ฮัลโหลลลทุกคน!
เวียดนามครานี้ขอโยนฮานอยและซาปาไปทางซ้าย เขวี้ยงโฮจิมินห์ไปทางขวา พับมุ่ยเน่เก็บใส่หีบขึ้นหิ้งบูชาไปก่อน เพราะรอบนี้เราขอนำเหนอ 2 เมืองเจ๋งๆ ที่เอ็งห้ามพลาด ณ เวียดนามกลางอันได้แก่ ดานัง และฮอยอัน เมืองท่องเที่ยวที่นอกจากจะเฟี้ยวฟ้าวไปด้วยเรื่องราวและคุณค่าทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังสวยสะดุดตา สะกดใจให้ลั่นชัตเตอร์รัวๆ อีกด้วย และถ้าอยากได้อรรถรสในการอ่านรีวิว แนะนำให้ปั่นจักรยานไปหน้าปากซอย ซื้อก๋วยจั๊บญวน 1 ถุงกลับมาเทใส่จานนั่งทานกรุบกริบไปพร้อมพร้อมกับการสไลด์หน้าจอมือถือดูรูปเรื่องราวการเดินทางของเราตลอดระยะเวลา 3 วัน 3 คืนในเวียดนามที่เรากำลังจะเม้าท์ให้ฟัง
มาๆ ตาม จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น มา!
พอเอ่ยถึงเวียดนามหลายๆคนอาจนึกถึงนาขั้นบันไดเขียวสุดลูกหูลูกตา หมวกงอบ ทะเลทราย หรือว่าอะไรที่แบบแนวเอเชียจ๋าๆหน่อย แต่เดี๋ยวก่อน!! ที่ดานังนี้ หากลองขยี้ตาอีกทีจะรู้สึกเหมือนเรามาเดินชิลที่ยุโรปเลยแกร ภาพสถาปัตยกรรมแนวโคโลเนียลอลังการตระการตา ทัศนียภาพของป่าไม้ใต้ทะเลหมอก อือออออ….. ฟิน ( ที่ไหนมีคำว่า โคโลเนียลไรงี้ ส่วนใหญ่จะมีความหมายว่าเป็นพวกเมืองอาณานิคมมาก่อนจ้า )
- การเดินทาง
ไม่เคยที่จะลังเลเลยสักครั้งหากทริปนั้นเป็นการบินในอาเซียน ไม่ว่าจะบาหลีครั้งก่อน สิงคโปร์ครั้งนู้น หรือปีนังครั้งกระโน้น แล้วยิ่งพอรู้ว่าสายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลกอย่างแอร์เอเชียมีบินตรงไปดานังทุกวัน ไม่รอช้าอะไรทั้งนั้นเวียดนามกลางถึงเวลาแล้วที่เราจะไปเซฮัลโหล
ณ วันเดินทาง หลังจากเช็คอิน เดินผ่าน ตม. กันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินตามกันไปยังที่ Gate เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่อง ซึ่งทริปนี้เราออกเดินทางจากดอนเมืองด้วยไฟล์ FD 636 เวลา 10:00 น. ถ้าหลับก็คงเป็นการหลับแบบยังไม่ได้ทันได้กรน ถ้ากินก็คงเป็นแบบกินเสร็จแต่ยังไม่ทันจะได้เลอ เพราะจากกรุงเทพมหานครบินไปดานังใช้เวลาสั้นสั้นเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเอง เรานั่งนินทาเรื่องชาวบ้านยังไม่ทันจะจบเรื่องเครื่องก็แลนดิ้งถึงสนามบินเวียดนามอย่างปลอดภัยแล้ว
– Day 1 –
ทันที่ที่ถึงสนามบินเมืองดานัง เราโบกแท็กซี่ต่อไปยังฮอยอันทันที ราคาแท็กซี่ประมาณ 500-700 บาท ( ห้ามแพงกว่านี้นะแกร ) ซึ่งพวกเราเดินทางมาถึงที่ฮอยอันเวลาประมาณบ่ายพอดิบพอดี หลังจากจิบน้ำ จิบท่า ผ่อนคลายอิริยาบทให้หายเหนื่อยสักพัก ก็ได้เวลาไปเดินชิวบริเวณย่านเมืองเก่ากันนะฮะ FYI : ปัจจุบันเวียดนามไม่อนุญาตให้นำโดรนเข้าไปบินในประเทศ เพราะฉะนั้นใครมีโดรนไม่ต้องแบกไปนะครับเสียเวลา ซึ่งทริปนี้เราต้องฝากโดรนไว้ที่สนามบินแล้วค่อยมาเอาตอนวันเดินทางกลับ
- Hoi An Ancient Old Town
มารู้จักฮอยอันกันสะหน่อยนะฮะ!! “ฮอยอัน” เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในอดีต อีกยังเป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมหลากหลายเชื้อชาติทั้งฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่นและเวียดนามเอง นอกจากนั้นยังเป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย
- Rosie’s Cafe‘
เดินไป เดินมาก็เริ่มร้อนตุ่ยๆ เนื่องจากสภาพอากาศที่นี่ค่อนข้างคล้ายบ้านเราเลยฮะ ( งือออ ร้อนอ่ะแหล่ะ ) เราเลยมุ่งหน้าเดินหาร้านกาแฟชิคๆ นั่งชิลๆ คลายร้อนกันสักหน่อย ซึ่งที่เมืองเก่าแห่งนี้ก็มีร้านกาแฟดีๆ มากมาย แต่ร้านที่พวกเราโหวตเลือกเป็นเสียงเดียวกันก็คือ Rosie’s Cafe’
สไตล์ของร้านจะออกแนวฮิปนิดๆ โมเดิร์นหน่อยๆ ซึ่งแม้ว่าร้านกาแฟแห่งนี้จะอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวหลักๆของเมือง ทว่าบรรยากาศของร้านกลับเงียบสงบเหมาะสำหรับการพักฟื้น จิบกาแฟสวยๆและเซลฟี่อวดโซเชี่ยลกันรัวๆ อ้อ! เจ้าของร้านนางก็ใจดี ขี้เมาท์อีกต่างหาก และด้วยความที่นางเคยมาเที่ยวที่กรุงเทพมหานครหลายครั้งก็เลยมีเรื่องให้ได้คุยกันเยอะหน่อย
เมนูที่เราสั่งจะมีกาแฟดริปที่ทางร้านคั่วเมล็ดเอง (จะเป็นเมล็ดโรบัสต้านะฮะ เจ้มจ้นนนน) เสิร์ฟพร้อมกับบิสกิต แล้วก็เฟร้นโทสโปะด้วยผลไม้สด อิ่มอร่อยสุขภาพดีกันไปอี๊ก
ซู่วววววววว!!
ความพีคที่มาพร้อมกับความผีคือฝนตกหนักมากเลยจ้า จากที่กะพักคลายร้อนสักระยะ กลายเป็นนั่งชิลยาวเกือบสองชั่วโมงเฉยๆ แต่มันก็จะชุ่มนิดๆ ฉ่ำหน่อยๆ เย็นกายสบายใจกันไป
อ่ะๆ พอฝนหยุดตกแล้วก็ได้เวลาออกทัศนาจรกันที่ย่านเมืองเก่าต่อ มาทั้งทีก็ขอเที่ยวให้เต็มที่กันหน่อย
ในการชมเมืองเก่าแห่งนี้ นักท่องเที่ยวอย่างเราๆสามารถเลือกใช้บริการรถสามล้อรับจ้าง ( ก็จะนั่งบนเบาะแดงๆตามในรูปเลย ) จะเช่าจักรยาน หรือเดินเล่นไปเรื่อยๆก็เก๋ไม่หยอก ถ้าเช่าจักรยานราคาไม่ควรเกิน 25,000 ดองนะฮะ
นอกจากคาเฟ่ชิคๆแล้ว ตามสองฝั่งทางของย่านเมืองเก่านั้นจะเต็มไปด้วยร้านของฝาก ของที่ระลึก ที่ตั้งขายอยู่เรียงราย ทั้งเสื้อผ้า หมวก กระเป๋าให้เลือกอุดหนุนกันสไตล์ใครก็กะตังมันก็เลยจ้า
- Bánh bèo ( บั๊น
แบว )
และระหว่างทาง เราก็สังเกตเห็นมุมขายอาหารเล็กๆ ที่มีลูกค้าเป็นสิบ ๆ กำลังกินอะไรบางอย่างกันด้วยท่าทีที่อร่อยมากกก อ่ะ ๆ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ก้าวสามยามเข้าไปเลย! เมนูในตำนานที่ทุกคนทำลังกินกันนั่นก็คือ “บั๊นแบว” อธิบาย ๆ ง่าย ๆ คือเหมือนขนมถ้วยบ้านเราแต่เป็นของคาว ส่วนประกอบหลักๆก็จะเป็นแป้งด้านล่างและโรยด้วยบางอย่างกรอบๆอยู่ด้านบน รสสัมผัสก็จะนิ่ม ๆ กรุบ ๆ กรอบ ๆ และด้วยน้ำจิ้มที่กินคู่กันนั้นก็ทำให้รสชาติของบั่นแบ๊วโอเคมากๆเลยนะแกร๊ !!
เวลาล่วงเลยผ่านจน 5 โมงเย็น นักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติก็หลั่งไหลมาจากที่ไหนไม่รู้มากมายเต็มบริเวณนี้เลยฮะ และเมื่อลูกค้ามากหน้าหลายตาขนาดนี้ ร้านค้าก็ต้องประชันแสงสีกันหน่อย บ้างร้านนั้นพนักงานก็ออกมากวักมือเรียกผู้คน เรียกลูกค้าหาเงินหาทองเข้าร้านกันอย่างแข็งขัน
หลังจากพวกเราอิ่มมื้อเย็นสไตล์เวียดกันแล้ว ก็ถึงเวลาเดินเล่นริมน้ำชิวชิวพร้อมกับชมอีกหนึ่งไฮไลท์ยามค่ำคืนของเมืองนี้ อันได้แก่การล่องเรือลอยโคมที่บริเวณริมแม่น้ำทูโบน ภาพของกิจกรรมนี้ก็จะคล้ายๆลอยกระทงบ้านเรานิดๆ แสงไฟสลัวลอดออกจากตัวกระทงกระทบลงกับผืนน้ำประชันกับแสงริมสองฝั่งที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน โอยย โรแมนติคจังเลย!
– Day 2 –
การนอนหลับเต็มอิ่มคือสิ่งที่ดี ดังนั้นพวกเราจึงเลือกที่จะตื่นสาย ๆ หน่อยเพื่อความสดชื่นแบบเต็มขั้น ใช่หรอ??? หลังจากนั้นจึงอาบน้ำและพร้อมออกเดินทางไปชิลต่อ และสายนี้พวกเราก็ยังคงอยู่ที่ฮอยอัน เมืองสำคัญทางประวิตศาสตร์ของเวียดนามกลาง ซึ่งวันนี้พวกเราจะพาไปเยี่ยมชมแลนมาร์คหลักที่มาแล้วต้องห้ามพลาด! ของที่นี่กันนะฮะ
- Japanese Bridge
สะพานญี่ปุ่นเป็นสะพานที่สร้างขึ้นโดยพี่ยุ่นเพื่อเชื่อมชุมชนของตนสู่ชุมชนของพี่จีน สะพานแห่งนี้เคยถูกทำให้เรียบเพื่อเหมาะสำหรับการเดินทางโดยรถยนต์ แต่ว่าก็ได้รับการบูรณะแก้ไขเพื่อให้เป็นรูปทรงเดิม ซึ่งความดีงาของนางก็ตามชื่อเลย นางมีเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นชัดเจนมาก คือเห็นแล้วก็เอ้อออ นี่ไง ๆ สะพานญี่ปุ่นจริง ๆ ด้วย ทัศนียภาพที่มีเอกลักษณ์บวกกลิ่นอายเมืองที่มีเสน่ห์ ไม่แปลกเลยที่จะเห็นคู่รักหลายๆจูงมือมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันที่นี่ ช่วงสองวันที่เรามาที่ฮอยอันเจอไม่ต่ำกว่าสิบคู่
- Phuoc Kien Assembly Hall
วัดฟุกเกี๊ยน หรือ จั่วฟุกเกี๋ยน เป็นสมาคมชาวจีนที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอย อัน ซึ่งเป็นสถานที่พบปะผู้คนที่มีแซ่ หรือนามสกุลเดียวกัน ความพีคของที่นี่คือสถาปัตยกรรมที่สวยงาม งานไม้แกะสลักเจ๋ง ๆ และภายในสถานที่แห่งนี้ยังเป็นวัดที่สร้างอุทิศให้กับพระนางเทียนเห่าซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเลตามความเชื่อของชาวจีนฟุกเกี้ยนนั่นเอง
- Cantonese Assembly Hall
เตร็ดเตร่มาเรื่อยๆจนถึงสมาคมชาวจีนกวางตุ้งซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางสำคัญของผู้อพยพชาวจีนเมื่อสมัยเข้ามาอาศัยในเวียดนามใต้ และเช่นเดียวกันกับจั่วฟุกเกี๋ยน สถานที่แห่งนี้ก็เป็นแหล่งพบปะเพื่อสังสรรค์ เจรจาธุรกิจ เสียงลือเสียงเล่าขานอ้างว่าชิ้นส่วนของอาคารแห่งนี้หลายชิ้นทำขึ้นที่เมืองจีนและนำมาประกอบที่นี่จ้า ไปฮอยอันทั้งทีอย่าลืมแว้ปไปแชะและแชร์กับสถาปัตยกรรมด้านในของ Cantonese Assembly Hall ถ่ายรูปกับรูปปั้นมังกรและสิงโตซึ่งประดับอยู่บนซุ้มประตูด้วยนะฮะ ขอบอกว่ามันเก๋จีจี
- Old House Of Tan Ky
บ้านไม้เก่าแก่ของตระกูล Tan Ky ซึ่งนับว่าเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่และงดงามที่สุดของเมืองฮอย อัน สถาปัตยกรรมของบ้านหลังนี้ได้รับอิทธิพลจากทั้งจีนและญี่ปุ่น โดยตระกูล Tan Ky พำนักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาถึง 7 รุ่นเลยจ้า และด้วยภายนอกของหลังคาที่ปูด้วยกระเบื้อง ภายในเพดานที่สร้างด้วยไม้ช่วยให้บ้านหลังนี้มีอากาศที่เย็นในฤดูร้อยและอบอุ่นในฤดูหนาว อ่าาาา… เก๋ไก๋
- Museum of Folk Culture
พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมพื้นบ้านแห่งนี้จัดแสดงภาพจำลองวิถีชีวิตในอดีตของคนจีนที่อพยพมาที่นี่ย้อนไปเมื่อ 150 ปีที่แล้ว ภายในจะมีหุ่นจำลอง ภาพถ่ายที่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อบอกเล่าถึงวัฒนธรรมของผู้คนท้องถิ่นที่กำเนิดในเมืองแห่งนี้ Museum of Folk Culture เปิดทำการตั้งแต่ปี 2005 และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่พวกเธอห้ามพลาดมาหาความรู้ เปิดตาและเปิดใจกันนะจ้า
- Cyclo’s Road Cafe’
อ่ะ ๆ ไปเข้าคลาสประวัติศาสตร์ชาติเวียดนามมาสะนาน ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะพักเบรคจิบกาแฟ พักขาและหลบแดดที่ร้านกาแฟสุดชิคของเมืองฮอยอันสักร้าน พอเดินหาอยู่พักใหญ่ก็พบว่าเกือบทั้งหมดของร้านกาแฟไม่มีแอร์คอนดิชั่นจ้าาา ดังนั้นการท่องเที่ยวแบบสบายอย่างมีสไตล์ของพวกเราเลยเลือกร้านที่มีที่นั่งหน้าร้านตั้งอยู่ริมน้ำแบบร้าน Cyclo’s Road Cafe’ ซึ่งนอกจากจะสุดชิวริมน้ำแล้วร้านยังตกแต่งออกมาได้สวยดังที่เห็นในภาพเลย ผนังตึกสีเหลือง ๆ ตัดกับโซฟาสีแดงซึ่งมีต้นไม้น้อยใหญ่ประดับไปทั่วบริเวณ พอชักภาพออกมาแล้วก็เป็นแนวอิแทเลี่ยนเลยทีเดียว
ใครมาเที่ยวฮอยอันขอแนะนำให้มาลองกาแฟไข่ร้านนี้ กาแฟไข่เป็นกาแฟพิเศษที่มีขายเฉพาะในประเทศเวียดนาม ซึ่งที่สามารถพบเจอได้ง่ายที่ฮานอย แต่ฮอยอันเท่าที่เดินดูมีแค่ร้านนี้ร้านเดียว และการดื่มกาแฟที่แท้ทรูตามประสาคนมีอันจะอ้วนนั้นควรเคียงคู่ด้วยของหวาน เพราะฉะนั้นพวกเราเลยสั่งแพนเค้กนูเทลล่ามาทาน แป้งนุ่ม ๆ บวกครีมถั่วหวาน ๆ ตัดกันกับกาแฟรสเข้มมันก็จะโอเคมาก ๆ และอ้วนหน่อย ๆ
- The Field Restaurant & Bar
เวลาผ่านล่วงเลยไปจนถึงบ่ายสอง โปรแกรมต่อไปนั้นเราเช่ามอเตอร์ไซแว๊นซ์กันไปที่ทะเลฮอยอัน ซึ่งระหว่างทางก็ป๊ะกับร้านอาหาร The Field Restaurant & Bar ร้านอาหารสุดชิคที่ตั้งอยู่บนท้องนาและติดกับแม่น้ำ บรรยากาศของที่นี่ก็เลยใกล้ชิดธรรมชาติสุด ๆ สายลมอ่อนพัดคลายร้อนให้เราตลอดเวลา นอกจากนั้นที่นี่ยังมีการละเล่นพื้นบ้านของคนเวียดนามให้พวกเราลองเล่นกันด้วยนะฮะ หรือจะลองขอจับปลาจากแม่น้ำที่ร้านนี้ก็ทำได้ด้วยเช่นกัน
เราก็จัดอาหารมาลงท้องกันสองอย่างเบา ๆ เมนูอาหารของที่นี่ก็จะออกแนวฟิวชั่น ซึ่งเราสามารถรีเควสรสชาติอาหารที่ต้องการได้ด้วยนะ ทางร้านเขาบอกว่าเขาไม่โกรธจ้า
- Cua Dai Beach
Cua Dai เนี่ยเป็นหนึ่งในมรดกโลกของคนเวียดนามที่ได้รีบแต่งตั้งโดย UNESCO ใครจะไปคิดว่าเวียดนามจะมีหาดทรายขาวละเอียดนอนแผ่ตัวยาวให้เราเดินรัวชัตเตอร์ถึง 3 กิโลเมตร (ขอบคุณพนักงาน รร ที่แนะนำสถานที่ชิค ๆ สวย ๆ แบบนี้ให้พวกเราด้วยนะคร้าบ)
ชายหาด Cua Dai มีร้านเก๋ ๆ ให้พวกเราเลือกมากมาย แต่คนที่ได้ใจและเงินดองของเราไปนั้นได้แก่ Lucky Beach Restaurant คือร้านสวยมากกกก เจ้าของร้านก็เฟรนด์ลี่สุด ๆ อาหารทะเลสดและมีเมนูเครื่องดื่มทั้งมีแอลกอฮอล์และสายใส ๆ ครบทุกแนวเลยฮะ ส่วนวัยรุ่นใสใสแบบเราก็น้ำผลไม้ปั่นคนล่ะแก้วแล้วก็นั่งแช่กันย้าว……ยาว ทะเล แสงแดด และสองเรา จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกน้า
หลังจากย่ำทรายนุ่ม ๆ กรุ้มกริ่มกับความสวยงามของชายหาดขาวสะอาดจนหนำใจแล้ว ณ เวลาสี่โมงเย็นเราก็ย้อนกลับมาเดินเล่นส่งท้ายในเมืองฮอย อันสักหน่อย เอาจริงๆนะ เราอินกับความน่ารัก ความหลากหลาย ความสวยงาม อะไร ๆ ที่เป็นความรู้สึกด้านบวกค่อย ๆ เติมเต็มผ่านรอยยิ้มของพวกเราทุกครั้งที่ก้าวย้ำผ่านวิถีชีวิตผู้คนที่สงบเรียบง่าย
เดินไป อินไป สักพักก็สะดุดตากับหญิงสาวสองคนที่กำลังถ่ายรูปให้กัน ในมือของหนึ่งในหญิงสาวนั้นมีน้ำดื่มสีนวลๆที่มีกลีบดอกบัวสีชมพูโรยหน้า เราจึงเขยิบเข้าไปใกล้ชิดด้วยความอยากรู้อยากเห็น และก็พบว่า It is a glass of น้ำดอกบัว เกิดมาก็พึ่งเคยเห็นนี่ละจ้าน้ำดอกบัว จากภาพจะเห็นว่าเขาใส่ดอกบัวลงไปต้มเลยเธอ ตอนแรกเรามโนว่ารสชาตินางควรออกมาหวาน ๆ นะ แต่จริง ๆ แล้วนางจะมีรสเปรี้ยว ๆ คล้าย ๆ ชามะนาวเลย ดื่มแล้วสดชื่นได้กลิ่นหอม แนะนำว่า ต้อง มา โดน ฮะ
รูปร่างหน้าตาเวลาใส่แก้วก็จะดูมุ้งมิ้งแบบคลาสสิคเป็นแพนโทนสีชมพู เขียว และเหลืองอ่อน ๆ นวล ๆ เข้ากันกับบรรยากาศของที่นี่ พวกเราจัดไปกันคนละแก้วหลังจากนั้นก็เดินชิว ชิว กันต่อ
พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า เมื่อความร้อนจากสภาพอากาศเริ่มคลายตัวออก ผู้คนต่างพากันออกมาเดินเล่นรอบเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสีเหลือง ๆ ประดับประดาไปด้วยโคมไฟ ภาพถ่ายจากมุมสูงเลยออกมาดูคูล ๆ
มาถึงฮอยอัน สิ่งที่ห้ามพลาดอย่างแรงอีกอย่างคือการชมโคมไฟมากมายหลายรูปแบบและสีสันที่แขวนอยู่ทั่วบริเวณถนนหลัก และเมื่อราตรีมาเยือนเมื่อไร แสงสีของพวกนางก็จะเฉิดฉายประชันกันงดงามสมคำร่ำลือตามสมญานาม Hoi an city of lanterns ส่วนใครที่สนอกสนใจอยากเอากลับไปเป็นที่ระลึกก็มีร้านขายโคมไฟให้เลือกซื้อเลือกสอยกลับบ้านกันจ้า
– Day 3 –
- The Marble Mountains
หลังจากที่ฟินกับฮอยอันกันไปแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางมาที่ดานัง อดีตเมืองท่าสำคัญในสมัยฝรั่งเศสล่าอาณานิคม โดยสถานที่แรกที่พวกเราไปเยือนก็คือ The Marble Mountains หรือชื่อภาษาไทยคือ ภูเขาหินอ่อน สถานที่แห่งนี้เป็นภูเขาหินอ่อนและหินปูนที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม ประกอบไปด้วยเขาน้อยใหญ่ 5 ลูกซึ่งชาวเวียดนามขนามภูเขาแห่งนี้ว่าภูเขาแห่งธาตุทั้ง 5 (เหล็ก, น้ำ, ไม้, ไฟ และดิน) ซึ่งสถานที่โดยรอบภูเขานี้เคยมีชื่อเสียงด้านการแกะสลักหินอ่อน แต่ปัจจุบันทางรัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้นำหินจากภูเขามาใช้แล้ว
นอกจากภายนอกจะมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ที่นี่ยังมีถ้ำซึ่งบรรจุแท่นบูชา พระพุทธรูป และสิ่งศักดิสิทธิ์ต่าง ๆ ตามความเชื่อความศรัทธาของคนที่นี่อีกด้วย
- Ba Na Hills
Ba Na Hills จะอยู่ห่างจากตัวเมือง Da Nang ประมาณ 40 กิโลเมตร การจะขึ้นไปด้านบนเราต้องนั่งกระเช้าที่ Guinness World Record บันทึกไว้ว่ายาวที่สุดและสูงที่สุดโดยไม่หยุดพักด้วย สวยงามแค่ไหนก็ตามที่เห็นเลย อะไรคือป่าเขียว ๆ อะไรคือทะเลหมอก โรแมนติคมากกกกสุด ๆ
ที่ Ba Na Hills แห่งนี้จะมีสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นดูยิ่งใหญ่อลังการไว้เป็นที่พัก สวนสนุก ร้านอาหาร และแลนมาร์คต่าง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจ้า ซึ่งวันที่เราไปนั้นนักท่องเที่ยวก็ค่อนข้างเยอะทีเดียว และข้อดีมาก ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้คืออากาศค่อนข้างดีเที่ยวได้สบาย ๆ ไม่เปียกหลัง เปียกหน้า เปียกรักแร้
ด้านบน Ba Na Hill มีร้านอาหารเยอะแยะมากมายให้เลือกทาน ไม่ว่าจะร้านพิซซ่า สปาเก๊ตตี้ รวมถึงอาหารฝรั่งอีกมากมาย ซึ่งความดีงามก็อยู่ที่ร้านอาหารฝรั่งทุกร้านเค้า Import เชฟมาจากยุโรปเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศความเป็นยุโร๊ปยุโรปของที่นี่
แต่มาเวียดนามใครจะกินอาหารฝรั่งหล่ะแกร๊!!! หลังเดินจนเมื่อยแล้วก็หาอะไรกินเพิ่มมวลพลังในร่างกายกันหน่อย พวกเราสั่งอาหารมาสามอย่างตามภาพเลยจ้า รสชาติก็จะจืด ๆ หน่อย ๆ ตามสไตล์อาหารเวียดนามแต่ก็ไม่ได้ถือว่าแย่นะ ก็กินกันหมดอยู่นะ ฮ่า ๆ
นอกจากมา Ba Na Hill จะมีมุมชิคชิคให้ถ่ายรูปแล้ว ที่นี่ยังถือเป็นสวนสนุกที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของเวียดนาม ถ้าขึ้นมาที่นี่แล้วอย่าลืมมาลอง ALPINE COASTER กันนะเธอ มันก็จะสวย ๆ และเสียว ๆ หน่อย ซึ่งนักท่องเที่ยวให้ความนิยมกับกิจกรรมเสริมสร้างภูมิต้านทานความเสียวนี้จริง ๆ ค่าใช้จ่ายในการเล่นเครื่องเล่นชนิดนี้รวมถึงเครื่องเล่นอื่นอื่นจะรวมกับค่าตั๋วที่เราซื้อขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นใครอยากเล่นอันไหนก็สามารถไปต่อแถวได้เลย ( อันไหนฮิตหน่อยแถวก็จะยาว )
- Lady Buddha
สถานที่แห่งนี้มีชื่อภาษาไทยว่าวัดเจ้าแม่กวนอิม หรือวัดลิงอึ๊งบ๊ายบุต เทวสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่แหลมซอนทรา สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนเพื่อให้ท่านคอยปกปักษ์คุ้มครองดานังจากภัยธรรมชาติ นอกจากนั้นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมนี้ยังเป็นองค์ที่สูงที่สุดของเวียดนามด้วยนะเธอ บรรยากาศรอบ ๆ วัดก็สงบร่มเย็น ด้านหลังคือภูเขาด้านหน้าหันออกสู่ทะเลตะวันออก ซึ่งเราสามารถฟินกับวิวของดานังจากจุดนี้ได้นะฮะ ศลเจ้าแม่กวนอิมนี้เคยโดนทำลายเมื่อปี 2004 แต่ว่าก็ได้รับการเหล่าพุทธศาสนิกชนก็ร่วมกันสร้างขึ้นมาใหม่
บริเวณลาดหน้าวัดจะมีรูปปั้นพระอรหันต์ 18 องค์ที่สร้างขึ้นอย่างวิจิตร ซึ่งสามารถสื่ออารมณ์และความรู้สึกออกมาจากท่าทางและใบหน้าเลยทีเดียว ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว เราก็จะขอพรอะไรกันเล็ก ๆ น้อย ๆให้สมกับความหมายของคำว่า ลิงอื๊ง ซึ่งแปลว่า สมความปรารถนาทุกประการ สาธุ!!!!!
- Da Nang Beach
สถานที่สุดท้ายที่พวกเราไปกันก่อนโบกมือบ้าย บายทริปนี้คือ Da Nang Beach ในสมัยสงครามนั้น ชายหาดนี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจชั้นเยี่ยมของทหารอเมริกันหรือมีคำกล่าวเรียกว่า R&R (Rest & Restaurant) จุดเด่นของชายหาดนี้คือหาดทรายที่ทอดตัวยาวเอื้อบริเวณให้ผู้มาเยือนทุกเพศทุกวัยได้ทำกิจกรรมริมชายหาดอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารเพื่อนั่งชิล หรือสายสปอร์ตก็มีกิจกรรม Extreme สนองนี๊ดกันยาวไปปปปป
หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ! สังเกตไหม เวลาที่เรามีความสุขเวลามันผ่านไปเร้ว..เร็ว และเวียดนามทริปก็เป็นเช่นนั้น สิ่งแปลกตาที่ได้เจอ ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้จำ รอยยิ้มและมิตรภาพของผู้ร่วมเดินทาง เรารู้สึกขอบคุณทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นที่ฮอยอันและดานังจริง ๆ
แล้วเราจะพบกันใหม่นะฮะ