ท่องเที่ยว “อุบลราชธานี” แบบสุขใจ

ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางเราก็คิดมาตลอดว่าการเดินทางคือการแสวงหาความสุข หาความตื่นเต้น หาอะไรใหม่ทำ ไปในที่ที่ทำให้เราเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ก็ยังคิดแบบนั้นอยู่ แต่เพิ่มเติมคือนอกจากการแสวงหาเพื่อตัวเองแล้วการเดินทางก็คือการแบ่งปันด้วย แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ที่เราได้พบเจอ แบ่งปันรอยยิ้มให้เพื่อนร่วมทาง แบ่งปันความคิดเห็นให้กับคนรอบข้าง เราเชื่อว่าทุกการเดินทางเราสามารถเป็นได้ทั้งผู้ให้และผู้รับ และนั่นล่ะคือความสุขใจที่เราได้จากการเดินทาง เราจึงหลงรักการเดินทางแบบถอนตัวไม่ขึ้นสักที ทริปนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทริปที่เราอยากนำเสนอ เส้นทางที่จะทำให้ทุกคนสุขใจ สบายกาย เสมือนอรุณรุ่ง ณ เมืองที่ได้รับแสงแรกของสยามประเทศ “อุบลราชธานี”

ทริปนี้เรามีโอกาสได้ร่วมทริปกับ คิง เพาเวอร์ ออกไปเที่ยวอุบลราชธานีแบบสุขใจ เพราะนอกจากเราจะได้ตะเวนไหว้พระรับแต้มบุญกันถึง 4 วัด ตระเวนกินของอร่อยถึง 7 ร้าน เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แล้ว เรายังได้มีโอกาสร่วมทำ 2 กิจกรรมดีๆ ที่ทาง คิง เพาเวอร์ ได้ทำเพื่อพี่น้องชาวอุบลราชธานีนั่นก็คือ กิจกรรมส่งมอบสุขา สุขใจ แห่งที่สอง ณ สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง อีกหนึ่งในโครงการ Community Power ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและชุมชนให้เข้มแข็งแบบยั่งยืน ส่วนอีกกิจกรรมก็จะเป็น ล้านลูกล้านพลังสร้างฝันเด็กไทย มอบลูกฟุตบอลให้กับเยาวชนเมืองอุบล ณ สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง บอกเลยว่าตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ที่เรานำมาบอกต่อพวกแกจะต้องอิ่มบุญ อิ่มท้อง และสุขใจ เหมือนกับเราแน่นอน …

วัดมหาวนาราม

หันหลังให้กับเมืองฟ้าอมรดินแดนเทพสร้างกันสักครู่ แล้วมุ่งหน้าสู่ดินแดนดอกบัวอย่างเป็นสิริมงคลกันที่ วัดมหาวนาราม หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าวัดป่าใหญ่ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่อายุกว่าสองร้อยปี “พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง” อันเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของ จ.อุบลราชธานี วันที่เราไปคนแห่มาวัดกันแบบคึกคัก สองไม้สองมือล้วนพัลวันหยิบนู่นจับนี่กันให้วุ่นวายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเนื่องจากเป็นวันที่ทางวัดจัดพิธีทรงตั้งเปรียญธรรม ๓ ประโยค ให้แก่พระภิกษุ หลายร้อยรูป งานนี้เลยอิ่มบุญ อิ่มใจจนหน้าบานเป็นจานเชิงที่ได้เห็นวิถีชาวพุทธที่แสนศรัทธาของชาวอุบลฯ แบบใกล้ชิด

วัดบูรพาราม

มีคนบอกเราว่ามาอุบลฯ ในช่วงเข้าพรรษาทั้งทีหากพลาดโอกาสแวะชมการทำเทียนพรรษาอันโด่งดังของจังหวัดก็คงเหมือนกับไปอควอเรี่ยมแล้วไม่ยอมไปดูโชว์ปลาโลมา จากวันแรกเราจึงเดินทางไปอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของอุลบฯ วัดบูรพาราม เพื่อชมขั้นตอนต่างๆ ในการทำต้นเทียน เยี่ยมชมหอไตรคู่ สถาปัตยกรรมที่หาชมได้ยากในเมืองไทย โดยหอไตรที่นี่มีลักษณะเป็นเรือนไม้ ยกพื้นสูง สองหลังคู่กัน รวมถึงเดินชมพระอุโบสถหลังเก่าที่เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเหมือนเกจิอาจารย์สำคัญ 5 องค์ ที่เคยมานั่งวิปัสสนากรรมฐานที่วัดนี้อีกด้วย

สำหรับการทำต้นเทียนนั้น ขั้นตอนแรกจะเริ่มจากนำเทียนลงไปหลอมจนละลายกลายเป็นน้ำเทียน แล้วค่อยเอามาพิมพ์แบบ จากนั้นก็แกะลายต่างๆ ตามแต่ที่จินตนาการและออกแบบกันไว้ทีละชิ้นๆ และจึงนำเทียนที่แกะลายเรียบร้อยแล้วมากกว่าแสนชิ้น ไปติดประกอบกับแบบรูปต่างๆ ที่เตรียมไว้ ซึ่งวิธีการทำเทียนพรรษาแบบนี้จะถูกเรียกว่าต้นเทียนประเภทติดพิมพ์  ซึ่งคนปราณีตอย่างเราก็มีโอกาสได้ลองทำในขั้นตอนการแกะลายเทียนด้วย ทำให้เราได้ฝึกสามาธิ และได้รู้ว่ากลับไปเดินถ่ายรูป เป็นผู้ชมอย่างเดียวนั้นเหมาะกับคนปราณีต(น้อย) อย่างเรามากที่สุดแล้ว

พิพิธภัณฑ์บ้านคำปุน

นอกจากเรื่องเทียนพรรษาอันแสนวิจิตรของชาวอุบลฯ แล้ว เรื่องผ้าของเมืองนี้ก็โด่งดังไม่แพ้กัน และหนึ่งในสถานที่ทอผ้าของอุบลฯ ที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักก็คือ พิพิธภัณฑ์บ้านคำปุน แหล่งผลิตงานหัตถศิลป์ผ้าทอมือชั้นสูง และสถานที่ที่รวบรวมเครื่องมือทอผ้าโบราณ ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมการทอผ้า โดยปกติที่นี่ไม่ได้เปิดรับให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพราะเนื่องจากภายในเป็นที่พักผ่อนของเจ้าของบ้านเองด้วย โดยในหนึ่งปีจะจัดนิทรรศการเปิดให้เข้าชมเพียง 1 ครั้ง เป็นเวลาไม่เกิน 3 วัน ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา คิดค่าเข้าชมคนละ 100 บาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายจะนำไปมอบเป็นทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนที่ขาดแคลน และส่วนที่เหลือจะนำไปบำรุงพิพิธภัณฑ์ศรีอุบลรัตนาราม อีกทั้งบำรุงพุทธศาสนสถานอื่นๆ ตามความเหมาะสม แต่ในอนาคตบ้านคำปุนจะเปิดส่วนใหม่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สามารถให้คนทั่วไปเข้าชมได้ พร้อมทั้งเปิดเป็นโรงเรียนสอนทอผ้า (ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเรียน) ใครอยากชมก็ติดตามข่าวสารกันให้ดีๆ นาจา

ร้านอาหารวิไลลาบปลา

อิ่มบุญ อิ่มใจ แต่ไม่อิ่มท้องหน้าก็จะหมองได้นาจา มื้อแรกที่อุบลฯ เราเลยขอเริ่มที่ของดังประจำจังหวัดตามคำขวัญที่ว่า มีปลาแซบหลาย กัน เพื่อพิสูจน์สักหน่อยว่าจะสมมงจริงหรือไม่กันที่ร้าน วิไลลาบปลา กับเมนูปลาสองร้อยแปดสิบอย่างสมชื่อร้าน เช่น ลาบปลา ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ต้มส้มปลาคัง ผัดฉ่าปลาค้าว และนึ่งปลาตำแจ่ว ซึ่งความอร่อยนั้นบอกต่อกันได้ยาก เราจึงขอบอกแค่ว่าจานไหนยกมาเป็นหมด เป็นหมด เป็นไม่เหลือ เป็นขอข้าวเพิ่ม เป็นขอกับเพิ่มจนพุงเกือบแตกแทนแล้วกัน

วัดศรีนวลสว่างอารมณ์

อิ่มท้อง อิ่มใจ แสนสดใสเบิกบานก็เริ่มเดินทางไปต่อกับสถานที่ที่บอกเลยว่าห้ามพลาด วัดศรีนวลสว่างอารมณ์ บ้านชีทวน ต.ชีทวน อ. เขื่องใน ภายนอกวัดที่รายล้อมไปด้วยทุ่งนาสีเขียวสุดลูกหูลูกตา เชิญชวนให้เรากดชัตเตอร์แล้วกดชัตเตอร์อีก และใจกลางวัดคือสถานที่ตั้งของ ธรรมมาสน์สิงห์ ศิลปะญวนโบราณที่ผสานความเป็นไทยและจีนลงไปได้อย่างลงตัว และฝ้าเพดานที่ใช้ศิลปะแบบเดียวกัน ธรรมมาสน์เก่าแก่นี้สร้างเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2470 โดยแต่เดิมมีไว้เพื่อให้พระขึ้นเทศน์ในวันพระทั่วไป แต่ต่อมากรมศิลป์ ได้เข้ามาร่วมมือในการอนุรักษ์ธรรมาสน์นี้ไว้โดยกำหนดให้สามารถใช้ได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น คือในวันอาสาฬหบูชา เพื่อเป็นการรักษาไว้ไม่ให้ชำรุดไปมากกว่าเดิม สีเหลืองนวลๆ ประกอบกับลวดลายที่ดูขี้เล่นเพราะมีทั้งคนแต่งตัวประหลาด และสัตว์นานาชนิดบนธรรมมาสน์ทำให้เราเข้าใจว่า ธรรมของคนที่นี่คือวิถีชีวิตของพวกเค้า ได้ผสานกันอย่างกลมกลืน น่าจดจำ และน่าบันทึกภาพไว้เป็นที่สุด

ขัวน้อย  

ออกจากวัดศรีนวลสว่างอารมณ์มาไม่ไกลเราก็จะได้พบกับ ขัวน้อย หรือสะพานข้ามทุ่งนาบ้านชีทวน สะพานปูนที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างชุมชนบ้านหนองแคนกับบ้านชีทวน ที่นอกจากจะสร้างไว้เพื่อนความสะดวกในการไปมาสองหมู่บ้านแล้ว ยังสร้างขึ้นเพื่อให้ทั้งสองหมู่บ้านได้ทำบุญในวัดของอีกหมู่บ้านได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยแต่เดิมชาวบ้านได้นำเอาไม้เก่ามาทำเป็นสะพาน และภายหลังชาวบ้านจึงจัดผ้าป่าสามัคคีสร้างขัวน้อย เป็นสะพานคอนกรีตที่เห็นในปัจจุบัน แนะนำว่าถ้ามาควรมาช่วงเช้า หรือเย็นๆ ให้แดดร่มลมตกสักหน่อย ไม่งั้นความสุขในการเดินเล่นสะพานจะมีความร้อนระทมจากไอแดดเป็นมารขวางความสุขที่ยิ่งใหญ่ไปได้

ร้านอุบลโอชา

เวลาล่วงเลยมาจนถึงเช้าของอีกวัน แน่นอนว่าสิ่งแรกก่อนการเดินทางจะเริ่มสิ่งที่เราจะต้องทำคือการกิน!!! เพราะอาหารคือชีวิต เราเลือกอาหารที่ขึ้นชื่อสุดๆ เมื่อมาอุบลฯ อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คืออาหารเวียดนาม ที่ร้านอุบลโอชา ร้านอาหารเช้าชื่อดังที่เสิร์ฟอาหารเช้าสไตล์เวียดนาม จำพวกไข่กระทะ ก๋วยจั๊บญวน ขนมปังเวียดนาม และข้าวต้มไรซ์เบอร์รี่ ส่วนอาหารที่แนะนำให้ลองก็คือ ไข่กระทะ ก๋วยจั๊บญวน ขนมปังเวียดนาม และข้าวต้มไรซ์เบอร์รี่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือทุกอย่างที่เรากินไปเพราะมันอร่อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๋วยจั๊บญวน ที่เห็นชามโต เครื่องแน่นๆ เสิร์ฟแบบร้อนๆ บีบมะนาว เพิ่มพริกสักหน่อย รับรองได้ว่าเช้าวันนี้ฤกษ์งามยามดีแบบเห็นๆ ที่สำคัญเห็นเครื่องเน้นๆ ล้นชามแบบนี้แต่ราคาแค่ 40 บาท คุ้ม!!! สั่งสิรออัลไล๊

กิจกรรมล้านลูกล้านพลังสร้างฝันเด็กไทย มอบลูกฟุตบอลให้กับเยาวชนเมืองอุบล ณ สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี

หลังจากอิ่มท้อง เราก็ได้มีโอกาสเช้าร่วมกิจกรรมกับทาง คิง เพาเวอร์ และได้รู้ว่าสิ่งที่ คิง เพาเวอร์ ทำไม่ใช่เพียงแค่จัดโครงการล้านลูกล้านพลังสร้างฝันเด็กไทย มอบลูกฟุตบอล 1 ล้านให้กับเด็กไทยทั่วประเทศ หรือโครงการ 100 สนามพลังเยาวชนไทย สร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียม จำนวน 100 สนามทั่วประเทศภายใน 5 ปี เพื่อหวังให้เยาวชนมีพื้นที่ออกกำลังกาย ห่างไกลจากยาเสพติดเท่านั้น แต่สิ่งที่คิงเพาเวอร์มองไปไกลกว่านั้น คือ โอกาสที่จะมอบให้กับเด็กๆ และสานฝันให้เยาวชนทั่วประเทศที่รักกีฬาแต่ยังขาดโอกาสได้ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง

นอกจากนี้ คิง เพาเวอร์ ยังมี “โครงการ FOX HUNT ตามล่าจิ้งจอกสายพันธุ์สยาม” โดยมอบทุนการศึกษาและโอกาสสำคัญในชีวิตที่เงินไม่สามารถซื้อได้ ด้วยการไปฝึกทักษะกีฬาฟุตบอลที่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ และสโมสร OH Leuven ของประเทศเบลเยียม ซึ่ง คิง เพาเวอร์เป็นเจ้าของ เพื่อต่อยอดอนาคตของนักเตะเยาวชนไทยได้มีช่องทางเข้าไปเล่นในลีกฟุตบอลระดับยุโรป โดยได้เปิดโอกาสให้เด็กไทยมาแล้วในปีนี้เป็นรุ่นที่ 3 สำหรับรุ่นแรกประสบความสำเร็จกลับมาเล่นในไทยลีก 12 คน อีก 4 คนไปเล่นที่ OH Leuven ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพของคนไทย พลังคนไทยมีจริง

ร้านอาหารเวียดนาม Agave

ยิ้มกับเด็กๆ จนเหงือกแห้งคอแห้งก็ถึงเวลาพาตัวเองไปหาอะไรอร่อยๆ กินอีกครั้ง และด้วยแต้มบุญที่สะสมมาก็ส่งผลให้เราได้พบกับ ร้านอาหารเวียดนามกึ่งคาเฟ่ในบรรยากาศแสนร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ซึ่งเข้ากันได้ดีกับภาพโปสเตอร์ต่างๆ บนพนังสีขาว เทา ที่ผสมผสามความวินเทจและความฮิปได้อย่างลงตัว ร้านอาหารเวียดนามอากาเว่ ตั้งตามชื่อพันธุ์ไม้ที่นี่จึงเน้นไปที่ความมีชิวิตชีวาจากเหล่าต้นไม้ที่อยู่ในร้าน โดยเฉพาะพันธุ์ไม้นานาชนิดที่อยู่บนจานอาหารของเราที่มันช่างดูสดใสและสดชื่นน่าจะกลืนกินลงไปให้หมดเกลี้ยงทุกจานซะจริงๆ กับเมนูที่เราอยากแนะนำ คือแหนมเนือง กุ้งกระเบื้อง เสื้อหมี่หมูย่าง ปอเปี๊ยะสด และหมูยอทอด เป็นเมนูที่ยิ่งกินก็ยิ่งเพลิน ยิ่งได้ผักแกล้มที่หลากหลายยิ่งเพิ่มความอยากอาหารได้ดี รู้ตัวอีกทีคือตอนที่อาหารบนจานเหลือเพียงไม้แหนมเนือง และก้านผักเท่านั้น

คาเฟ่ All New Papilio Dessert

กินคาวไม่กินหวานแล้วมันไม่สบายใจ จากร้านอาหารเวียดนามเราจึงมุ่งหน้าไปอีกหนึ่งร้านที่เน้นความเขียวชอุ่ม ชุ่มชื่นใจ ร้านคาเฟ่ All New Papilio Dessert  ร้านขนมหวานที่ขนมก็ดี บรรยากาศก็เลิศ มีทั้งความชิวและความโมเดิร์นให้เดินถ่ายรูปกันตั้งแต่หน้าทางเข้า ยันหน้าห้องน้ำกันไปเลย เมื่อถ่ายรูปเสร็จขนมและเครื่องดื่มก็มาพร้อมตรงหน้าพอดิบพอดีเหมือนนัดไว้ เรื่องสีสันและความน่ารักบอกเลยว่าสายไอจีต้องมา ส่วนรสชาติใครที่ชอบมาการองแบบหวานน้อยแนะนำว่าต้องโดน เพราะความกรอบนุ่ม ความหวาน ความละมุนของมาการองชิ้นเล็กๆ มันช่างลงตัวกันดี๊ดีกับน้ำโซดาซ่าๆ เปรี้ยวๆ หวานๆ โดนใจเราไปเต็มๆ

กิจกรรมส่งมอบสุขา สุขใจ แห่งที่สอง ณ สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง อีกหนึ่งในโครงการ Community Power ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและชุมชนให้เข้มแข็งแบบยั่งยืน

พักทานมื้อเที่ยงอิ่มทั้งของคาวทั้งของหวาน เราก็มาต่อกับอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ กับการส่งมอบสุขาสุขใจแห่งที่สอง ณ สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในการจัดงานประเพณีต่างๆ และเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นสถานที่พักผ่อนที่รองรับทั้งคนท้องถิ่น เด็ก คนชรา และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากในแต่ละปี สำหรับกิจกรรมนี้ คิง เพาเวอร์ ได้ฉีกกรอบการช่วยเหลือด้านสาธารณสุขแบบเดิมๆ ด้วยการสร้างคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ “พลังคนไทย สุขาสุขใจ” ออกแบบสุขาสุขใจในรูปแบบสากล สำหรับชาย หญิง และผู้พิการ เพื่อให้เป็นห้องน้ำของทุกคน ที่ไม่ใช่แค่สะอาด แต่ต้องสะดวก สบาย ปลอดภัย เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกประทับใจแก่นักท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวไทยให้กับชาวไทยและต่างชาติแบบครบทุกมิติ

นอกจากจะมีการส่งมอบสุขาสุขใจแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมทำความดี โดยจิตอาสาจากกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันปลูกต้นไม้ปรับภูมิทัศน์บริเวณรอบห้องน้ำ และทาสีห้องน้ำหลังเก่าในพื้นที่สวนสาธารณะทุ่งศรีเมืองอีกด้วย งานนี้เรียกได้ว่านอกจากจะสุขใจแล้วยังสบายท้องสบายไส้แบบโดนใจนักเดินทางอย่างเราเป็นอย่างยิ่ง

ร้านอาหารจีนเลียงฮวดเฮง

จบไปกับสองกิจกรรมดีๆ มื้อเย็นวันนี้เราเลือกร้านที่เห็นสีแดงโดดเด่นเด้งมาแต่ไกลกับ ร้านอาหารจีนเลียงฮวดเฮง ร้านอาหารจีนเก่าแก่ของเมืองอุบลฯ แต่ตกแต่งได้โมเดิร์นเข้ายุคเข้าสมัยเป็นอย่างดี และมีหรือที่เราจะรอช้าเลือกสั่งเมนูแนะนำแฮ่กึ้นกรอบๆ หอยจ๊อปู เนื้อปูแน่นๆ เน้นๆ ออส่วนกระทะร้อนนิ่มๆ นุ่มๆ กับหอยที่แสนชุ่มชื่นแสนหวาน กระเพาะปลาน้ำแดงที่ยิ่งกินยิ่งรู้สึกมีพลัง และปลากะพงต้มเผือกเนื้อหวานนุ่มลิ้น มากินกับข้าวสวยร้อนๆ ที่กินแล้วทำให้นึกถึงหนังจีนกำลังภายใน ฉากที่จอมยุทธเดินเข้าโรงเตี๊ยมแล้วบอกเสี่ยวเอ้อให้ยกอาหารที่ดีที่สุดมาเดี๋ยวนี้!!! ขึ้นมาทันที

ร้านน้ำเต้าหู้เตาถ่าน

อาหารคาวผ่านไปของหวานก็ต้องเรียงหน้ากระดานตามมา และค่ำคืนนี้เราก็ไปปิดท้ายกันที่ร้านน้ำเต้าหู้เตาถ่าน สูตรเก่าดั้งเดิม ที่นอกจากสูตรแล้วก็ไม่มีอะไรเก่าอีกเลย เพราะถ้าดูผ่านๆ เราแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าภายใต้ร้านสีขาวนวล อุ่นๆ ที่ทั้งคนหนุ่มคนสาว วัยรุ่น และครอบครัวกำลังนั่งฟังดนตรีสดกันอย่างเพลิดเพลินจะเป็นร้านน้ำเต้าหู้!!! โอ้ว มาย ก๊อด อเมซิ่งกิงก่องแก้วมากเวอร์ ไอเดียเก๋กู๊ดกระฉูดมากที่สุดในบรรดาร้านน้ำเต้าหู้ที่เราเคยเห็นมาจริงๆ นอกจากน้ำเต้าหู้ร้อนๆ กับเครื่องเต้าหู้ที่หลากหลายแล้ว ที่นี่ยังมีพิซซ่าแป้งบางขายด้วยนา ใครมาอุบลฯ ก็แนะนำว่ามาลองนั่งสวยๆ ยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มพลางฟังดนตรีสดไปพลางๆ ก็ดีเหมือนกันนะ

วัดพระธาตุหนองบัว

เช้าวันสุดท้ายที่แสนจะสดใสซ่าบซ่า หลังจากอาบน้ำอาบท่าเช็คเอาท์เสร็จเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปกันที่อีกหนึ่งวัดที่มีสถาปัตยกรรมวิจิตงดงามของอุบลฯ ที่เราอยากชวนให้ลองแวะมานั่นคือ วัดพระธาตุหนองบัว เพราะที่นี่เป็นวัดเดียวในภาคอีสานที่มีเจดีย์ที่จำลองแบบมาจากพุทธคยาประเทศอินเดีย “พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์”  ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2498 เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ในโอกาสครบรอบ 25 ศตวรรษของพระพุทธศาสนา

ร้านส้มตำจินดา

ถ้ามายังแดนดินถิ่นอีสานแล้วไม่ได้จกปลาร้า ก็เหมือนกินมาม่าแล้วลืมใส่เครื่องปรุงนั่นล่ะ เราเลยขอปิดจ๊อบการเดินทางที่แสนสุขใจด้วยความสุขทางกายกันที่ ร้านส้มตำจินดา ร้านอาหารอีสานแท้ๆ ในบรรยายผู้ดี๊ผู้ดี และจัดจานมาเหมือนกำลังจะกินข้าวแช่ชาววังยังไงยังงั้น แต่ในจานสวยๆ นั้นซ่อนความร้ายกาจไว้ด้วยพริกขี้หนูเผ็ดๆ เครื่องเทศที่ร้อนแรง และปลาร้าที่หอมหวน ชวนให้อยากใช้มือจกข้าวเหนียวแทนช้อนส้อม ส่วนเมนูเด็ดที่เราที่ทำให้เราตกหลุมรักตั้งแต่คำแรกที่เข้าปากนั่นก็คือออออ ส้มตำปลาดุกฟู ที่ผสานระหว่างยำปลาดุกฟู และส้มตำได้อย่างชุ่มฉ่ำ ลื่นคอ ละมุนลิ้นปนแสบทรวงได้เป็นอย่างดี

จบไปแบบแสนสุขใจที่เมืองอุบลราชธานี เมืองที่รุ่งอรุณแห่งแสงแรกได้ทาบทับ ณ สยามประเทศ กับสถานที่และการเดินทางที่เราจะได้ให้และรับประสบการณ์ ได้มอบและรับรอยยิ้มให้กับคนอื่นๆ ลองออกเดินทางไปในที่ใหม่ๆ ทำอะไรใหม่ๆ กันเถอะแล้วจะรู้ว่าการตื่นเช้ามาในที่ใหม่ๆ มันกระตุ้นความมีชีวิตชีวาของเราได้อย่างดี การได้กินมื้อกลางวันจากผลผลิตอันภาคภูมิใจของคนในแต่ละพื้นที่มันกระตุ้นความอยากอาหารได้มากมาย และการได้ล้มตัวลงนอนพร้อมๆ กับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในฐานะของผู้รับและผู้ให้มันกระตุ้นความอยากที่จะเดินทางในวันต่อไปได้ดีมาก รับรองว่ามันจะเป็นการเดินทางกลับบ้านที่ทำให้แกมีความสุขจนอยากจะวางแผนถึงทริปถัดไปแบบเร็ววันเลยล่ะ