รีวิวลพบุรี : One Day Trip “Lopburi” – 6 โลเคชั่น วันเดย์ทริป “ลพบุรี”

พอเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากซัมเมอร์เป็นฤดูฝนอันชุ่มชื่น ก็ถึงเวลาที่เราจะพาเพื่อน ๆ ออกเดินทางเข้าหาธรรมชาติฉ่ำ ๆ ต้อนรับซีซั่นใหม่นี้ด้วยโลเคชั่นสุดกรีนใกล้กรุงฯ ณ จังหวัดลพบุรี เมืองที่ไปกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อ โดยรอบนี้ขอจัดแพลนให้ได้ฟินกันเน้น ๆ แบบวันเดย์ทริป 6 พิกัดถ่ายรูปเท่ มีทั้งคาเฟ่เปิดใหม่หลากสไตล์ แวะทักทายน้องแพะท่ามกลางธรรมชาติสุดคิ้วท์ที่ริมเขื่อน ควงแขนเพื่อนไปหามุมถ่ายรูปนั่งชมวิวตรงทางรถไฟลอยน้ำ ใช้เวลาชิล ๆ ให้สมเป็นวันหยุดอันแสนเลอค่าน่าจดจำ

และนอกจากจะออกมาเพื่อรีชาร์จร่างกาย-จิตใจแล้ว เพื่อน ๆ อย่าลืมดูแลรถยนต์คู่ใจด้วยน้ำมันคุณภาพจาก ESSO ด้วยนะ เพราะนอกจากขึ้นชื่อเรื่องน้ำมันคุณภาพ เร่งดังใจ เอสโซ่ดีเซล สะอาดใส ไม่มีตะกอนเร่งเครื่องได้เต็มสมรรถนะตอนนี้เขายังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษ เพียงเติมน้ำมันดีเซลทุกชนิด ทุกๆ 1,200 บาท รับฟรี! เครื่องดื่ม M150 ราคา 12 บาทไปบูสต์พลังก่อนขับทางไกล และยังมีดีลพิเศษ! สำหรับคนที่เติมน้ำมัน ซูพรีมพลัส รับคะแนนเอสโซ่ สไมล์สเพิ่ม X2 ไปเลยจุก ๆ ตั้งแต่29 เม.ย  – 31 ก.ค. 65 ฉะนั้นจะไปทริปไหนใกล้หรือไกลก็ขอฝาก Esso ไว้ดูแลเพื่อน ๆ ตลอดทาง

01 Layer Lopburi

เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองลพบุรี เราก็มาแวะพักจิบกาแฟเพื่อเช็กอินตามวิถีคาเฟ่ฮอปเปอร์กันที่ ‘Layer Lopburi’ คาเฟ่ฟีลเกาหลีเกาใจ กับบรรยากาศสบาย ๆ เหมือนได้แวะมาพักสมอง และฮีลใจด้วยของกระจุกกระจิกที่วางตกแต่งอยู่ทั่วร้าน ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟเอย กรอบรูปเอย หรือแจกันสุดมินิมอล ที่ชวนให้ประทับจิตประทับใจกับการเลือกแมทช์เฟอร์นิเจอร์ของร้านที่ทำออกมาได้เก๋ไก๋และเข้ากันอย่างสุด ๆ

ภายในร้านแบ่งโซนอย่างเป็นสัดเป็นส่วน จะควงแขนแฟนมานั่งชิลริมหน้าต่าง เผื่อจังหวะทางแสงสวยก็แชะรูปคู่งาม ๆ ไว้อัพลงโซเชียล หรือมากับแก๊งเพื่อนก็เลือกนั่งโต๊ะไม้ยาวด้านหลัง มองบาริสต้าชงกาแฟส่งกลิ่นหอมเพลิน ๆ ส่วนใครมาคนเดียวขอให้จับจองเก้าอี้สีดำตรงมุมห้องตกแต่งพร้อมโคมไฟ และรูปภาพสไตล์คนเก๋ ให้เราได้ถ่ายรูปเท่ ๆ ไม่แพ้ใคร

สำหรับเมนูเครื่องดื่มในร้าน เน้นเมนูกาแฟสุดคลาสสิกให้เลือกอย่าง Americano, Mocha และ Dirty แก้วจิ๋วแต่ดีกรีความเข้มต้องยกนิ้วให้ เพราะทางร้านกดช็อตเอสเพรซโซเข้มข้นลงบนนมเนื้อแน่น ก่อนเสิร์ฟให้เราเป็นเลเยอร์สวย อีกหนึ่งเมนูพิเศษที่ไม่ควรพลาดคือ Layer Signature ลาเต้เย็นท็อปด้วยครีมนุ่ม ๆ โรยด้วยถั่วกรุบกรอบด้านบน ทานคู่กับ Almond Croissant และ Basque Cheesecake บอกเลยว่าดีงามมาก ๆ

02 Classica Cafe & Tea Room

อีกหนึ่งร้านกาแฟเปิดใหม่ที่สายฮอปปิ้งแบบเราจะพลาดไม่ได้ ‘Classica Cafe & Tea Room’ คาเฟ่สุดน่ารักที่มีเอกลักษณ์คือตึกเล็ก ๆ สีเขียววินเทจและรถเต่าสีฟ้าที่จอดอยู่บริเวณหน้าร้าน และแน่นอนว่ามุมถ่ายรูปที่พลาดไม่ได้ ก็ต้องแวะแกล้ง ๆ โพสท่าเปิดประตูร้าน ข้ามถนนตรงทางม้าลาย และถ่ายรูปคู่กับรถเต่าสะหน่อย

บรรยากาศในร้านเล็กกระทัดรัดแต่อบอุ่นหัวใจ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้วินเทจให้อารมณ์บ้านสไตล์เกาหลีไปอีกแบบ โดยเฉพาะมุมหน้าต่างที่มองออกไปเห็นวิวสีเขียวของต้นไม้ที่ทางร้านปลูกไว้ ก็น่ารักจนสาว ๆ ต้องอยากตามมาเช็กอิน ส่วนใครที่ชอบบรรยากาศธรรมชาติ ๆ รับลมเย็น ๆ ก็มีโซนที่นั่งเอาท์ดอร์ในสวน และที่นั่งบริเวณหลังร้านให้เลือกได้ตามชอบ

เมนูเครื่องดื่มของที่นี่ก็ครีเอทความอร่อยมาแบบหลากหลาย เอาใจทั้งคอกาแฟ สายขนมหวาน และชาร้อน ๆ ให้จิบไปคุยไปแบบเพลิน ๆ เราเลยขอสั่ง English Breakfast Tea ชาใสเสิร์ฟมาร้อน ๆ ในชุดถ้วยชาสุดน่ารัก มีกลิ่นหอมแตะจมูกต้องแต่ยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ทานคู่กับ Croffle Biscuits ขนมหวานที่เอาแป้งครัวซองต์ไปอบในพิมพ์วาฟเฟิลและท็อปด้วยวิปครีมนุ่ม ๆ กับบิสกิตเคี้ยวเพลิน ๆ

03 Seek cafe

มีคาเฟ่เปิดใหม่แล้ว ก็ย่อมมีที่ใหม่กว่าอย่าง ‘Seek Cafe’ ที่เอาใจสายเท่ หรือหนุ่ม ๆ ที่ชอบฮอปปิ้งให้มาโพสท่าถ่ายรูปชิค ๆ ในบรรยากาศดิบ คูล ในโทนสีดำตั้งแต่หน้าร้านจนถึงสไตล์การตกแต่งภายใน ที่เมื่อผลักประตูกระจกเข้ามาก็เหมือนก้าวขาหลุดไปอีกโลกหนึ่ง เพราะเฟอร์นิเจอร์เรียบ ๆ ที่ตั้งเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสีดำภายในร้าน สามารถเปิดออกมาเป็นชุดเก้าอี้สุดเจ๋ง มองไปอีกฝั่งเป็นที่ตั้งของเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม วางตัดกับผ้าม่านสีน้ำเงินขับกันอย่างดีกับชุดขาวที่เราใส่ พอขนมมาเสิร์ฟบนถาดอลูมิเนียมก็ยิ่งเพิ่มความคูลเข้าไปอีก ส่วนอีกจุดที่ชอบมาก ๆ คือด้านหลังร้านจะมีชั้นวางเล็ก ๆ ตกแต่งด้วยโคมไฟ และเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ใช้ได้จริง คอยเปิดเพลงเคล้าคลอระหว่างจิบกาแฟ ให้ร้านนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

ขนม เเละเครื่องดื่มก็เสิร์ฟมาในคอนเซ็ปต์เท่ ๆ เหมือนกับร้าน ด้วยการวางขนมในถาดสีเงิน และแอบมีข้อความก๋ ๆ ปั้มลงบนกระดาษอีกที สำหรับเมนูคลาสสิกที่เพื่อน ๆ ต้องชอบกันอย่างแน่นอน ขอยกให้ Espresso Green Tea มัทฉะลาเต้ที่ใส่ช๊อตเอสเพรสโซเข้าไปเพิ่มดีกรีคาเฟอีนให้เราตื่นตลอดทั้งทริป แต่ใครที่คิดว่าอาจจะขมรึเปล่า บอกเลยว่ารสชาติเข้มข้นและเข้ากันดีแบบสุด ๆ ส่วนใครที่ไม่ดื่มกาแฟ ก็สั่ง Green Tea ชาเขียวลาเต้ธรรมดามาจิบก็เข้มข้นอร่อยฟินไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อกินคู่กับ Croissant Macademia ที่อบมาร้อน ๆ จากเตา

04 กะเพรา & Coffee

สำหรับใครที่มาเยือนลพบุรีแล้วไม่แวะมาที่ ‘กะเพรา & Coffee’ เรียกว่ามาไม่ถึง เพราะนี่คืออีกหนึ่งจุดเช็กอินที่มีดอกดาวกระจายเป็นกิมมิกน่ารัก ๆ ที่ไม่ควรพลาด ร้านตั้งอยู่บริเวณปากทางเข้าเขาจีนแล เน้นเสิร์ฟอาหารที่หลากหลาย ทั้งสเต็ก สปาเกตตี้ แต่ทีเด็ดต้องยกให้เมนูกะเพราอันเลื่องชื่อที่มีให้เลือกทั้ง ปลาแซลมอน กุ้ง ทะเลรวม ฯลฯ เสิร์ฟมาในจานใหญ่ให้อิ่มอร่อยเติมพลังกันก่อนเดินเข้าชมดอกไม้ โดยทางร้านคิดค่าเข้าถ่ายรูปในสวนแค่คนละ 20 บาทเท่านั้น

ไฮไลต์ของที่นี่คือทางเดินไม้ยาวสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางดอกดาวกระจายและดอกคอสมอส ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส โดยมีภูเขาหินปูนหรือที่เรียกว่าเขาจีนแลเป็นฉากหลังที่สวยราวกับภาพวาด บรรยากาศช่วงฟ้าหลังฝนตกทำให้ทุ่งดอกไม้ดูเหลืองสวยและเขียวชอุ่มกว่าที่เคย ยามที่หยดน้ำเกาะและมีผึ้งออกมาบินวนดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ก็เป็นภาพที่หาดูได้ไม่ยากหลังฝนตก

จุดถ่ายภาพเช็กอินที่เราเราชอบมาก ๆ และเพื่อน ๆ ก็น่าจะชอบเหมือนกัน ต้องยกให้บ้านหลังน้อยใจกลางทุ่งดอกไม้ ถูกปกคลุมไปด้วยพืชไม้ดอกสีชมพู น่ารักจนนึกว่าอยู่ในอนิเมะญี่ปุ่น และบริเวณสะพานข้ามทุ่ง ที่วางไว้พอดิบพอดีกับภูเขาจีนแลสุดอลังการด้านหลัง เชื่อว่าตรงนี้เพื่อน ๆ ต้องโพสท่าถ่ายรูปจนเม็มเต็มแน่นอน

05 สะพานรถไฟลอยน้ำโคกสลุง

ก่อนเดินทางไปถึงโลเคชั่นสุดท้าย น้ำมันเรายังเหลืออีกเพียบ แถมการเดินทางไปแต่ละจุดก็ห่างกันไม่มากทำให้เร่งเครื่องขับไปถึงไวได้ดังใจ เพราะเติมน้ำมันดีเซลมาแล้วเต็มถังจากปั้ม Esso ว่าแล้วก็ขอพาเพื่อน ๆ แวะถ่ายรูปเล่นกันต่อที่ สะพานรถไฟลอยน้ำโคกสลุง อีกจุดถ่ายรูปมาแรงในช่วงนี้ ที่มีสะพานรถไฟลอยน้ำยกระดับพาดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาบริเวณเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ให้เราเดินขึ้นไปถ่ายรูปบนสะพานได้ ใครที่โชคดีมากในช่วงที่เดือนเมษา-กันยายน ก็จะได้ชมวิวด้านล่างของเขื่อนที่น้ำลดเผยให้เห็นบริเวณหญ้าสีเขียว ที่มีรถเข้าไปจอดปิกนิกตั้งแคมป์กัน แต่หากใครที่มาช่วงน้ำขึ้นเดือนตุลาคม-มกราคม ก็จะเห็นวิวที่เหมือนรถไฟกำลังวิ่งบนผืนน้ำตรงเข้ามาที่สถานีเลยหล่ะ

หากเดินตามเส้นทางรถไฟไปเรื่อย ๆ จะมีจุดสวย ๆ ให้ยืนถ่ายรูป โดยเฉพาะป้ายบอกความเร็วของรถไฟ และช่วงแสงเย็น ๆ ก็จะได้ภาพละมุนละไมฟีลเหมือนไปเที่ยวญี่ปุ่น ส่วนใครที่อยากถ่ายรูปคู่กับรถไฟก็ต้องเช็กตารางมาก่อนล่วงหน้าและเผื่อเวลากันด้วยนะ เพราะแน่นอนว่าบางช่วงเวลารถไฟก็อาจจะมาเลทสักนิดสักหน่อย และอย่าลืมถ่ายรูปกันอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยกันด้วย ใครที่กลัวมาไม่ถูก ให้กดมาตามแผนที่นี้ได้เลย Google Map : goo.gl/maps/ywracmed97VUyxTQ7

06 เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

และเราก็ขับรถพาทุกคนมายังโลเคชั่นสุดท้าย ด้วยการขับลัดเลาะตรอกซอกซอยของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มาเรื่อย ๆ เกือบ 40 นาที จนเจอกับหน่วยพิทักษ์ป่าท่าฤทธิ์ บริเวณลานสนามหญ้าสีเขียวสดชื่นเปิดโล่งริมเขื่อน เป็นพื้นที่ราบที่สามารถขับรถเข้ามาจอดได้ เราจะเห็นบรรดารถเเคมป์ปิ้งเข้ามาจอดปักหลัก กางเต๊นท์เพื่อค้างคืนนอนดูดาวกันที่ริมเขื่อน หากมาช่วงประมาณบ่าย 4-5 โมงเย็นช่วงแดดร่มลมตก ก็จะเจอกับฝูงแพะนับร้อยตัวที่ชาวบ้านพาเข้ามากินหญ้าพอดิบพอดี

ใครที่อยากได้ภาพน่ารัก ๆ คู่กับแพะก็เดินเข้าไปลูบหัวเบา ๆ แล้วแชะภาพได้เลย เพราะน้อง ๆ น่ารักมาก โดยเฉพาะแพะเด็กตัวเล็ก ๆ ออกมาเดินเล่นแล้วเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิตเลย แต่ถ้าใครอยากได้ภาพสุดแกรนด์ ก็จะมีชาวบ้านมาขายหญ้าให้ถือป้อน แต่แนะนำว่าให้ฉีกยิ้มหวาน ๆ และซ้อมวิ่งท่าสวย ๆ กันให้ทันเพราะน้อง ๆ จะวิ่งเข้ามาในซีนกันแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเลยยยย ปักหมุดโลเคชันให้เพื่อน ๆ ตามไปกันได้ที่ goo.gl/maps/qiiEjtogRDw9fdoYA

อีกหนึ่งความประทับใจของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ นอกจากเป็นที่เก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง และฝูงแพะออกมาเดินเล่นให้เราชมความน่ารัก เราสามารถเลือกโลเคชั่นเหมาะ ๆ หยิบของที่เตรียมออกมากางปิกนิก นั่งกินลมชมวิวสวย ๆ ของภูเขาฝั่งตรงข้ามได้เลย ช่วงเวลาพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าจึงเป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุดของเขื่อนป่าสัก ที่จะได้เห็นแสงสวย ๆ ตกกระทบกับน้ำ และผืนหญ้าสีเขียวที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีทอง เวลานี้ไม่มีอะไรดีกว่าการได้จิบเครื่องดื่มและขนมอร่อย ๆ ที่พกมาไว้รองท้องระหว่างชมวิวอีกแล้ว

ใครที่กำลังหาแพลนเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ง่าย ๆ แบบไปเช้าเย็นกลับ เราขอแนะนำ ‘จังหวัดลพบุรี’ ที่ไปกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อ เพราะมีครบรสทั้งธรรมชาติ ภูเขาน้ำตก ทุ่งดอกไม้ และคาเฟ่ที่ดีต่อใจ และอย่าลืมทุกการเดินทางขับขี่ปลอดภัย เตรียมทั้งคนทั้งรถให้พร้อมก่อนออกทริป แวะเติมน้ำมันที่ปั้ม Esso ให้เต็มถัง พิเศษช่วงนี้แค่เติมน้ำมันดีเซลทุกชนิดที่ปั๊ม Esso ครบ 1,200 บาท ก็รับฟรี! เครื่องดื่ม M150 ไปบูสต์พลังก่อนขับรถทางไกล ส่วนใครที่เติมน้ำมันซูพรีมพลัส ก็รับคะแนนเอสโซ่ สไมล์ X2 ไปเลย โปรโมชั่นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. – 31 ก.ค. 65 นี้เท่านั้น