Wonderfruit Festival 2017

ฮัลโหลล!!

ไหน ๆ ก็เริ่มปีใหม่ ชีวิตใหม่ เราก็ควรเพิ่มสีสันปั่นไฟให้หัวใจคึกคักกันสักหน่อย อย่าปล่อยให้ตัวเองรู้สึกห่อเหี่ยวกับความหนาวที่มาแป๊บเดียวแล้วผ่านไป เพราะฉะนั้นวันนี้ จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น จับมือกับ Tetra Pak Thailand พาไปย้อนรอยดูงานที่โคตรคูล Wonderfruit Festival ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 – 17 ธันวาที่ผ่านมา ณ เดอะฟิลด์ส แอท สยามคันทรีคลับ พัทยา มา…. เราจะพาไปเสพดนตรี ศิลปะ แฟชั่น และไลฟ์สไตล์มันส์ ๆ ไปแต่งตัวฮิป ๆ ไปบันเทิงให้สุด ๆ กันอย่าง Fin & Fun ร่วมกันรักษ์โลก

อยากรู้แล้วอ่ะดิ๊ ว่ามันดีย์ขนาดไหน ถ้าพร้อมแล้วก็หาพรอบโบฮีเมี่ยนมาให้ไว แล้วสไลด์หน้าจอลงไปกันเล้ยยยย!

ถ้ากล่าวถึง Wonderfruit Festival หลายๆคนอาจโฟกัสไปที่เทศกาลดนตรี แต่จริงๆแล้วนางคือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ที่ตั้งใจให้คนมาดูมาซึมซับผ่านนัยยะแห่งการเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นตัวอย่างมุมมองเจ๋งๆว่าปาร์ตี้ก็สามารถสอดแทรกความคิดดีๆของวิถีความยั่งยืนได้ ซึ่งองค์ประกอบทุกอย่างในงานผ่านการดีไซน์ให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด และรบกวนสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เริ่มตั้งแต่จุดแรกคือการแลกบัตรเข้างานเป็นสายคล้องข้อมือให้เราถือไปเติมเงินแทนกระเป๋าตัง โดยที่นี่เขาจะมีจุด Top up เงินกระจายอยู่ทั่วไป เงินหมดตอนไหนก็เติมตังเข้าไปใหม่เท่านั้นเอง (Cashless Society สุดๆ)

อย่างที่บอกว่า Wonderfruit Festival คืองานปาร์ตี้สำนึกดีที่สร้างความรักให้โลกใบนี้ผ่านความสนุกสนาน การเลือกภาชนะบรรจุต่างๆ แม้กระทั่งน้ำดื่มจึงต้องโดนใจ น้ำดื่มบรรจุกล่องของ Tetra Pak จึงตอบโจทย์นี้แบบสุดๆ เพราะนอกจากหน้าตาที่เก๋ไก๋ พกพาง่าย และสามารถนำไปรีฟิลน้ำได้แล้ว กล่องยังติดฉลาก FSC ™ ซึ่งการันตีว่ากระดาษที่ทำกล่องนั้นมาจากป่าไม้ที่ผ่านการจัดการอย่างรับผิดชอบและไม่เบียดเบียนป่าธรรมชาติ นอกจากนั้นกล่องเครื่องดื่มที่ใช้แล้ว หากจัดเก็บอย่างถูกวิธี ยังสามารถนำไป Recycle ได้ทั้งหมด เรียกว่าดูแลกันตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเลยที่เดียว ซึ่งในฐานะนักท่องเที่ยวสายสร้างสรรค์เช่นเรา (หราาาา) รู้สึกว่าหากคนรุ่นใหม่ได้เห็นอะไรเจ๋ง ๆ คูล ๆ อย่างนี้บ่อย ๆ เขาจะค่อย ๆ ซึมซับและนำมาปรับกับทัศนคติและความคิดจนกลายเป็นผลงานดี ๆ ได้แน่นวลลลลล

โปรดัคชั่นดีแค่ไหนถามใจเธอดู เพราะมีผู้ฝาหร่างงง เต็มไปหมดจนสาย ฝ. ต้องน้ำลายหยดกันติ๋งๆ ด้วยชื่อเสียงที่เป็น Festival แห่งการสร้างสรรค์และแบ่งปันที่ดังไกลไปยังต่างแดน พวกเขาจึงมาที่ไทยแลนด์เพื่อร่วมงานที่นี่ (มากกว่า 50% ของผู้ร่วมงาน) ซึ่งพี่ๆเขาจะจัดเต็มกันมากไม่ว่าจะการแต่งกายหรือสายกิจกรรม และยังทำให้เราได้ Speak English ฟุดฟิดฟอไปแบบไม่ต้องอายใครกันเลย

เรื่องสุขอนามัยก็ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะเขาเตรียมไว้มากพอสำหรับทุกคนจริง ๆ จะอาบน้ำ อาบท่า สุขาก็สะอาด ปราศจากคิวล้น ๆ ส่วนเรื่องผู้ร่วมงานนั้นยิ่งน่ารัก เพราะมีไลฟสไตล์หลงรักศิลปะ กิจกรรมและธรรมชาติร่วมกัน จึงทำให้บรรยากาศรอบงานนั้นอบอวลไปด้วยเป็นกันเอง ครื้นเครงเฮฮา ส่วนโซนงานของ Wonderfruit Festival จะแบ่งออกเป็น 6 โซนคือ Music, Arts, Farm to Feasts, Wellness & Adventures, Talks & Workshops และ Family ซึ่งขอบอกว่าแต่ละจุดนี้ไม่ธรรมดาเพราะว่าจะมีเซเลปหรือกูรูในสาขานั้นๆมาเป็นวิทยากร ไม่ก็เป็นคนออกแบบกิจกรรมหรือตัวซุ้มให้เราไปดูไปศึกษาว่าทำอย่างไรให้สร้างงานสถาปัตดีดีได้โดยไม่รบกวนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เอาล่ะ มาเริ่มการเดินทางของเรากันที่มุม Talks & Workshops กันก่อนกับโซนน่ารักๆ ที่จะมีนักคิดจากทุกสารทิศมาแบ่งปันความคิดเหนือๆเพื่อขับเคลื่อนสังคมของเรา อีกทั้งยังมี Workshop ให้เข้าไปทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกันอาทิ การทำสวนต้นกระบอกเพชรในกระถางเล็กๆ หรืองานศิลปะจากสีธรรมชาติ เช่น สีจากดินภูเขา ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้วก็เอากลับไปเป็นที่ระลึกได้ด้วย นอกจากนั้น activity เหล่านี้ยังทำให้เรารู้ว่า Wonderfruit Festival ไม่ใช่งานขี้เมาธรรมดา แต่เป็นกิจกรรมย้ำจิตสำนึกว่า การรักษาดูแลสิ่งแวดล้อม ความรู้และความสนุกนั้นสามารถไปด้วยกันได้จริงๆ

ภาพด้านล่างนี้คือสีที่เขาสกัดจากธรรมชาติ แล้ววาดลวดลายให้สวยงามตามฝีมือของเจ้าตัว กลายเป็นของมุ้งมิ้งๆน่ารักสไตล์ใครสไตล์มัน ซึ่งไม่ทำให้เกิดมลพิษกับทั้งผู้ใช้ ผู้ได้รับ หรือกลายเป็นสารตกค้างทำลายระบบชีวภาพในสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในดิน เป็นทรัพย์สินในน้ำด้วยนะเธอ

อีกหนึ่งโซนที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษในปีนี้คือ โซนการจัดแสดงเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับที่มาและที่ไปของกล่องเครื่องดื่ม ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันของ Wonder Fruit และ Tetra Pak นอกจากที่หลังคาของซุ้มนั้นจะทำจากกล่องเครื่องดื่มรีไซเคิลแล้ว ตู้ และโต๊ะต่าง ๆ ที่นำมาให้เราได้ใช้นั่งทำ Dreamcatcher เท่ ๆ ที่จะเท่แค่ไหนขึ้นอยู่กับไอเดียในการเลือกใช้ของตกแต่งของเราล้วน ๆ

นอกจากนั้น ยังนำเสนอข้อมูลดี ๆ ผ่าน photo exhibition และ graffiti ที่ไม่น่าเบื่อ ช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้นว่าเราสามารถช่วยกันดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างง่ายๆ ด้วยการส่งกล่องเครื่องดื่มที่ใช้แล้วไปรีไซเคิลด้วยวิธีไหน รวมไปถึงการให้ความรู้ในเรื่องของ ฉลาก FSC ™ (Forest Stewardship Council) ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าผลิตภัณฑ์ทีมีฉลากนี้แปะอยู่นั้นทำมาจากวัสดุจากป่าปลูกเชิงพานิชย์ที่มีการจัดการอย่างรับผิดชอบ ไม่ได้ไปเบียดเบียนป่าไม้ธรรมชาติ และกล่องเครื่องดื่มของTetra Pak ก็มีฉลากของ FSC ™ แบบนี้ทุกกล่อง เอาง่ายๆ แค่มองโลโก้ก่อนซื้อ ก็ถือว่าเราช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่าไปในตัวเลยนะฮะ

และความเกร๋ของซุ้มนี้ยังไม่จบแค่นั้น เค้ายังมีกิจกรรมดี ๆ ให้เราได้ร่วมแสดงถึงการสนับสนุนโครงการฯ ผ่านการถ่ายภาพสุดเริ่ดและโพสต์ภาพลงในโซเชียลมีเดียของตัวเองเพื่อนเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ช่วยให้ทุกคนได้รู้จักโครงการดี ๆ แบบนี้อีกด้วยนะ

โซนต่อมาที่เราจะพาไปเที่ยวชม ที่เห็นคนเขาก้มๆเงยๆนีhคือโซนของ Wellness & Adventure ศูนย์แห่งการบำบัดและปรนเปรอร่างกายและจิตใจไปกับการออกกำลังกายหรือกิจกรรมดีๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับสภาวะจิต ปรับความคิดให้สมดุล ซึ่งมีทั้งโยคะ การเต้นรำ หรือลานออกกำลังกายให้เลือกได้ตามชอบใจ เพราะทางทีมผู้จัด Wonderfruit Festival เขามั่นใจว่า ถ้ากายและใจอยู่ในจุดที่สงบ สะอาด และสตรอง เราจะพร้อมลองอะไรใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับตัวเองและสังคมฮะ

เดินไปเดินมา สายตาก็แวปไปที่โซน Art อีกครั้ง เพราะเรายังแต่งตัวไม่สุด ขาดจุดประดับประดาบนร่างกายไปเล็กน้อย เลยค่อยๆย่องเบามาเข้าเต๊นท์เพื่อให้พี่เขาเพ้นท์ลวดลายเกร๋ๆ เพิ่มความโอเคให้เข้ากับธีมเครื่องแต่งกายสไตล์โบฮีเมียนของเรามากขึ้น หรือถ้าใครยังไม่จุใจ ที่นี่เขาก็มีเสื้อผ้าขายให้เราเลือกใส่พร้อมไปลุย ไปถ่ายภาพติสท์ ๆ ไว้อวดบน Social เกี่ยวยอดไลค์กันด้วย

ถ้าบังเอิญเราแต่งกายไปเตะตาใคร ก็รอสวัสดีเพื่อนใหม่ได้เลย เห็นไหมว่าความสุขมันไม่มีพรมแดน ในงาน Wonderfruit Festival นั้นสิ่งที่เราพบเห็นกันได้ตลอดเวลา คือใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเป็นมิตรของทุกคน เราพบการพูดคุยที่เป็น Deep Talk มากมายของนักท่องเที่ยว บางคนเป็นนักศิลปะ เป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นนักธุรกิจที่ชอบแนวคิดที่ใช้ความสนุกสนานเพื่อขับเคลื่อนตัวการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

แต่งแต้มสีสันบนตัวและรัวกล้องเสร็จ สายตาก็ระเห็จไปป๊ะกับการแสดงที่ Solar Stage ซุ้มอลังการๆตามภาพด้านล่างนี้จะอยู่ที่ใจกลางของงาน และจะมีการแสดงต่างๆให้เราดูกันตามกำหนดเวลา ซึ่งเราสามารถขึ้นไปเดินเล่น เดินชมหรือไปเก็บภาพความประทับใจด้านบนก็ทำได้ด้วยเช่นกันนะ นอกจากนั้นยังมี Mascot น่ารักๆ เดินไปเดินมาพลางกวักมือเล่นกับเหล่าวันเดอเรอร์รุ่นน้อย สร้างความสุขกันให้ทุกชั้นอายุเลย

อย่างที่เอ่ยไว้ตอนต้นว่างาน Wonderfruit Festival คือพื้นที่ของคนทุกเพศทุกวัยสำหรับใครมีใจรักสิ่งแวดล้อม รักศิลปะ รักความสนุกสนาน ก็ได้เอ็นจอยเบิกบานกันถ้วนหน้า ดังนั้นจะผิดอะไรถ้าเด็กๆอยากมาค้นหาแรงบันดาลใจ หรือมาพบเจอเพื่อนใหม่ๆจากทั้งใกล้และไกล เพื่อสร้างมิตรภาพของวันเดอเรอร์รุ่นใหม่ไว้ร่วมใจกันผลักดันกิจกรรมดีๆอย่างนี้ในอนาคต ซึ่งหากพ่อแม่คนไหนอยากมาเที่ยวก็ไม่ต้องกังวล เพราะเขามีคนดูแลเด็กๆให้ด้วยเช่นกันจ้า

จากเพลงของ Frozen ที่แอนนาร้องว่า Do you wanna build a snow mannnnnn เด็ก ๆ ตาน้ำขาวก็อาจจะร้องใหม่เป็น Do you wanna build a mud mannnnn ( ขอโทษที บ้านพี่นี้มีแต่โคลนไม่มีหิมะให้เราปั้นเล่นกันหรอกนะ T T ) อย่างไรก็ตามในงานก็จะมีโซน Family ที่จะมีกิจกรรมดีๆที่เข้าใจง่ายไว้ท้าทายเหล่านักคิดตัวน้อยให้มาปล่อยของประลองปัญญาอย่างสนุกสนานเช่น Mudslide ในภาพด้านล่างเป็นต้น

เอ่าละ สำหรับใครที่เดินจนเมื่อยแล้วอยากพักเหนื่อยก็ไม่มีปัญหา เพราะแน่นอนว่า Festival ระดับประเทศขนาดนี้ย่อมมีที่นั่งพักชิคๆ มีกิมมิคดีๆ หรือ Hub ที่ให้เราพบปะพูดคุยชิทแชทกับเพื่อนใหม่ซึ่งอาจเป็นคนไทยหรือต่างแดน ใครยังไม่มีแฟนนก็ไม่ควรพลาดดดด เพราะโอกาสส่งออกกับเนื้อคู่เทสดี ๆ ได้มาถึงแล้วจ้า (ฮ่า)

พูดถึงสภาพอากาศทั่วไปก็จริงอยู่ว่างานจัดขึ้นช่วงฤดูหนาวซึ่งก็คือเดือนธันวาคม แต่อย่าลืมว่าที่นี่ประเทศไทย จะอากาศดีแค่ไหนยังไงแดดก็ยังแรงจ้าอยู่นะจ๊ะ ถ้าจะให้ดีควรมีพร็อบเป็นหมวก ครีมและแว่นกันแดด หรือเสื้อแขนยาวเอาไว้หน่อยจะได้ไม่ปล่อยให้ผิวโดนทำร้ายจนเกินไป เอาล่ะ ไหน ๆ แดดยามบ่ายก็เริ่มทวีความร้อน เราก็เริ่มออกร่อนเก็บภาพและบรรยากาศของผู้คนในงานเป็นของฝากให้เห็นถึงความสนุกสนานที่เกิดขึ้นในงาน Wonderfruit Festival สิ้นปีนี้กัน และไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน หากติดตามรูปเรามาตลอดและสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่าไม่มีภาชนะที่ทำจากพลาสติก หรือสิ่งที่จะกลายเป็นขยะกำจัดยากหรือขยะสารพิษเลย ไม่ว่าจะผู้จัดงานเอง หรือว่าจากผู้ร่วมงาน  ยกตัวอย่างอย่างที่น่ารักสุดๆ คือแก้วแสตนเลสของพี่หนวดที่ใส่หมวกเบเร่ต์ มันทำให้พี่เขาดูเท่อย่างคลาสสิคขึ้นมาทันที เป็นเรื่องดีๆ ที่ทุกคนต่างร่วมใจกันโดยไม่ต้องประชาสัมพันธ์อะไรเพราะมันคือความตั้งใจของผู้ร่วมงานเองด้วยนะ (บราโว่!!)

เดินจนเกือบทั่วงานท้องก็พาลจะหิว เราจึงหิ้วท้องไปลองดูของกินกันสักหน่อย ซึ่งพอเห็นแล้วก็ดีต่อใจ ดีต่อระบบย่อยมากมายเพราะในงานมีอาหารจานออแกร์นิคอยู่หลากหลายคล้ายกรูเมต์ในห้างดังๆ และที่ปังกว่านั้นคือเราจะได้ลิ้มชิมความอร่อยจากจานของเชฟที่มีชื่อเสียงมากมายมากกว่า 50 shops ที่พร้อมใจกันรังสรรผลงานอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของทุกคนฮะ (ขนาดเบอร์เกอร์ยังคลีนได้ จะคลีนขนาดไหน งานหน้าอย่าลืมมาละกัน :D)

ไหน ๆ ธีมอาหารก็เป็นจานออแกร์นิคทั้งที ที่นั่งที่กินนี้ก็ควรจะคุม Mood & Tone ซึ่งมุม Dine In ในงานก็จะเป็นลักษณะการนั่งทานบนที่นั่งกองฟางจ้า ส่วนโต๊ะอาหารก็จะใช้คล้ายๆที่รองลังไม้มาทำเป็นที่ภาชนะ และจามชามในงานก็จะทำด้วยกระดาษหรือวัสดุที่สามารถทั้งรีไซเคิลและย่อยสลายได้ ไม่กลายเป็นขยะหมักหมมทำลายสิ่งแวดล้อมบริเวณนี้ หรือต้องนำไปกำจัดอีกทีให้เกิดมลพิษแน่นอน

พอใกล้พลบค่ำ ก็ทำพวกเราเริ่มครึกครื้น ยิ่งเมื่อเห็นพี่ๆทีมงานเริ่มเซ็ทไฟ แข้งขามันก็จะเริ่มขยุกขยิกขยับเขยื้อนไปสะอย่างงั้น ทั้งที่จริงแล้วดนตรีจะเริ่มมีมาตั้งแต่บ่ายๆนะฮะ แต่ว่าเพลงในช่วงนั้นมันจะเป็นแนวผ่อนคลายสบายอารมณ์ให้สมกับกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เราไปเข้าร่วม แต่พอแสงตะวันใกล้บอกลา บีทของดนตรีจะเร่งขึ้นมาให้เราแสตนบายพร้อมออกลวดลายกันในเวทีที่มีเยอะมากกกก ครบทุกแบบ ทุกแนว เลือกที่ใช่ เต้นที่ชอบให้หอบแฮ่ก ๆ ได้เลยจ้า แต่ขอบอกว่าทุกเวทีเขาสร้างมาแบบให้ไม่มีพิษภัยต่อสิ่งแวดล้อมใด ๆ ทั้งนั้น เช่น บางเวทีสร้างจากไม้ไผ่ พอจบงานไปก็นำไปประกอบต่อเป็นซุ้มหรืองานอีเวนท์อื่น ๆ ได้ต่อสบาย

พอตะวันลับฟ้า เราก็ต้องรีบมาที่เวทีนี้ที่โคตรคูล! ใครมาดูแล้วไม่รักก็บ้าแล้วกับ Molam Bus ที่ Wonderfruit Festival เขายกเอารถบัสทั้งคันมาตั้งไว้ในงาน แล้วเปิดหมอลำให้ดังสะท้านทั้งเอเรีย คือเหล่าวันเดอเรอร์ก็เนียนกันทำท่าเป่าแคนแดนอีสาน ตีโป่งโก่งคอกรีดร้องกันสนั่นหวั่นไหวไปกันทั้งด้านบนทั้งด้านล่าง ทั้งด้านข้าง ทั้งด้านหลังก็เต้นพร้อมๆกัน จนเรานั้นอยากจะจกข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่างเป็นกับแกล้มเพื่อให้ครบอรรถรสไปด้วยจริงๆ นอกจากดนตรีจะดี๊ดีย์ ที่งานนี้ยังมีการแสดงแขนงอื่นๆ ให้เราอยากตื่นขึ้นมารับชมตลอดเวลา ซึ่งอยากบอกว่าเขาก็จัดกันยันรุ้งเช้า ต่างเวทีต่างมีของมาถ่ายทอดเรื่องราวเป็นศิลปะการร่ายรำขับร้องในแบบฉบับของตนให้ผู้คนได้วนเวียนผ่านมารับชมกันได้ไม่เบื่อเลย

เอาล่ะ สำหรับวันนี้ก็ครบถ้วนกันทุกซอกทุกมุมกับมหกรรมความสนุกเพื่อจุดประกายความคิดด้านการอนุรักษ์ การค้นหาแนวทางใหม่เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นกันอย่างยั้งยืน และ Wonderfruit Festival ก็ทำให้เราตระหนักรู้ว่าความสุขสามารถอยู่คู่กับธรรมชาติได้ ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร และความสุขที่ใช่ คือความสุขที่สามารถแบ่งปันและต่อยอดให้กับมนุษย์ สัตว์ และธรรมชาติเป็นภาพวาดผืนเดียวกัน อยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกันต่อไปอย่างยั่งยืนฮะ

ส่วนใครที่พลาดงานนี้ก็ไม่ต้องเสียใจเพราะทุกอย่างไรปีหน้าฟ้าใหม่ Wonderfruit Festival เขาจะกลับมาอีกแน่นอน และเมื่อนั้น จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น ก็จะไปด้วยนะจ้าาา