2 วัน 1 คืน ในเกียวโตรอบนี้ … เราขอพาทุกคนไปสัมผัสอีกหนึ่งมุมที่เงียบสงบ เหมาะต่อการไปลองใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ตามสไตล์ชนบทญี่ปุ่นที่ “Ine อิเนะ” หมู่บ้านชาวประมงสุดชิว ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์จากธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตชาวประมงอันเป็นเอกลักษณ์ ที่หลอมรวมเข้ากันได้ดีมายาวนานกว่าพันปี เราจะปั่นจักรยานชิว ๆ ไปบนถนนที่สองข้างทางเป็นบ้านเรือนเก่าแก่คลาสสิค ได้ล่องเรือรับลม ชมวิว ให้อาหารนก ได้ทานอาหารทะเลสด ๆ ได้จิบชากาแฟในบรรยากาศชวนเคลิ้ม ได้ทิ้งตัวลงนอนบนฟุตงในโฮมสเตย์สุดคิ้วท์ งานนี้รับประกันได้เลยว่า เกียวโต จะสามารถตีตื้นฝ่าทุกความประทับใจขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในใจของทุกคนได้อย่างรวดเร็ว
ณ หมู่บ้านชาวประมงสุดคิ้วท์นี้ เราจะได้เห็น “ฟุนายะ” บ้านไม้เก่าแก่กว่า 230 หลัง ริมน้ำที่ปลูกแบบยกพื้นสูง โดยชั้นที่หนึ่งถูกทำเป็นที่จอดเรือ ส่วนชั้นบนของบ้านก็จะมีไว้สำหรับจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป แต่ที่พักของเจ้าของจะอยู่บนฝั่งขนานกับฟุนายะ โดยมีถนนกั้นกลาง และด้านหลังก็เป็นทิวเขายาวโอบล้อมหมู่บ้านแห่งนี้ไว้เป็นรูปตัวยู ราวกับธรรมชาติกำลังกางปีกปกป้องวิถีชีวิตที่สวยงาม
เราเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ในช่วงบ่ายแก่ ๆ และพุ่งตัวไปที่กิจกรรมแรกนั่นก็คือ ล่องเรือชมอ่าวอิเนะ ซึ่งเรือชมอ่าวจะเริ่มตั้งแต่เวลา 9.00 น. ไปจนถึง 16.00 น. โดยในแต่ละรอบจะใช้เวลาประมาณ 25 – 30 นาที มีเรือออกทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง
สิ่งที่รับรู้ได้ขณะเรือแล่นไปบนผืนน้ำก็คือความสงบและกว้างใหญ่ของอ่าวที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งจังหวะที่เรือค่อย ๆ แล่นผ่านบ้านไม้ริมน้ำที่เป็นอู่เก็บเรือ ยิ่งทำให้เราได้เห็นวิวอ่าวและบ้านเก่าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับญี่ปุ่นที่เขาช่างเอาใจใส่ และรู้จักอนุรักษ์ไปพร้อม ๆ กับการสร้างมูลค่าให้กับทรัพยากรที่เขามีจริง ๆ เสียงของชัตเตอร์เริ่มดังขึ้นแบบไม่ขาดสาย เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากจะเก็บภาพบรรยากาศอันแสนสวยงามนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด และนอกจากการนั่งสวย ๆ ถ่ายรูปชมวิวแล้ว เรายังสมารถซื้อข้าวเกรียบหอละ 100 เยน ติดมือลงเรือ เพื่อนำมาให้กับนกที่โฉบเฉี่ยวบินไปมาอยู่บนดาดฟ้าของเรือด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์สำหรับการล่องเรือในครั้งนี้เลยก็ว่าได้
[ Chinzao ]
อากาศเย็น ๆ ฝนปรอย บรรยากาศเงียบ ๆ พอจบจากกิจกรรมล่องเรือเราก็แวะไปนั่งจิบชาที่ร้าน Chinzao ซึ่งทันทีที่เดินผ่านประตูบ้านโบราณที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เพราะด้านในคือบ้านที่เป็นบ้านชาวประมงจริง ๆ แต่ตอนนี้ได้ถูกกลายมาเป็นช๊อปขายชาใต้หวัน มันจึงเรียบง่าย ไม่โลดโผน ไม่โดดเด่น และไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
หลังจากสั่งชาที่ชอบและเดินทะลุตัวบ้านออกมาเจอห้องเก็บเรือที่ตอนนี้ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นที่นั่งจิบชา โดยยังคงเก็บรักษาสภาพแวดล้อมเดิมไว้ไม่ผิดเพี้ยน จะมีเพิ่มเติมก็คงเป็นโต๊ะ เก้าอี้ และกลิ่นชาเท่านั้นเอง สำรวจตรวจสอบยังไม่ทันทั่วพี่เจ้าของก็นำชาที่เราสั่งมาเสิร์ฟ แต่กว่าจะได้กินก็ต้องผ่านพิธีกรรมอันแสนละเมียดตามสไตล์ชาวญี่ปุ่นไปกว่า 10 นาที ชาหอม ๆ ถึงจะพร้อมย้ายจากปลายปากกาสู่ถ้วยชา กลิ่นหอม และความร้อนของชาทำให้ร่างกายอบอุ่นพอ ๆ กับหัวใจที่กำลังสูบฉีดด้วยความสุขที่ได้นั่งจิบชาชั้นดี ชมวิวสวย ๆ เหล่มองเจ้านก สูดลมหายใจของอ่าว ถือเป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพมาก ๆ จนอยากขอห่อกลับบ้านไปด้วยเลย
[ Waterfront Inn ]
ปัจจุบันชาวบ้านส่วนหนึ่งดัดแปลงฟุนายะชั้นบนของอู่เรือเป็นเกสต์เฮาส์เล็กๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งรอบนี้เราเลือกพักกันที่ Waterfront Inn ที่พักขนาดเล็กริมน้ำ ที่มีห้องทั้งหมดเพียงแค่ 8 ห้อง และแม้จะเป็นที่พักเล็ก ๆ แต่การบริการก็ยังคงความน่ารักตามแบบฉบับญี่ปุ่นอยู่ดี และแน่นอนว่าทุกห้องมีหน้าต่างให้เราเปิดรับลมจากอ่าวและชมวิวได้ตลอดทั้งวัน ลองนึกดูภาพของห้องนอนที่มองเห็นอ่าวแบบใกล้ชิดดูสิ เราว่ามันคือภาพฝันของใครหลายคน รวมถึงตัวเราด้วยเช่นกัน ประโยคหนึ่งที่ผุดเข้ามาในหัวเราทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้าก็คือ “น้ำตาจะไหลขอแชร์ได้ไหมคะ” ก็แกเอ๊ยยยยย มันสวย มันเขียว มันใส มันดีต่อใจแบบสิบ สิบ สิบ ถ้านี่ฝันอยู่ก็ไม่อยากถูกปลุกแน่นอน
6 โมงตรงเป๊ะ แสงเย็นยังไม่ทันร่ำลาก็ถึงเวลานัดหมายที่ทางคนดูแลเกสเฮ้าส์แจ้งสำหรับมื้อค่ำ แน่นอนว่าเราไปตรงเวลาแบบไม่ขาดไม่เกิน และก็ได้พบกับอาหารเซ็ทใหญ่ไฟกระพริบที่มีทั้งปลาหมักซอสหวาน ปลาย่างเกลือ ซาซิมิสดใหม่ และปูยักษ์คนละหนึ่งตัว ที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะที่ให้เราสามารถนั่งหันหน้ามองผ่านกระจกบานใหญ่ไปเจอวิวอ่าวและบ้านไม้ฝั่งตรงข้าม เอาจริงป่ะ!!! ถ้าร้องไห้ได้นี่ร้องอ่ะ นึกว่าได้มาออกรายการฝันที่เป็นจริง เฮ้ยยยย จะไร้ที่ติอะไรขนาดนี้
พอตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าวันนี้ต้องกลับเข้าเมืองมันก็ออกจะเศร้า 7 โมงปุ๊บเราก็กระโดดลุกจากที่นอนปั๊บ งานนี้อย่าว่าแต่ความงัวเงีย แม้แต่หาวสักนิดก็ยังไม่มี เพราะ 8 โมงตรง เรามีนัดทานอาหารเช้าพร้อมกันในห้องอาหารเดียวกับมื้อเย็นวาน แล้วจะไม่ให้เราตาตั้งด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นอาหารเช้าได้ยังไง และแม้จะเป็นวิวเดิมที่นั่งจ้องราวกับมันจะหายไปในเมื่อวาน แต่มันก็ยังคงความสวยน่าประทับใจไม่ต่างจากเดิม เช้าวันนี้ทางเกรสเฮ้าส์จัดเซ็ทอาหารได้น่ารักกรุบกริบตามแบบญี่ปุ่นให้เราได้ทานกัน อันประกอบด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ใส่ไข่ดิบ ทานคู่กับปลาหนึ่งชิ้น ซุปหนึ่งถ้วย และเครื่องเคียงพอน่ารัก ๆ ถือเป็นการเริ่มต้นวันที่ยิ่งทำให้เรารู้สึกไม่อยากกลับบ้านมากขึ้นไปอีก
อิ่มท้อง อิ่มใจ ก็ได้เวลาเช็คเอ้าท์ตอน 10 โมง แล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อเริ่มต้นกับอีกหนึ่งกิจกรรมสุดชิว หลังจากที่เมื่อวานเราเที่ยวชมทางน้ำบนเรือกันเป็นที่เรียบร้อย วันนี้เราก็ขอลัดเลาะผ่านถนนสายเล็ก ๆ ที่เชื่อมเราไปยังบ้านเรือนต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ด้วยจักรยานที่สามารถยืมปั่นเล่นได้แบบฟรี ๆ แถมยังสามารถส่งคืนได้ถึงห้าจุดที่เค้ากำหนดไว้ ปั่นไปจอดไปทั้งทางก็พูดอยู่คำสองคำ คือสวยอ่าาา น่ารักม๊ากกกก ดีงามมมมม วนอยู่แค่นี้แหล่ะ ก็มันดี มันสวย มันน่ารัก จริง ๆ นี่หน่า
[ Ine Cafe’ ]
จุดหมายแรกที่เราแวะระหว่างปั่นก็คือ Ine Cafe’ คาเฟ่ที่เกิดจากความคิดของคนท้องถิ่นที่รวมตัวกันออกแบบให้คาเฟ่เป็นมิตรกับท้องถิ่น และเหมาะกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยสร้างอาคารขึ้นใหม่โดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกับฟุนายะ ที่ชั้นล่างจะเป็นโถงโล่ง ๆ แต่ติดกระจกบานใหญ่เข้าไป และใส่โต๊ะเก้าอี้แทนเรือหาปลาสำหรับชมวิว ส่วนขนมต่าง ๆ ที่ขายกันนั้นก็ใช้วัตถุดิบที่หาได้จากในหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ วิวดีขนาดนี้อันที่จริงสั่งขนมปังหัวกะโหลกมากินก็น่าจะยังรู้สึกดี แต่โชคดีที่เค้ามี Black Coffee ขม ๆ ให้ทานคู่กับเค้กช็อกโกแลตเนื้อเข้มข้น กับพานาคอตต้าสีหวานที่ช่วยเพิ่มความสุขให้ช่วงสายของวัน
[ Cafe’ Miyabi ]
แรงมีก็ปั่นหาวิวอ่าวอิเนะมุมอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งอันที่จริงก็ยังมีคาเฟ่อีกหลายร้านที่ชวนให้นั่งชิลล์ แต่ถ้าอยากให้เราแนะนำก็ต้องนี่เลย Cafe’ Miyabi คาเฟ่ที่ไม่เหมือนคาเฟ่ เพราะความอบอุ่นที่เราได้รับมันทำให้เรารู้สึกเหมือนลุงเหมือนป้า เหมือนพ่อเหมือนแม่ของเพื่อนสนิทออกมาต้อนรับ แม้ไม่ได้มีขนมฝรั่งและกาแฟอย่างดี แต่ที่นี่ก็มีขนมดังโงะกับชาเขียวหอม ๆ และวิวชวนฝันไว้คอยต้อนรับอย่างอบอุ่น ประทับใจรอบที่ร้อยไปจ้าาา
[ Mukai Shuzo ]
ปั่นชิวต่อไม่รอแล้วนะ … ไปต่อที่ มุไคชุโซะ (Mukai Shuzo) โรงสาเกหญิงล้วนที่มีแต่ผู้หญิงเป็นผู้กลั่น ที่นี่ก่อตั้งมาแล้วกว่า 265 ปี และยังคงพัฒนาสูตรอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ก็ยังรักษาวิธีการขนส่งทางน้ำไว้เช่นในอดีต นอกจากจะสามารถเข้าชมวิธีการผลิตได้แล้ว เค้าก็ยังมีตัวอย่างของสาเกให้เราได้ลองชิม หากถูกใจก็สามารถซื้อกลับมาได้ด้วย ส่วนเหล้าที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษของที่นี่ก็คือ “อิเนะมังไค” (Ine Mankai) เหล้าซึ่งมีรสหวานและมีสีเหมือนไวน์โรเซ่
[ かもめ ]
ก่อนกลับเราไม่ลืมที่จะฝากท้องไว้ที่นี่อีกหนึ่งมื้อ かもめ ร้านของคุณลุงคุณป้าหน้าเปื้อนยิ้มสองคน ที่ทำให้เรามีความสุขตั้งแต่ยังไม่ได้ทานอาหารและสุขยิ่งขึ้นเมื่อได้ทานเซ็ทปลาสด ๆ ราดซอส ซาซิมิ และหมึกดองที่รสออกเปรี้ยวนิด ๆ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ เครื่องเคียงอีกนิดหน่อย เล็ก ๆ แต่หลากหลายสไตล์ญี่ปุ่น ที่นั่งของร้านมีให้เลือกทั้งแบบสากลคือทานบนโต๊ะหรือแบบญี่ปุ่นคือทานบนเสื่อทาทามิ ซึ่งแน่นอนว่ามาพร้อมกับวิวอ่าวอิเนะที่สวยงามเช่นเคย
ทริปนี้ถ้าจะให้สรุปง่าย ๆ ก็คงต้องบอกแค่ว่า เพอร์เฟก เราไม่รู้ว่าหน้าหนาวที่นี่จะหนาวแค่ไหน เราไม่รู้ว่าใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่จะโรแมนติกแค่ไหน เรารู้แค่ว่าเราต้องกลับมาอีกให้ครบทุกฤดูแน่ๆ เพราะขนาดนี่เป็นหน้าร้อนที่มีฝนเป็นอุปสรรคตลอด ยังทำให้เราประทับใจได้ขนาดนี้ แล้วถ้ามันเป็นช่วงที่ทั้งอ่าวถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว หรือช่วงที่ภูเขาทั้งลูกกลายเป็นสีส้ม ที่นี่จะสวยแปลกตากว่านี้อีกขนาดไหน พูดแล้วก็พนมมือไหว้สาต่อฟ้าดิน ขอให้หาเงินกลับมาทันครบทุกฤดู เพี้ยง!!!!!