let’s go camping : เขาค้อ 2 วัน 1 คืน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ บางทีแค่การเสียบหูฟังโหนรถไฟฟ้าไปทำงานแล้วเปิดวิทยุฟังพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุฯ ในตอนเช้า ก็ทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการออกเดินทางได้เหมือนกัน อย่างเช่นเมื่อวันก่อนพอกรมอุตุฯ นางรายงานว่า ช่วงนี้ในไทยอุณหภูมิจะลดลงหลายองศา ฟิลลิ่งการอยากหาโลเคชั่นกางเต้นท์ จิบกาแฟเคล้าคลอสายหมอกยามเช้าของเราก็เกิดขึ้น

ซึ่งพอเลิกงานกลับมานั่งนึกถึงสถานที่เที่ยวหน้าหนาวไม่ไกลจากกรุงมากนัก แวบแรกที่ลอยเข้ามาในหัวเราทันทีก็คือ “เขาค้อ” หนึ่งในโลเคชั่นกางเต้นท์สุดฮอตที่ไปซ้ำไปย้ำได้ทุกปี ที่นี่เหมือนมีสเน่ห์หรือพลังงานบางอย่างที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรวมทั้งเราไปมากกว่าหนึ่งครั้ง

อยากรู้ว่าดีแค่ไหนอยากให้ทุกคนลองไปดูนะเออ :}

สำหรับทริปนี้เรามีหนึ่งจุดกางเต้นท์บนเขาค้อที่อยากแนะนำและเชิญชวนให้ไปเปลี่ยนบรรยากาศดู จุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะคือจุดกางเต้นท์สุดพีคที่เราสามารถมองเห็นวิวเทือกเขาเพชรบูรณ์ล้อมรอบตัวแบบ 360 องศา ไม่ว่าจะหมุนตัวไปทางไหนก็จะมีแต่วิวสวยสวยให้ชม และเขาค้อ 2 วัน 1 คืน ครั้งนี้ นอกจากจะพาจิบ กาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน หน้าเต้นท์เกร๋ๆ ตามสไตล์ จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น แล้ว เรายังใจดีพาตะลอนเช็คอินกับอีกหลายที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเขาค้ออีกด้วย

สำหรับใครมีแพลนจะเที่ยวเขาค้อช่วงนี้ แต่ยัง no idea เรื่องที่เที่ยว กดแชร์รีวิวนี้เก็บไว้แล้วขับรถเที่ยวตาม Route ที่เราคัดสรรมาเพื่อพวกแกรได้เล้ยย! รับรองว่าฟินตลอดทางชัวร์ไม่มั่วนิ่มนะเออ

นอกจากการเลือกโลเคชั่นท่องเที่ยวแล้ว การเดินทางทุกครั้งต้องมีการวางแผนให้ดีที่สุด โดยการจัดกระเป๋าเตรียมของสำหรับเดินทางก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน พอเตรียมเต้นท์ หยิบเสื้อกันหนาว หมวก ถุงมือ พับเก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อย ก็ถึงเวลามาเตรียมอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นเหมือนเพื่อนซี้ยามเช้า ที่ทำให้เราสดชื่นได้ทุกวัน นั่นก็คือ Café Amazon Drip Coffee กับแก้วใบโปรดยัดใส่เพิ่มลงกระเป๋าใบเดิม ซึ่งความดีงามที่เราชอบใน กาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน ก็คือแพคเกจที่พกง่าย ใส่กระเป๋าไปได้ทุกที่ ถ้าไม่อยากพกกล่องใหญ่ ก็สามารถพกเป็นซองเล็กเล็กไปได้อีกด้วย คราวนี้แหละไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหน ก็สามารถดื่มด่ำกับกาแฟหอมหอมรสชาติดีที่คุ้นเคยได้ทุกที่ทุกเวลา

001 น้ำตกศรีดิษฐ์

ขับรถเพียงไม่กี่ชั่วโมงจากกรุงเทพ เราก็พาตัวเองวาร์ปมายืนสูดอากาศสดชื่น พร้อมยื่นหน้ารับละอองน้ำริม “น้ำตกศรีดิษฐ์” น้ำตกที่เราเชื่อว่าหลายคนยังไม่ค่อยรู้จัก หรือบางคนอาจคุ้นคุ้นหูบ้างแต่ยังไม่เคยมา ไม่เป็นไรนะแกร… เดี๋ยวเราจะพาไปทำความรู้จักกับน้ำตกนี้เอง สำหรับการเดินทางมาที่นี่ไม่ยากแค่ขับรถมายังสามแยกหนองแม่นา และเลี้ยวขวาเข้าถนนหลวงไปอีกประมาณสิบกิโลก็จะเจอป้ายน้ำตกขนาดใหญ่เห็นเด่นชัดมาแต่ไกล หักรถเลี้ยวเข้าไปแล้วหาที่จอดบนลานโล่งโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ได้เลย

น้ำตกศรีดิษฐ์ เป็นน้ำตกขนาดกลางไม่เล็กจนเกินไปไม่ใหญ่จนอ้างว้าง มีชั้นเดียว เดินจากที่จอดรถเพีง 100 เมตรก็ถึง ถือเป็นน้ำตกที่เดินใกล้แต่วิวก็สวยแจ่มไม่แพ้น้ำตกลึกลับในป่าเลย ดีซะอีกไม่ต้องเดินไกลให้ปวดน่อง ก็เจอความอเมซิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว สายน้ำที่เห็นเป็นลำน้ำจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ที่ไหลผ่านหน้าผาหินกว้างลงมา เรายืนมองและลองจินตนาการดูแล้ว มันดูคล้ายกับผ้าม่านสีขาวในห้องนอนที่แสงส่องมาในตอนเช้า  ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลายและอบอุ่นไปพร้อมกัน

002 อ่างเก็บน้ำรัตนัย

กลับขึ้นรถหมุนพวงมาลัยไปยังโลเคชั่นถัดไปซึ่งอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกกับ “อ่างเก็บน้ำรัตนัย” อ่างเก็บน้ำที่สวยจนทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่อีกเมืองนึง ถ้าใครเคยไปเมืองดาลัทประเทศเวียดนามมาก่อน จะต้องรู้สึกคุ้นตาคุ้นใจกับฟีลลิ่งของภาพแบบนี้อย่างแน่นนอ คือมันใช่เลยแกร๊! เหมือนเลยจริงจริง ทั้งบรรยากาศที่เป็นแอ่งน้ำล้อมรอบด้วยขุนเขา มีต้นสนสวยสวยอยู่เป็นแนว และไหนจะอากาศดีดี มีลมพัดเย็นสบายตลอดวันอีก ขนาดเราไปถึงตอนช่วงบ่ายที่ยังมีแดดค่อนข้างแรง แต่กลับไม่รู้สึกว่าร้อนจนแบบทนไม่ไหว นี่เลยคิดไปเองว่าที่เขาค้อคงมีรังสีความร้อนน้อยกว่ากรุงเทพแน่ๆ

ความสเปเชี่ยลของที่นี่คือ หากยืนอยู่บนยอดเขาข้างบนแล้วมองลงมาในตอนเช้า เราจะเห็นทะเลหมอกลอยปกคลุมทั่วอ่างเก็บน้ำ เป็นภาพที่สวยงามและเป็นซิกเนเจอร์ของเขาค้อไปแล้ว แต่ถึงยังไงก็เถอะ ไม่ว่าจะมีหมอกหรือไม่มีหมอก บรรยากาศตรงหน้าก็พาให้ใจสดชื่นได้เหมือนกัน สูดหายใจแต่ละทีโล่งสบายเหมือนเพิ่งใช้ยาพ่นจมูกมาใหม่ใหม่แบบนั้นเลย ฮ่าฮ่า

สำหรับคนที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการพักผ่อน แนะนำให้มานั่งเล่น นอนกลิ้งตัวบนหญ้าริมน้ำได้ หรือใครจะพกเบ็ดมาสักคันสำหรับตกปลาก็ได้เหมือนกันเพราะที่นี่เค้าไม่ได้ห้ามไว้ ยิ่งตอนยามเย็นเห็นพระอาทิตย์ตกเนี่ย จะยิ่งทวีคูณความพีคเข้าไปอีกสิบเท่าเลยนะ ใครอยากฟินทั้งเช้า กลางวัน เย็นแบบไม่มีลิมิต สามารถติดต่อลานกางเต้นท์ล่วงหน้ากับทางกรมชลประทาน จังหวัดเพชรบูรณ์ได้เลย รับรองว่าโลกของแกรจะเสียว เอ้ย! เขียวไปทั้งวัน

003 จุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ

เงยหน้ามองฟ้าก็เริ่มเห็นแดดเฉียงเฉียงพอให้แสบตา เป็นสัญญาณว่าวันนี้กำลังจะหมดหน้าที่ของดวงอาทิตย์แล้ว เราเองก็จัดเต็มกับสองโลเคชั่นใหม่ในเขาค้อมาอย่างจุใจ ถึงเวลาต้องออกเดินทางมุ่งหน้าไปจุดชมวิวปังๆ เพื่อปักหลักกางเต้นท์นอนพักในคืนนี้ และอย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรกว่าครั้งนี้เราจะไม่กางเต้นท์ที่ไปรษณีย์เขาค้อเหมือนครั้งก่อนที่เคยมา แต่จะมาเปลี่ยนบรรยากาศเป็นที่เขาตะเคียนโง๊ะแทน ซึ่งจุดนี้เป็นจุดกางเต้นท์น้องใหม่ที่เพิ่งฮอตฮิตมาได้ไม่กี่ปีนี้เอง ถึงจะเพิ่งเป็นที่รู้จักแต่ใครที่ได้มาก็ติดอ๊กติดใจจนกลับมาซ้ำกันแทบทั้งนั้น การันตีความดีงามไว้ ณ ตรงนี้เลย

ลานกางเต้นท์ตะเคียนโง๊ะ อยู่ในตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เราว่ามันเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดบนเขาค้อ สามารถดูได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และตกในจุดเดียวกัน เรียกว่าเราหมุนตัวได้ 360 องศา ก็เห็นวิวรอบทิศแบบไม่มีอะไรบดบังทัศนียภาพความงามเลย เอฟวายไอสำหรับคนที่จะตามรอยไป หากนำเต้นท์มาเองจะเสียค่าที่กางเต้นท์ 200 บาท แต่สำหรับสายที่ขี้เกียจเดินตัวปลิวที่นี่มีเต้นท์บริการของชาวบ้านให้เช่าในราคา 450 บาทพร้อมเครื่องนอน หมอนมุ้งทุกอย่างครบ และพอได้ทำเลที่ตั้ง กางเต๊นท์เสร็จเรียบร้อย ก็เป็นเป็นเวลาจู๋จี๋ท่ามกลางแสงเย็นที่ค่อยค่อยหมดไปพร้อมกับอากาศที่เย็นขึ้นเรื่อยๆ บอกเลยโมเม้นนี้จับมือคนข้างข้างอบอุ่นสุด

หลังจากตะวันลับขอบฟ้าก็ถึงเวลามื้อเย็นกับเมนูสุดฟินที่เคียงคู่กับการกางเต้นท์ที่เขาค้อนั่นก็คือ แทนทาดาแดนแทนแถ่น แถ่นแทนแท้นนนนนนนน หมูกระทะ จ้าคุณผู้ชม ปิ้งย่างให้ฟินท่ามอากาศหนาวๆ คงไม่มีอะไรจะดีย์ไปกว่าการวางหมูนุ่มนุ่มลงเตา พลิกกลับไปมา และคีบใส่ปากเราอีกแล้วละแกรเอ๊ย สำหรับหมูกระทะที่เห็นสามารถสั่งได้เป็นชุดจากร้านชาวบ้านแถวนั้นในชุดละ 250-400 บาท ใครกลัวไม่อิ่มจะเอาของสดมาปิ้งย่างเพิ่มก็ได้ แต่สำหรับสองคนเราลองแล้ว ชุดเดียวเอาอยู่ อิ่มกำลังดี เรอหนึ่งทีแล้วมุดเข้าเต้นท์ได้สบาย

ราตรีสวัสดิ์!!

อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ขอยอมรับแบบแมนๆ ว่าเช้านี้เราตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากเต้นท์ข้างๆ แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีอยู่เพราะปกติกว่าเราจะแงะตัวออกจากผ้าห่มได้นั้น ช่างยากเหลือเกิน ยิ่งอากาศเย็นสบายแบบนี้แล้วด้วยล่ะก็ … ตอนแรกที่ตื่นมาเรามองไม่ค่อยเห็นหมอกเท่าไหร่ แต่พอล้างหน้า ขยี้ตา แปรงฟันเสร็จ หมอกค่อยค่อยลอยละลิ่วลู่มาตามแรงลมมาทีละนิดทีละหน่อย เหมือนเพิ่งตื่นจากนิทราจนเกือบปกคลุมวิวทิวเขาด้านหน้า ที่ชาวบ้านเรียกว่า เขาปู่ เขาย่า  ไว้เกือบหมดเลย 10 10 10 ไปเลยจ้า

หลังจากที่ยืนดูหมอกฟินฟินอยู่พักใหญ่ ก็รู้สึกอยากเพิ่มความสดชื่น ความเฟรชขั้นสุดให้กับเช้านี้ได้สดใสซ่าบซ่า++ เราเลยเอื้อมมือไปหยิบ Café Amazon Drip Coffee ที่ตั้งใจเตรียมมาเพื่อดริปท่ามกลางหมอกเขาค้อออกมาจากกระเป๋า และก่อนจะเร่ิมดริฟขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟดริปเล็กน้อยเผื่อมีคนสังสัย กาแฟดริปคือกาแฟที่สกัดด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก แตกต่างจาก esspresso ที่แกรเคยกินตามร้านกาแฟ อันนั้นจะสกัดด้วยแรงดัน จุดเด่นของกาแฟดริป อยู่ที่รสชาติและกลิ่นที่ยังคงความเป็นตัวตนของเมล็ดกาแฟนั้นนั้นไว้ได้อย่างดี เฉกเช่นกลิ่นหอมๆของ Café Amazon Drip Coffee นี้ ที่แค่เราฉีกซองปุ๊บก็ได้กลิ่นกาแฟหหอมละมุนลอยมาเตาะจมูก เรียกได้ว่าสดชื่นตั้งแต่ยังไม่ทันชิมเลย ถ้ามองเข้าไปในซองสีขาวเราจะเห็นเมล็ดกาแฟที่ถูกบดมาอย่างละเอียดกำลังดี คั่ว medium to dark เพื่อให้ได้รสชาติที่น่าพอใจในทุกวัน

นอกจาก Café Amazon Drip Coffee จะพกง่ายแล้ว วิธีการชงก็ไม่ยากเลย แค่แกรมีแก้วคู่ใจสักใบกับน้ำร้อนประมาณครึ่งขวดของน้ำขวดเล็กที่อุณหภูมิ 92-96 องซาเซียลเซส ก็สามารถดริปได้แล้ว อ้าวแล้วจะรู้ได้ไงว่าน้ำอุณหภูมิได้รึยัง อันนี้เป็นทริคเล็กเล็กที่อยากแอบกระซิบบอก คือให้แกรต้มน้ำจนมันเดือดปุดปุด (น้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส) จากนั้นก็ให้ปิดเตาและทิ้งงไว้สักนาที อุณหภูมิจะลดลงเองตามธรรมชาติจนพอดีกับการดริป ใครชอบกาแฟเบาเบาจะใช้น้ำมากกว่าที่เค้ากำหนดก็ได้อร่อยเหมือนกัน ปล.วิธีการดริปแบบละเอียด สามารถอ่านได้จากหลังซองเด้อจ้า

กาแฟดริปแบบนี้จะทำให้เราได้คาเฟอีนต่อวันในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากไปจนตาค้างนอนไม่หลับ แถมยังดีต่อสุขภาพ สาวสาวดื่มได้ ไม่อ้วน เพราะแทบไม่มีแคลอรี่เลย ไม่เหมือนพวกกาแฟส่ายโนมมมเยอะเยอะพวกนั้น ว่าแล้วดริปเสร็จเดี๋ยวขอถือไปแบ่งสาวเต้นท์ข้างข้างหน่อยละกัน 555

สำหรับข้อดีอีกข้อของการพกกาแฟดริปแบบนี้ติดกระเป๋าสำหรับเดินทาง คือบางที่ที่เราไปอาจไม่ได้มีร้านกาแฟให้กินในตอนเช้า เราก็สามารถดื่มด่ำกับกาแฟแก้วโปรดได้ทุกที่ทุกเวลาแค่มีเจ้า Café Amazon Drip Coffee ติดกระเป๋าไว้อุ่นใจแน่นวล

สำหรับคนที่ไม่ได้มากางเต้นท์ก็สามารถขึ้นมาดูทะเลหมอกได้เหมือนกัน แต่ควรมาตั้งแต่ตีห้าครึ่งถึงเจ็ดโมง และต้องเช็คพยากรณ์อากาศล่วงหน้าให้ดี เพราะบางทีมาไม่เจอหมอกเดี๋ยวจะเฟลซะเปล่า พอเริ่มสายแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยเรื่อยก็ถึงเวลาเก็บเต้นท์และมูฟออนไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ

004 ทุ่งกังหันลม บ้านเพชรดำ
ออกจากจุดกางเต้นท์เราก็มุ่งหน้ามาที่ ทุ่งกังหันลม แหล่งผลิตพลังงานสะอาดที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวแทบทุกคนจนกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่ต้องแวะเมื่อมาเยือนเขาค้อ และด้วยความใหญ่โตของกังหันที่มีความสูงกว่า 100 เมตร จำนวน 24 ต้น เลยทำให้สามารถมองเห็นได้จากหลายจุดบนเขาค้อ ส่วนที่ตั้งของทุ่งกังหันลมนั้นอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านเพชรดำ บนเนินสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกลไปถึงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วเลยทีเดียว

ทุ่งกังหันลมไม่ได้มีแค่กังหันให้เห็นและยืนถ่ายรูปคู่เท่านั้น ที่นี่ยังมีกิจกรรมน่าสนุกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่าง “ฟอร์มูล่าม้ง” และ “ชิงช้าชาวเขา“ ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย ไม่ใช่เห็นแต่เด็กเด็กที่ร้องจะเล่นนะแกร ผู้ใหญ่วัยใสอย่างเราก็มาต่อแถวเล่นกันเพียบ เราอาสาขอลองเล่นดูแล้ว ขาลงก็มันก็สบายดีอยู่หร่อก แต่พอขาขึ้นนี่สิ่ต้องลากรถขึ้นเขาไปคืนที่เดิมด้วย ทำเอามื้อเช้าที่กินมาย่อยหมดก็คราวนี้แหละ

การเดินทางมายังทุ่งกังหันลมให้เราขับรถมาทางหมู่บ้านเพชรดำ ถ้ามาจากแคมป์สน พอถึงแยกทุ่งสมอตรงไปอีก 3 กม. จะเจอป้ายบอกทางไปทุ่งกังหันลม ให้เลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ 10 กม. ก็จะถึงแล้วแกร แต่ถ้ายังงงงวยให้จิ้มกูเกิ้ลแมพไปเพราะสะดวกขับตามอย่างเดียวไม่หลงแน่นอน ถนนเป็นทางลาดยางมีโค้งบ้างนิดหน่อย รถเล็กไปได้ รถใหญ่สบายหายห่วง มีบริการรถรางพาเที่ยวชมกังหันแบบใกล้ชิดด้วย ใครมีเวลาเหลือก็ลองไปนั่งชมวิวดู เพลินดีเหมือนกันแหละ

005 วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
ชื่อเสียงเรียงนามกิตติศัพท์ของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วจนถูกขนานนามว่าเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ใครได้ไปราวกับได้ไปเดินเล่นบนนสวรรค์ เป็นหนึ่งแลนด์มาร์คที่อยู่เคียงคู่กับอำเภอเขาค้อ ส่วนที่มาของชื่อวัดมาจากภูเขาสูงใหญ่ที่มีถ้ำอยู่ปลายยอดเขา วันดีคืนดีชาวบ้านก็จะเห็นลูกไฟลอยขึ้นบนฟ้าและลับหายไปในถ้ำ จึงมีความเชื่อว่าอาจเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา ถือว่าเป็นสถานที่มงคลและเรียกต่อต่อกันมาว่า “ผาซ่อนแก้ว”

สถานที่สำคัญภายในวัดที่เห็นเด่นชัดเลยก็คือ อุโบสถพระพุทธเจ้า 5 พระองค์  และเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว ซึ่งความพิเศษของเจดีย์อยู่ที่ลวดลายการตกแต่ง จะใช้ถ้วยกระเบื้อง หินสีต่างๆ แม้แต่ชามเบญจรงค์ก็มี ดูงดงามแปลกตาเป็นอย่างมาก ยิ่งเวลาที่แสงแดดตกลงมากระทบผิวกระเบื้องแล้ว เหมือนเพรชระยิบระยับดูเลอค่าขึ้นอีกหลายเท่าเลย ด้วยความที่วัดตั้งอยู่บนที่สูงรอบบริเวณตัวพระธาตุจึงกลายเป็นเหมือนจุดชมวิวไปในตัว มองไปทางไหนก็เห็นเขาล้อมรอบ นับว่าอีกที่ที่มาแล้วคุ้มค่าเพราะนอกจากอิ่มใจยังอิ่มบุญด้วยแกร๊ มาค่ะ!!

0o6 ร้านขนมจีนเสวยขยุ้มเจ๊แร่
เค้าว่าความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอทริปนี้ก็เช่นกันคงต้องโบกมือลาเขาค้อ แต่ก่อนที่เราจะเดินทางกลับขอแวะไปทานขนมจีนเส้นสดหลากสีชื่อดังของจังหวัด ที่อยู่คู่เมืองหล่มสักมามากกว่า 50 ปี ( คาดว่าน่าจะตามอายุเจ้าของร้านก็เป็นได้ 555 ) แต่ความแซ่บของขนมจีนเจ๊แร่ไม่ได้ลดน้อยลงตามกาลเวลาเลย ยิ่งถ้าได้กินคู่กับน้ำยาทั้ง 5 ชนิดของเจ๊แกแล้ว รับรองว่าต้องเงยหน้าพร้อมกับยกมือชิดหูสุดแขนแล้วไปตะโกนบอกเจ๊ว่าจัดจานสอง จานสาม จานสี่ มารัวรัวค่ะ น้ำยาทั้ง 5 ก็จะมี น้ำยาปลาช่อน น้ำยาป่า น้ำยาปักใต้ น้ำยาสมุนไพร น้ำพริก ถ้าถามว่าเราชอบน้ำยาไหนบอกเลยว่าตอบยากมาก เพราะเราเป็นคนอวบอวบทานอะไรก็อร่อย อิอิ

ความแซ่บเบอร์แรงขนาดนี้สามารถจิ้มกูเกิ้ลแมพแล้วขับตามมาทานได้เลย หรือจำง่ายง่ายตรงจากสี่แยกไฟแดงในตัวเมืองแล้วเลี้ยวซ้ายไปทาง อ.หล่มเก่า มองหาซอยวจี 13 ก็จะเจอร้านเจ๊แร่ตั้งเด่นเป็นสง่าด้วยป้ายสีชมพูพริ้งสดใสซาบซ่า ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 นะจ๊ะ

กินไปก็แอบสงสัยไปว่าทำไมเจ๊ต้องขยุ้ม ขยุ้มหัวใจหรือขยุ้มหลังคา เจ๊แร่แกเลยรีบอธิบายต่อว่าที่เรียกว่าขยุ้มเพราะเป็นการขยุ้มขนมจีนสดสดที่เสร็จใหม่ มาจัดเรียงไว้ในจานแบบพอดีคำ ไม่ใหญ่จนเกินไป จุดเดินอีกอย่างของร้านคือมีความออแกนิคอยู่เยอะมาก ไม่ใช่แค่ผักเครื่องเคียงที่กินกับขนมจีนนะแต่เจ๊แกยังใช้สีธรรมชาติที่มาจากพืชผักผสมลงในเส้นขนมจีนตามแต่ละสีด้วย เช่น สีเหลืองทำมาจากขมิ้น สีส้มมาจากแครอท สีม่วงมาจากดอกอัญชัญ หรือสีเขียวมาจากใบเตย ความออแกนิคนี่แหละเป็นเคล็ดลับที่ทำให้เจ๊สุขภาพดียิ้มแฉ่งต้อนรับลูกค้าได้ทั้งวัน

ตามธรรมเนียมก่อนจะไปเจอรถติดยาวยาว คือ มี ปตท. ที่ไหน เราก็จะแวะที่นั่น แวะเติมน้ำมัน เข้าห้องน้ำ และพักรถยืดเส้นยืดสาย ก่อนมุ่งหน้าเข้ากรุง สำหรับใครที่คอกาแฟหรืออยากทดลอง Café Amazon Drip Coffeeแบบเราสามารถหาซื้อได้จาก ร้านคาเฟ่ อเมซอน ทุกสาขาทั่วไปเทศได้แล้วตั้งแต่วันนี้เลย สุดท้ายขอบอกตรงนี้เลยว่าถ้าแกรได้ลองอาจจะติดใจจนลืมกาแฟใส่นมใส่น้ำตาลไปได้เลย

และทั้งหมดนี้ก็คือทริปดริปกาแฟกางเต้นท์ 2 วัน 1 คืนที่เขาค้อของเรา ทริปสั้นสั้นที่ได้พลังงานบวกให้ใจ กาย พร้อมกลับไปลุยไปทำงานที่เรารักไปเจอชีวิตในเมืองแบบเลี่ยงไม่ได้ และถ้าวันไหนเกิดมีอารมณ์อยากทิ้งทุกอย่างไปเที่ยวอีกครั้ง เราอาจจะกลับไปเปิดวิทยุคลื่นเดิมฟังกรมอุตุฯ แจ้งพยากรณ์อากาศแล้วหาแรงบันดาลใจในการเดินทางทริปต่อไปก็เป็นได้

เพราะเราเชื่อเสมอว่าว่าทุกครั้งที่เราออกไปเที่ยว เรามักจะได้อะไรที่คุ้มค่ามากกว่าแค่จุดหมายปลายทาง แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะแกร๊