกันแบบต่อเนื่องมากจนเพื่อนเรานางอุทานว่า “กรูนั่งแหกมาแดรกถึงใต้หวันค่ะ” และไหนไหนก็ไหนไหนว่าล่ะก็จับแขนเพื่อนลากนางเข้าร้านต่อไปเลยจร้าาาา ร้านนี้น้ำแข็งใสน่ากินม๊วก เรากะเพื่อนก็ไม่รอที่จะจัดน้ำแข็งใสม่ะม่วงกับสตอมานั่งโซ่โล่กัน
เอฟวายไอ.น้ำแข็งใสที่นี่อร่อยมากและถูกกว่าที่ ice monster อี๊ก
ในร้านน้ำแข็งใสเราเหลือบไปเห็นเนมูที่น่าสนใจอีกอันนึง เป็นแป้งที่มีลักษณะคล้ายปลาท่องโก๋ถูกหันไว้ในจาน ครั้นจะถามว่าขายยังไงกินยังไงก็แลดูจะสื่อสารกับเจ้าของร้านยาก คนขายพูดอังกฤษไม่ได้หรอ? ป่าวกรูนี่แหล่ะที่พูดไม่ได้ ฮ่าฮ่า หลอกหลอกพ่อค้าไม่ฟังและไม่พูดอังกษอ่ะเมิง วิธีที่ง่ายสุดว่าเค้าสั่งกันยังไงก็คือนั่งรอไปก่อนแล้วพอมีคนมาสั่งกรูก็ชี้ตามเลยว่า เค้าจะเอาบั๊บนั้นอ่ะแกร

สุดท้ายก็ได้เมนูนี้มาลอง ปลาท่องโก๋ใส่ถั่วแดงกะถั่วลิสงต้ม รสชาติใช้ได้ครับไม่ถึงกะฟิน

ออกจากร้านเรากะเพื่อนขอพักเรื่องกินไว้ก่อน ตอนนี้ขอเดินดูพวกของฝาก ของที่ระลึก เสื้อผ้าบ้าง เพราะตอนนี้อาหารแมร่งยุตรงคอหอยล่ะ

1 ชั่วโมงผ่านไปทุกสิ่งอย่างที่กินมาเริ่มถูกเอาไปใช้กับการเดิน การชอปปิ้ง ซะหมดเกลี้ยง ความหิวของเพื่อนกะเราก็บังเกิดอีกครา ซึ่งเวลานั้นก็เป็นจังหวะที่พอดี๊พอดีที่เดินผ่านมาเจอร้านร้านหนึ่งเข้าซึ่งแถวยาวมาก เราก็เลยเดินไปส่องดูว่าเค้าขายอะไร

สิ่งแรกที่เราเห็นเค้าวางเปนจานจานก็คือหมึกกรอบแบบที่ใส่เย็นตาโฟบ้านเรา

เรายืนดูกรรมวิธีการทำของเค้าตั้งแต่นำปลาหมึกในจานไปลวกในน้ำร้อนพร้อมกะใบโหระพา จากนั้นก็เอามาปรุงรสด้วยน้ำอะไรสักอย่างลงไปซึ่งเราเดาว่ามันน่าจะเป็นน้ำยำของทางร้าน กลิ่นหอมที่นี่โชยตามลมมาแตะจมูกเราเลย เอาหว่ะแถวยาวแค่ไหนก็ต้องรอ

หลังจากที่เราสั่งกะพ่อค้าว่าขอแซบแซบ เผ็ดเผ็ด ในที่สุดได้มา 1 ถ้วยเรียบร้อย ออที่ร้านมีที่ให้นั่งทานด้วยนะเดินขึ้นชั้นสองไปเลยจร้า

รสชาติแปลกแปลก แย่ก็ไม่ใช่ อร่อยก็ไม่เชิง แต่ก็แดรกกันซะเกลี้ยงเลย เอาเป็นว่าเมนูนี้ขอแนะนำให้ไปลองเอง

ปล.ถ้าไปสั่งกินกันให้บอกพ่อค้าเลยว่าเอาเผ็ดมาก (ขอพริกทั้งสวน) เพราะถ้าแกรสั่งแบบบนี้แกรจะได้รสชาติแบบเผ็ดเบาเบามานั่งแดรก คือเผ็ดแบบนี้สำหรับคนไทยอย่างเราไม่รู้สึกเลย ฮ่าฮ่า

สรุป ณ วันนนี้ 2 วัน 2 คืน น่าจะแดรกไปซะ 80%

DAY 3 
“ฮัลโหล ฮัลโหล เช้าวันที่ 3 แล้วแกร๊” คือเสียงปลุกจากเพื่อนเรา เรางัวเงียตื่นขึ้นมาถามเพื่อนว่าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรอ ตื่นค่ะ!! นี่เจ็ดโมงเช้าล่ะมึง ภาพตัดไปที่เมื่อคืนก่อนนอนเราสองคนนั่งคุยกันซะดิบดีว่าจะตื่นแต่เช้านั่งรถไฟไปดูพระอาทิตขึ้นกันที่ Tamsui สรุปไม่ตื่นทุ้งเราทั้งเพื่อนลืมตั้งนาฬิกาปลุกกันทั้งคู่เลย ฮ่าฮ่าแต่ด้วยความตั้งใจจะไป Tamsui อยู่แล้ว ถึงแม้ไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่เป็นไร ไปดูไปเสพบรรยากาศก็พอ ว่าแล้วก็ลุกไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวแล้วก็ออกเดินทางการเดินทางไป Tamsui ง่ายมาก : นั่ง MRT สายสีแดงขึ้นไปทางเหนือจนถึงสถานีสุดท้ายหลังจากที่เราขึ้น MRT เรียบร้อย หลับตื่นหลับตื่นประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาโผล่ที่ Tamsui และนี่คือวิวแรกที่เรามองผ่านหน้าต่างรถไฟ ภูเขาสูงใหญ่กับน้ำทะเลสีคราม ดีย์งามไปอี๊กกกกกก
ด้วยความที่เราตั้งใจจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ก็เลยทำให้เราไม่ได้แพลนไปไหนไกลจากสถานี Tamsui เราก็เลยเดินเก็บภาพแถวแถวสถานีรถไฟเลยจร้า

บริเวณข้างข้างสถานนีจะมีสวนสาธาระณะ ซึ่งเช้าเช้าแบบนี้ผู้คนมาทำกิจกรรมในสวนกันเพียบเลย ไม่ว่าจะเป็นออกกำลังกาย จูงหมาเที่ยว เป็นต้น

ซึ่งถ้าเราเดินผ่านสวนสาธาณะเข้าไปเราก็จะเจอวิวภูเขากะน้ำทะเลที่อลังการมากมาก ออในวิวที่สวยงามนั้นจะติดภาพคนนั่งตกปลามาด้วยนะครัชชชช
*** แอบเสียดายนิสนุง คือถ้าน้ำทะเลไม่ลดวิวคงแจ่มว้าวมากกั่วนี้
เราใช้เวลาเก็บภาพอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานี 1 ชั่วโมงถ้วน ซึ่งมันก็นานพอที่จะทำให้เมมในกล้องอันแรกของเราเต็ม #เปลี่ยนใหม่โล๊ดดด
กลับเข้าในเมืองอีกครั้งโดยใจตอนนี้จดจดจ่ออยู่กะบะหมี่ข้างโรงโรมแบบจริงจัง ซึ่งวันแรกที่เรามาพักเจ้าของ รร บอกว่าต้องลองเพราะเจ้านี้คือเจ้าเด็ดเลยเปิดมานานหลายปีล่ะ ผ่านมาสองวันก็ยังไม่ได้ลองสักที วันนี้ยังไงเราสองคนต้องได้ลอง ณ จุดนั้นบอกเลยว่าแบกความหิวกลับมาจาก Tamsui กันเลยทีเดียวเชียว เรากลับมาถึงที่ รร พอดี๊พอดีกะร้านบะหมี่เพิ่งเปิดจะดวงดีอะไรเบอร์นี้ครัชชชชช แต่ว่า ตู้หู เพิ่งเปิดแต่คนเต็มร้านเลยจร้า ต่อแถวจัดสิครับรออัลลัย

ถัดจากเราหนึ่งคิวในขณะที่คนข้างหน้ากำลังสั่งบะหมี่อยู่ 3 ชาม กรูคว้ามือเพื่อนเดินตัดไปข้างข้างแล้วก็ทำการออเดอร์ทันที คือทำเหี้ยไรไม่ได้จริมจริมนอกจากชี้ลอกอีคนข้างหน้าแล้วชูนิ้วขึ้นบอกว่า เอาชามนึงนะแกร๊ พอแม่ค้ารับออเดอร์เสร็จก็ถึงเวลาลุ้นระทึกล่ะว่าแมร่งจะออกมาตามแบบที่กรูสั่งหรือเป่า
ฮ่าฮ่า 10 นาทีแม่ค้าก็เอามาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ โล่งอกค่ะ // ได้กินในสิ่งที่ตัวเองสั่ง ของเราน้ำใสใสอันขวา ( พอใส่พริกน้ำมันแล้วรสชาติเลิศมาก + เส้นก็ดีย์ + ลูกชิ้นจัดว่าโดน รวมรวมมีเสน่ห์เหลือเกิน ) ส่วนชามขวาหน้าตาเหมือนอ้วกฮ่าฮ่า คือ ของเพื่อนเราเอง ( แต่ว่าช้าก่อนหน้าตาอาหารตัดสินไม่ได้จิมจิมของเพื่อนเรารสชาติเจ่มจ้นมาก )
***เราจบมื้อนี้กันที่สั่งเพิ่มอีกคนล่ะชาม
 ประมาณบ่ายโมงกว่ากว่าเรากับเพื่อนก็ออกเดินทางไปเที่ยวกันที่ Wulai ขออนุญาติให้ฟามรู้ที่แลดูจะมีสาระนิดหนึ่ง อูไหล (Wulai/烏來) เป็นหมู่บ้านชนเผ่าพื้นเมืองบนภูเขา ซึ่งถ้าใครเบื่อเมืองไทเปอยากไปเดินป่า แช่น้ำแร่ (น้ำพุร้อน) จิบกาแฟ ชมน้ำตก นั่งรถไฟ ชิลล์ๆ ที่นี่ถือว่าตอบโจทย์เลยจร้าเพราะใช้เวลาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับก็ได้ หรือจะไปบ่ายกลับดึกแบบเราก็ดี
ส่วนวิธีการไปก็แค่ : นั่ง MRT ไปลงถานี Xindian จากนั้นก็ต่อรถบัสนัมเบอร์ 849 ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางไปที่หมู่บ้านประมาณ 40 นาที โดยที่ตลอดระยะเวลารถบัสวิ่งเราจะมีแต่ความตื่นเติ้ลตลอดเวลา เพราะรถจะวิ่งลัดเลาะไปตามไหลเขา เลียบริมแม่น้ำ แน่นวลว่าวิวสองข้างทางมันสวยมากจิงจิง …..
ปล.จะมา Wulai กี่โมงก็ได้แต่รถบัส 849 ที่กลับไปยังสถานี Xindian รอบสุดท้ายคือ 3 ทุ่มนะแกร๊ ย้ำสามทุ่มคือรอบสุดท้าย
ถ้าไม่ทันจนิงจริงก็เลือเอาว่าจะเช่านอนนั่นหรือเหมาแท๊กซี่กลับ
Wulai วันนี้ตรงกะวันอาทิตย์ ที่นี่เลยครึกครื้นเป็นพิเศษ มากล้นไปด้วยนักท่องเที่ยวท้องถิ่น กะฝาหรั่งอีกนิดหน่อยแล้วคนไทยอีกสองคน คือ กรูกะเพื่อนไง จะใครล่ะ ;}
เราเดินฝ่าฝูงชนมุ่งหน้าไปยังน้ำตก Wulai แต่ระหว่างเดินก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเด็กน้องหอยสังข์หนึ่งนายถือไอ่ติมมาอย่างยาวอ่ะ เรากะเพื่อนมองหน้าเปนอันรู้กันว่าไปต่อแถวค่ะ
เราจัดสตอเบอรี่ ส่วนเพื่อนจัดวนิลา
เดินกินติมไปคุยไปบอกได้เลยว่าเพลิน ปล.ไอ่ติมไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าจะซื้อมาถ่ายรูปเกร๋เกร๋ก็โอเครอยู่นะ

สำหรับวิธีขึ้นไปน้ำตก Wulai มีด้วยกัน 3 วิธี คือ นั่งรถไฟเล็ก เดิน และก็แท็กซี่ แต่รอบที่เราไปเหลือแค่ 2 วิธี เพราะรางรถไฟมีปัญหาเนื่องจากโดนพายุไปก่อนหน้าที่เราจะมา ครั้นจะเดินก็ไม่น่าจะทัน สุดท้ายต้องใช้อำนาจเงินฟาดให้แท็กซี่พาขึ้นไปส่ง

ถึงแล้วจ้าน้ำตก Wulai น้ำตกที่สูงถึง 85 เมตร มีความอลังการมากมาก สีน้ำก็ฟ้าส๊วยสวย

ในบริเวณเดียวกันก็จะมีคาเฟ่ให้เราได้สั่งพวกครื่องดื่ม ขนม มานั่วชิวชิวเสพบรรยากาศต้ำตกกัน
      
หลังจากที่เรานั่งชิวชิวที่คาเฟ่ครู่หนึ่ง ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปชมต้นกำเนิดของน้ำตกกันดูบ้างงงง
วิวบนกระเช้ามองลงมาข้างล่างเห็นน้ำตก ธารน้ำ ร้านค้า ถนน คือดีต่อใจมาก
ประมาณ 20 นาทีกระเช้าก็พาเราขึ้นมาถึงด้านบน โดยปกติแล้วด้านบนจะมีสวนสน6ก ที่พัก แต่อย่างที่เราบอกไว้ตั้งแต่แรกว่านอกจากพายุฝนจะทำลายรางรถไฟซะยับ พายุฝนก็ยังได้ทำลายที่พัก สวนสนุกด้านบนยับเยินเช่นกัน ซึ่งวันที่เราไปกำลังอยู่ในช่วงที่เค้าปรับปรุง แต่ดูแล้วใกล้เสร็จเกือบสมบูรณ์ 100% ล่ะ แต่ยังไม่เปิดใช้งาน
แต่ถึงแม้ทุกอย่างด้านบนจะปิดปรับปรุงก็ตาม อากาศดีดีข้างบนกะความกรีนกรีนสบายตาของต้นไม้ก็ทำให้เราสดชื่นเป็นที่ซู๊ดดดดดด

อันนี้รูปปั้นชนเผ่าพื้นเมืองของไต้หวันครัช ชุดโคตรเจ๋งเลยกรูชอบ

เราใช้เวลาเดินเล่น เก็บภาพ ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วจึงค่อยกลับลงมาด้านล่าง

พอกลับลงจากกระเช้ามาอีคุณลงแท็กซี่คันเดิมยังนั่งโคกหมากรุกรอเราอยู่ เพื่อให้ง่ายก็กลับคันเดิมนี่แหล่ะดีสุด
*** แค่เดินไปสกิดลุงก็รู้ว่าเราต้องการกลับกันล่ะ

เราลงมาถึงด้านล่างฟ้าก็เริ่มมืดล่ะ แต่คุณลุงคุณป้าทั้งหลายที่แช่น้ำแร่ริมแม่น้ำ ยังคงอ้าขานอนแผ่ร่างไม่ลุกไปไหน ตอนแรกตั้งใจกะเพื่อนว่าจะลงมาแช่ แต่เห็นสภาพแล้วยอม ขอซุ่มถ่ายรูปเงียบเงียบแล้วจากไปดีกว่า
 

ออกจากบ่อน้ำแร่เราเดินไปหาของกินรองท้องก่อนกลับเข้าเมืองกันก่อนที่ ถนนคนเดิน Wulai ในขณะที่เดินหาของกินเราได้สะดุดตากับร้านร้านหนึ่ง เพราะแมม่มเปนร้านเดียวที่มีภาษาอังกฤษ ป้ายเขียนว่า Taiwan Snack

ในขณะที่พ่อค้ากำลังทำขนมให้คนที่มาต่อแถวซื้อ อีเจ๊ข้างข้างยืนยกนิ้วบอกเราประมาณว่า ไปต่อแถวซื้อเถอะมันดีย์มาก แล้วนางก็ใช้ตะเกียบคีบขนมใส่ปากเหมือนอวดให้กรูรู้ว่าแซ่บมาก กรูนี่กลืนน้ำลายตามเลยจร้า

มีลูกค้าคนอื่นมายืนอวยถึงหน้าร้านมีรึที่เราจะพลาด ไปต่อแถวจนได้อันนี้มาลองทา
ลักษณะจะเป็นข้าวเหนียวผสมหมูบดอัดแน่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เวลาซื้อเค้าก็จะนำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้วราดด้วยน้ำจิ้ม โรยด้วยถั่ว ตามด้วยผักชี รสชาติออกเค็มเค็มมันมันอร่อยแบบแปลกแปลก
ถือว่าเป็นเมนูปิดท้ายที่เพอเฟค ….
เปนไงหล่ะครับเพื่อนเพื่อน 3 วัน 2 คืน ที่ไต้หวันดูน่าสนใจป่าววว ถ้าสนก็หาวันลาพักร้อน หาตั๋วโปรรอกันตั้งแต่ต้นปีเลย ส่วนเรายังไม่กลับนะขอไปเที่ยวต่อที่ อาลีซาน ส่วนจะน่าสนใจจะหนุกแค่ไหนไว้กลับมาเล่าให้ฟังอีกรอบนาาาา ….
ถ้าจะจองห้องพักก็แบบเราตามลิ้งด้านล่างเลยแกร๊!! Da-an 大安 : https://asiayo.com/itemview_246.html ( อันที่เราพัก // ห้อง A+ Charm apt room -10C ) The Six Apartment 6號寓所: https://asiayo.com/itemview_1282.html 東區 A plus: https://asiayo.com/itemview_1281.html