Road Trip Stories : กรุงเทพฯ – ชะอำ – หิวหิน – ปราณบุรี :: 2 วัน 1 คืน

จะออกไปแตะขอบฟ้าาา แต่เหมือนว่าโชคชะตาไม่เข้าใจ….. เพราะทั้งหัวหน้า ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งเอกสารกองโต รวมถึงเหตุผลต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามาดั่งผูกสัมพันธ์กันมาแต่ชาติปางไหน สลัดยังไม่ก็ไม่หลุดเสียที แต่เอาเถอะ!!! เพราะงานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข หากคิดดีๆ อย่างน้อยเราก็ยังมีวันพักถึงสองวันสองคืนต่อสัปดาห์ให้เราได้ออกไปแตะขอบฟ้าตามที่ใจปรารถนา แต่ถ้ายังคิดไม่ออกว่า 48 ชั่วโมง ที่มีนี้เราจะไปได้ไกลแค่ไหน จะดื่มด่ำกับอะไรได้บ้าง โพสต์นี้เราก็มีตัวอย่างทริปสั้นๆ ที่จะมอบความสุขให้แกได้แบบยาววววว ยาววววว แบบไม่ต้องหาวันลาเพิ่มก็ออกเดินทางได้ หยิบกุญแจรถ เช็คลมยาง ที่ปัดน้ำฝน น้ำมัน เสื้อผ้า และพร้อบเก๋ๆ ให้พร้อม เราจะไปเที่ยวแบบชิคคูลไล่ตั้งแต่ชะอำ หัวหิน แล้วยาวไปจบที่ปราณบุรี เอาหล่ะ …. ได้เวลาหนีกรุงไปแตะขอบฟ้ากันแล้ว ไปจ้าาาาาาาาา

และแน่นอนก่อนเดินทางไกลทุกครั้ง นอกจากใจพร้อมกายพร้อมเราทำได้แล้ว รถก็ต้องพร้อมด้วยนาจาาาา ใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ทุกครั้งที่ออกต่างจังหวัดเราจะแวะปั้มเพื่อเช็คลมยาง เติมที่ปัดน้ำฝน และเต็มน้ำมันให้เต็มถังก่อนทุกทริปเพื่อความปลอดภัยตลอดเส้นทาง ซึ่งปั๊มน้ำมันที่เราเลือกในครั้งนี้ก็คือ คาลเท็กซ์ เทครอน เพราะหลังจากที่ได้ลองเติมน้ำมัน Caltex มาสองสามทริปก่อนหน้านี้ เพราะอยากรู้ว่าจะทำให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น ไปได้ไกลขึ้นจริงตามคำโฆษณารึเปล่า ก็พบว่าเฮ้ย ที่เค้าเคลมมามันทำได้จริงๆ ในทุกทริป ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วย เลาะริมทะเล หลงทางอยู่กลางกรุงก็มั่นใจไปได้ไกลกว่า จากการประหยัดน้ำมันมากถึง 4.6% แถมน้ำมันของเขายังช่วยให้เครื่องยนต์สะอาด มันก็เลยไปได้ไกลกว่าแบบเห็นๆ คุ้มและประหยัดกว่าขนาดนี้ ทริปหน้าพวกแกลองไปเติมดูสักถังแล้วจะติดใจแบบเรา”

:: 1d+Day Artist ::

พร้อมในพร้อมในพร้อมก็ได้เวลาหันหลังให้เมืองกรุงแล้วมุ่งสู่ทะเล ไปสูดหายใจให้ฉ่ำปอด นอนทอดกายรับไอแดดแบบเฟียสๆ ซึ่งโลเคชั่นเลิศๆ เชิดๆ ที่เหมาะกับการเป็นสถานที่เปิดทริปก็คงหนีไม่พ้น 1d+Day Artist คาเฟ่เปิดใหม่สุดฮ๊อตริมทะเลที่จะมาเปลี่ยนวันธรรมดาให้กลายเป็นวันดีๆ ที่น่าเบิกบาน กับคำเชิญชวนของทางร้านที่แค่ฟังก็ยังรู้สึกชื่นใจ “ ฉันไม่รู้อาหารที่ดีที่สุดคืออะไร ฉันไม่รู้เครื่องดื่มที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร แต่วันนี้ฉันตั้งใจจะเตรียมวัตถุดิบที่ดีที่สุดที่ฉันจะหาได้มาปรุงสดๆ ให้กับเธอ ฉันจะเตรียมภาชนะที่ฉันชอบเอามาใส่ให้กับเธอ ฉันจะกวาดสนามหญ้าหลังบ้านเพื่อต้อนรับเธอ ฉันจะเปิดเพลงเบาๆ ให้เธอฟังหลังอาหาร” โอ้โห!! เอามือทาบอกพร้อมกับอุทานหนึ่งที ขุ่นพระ แค่อ่านเจอจากเฟสของเค้าเราก็พร้อมพุ่งตัวมาแบบด่วนๆ เลยแก หวานกว่าน้ำผึ้งเดือนห้าขนาดนี้ เคลิ้มจ่ะ

การตกแต่งของเขาแม้จะไม่ได้หวือหวามากนัก แต่ก็ตามคำเชิญชวนของเค้านั่นแหละมันรู้สึกได้ถึงความเรียบง่ายแต่จริงใจ ความสะอาดและอบอุ่นที่รู้เลยว่าเตรียมการต้อนรับมาอย่างดี ด้านในเค้าทำเหมือนตู้คอนเทนเนอร์สีขาวกับเฟอร์นิเจอร์สีขาวดูเข้ากัน ทำให้รู้สึกโล่งใจสะอาดตา และเมื่อเดินออกมาข้างนอกก็จะพบกับชายหาดโล่งๆ ที่ปราศจากขยะ สายลมเย็นๆ ที่พัดเรื่อยเฉื่อยและทะเลที่ส่งเสียงดัง ซู่ๆ จะนั่งที่โต๊ะไม้ริมทะเลก็ได้ ไกวเปลก็ดี หรือชิงช้าก็โดน

ในส่วนของอาหารนั้นบอกได้เลยว่าาาาต้องมาจ้าาาาาาา เพราะจะกินหนักๆ อย่างข้าวไข่ข้น ข้าวกระเพรากรอบ ของทานเล่นอย่างทอดมัน ไก่ทอดเกลือ ก็คือแซ่บ หรือเบาๆ แค่เครื่องดื่มอย่างน้ำปั่น ชา กาแฟ ก็คือดี คือโดน รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนจ้าทุกคน

:: บึงบัว อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ::

จากพื้นที่สีฟ้าขอพักสายตากับอะไรเขียวๆ จบคาเฟ่สุดชิคเราขอไปต่อไม่รอแล้วนะที่ บึงบัว อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด อุทยานแห่งชาติประเภทชายฝั่งผสมผสานหมู่เกาะในทะเลแห่งแรกของเมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 ที่นี่มีภูมิประเทศเป็นทิวเขาหินปูนสลับเรียงรายยาวประมาณ 30 กิโลเมตร และมีเกาะน้อยใหญ่อยู่รวมถึงหกเกาะ กินพื้นที่กว่า 100,000 ไร่บนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และในส่วนของบึงบัวจุดหมายของเรานั้นก็กินพื้นที่กว่า 500 ไร่ ประกอบด้วยบัวหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นชูชันโชว์ความงามไม่ว่าจะเป็นบัวหลวง บัวเผื่อน บัวผัว  และบัวสาย นอกจากบัวสายพันธุ์ต่างๆ แล้วก็ยังมีพืชน้ำอีกหลายอย่างให้เราได้ชมทั้งต้นกกต้นอ้อที่ขึ้นเรียงสลับกันไปมา แต่ถ้าอยากเห็นดอกบัวบานสะพรั่งอยู่เต็มบึงเราแนะนำให้มาในช่วงฤดูหนาวจะดีที่สุด

เค้าบอกว่าที่นี่ถ้ามาช่วงเช้าและช่วงเย็นก็จะได้วิวทิวทัศน์ที่มีความสงบสวยงามโรแมนติกมากๆ ส่วนตัวเรามาในช่วงกลางวันจ้าขอบอกว่าก็สวยมากอยู่เด้ออออ ส่วนในเรื่องของความร้อนนั้นเป็นอันว่ารู้กันแบบไม่ต้องบรรยาย และการเที่ยวที่นี่เราสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งเรือเข้าไปส่องนกชมบัวเก๋ๆ แบบใกล้ชิด หรือจะเดินเท่ๆ ตามสะพานไม้หามุมถ่ายรูปแบบปังๆ แน่นอนว่าพระอาทิตย์ตรงหัวขนาดนี้เราขอเลือกเดินตามสะพานไม้จะดีกว่าเพราะวิว ศาลาสีแดงที่รายล้อมไปด้วยต้นหญ้าสีเขียว โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงถ่ายยังไงก็ออกมาดูดีจนอยากขอบคุณคนที่คิดเส้นทางมีขึ้นมาเลยจริงๆ

:: ปราณลักษณ์ พูล วิลล่า ::

ก่อนจะไปต่อขอหลบร้อนเอาของเก็บเข้าที่พักก่อนที่พูลวิลล่าชายหาดปากน้ำปราณ ปราณลักษณ์ พูล วิลล่า ที่พักระดับสี่ดาวแบบพูลวิลล่า ที่ไม่ว่าจะพักแบบไหนทุกหลังก็มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ รวมไปถึงบริการซักรีด พนักงานต้อนรับ แม่บ้านที่จะคอยมาทำความสะอาดและดูแลบ้านพักของเราในทุกๆ เช้าราวกับพักอยู่ในโรงแรม นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำส่วนกลาง สวนสาธารณะ ห้องฟิตเนส อ่างอาบน้ำ ฯลฯ ส่วนตัวเรามาเป็นแก๊งค์เลยขอเลือกพักแบบพูลวิลล่าสี่ห้องนอน เพื่อที่จะปาร์ตี้กันในยามค่ำแบบส่วนตั๊วส่วนตัว เออ!! เค้าก็มีจักรยานให้เราอีกสองคันด้วยจ้าาาา

:: ชายหาดปากน้ำปราณ ::

เก็บข้าวเก็บของนั่งพักให้หายร้อน ก็ได้เวลาออกไปปั่นจักรยานเดินเล่นริมหาดบริเวณ ชายหาดปากน้ำปราณ กันแบบชิวๆ สูดออกซิเจนให้เต็มปอดสะสมไว้ก่อนกลับเมืองหลวง ซึ่งสำหรับเราทรายหาดหาดปราณบุรีถือว่าตอบโจทย์มากๆ สำหรับคนที่อยากพักผ่อนแบบชิลล์ๆ เน้นความเงียบสงบ เพราะเค้ามีเลนจักรยานไว้สำหรับคนที่รักการออกกำลังกาย และมีชายหาดยาวๆ ไว้สำหรับคนที่อยากเดินเล่นกับเพื่อนเพลินๆ หรือจะนั่งพักเม้าท์มอยรับสายลมแสงแดด และถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ได้สวยเวอร์วังแต่รับรองจะต้องประทับใจถ้าได้มา

แม้จะเดินเล่นปั่นจักรยานที่ริมหาดกันแบบชิวๆ แต่การผจญภัยตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็ทำให้เราเหนียวตัวไม่น้อย พอมาเห็นสระว่ายน้ำส่วนตัวมีหรือที่จะอดใจไม่กระโดดลงเล่นไหว ยิ่งพูลวิลล่าเค้ามีห่วงยางน่ารักน่ารักให้เราเช่าเล่น เราเลยขอเช่าเอามาเป็นพร้อบถ่ายรูปเก๋ๆ กันซะเลย ถ่ายรูปแล้ว เล่นน้ำแล้ว กินลมชมวิวก็แล้ว แต่ภาระกิจพักผ่อนของเราในค่ำคืนนี้ก็ยังจบสิ้นลงไม่ได้ หากไม่ได้ทำพิธีเปิดเตาปิ้งย่าง เอากุ้ง หอย ปลา และปู ลงผิงไฟและหย่อนใส่ท้อง พร้อมบทสนทนาที่แซ่บไม่ต่างจากน้ำจิ้มซีฟู๊ด บอกเลยว่าหนึ่งวันกับการพักผ่อนแบบไม่ได้พักผ่อนมันทำให้เราผ่อนคลายได้ดีจริงๆ

:: วนอุทยานปราณบุรี ::

มีวันแรกก็ต้องมีวันลา วันนี้เราขอทิ้งท้ายโลเคชั่นสุดท้ายที่ปราณบุรี ณ วนอุทยานปราณบุรี พื้นที่ป่าไม้ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ก่อนจะได้รับการประกาศให้เป็นวนอุทยานมีพื้นที่ทั้งสิ้น 700 ไร่ และมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติยาวกว่าพันเมตร และมีท่าเรือขนาดเล็กสำหรับผู้ที่อยากล่องเรือชมธรรมชาติอีกด้วย

โดยเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติแห่งนี้เค้าจะมีจุดไฮไลท์สุดปังที่พลาดไม่ได้เด็ดขาดสำหรับผู้ที่หลงไหลในการถ่ายรูป และรักในการถูกถ่าย นั่นก็คือหอดูนกที่ไม่ได้มีดีแค่ไปดูนก แต่ยังเป็นจุดถ่ายรูปมุมสูงที่เห็นป่าชายเลนแน่นๆ สุดสายตาขึ้นรายล้อมสะพานไม้สีเข้ม จนกลายเป็นแลนด์มาร์คสำหรับถ่ายรูปไปด้วยโดยปริยาย พอลงจากหอดูนกก็สามารถมาถ่ายรูประหว่างทางกับอุโมงค์ต้นโกงกางได้อีก บอกเลยว่าถ้ามากับแฟนจะเหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก แบบว่าโลกนี้มีแต่เราอะไรแบบนี้เลยแก๊ แต่ถ้าเหม็นความรักจะมาถ่ายเดี่ยวๆ ก็ดูเปรี้ยวแบบชิคๆ หรือมาเป็นทีมพร้อมกับธีมสีๆ ก็เกิด เกิด เกิดดดดด

:: จุดชมวิวหินเหล็กไฟ ::

หันหัวรถเตรียมตัวกลับ กทม. แต่น้ำมันยังเหลือๆ จนต้องเอามือทาบอกและอุทานเบาๆ ว่า “มั่นใจไปได้ไกลกว่า” จริงๆ เด้อ ฟินส์ๆ กับการประหยัดน้ำมันขนาดนี้เลยขอแวะกันต่อไม่รอแล้วนะที่ จุดชมวิวหินเหล็กไฟ ในหัวหิน ที่งานไม่มีพี่โป่งมาต้อนรับแต่ก็ทำให้คึกคักกับวิวหัวหินแบบพาโนราม่าในมุมสูง ทั้งวิวเมืองและวิวอ่าวหัวหิน โดยมีให้เลือกถึง 6 จุดชมวิวบนยอดเขา เรียกว่าเห็นหัวหินกันแบบสี่ทิศเน้นๆ ไปเลยจ้า หากใครมีเวลาแนะนำให้มาช่วงเย็นจะยิ่งฟินส์กับวิวพระอาทิตย์ตกอย่างแน่นอน

:: อินุ คาเฟ่ ::

ร้อนขนาดนี้ถ้าไม่หาที่แวะหลบร้อนและเติมความหวานกันก่อน ต่อให้รถประหยัดน้ำมันกว่านี้เราคงต้องยกธงขาว และคาเฟ่แสนน่ารักที่จะมาชุบความสดชื่นของเราในครั้งนี้ก็คือ อินุ คาเฟ่ คาเฟ่หมาพันธุ์ชิบะสุดน่ารักที่ดัดแปลงบ้านหลังเล็กสุดแสนอบอุ่นให้กลายเป็นค่าเฟ่แสนสดใสกับแก๊งค์หมา หูตั้ง หางกระดิก และน้ำดื่มเย็นๆสักแก้วสองแก้ว รับรองว่าจะทำให้พวกแกใจละลายได้มากกว่ายางมะตอยบนพื้นถนนเสียอีก

:: Debo Cafe Number 2 ::

คลายร้อนกันจนมีกำลังวังชาก็ถึงเวลาตะวันตรงหัว เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าได้เวลาอาหารหลักอีกมื้อหนึ่งแล้วจ้า พวกเราเลยพากันมาหาอะไรหนักๆ ทานกันที่ Debo Cafe Number 2 คาเฟ่เท่ๆ ใจกลางหัวหินซอย 37 ร้าน ที่เน้นธีมขาวดำและความเป็นธรรมชาติ เรียกว่ามาทีเดียวเติมทั้งความอิ่มและไลค์ในโซเชียลกันเลยทีเดียว ยังไม่พอจ้าใครที่เป็นทาสเจ้าสี่ขาขนปุยที่นี่เค้าก็น้องหมาเฟรนซ์บูลด๊อกเป็นกิมมิคมาคอยเรียกลูกค้าด้วยนาจา แต่ก็ต้องเช็คกันดีๆ หน่อยนึงเพราะบางวันน้องหมาเค้าก็ออกไปเที่ยวที่อื่นเน้อออ

เมื่อได้ทำเลที่นั่งเรียบร้อย ต่อมาก็ถึงเวลาเลือกเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีทั้งเส้นหมี่ เส้นเล็ก บะหมี่ เส้นใหญ่ วุ้นเส้น จากนั้นจิ้มท็อปปิ้งที่ใช่ ซึ่งก็จะมีให้เลือกหลายอย่างทั้งหมูสับ ไข่มะตูม กุ้งแม่น้ำ กุ้งทะเล ปู ระหว่างรอก็ถ่ายรูปกันเพลินๆ สักพักเมนูทุกอย่างก็มาวางถึงโต๊ะทั้งก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ยำไข่มะตูม ข้าวกุ้งกระเทียม บอกได้เลยว่าจัดจ้านในย่านนี้ รสชาติดีเหมือนหน้าตาไม่มีผิด สิบ สิบ สิบไปเลยจ้าาาา

:: Seenspace Hauhin ::

มาหัวหินทั้งทีถ้าไม่ได้มาที่นี่ก็เหมือนผิดผีไปหน่อยนึง เพราะมันคือคอมมูนิตี้ริมทะเลที่เก๋กว่าใครเพื่อน Seenspace Hauhin ที่มีร้านรวงหลากสไตล์ให้เลือกนั่งกันทั้งแบบอินดอร์ เอ้าดอร์ ชั้นสอง ริมทะเล จะดื่มแต่เบียร์ เน้นกับแกล้ม หรือกินจริงจังก็เลือกสรรได้ ณ ที่นี้ และด้วยความที่เรามาบ่อย ก.ไก่สิบตัว เราก็จะเลือกร้านนั่งไม่ให้ซ้ำกัน และรอบนี้ขอเริ่มต้นที่ร้าน Burning Daylight Dessert Cafe คาเฟ่ขนมหวานที่เน้นการตกแต่งด้วยสีขาวแบบคลีนๆ อัพดีกรีให้ชายหาดดูหรูหราน่านั่งอีกหลายระดับ ยิ่งป้ายไฟนีออนสีชมพูมุมสุดฮิตที่เขียนคำว่า You are my sunshine คำธรรมดาที่สายคาเฟ่และสายไอจีน่าจะได้เห็นผ่านตากันมาบ้าง ยิ่งทำให้ที่นี่ดูน่าดึงดูดเข้าไปเช็คอิน สั่งไอติมกรุบกริบและถ่ายรูปเป็นอันจบพิธีกรรมในสามกระบวนท่า

และอีกหนึ่งจุดที่พลาดไม่ได้ ณ สถานที่ๆ พลาดไม่ได้ทุกครั้งที่มาก็คือริมสระ ที่เราเช่ือว่าทุกคนที่มาหัวหินต้องมาร้านนี้แน่นอน OASIS x SEENSPACE เรียกได้ว่าที่นี่แทบจะเป็นแลนด์มาร์คของโครงการ Seenspace เลยก็ว่าได้ ด้วยโลเคชั่นติดทะเลชวนผ่อนคลาย เฟอร์นิเจอร์สีขาวดูมีสไตล์ และ Infinite pool สีฟ้าไล่เฉดกับน้ำทะเลและท้องฟ้า เป็น Combination สุดโรแมนซ์ ยิ่งถ้าแต่งตัวคุมโทนฟ้าขาวมาถ่ายรูปลงไอจีรับรองว่ายอดไลค์ยอดฟอลพุ่งพรวดๆ อย่างแน่นอน

:: Camel Republic ::

ปิดท้ายทริปแบบสวยๆ ให้ดูเป็นคนรักสัตว์กันที่ Camel Republic สถานที่ท่องเที่ยวสไตล์โมร๊อคโคอาหรับที่นำเอาสวนสัตว์และสวนสนุกมาไว้ด้วยกันเป็นที่แรก ใครใคร่ให้อาหารสัตว์ก็มีทั้งอูฐ อัลปาก้า ฟามิงโก้ ฯลฯ ใครใคร่เล่นเครื่องเล่นก็มีเครื่องเล่นมันส์ๆ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ที่มีที่เดียวในประเทศไทยและหนึ่งเดียวในเอเชีย รวมถึงร้านของฝาก ของที่ระลึก และร้านอาหารทั้งคาวหวาน ให้อยู่กันได้ทั้งวัน

แต่เราเลือกเข้าไปเดินเล่นเก๋ๆ ชิคๆ พอให้ว๊าวเป็นพิธีในส่วนของสวนสัตว์พอหอมปากหอมคอ ด้วยการไปให้อาหารอูฐ ถ่ายรูปคู่ยีราฟ เดินนวยนาดกับฟามิงโก้ ร้องโอโห้กับสถานที่ที่สีสันสดใส ถ่ายมุมไหนก็เปรี้ยวเยี่ยวเกือบราด เพราะสีแสด สีเหลือง สีชมพูที่ทาอยู่บนตึกมันโดดเด่งและดึงดูดไม่เหมือนใครจริงๆ

ตีรถกลับกรุงด้วยหัวใจที่เริงร่าพร้อมกลับไปท้าทั้งแดดและฝุ่นควันกับการงานอีกมากโข 48 ชั่วโมง เราอาจไม่ได้ไปไหนไกลมากนัก แต่มันก็มากพอให้หัวใจเราได้ติดปีกโลดแล่นไปความสุขและความฝัน เพื่อขับไล่ความป่วนปั่นในหัวใจให้สดใสและพร้อมออกเดินทางอีกครั้งในเป้าหมายถัดไป… ที่มั่นใจว่าไปได้ไกลกว่าเดิมแนนอน