รีวิวสิงคโปร์ :: The Ultimate Singapore Travel Guide 2022 with vivo X80 Pro 5G

Say Hi!! ดัง ๆ จากประเทศที่สะอาดที่สุด ระบบขนส่งดีที่สุด เมืองที่มีความเขียวฉ่ำ และผู้คนมีชีวิตดี ๆ ที่ลงตัวที่สุด “สิงคโปร์” สิงโตแห่งท้องทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกประเทศที่เหมาะเป็นทริปปฐมบทในการเที่ยวต่างประเทศหลังโควิดที่สุด โดยแพลนรอบนี้เป็นการมัดรวมมาฝาก 16 จุดสุดปัง อัพเดทปี 2022 ทั้งเช็คอินสปอตสำหรับเหล่าอินสตาแกรมเมอร์ เอ้อระเหยในคาเฟ่ธีมดีมีเมนูเด็ด ตามเก็บงานอาร์ตหาอาหารให้สมองกับพิพิธภัณฑ์ระดับโลกและห้องสมุดระดับชาติ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนคู่กายการเดินทางครั้งนี้ จะต้องเป็น vivo X80 Pro 5G เท่านั้น สมาร์ทโฟนคู่ใจที่จะทำให้การบันทึกเรื่องราวการเดินทางของเราครั้งนี้สวยจัดชัดจริงเช่นเคย

แน่นอนว่าสิ่งที่ตรึงใจจนไม่อยากไปไหน ก็เพราะ vivo X80 Pro 5G เขาตอบโจทย์ทุกการถ่ายภาพได้อย่างดี ทั้งกลางวันและกลางคืน มีความอัจฉริยะปรับภาพให้เราได้เก็บความทรงจำได้สวยงามกว่าที่เคย ซึ่งรุ่นนี้ก็กลับมาพร้อมความปังกว่าเดิมด้วยการอัพเลนส์กล้องร่วมกับ ZEISS แบรนด์ผลิตเลนส์ชื่อดังระดับโลก มาช่วยกันพัฒนาเลนส์ชนิดพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ คุมทุกช่วงด้วยตัวเลนส์ 4 ระยะ ไม่ว่าจะเป็นเลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล สวยชัดทุกชัตเตอร์, Periscope Telephoto เลนส์ซูมความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ซูมสะใจได้ถึง 5 เท่า, Telephoto ใช้ถ่ายภาพบุคคล ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีระบบ Dual Pixel PDAF โฟกัสอัตโนมัติ ได้ภาพหน้าชัดหลังเบลอที่คมชัด ละมุนทุกมุมมอง และที่ขาดไม่ได้เลยคือ Ultra Wide ความละเอียด 48 ล้านพิเซล กว้างสะใจ 114 องศา เก็บครบทุกองค์ประกอบ ร่างพร้อมอุปกรณ์พร้อมแล้วเริ่มลุย 16 พิกัดพร้อมกันได้เลย!!

001 Jewel Changi Airport

แลนด์ดิ้งปุ๊ปแนะนำให้ทุกคนดิ่งไปเช็คอินกันที่ Jewel Changi Airport ศูนย์การค้าในโดมแก้วขนาดใหญ่ ที่ผสมผสานธรรมชาติและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว มีน้ำตกกลางห้าง HSBC Rain Vortex เป็นไฮไลท์สุดจึ้ง กับความสูงถึง 40 เมตร ไหลจากยอดโดมกระจกสูงสุดของห้าง ลงสู่ใต้ดินวันลูปอยู่ตลอดเวลา สวยงามทั้งยามเช้าและยามค่ำคืน แต่งแต้มสีเขียวด้วยสวนป่า Shiseido Forest Valley แมกไม้ไล่ระดับ 4 ชั้น สร้างความร่มรื่นแทนวัสดุก่อสร้าง ส่วนรอบ ๆ จะเป็นร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหารชื่อดังของสิงคโปร์ที่เขารวบรวมไว้.. เผื่อใครช้อปปิ้งไม่ทันก็มาเก็บตกที่นี่ก่อนบินกลับได้ด้วยนะ

หากชมจากโถงทางเดินธรรมดาก็สามารถชมได้ฟรี แต่ถ้าอยากครีเอทมุมจากจุดสูงสุดแบบนี้ ไปต่อคิวตรงจุด Canopy Bridge ได้เลย ( เสียค่าเข้าคนละ 8 SGD ) ชิดใกล้กับโครงกระจกใสดูอ่อนช้อยแต่แข็งแรง มองเห็นเบื้อล่างเป็นต้นไม้สูงใหญ่ พร้อมผู้คนตัวเล็กจิ๋วเดินสวนกันอย่างคึกคัก และยังมีส่วนอื่น ๆ ให้เราได้เดินลัดเลาะชมความงามแปลกตาระดับโลกนี้ได้อีก อาทิ Canopy Park, Discovery Slides, สวนหมอก (Foggy Bowls), สวนกลีบดอกไม้ (Petal Garden), เส้นทางเดินป่าโทพิเอริ (Topiary Walk) ฯลฯ

002 Merlion Park

ปารีสต้องหอไอเฟล นิวยอร์กต้องเทพีเสรีภาพ มาสิงคโปร์ก็ต้องมาเจอเมอร์ไลออน ถึงจะเรียกว่ามาถึง สิงโตพ่นน้ำมาสคอร์ตประจำชาติที่เราเห็นตามหน้าหนังสือตั้งแต่เด็กจนโต เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงรากเง้าของสิงคโปร์อย่างดี นั่นคือส่วนตัวที่เป็นปลาบ่งบอกถึงพื้นเพที่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงอันเรียบง่าย ส่วนหัวเป็นสิงโตมาจากชื่อดั้งเดิมสิงหะปุระ หรือเมืองสิงโตในภาษามาเลย์นั่นเอง 

ตอนกลางวันเรามักเห็นผู้คนมาถ่ายรูปเช็คอิน กับท่าครีเอทต่าง ๆ อย่างอ้าปากรับน้ำบ้าง เอาแก้วมารองน้ำบ้าง สร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน เวลาผ่านไปทำให้เราเห็นว่ายิ่งเย็นยิ่งสวย เลยเก็บช่วงเวลาดี ๆ มาฝากทุกคนได้ง่าย ๆ ด้วย Night mode ล้ำกว่าใครด้วยระบบกันสั่น สีสด ภาพคมชัด สวยสู้ทุกแสงโดยไม่ต้องพึ่งขาตั้งกล้อง จะโพสกี่ท่าชัตเตอร์ก็ลั่นไวทันใจ ลงสดก็สวยแต่ถ้าอยากใส่ฟิลเตอร์ด้วยก็มีลูกเล่นมากมาย ทั้งการดูดสี เติมแสง หรือเปลี่ยนโบเก้ธรรมดา ๆ ในโหมดพอตเทรต ละลายหลังแบบเก๋ ๆ ก็ทำได้ดี

มุมถ่ายรูปสวยจุใจ ฟีเจอร์ของกล้องก็มีให้เลือกถ่ายได้ไม่รู้เบื่อ โดยเฉพาะ Portrait Mode Style ที่มาพร้อมเลนส์ 50mm ระยะเลนส์ที่ได้ชื่อว่าถ่ายคนสวยที่สุด และเทคโนโลยีกันสั่น Gimbal (กิมบอล) มีเฉพาะในสมาร์ทโฟน vivo เท่านั้น ด้านในยังจุใจกับลูกเล่นปัง ๆ จากเลนส์คลาสสิคของ ZEISS ที่สามารถจำลองการเบลอของโบเก้ได้หลากหลายทั้ง Distagon, Planar, Sonnar และ Biotar รวมถึงโหมด Cinematic ที่เพิ่งเพิ่มขึ้นมาใหม่ สร้างโบเก้ละลายหลังเหมือนฉากในหนังโรแมนติก งานนี้ต่อให้มุมซ้ำกันแต่อารมณ์ภาพไม่ซ้ำแน่นอน

003 ArtScience Museum

พิพิธภัณฑ์ที่มีโครงสร้างเก๋แปลกตา เหมือนเป็นการผายมือตอนรับนักท่องเที่ยวเข้าสู่สิงคโปร์ด้วย 10 นิ้วที่หงายขึ้น โดยปลายนิ้วจะเป็นมุมป้าน กรองแสงธรรมชาติเข้าสู่ห้องจัดนิทรรศการ เพื่อให้ได้แสงที่ดีที่สุด โดยภายในเป็นอาคาร 3 ชั้น มีห้องจัดแสดงผลงาน 21 ห้อง มีทั้งผลงานศิลปะ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทั้งงานนิทรรศการถาวรและหมุนเวียน

Future World: Where Art Meets Science นิทรรศการถาวรที่สร้างเสียงเรียก จนคนทั่วโลกต่างอยากมายลด้วยตาตัวเอง เป็นการจัดแสดงไฟโดยทีมงานคุณภาพ teamLab จากประเทศญี่ปุ่น ร้อยเรียงเรื่องของ ธรรมชาติ เมือง สวนสาธารณะ และวิทยาศาสตร์ ผ่านงาน digital interactive installation บ่งบอกถึงความเป็นสิงคโปร์ได้อย่างเฉียบขาด แถมเรายังได้ภาพสวย ๆ กลับมาอัพสตอรี่กันรัว ๆ ด้วย

เมื่อพูดถึงงานไฟก็คงต้องยกหน้าที่ให้โหมดกลางคืนอีกครั้ง อยากจะบอกว่าศักยภาพของกล้อง vivo X80 Pro 5G ในโหมดนี้มันสวยกริบจริง ๆ แม้ในสภาพแสงน้อย ต้องเน้นการไล่เฉดของแสงไฟถือว่าทำได้เลิศมาก ไฮไลท์ไม่เกิน เงาไม่ขาด ไร้แสงรบกวน เพราะตัวเลนส์มาพร้อมกับเทคโนโลยีการเคลือบเลนส์ ZEISS T* Coating เทคนิคการเคลือบเลนส์แบบพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของ ZEISS นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับความไวแสงที่โดดเด่น, Real Time Extreme Night Vision 3.0 และ Gimbal Stabilization 3.0 ของ vivo ที่ช่วยให้โฟกัสได้รวดเร็วและแม่นยำ ทำให้ภาพที่ได้คมชัดแม้ในเวลากลางคืน

แน่นอนว่าโซนที่ถือว่าเป็นจุดไฮไลท์ที่ดึงดูดให้เราเดินทางมา Museum แห่งนี้ก็คือโซน Space ที่ได้นำเอาหลอดไฟ LED แบบสามมิติ มาเรียงร้อยเป็นจักรวาลคริสตัลหรือ Crystal Universe ให้เราได้เดินท่ามกลางดวงดาวนับ 10,000 นับ 1,000 ดวงที่สองประกายระยิบระยับสดใส ความสวยงามนั้นก็สมกับที่เราตั้งตาคอยและเดินทางมาถึงที่นี่ แต่ก็แอบผิดหวังนิดนึงกับขนาดของจักรวาลที่เล็กกว่าความคาดหวังไปหน่อย และยิ่งจังหวะที่คนเยอะก็แอบต้องรอลุ้นหามุมกันให้ดี ๆ กว่าจะได้รูปออกมาสวยถูกใจ ก็อย่างที่บอกถ้าตัดเรื่องขนาดออกไปมันก็คุ้มค่ากับเวลาของเราแล้ว

ส่วนงานหมุนเวียนที่เราได้มาพบเจอคือ Attack on Titan: The Exhibition อนิเมะสุดมันส์ที่มีแฟนคลับทั่วโลก นำอาร์ตเวิร์คกว่า 150 แผ่นที่วาดโดย Hajime Isayama มาจัดแสดง และเขายังมีสรุปจบเรื่องตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันภายใน 20 นาที เป็นเวอร์ชั่น Originals Series ซึ่งมีถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 65 นี้เท่านั้น ใครมาช่วงไหนก็ขอให้เข้าไปเช็คก่อนว่ามีงานอะไรน่าสนใจบ้าง รับรองว่างานที่เขาคัดมา มีแต่ของเจ๋ง ๆ ทั้งนั้

004 Gardens by the Bay

สำหรับที่นี่ขอให้ทุกคนเผื่อเวลาไว้ทั้งวันไปเลย กับการ์เด้นส์ บาย เดอะเบย์ อีกสถาปัตยกรรมที่สิงคโปร์ได้ตะโกนบอกโลกถึงความยืนหนึ่งเรื่องการออกแบบผสานความโมเดิร์นเข้ากับธรรมชาติได้อย่างล้ำยุคล้ำสมัย บนพื้นที่กว่า 101 เฮกตาร์ (ประมาณ 630ไร่) เต็มไปด้วยจุดเช็คอินขึ้นชื่อ อาทิ Floral Fantasy Flower Dome Cloud Forest และ Supertree Grove พร้อมกับบริการที่รองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ทั้งสนามเด็กเล่น โรงอาหาร คาเฟ่ พื้นที่สาธารณะสำหรับนั่งชิ

เริ่มจากที่แรกคือ Cloud Forest ป่าในโดมเย็นฉ่ำ ประหนึ่งยืนอยู่พื้นที่ใต้เมฆหมอกอันชุ่มชื้น มีหน้าผาสูงใหญ่ตั้งตระหว่างอยู่ตรงกลาง พร้อมน้ำตกแนวดิ่งที่ไหลไล่ระดับลงมา ผ่านมอส เฟิร์ส พันธุ์ไม้หลากหลายขึ้นปกคลุม ภายในโครงผานั้นเราสามารถเดินลัดเลาะ ขึ้นไปจุดชมวิว และสะพานลอยฟ้า ให้เราเห็นทัศนียภาพภายนอกและภายในโดมได้อย่างสบายอารมณ์ บอกเลยว่าเพลินตาแบบอยู่ได้ทั้งวันไม่เบื่อเลย

ยามเย็นพลาดไม่ได้เลยที่จะมาเก็บฟ้าเปลี่ยนสีที่จุด Supertree Grove กลุ่มต้นไม้เทียมยักษ์ โดดเด่นอยู่กลางสวน ความสูงมีตั้งแต่ 25-50 เมตร สวยเหมือนหลุดมาในโลกแฟนตาซีเลยทีเดียว กิจกรรมตรงนี้เราสามารถขึ้นหอคอยเพื่อเดินชมวิวกลางสะพาน OCBS Skywalk เชื่อมระหว่าง Supertree ได้ แต่กระซิบก่อนว่าความสูงนี่ทำให้ใจเต้นได้พอประมาณเลยนะ

ไป ๆ มา ๆ ก็กินเวลาไปเกือบจะหมดวันแล้ว แต่เราก็ยังถ่ายรูปในนี้ได้ไม่รู้เบื่อเลยจริง ๆ ไม่ว่าจะมุมไหน ใช้เลนส์ระยะเท่าไหร่ก็ได้แต่รูปสวย ๆ มาเพียบ แม้แต่การเซลฟี่ของ vivo X80 Pro 5G นี้ก็ยังตอบโจทย์ ด้วยความละเอียดถึง 32MP มีรูรับแสงกว้าง f/2.45 สู้ทุกสภาพแสงแล้วยังปรับผิวปรับหน้าเราให้เนียนสวย อย่างเป็นธรรมชาติ อัจฉริยะด้วยระบบโฟกัสที่ว่องไว จะกี่เรื่องราวดี ๆ ก็ถูกบันทึกได้อย่างสวยงาม ไม่หลุดโฟกัสแน่นอน 

พอพระอาทิตย์เริ่มตก เราจะเห็นผู้คนเริ่มมาจับจองที่นั่งเพื่อรอชมการแสดง Garden Rhapsody ซึ่งมีทุกวันเวลา 19:45 น. และ 20:45 น. ตื่นตาตื่นใจกับงานแสดงแสงสีเสียเปลี่ยนแสงไฟตามจังหวะดนตรีให้รู้สึกเหมือนต้นซุปเปอร์ทรีนี้มีชีวิต หรือจะขึ้นไปชมวิว Supertree Observatory บนหอคอยสูง 50 เมตร ก็จะได้วิว Marina Bay อันงดงามไม่แพ้กัน

005 Museum of Ice Cream, Singapore

สายหวานรักสีชมพูพาสเทล สาวกไอศกรีมจะต้องกรี๊ดให้กับมิวเซียมที่เปิดได้ไม่นาน มั่นใจว่าน้อยคนมาก ๆ ที่จะเคยมา ซึ่ง Museum of Ice Cream (MOIC) มีสาขาแม่อยู่ที่นิวยอร์ก ได้รับเสียงตอบรับดีมาก ๆ จากเหล่า Instagramable เพราะเขามีจุดถ่ายรูปคิ้วท์ ๆ มากมาย แถมยังใกล้ชิดกับงานศิลปะได้แบบ Close-up แต่ก่อนที่จะเข้าไป ขอให้วอร์มร่างกายให้พร้อม และเปลี่ยนชื่อตัวเองเข้ากับชื่อไอศกรีมให้เข้าธีมสถานที่สักหน่อย เพื่ออรรถรสในการเยี่ยมชม

ความมุ้งมิ้งที่เห็นนี้กินพื้นที่ยิ่งใหญ่มากกว่า 60,000 ตาราฟุต บรรจุงาน Installation ไปจุก ๆ 14 จุด เล่าถึงประวัติ ความเป็นมาของไอศกรีมแต่ละภูมิภาค ผ่านอาร์ตสีพาสเทลน่ารักสดใส มีบาร์ไอศกรีมฟีลบาร์บี้ Jukebox เปิดเพลงคลาสสิกสนุก ๆ ฟังฟรีระหว่างนั่งดื่มด่ำกับไอศกรีมอร่อย ๆ ด้วย ราคาตั๋วอยู่ที่ 42 SGD/คน ถ้ามา 2-3 คนอยู่ที่ 40 SGD/คน และ 4 คนขึ้นไปราคาจะเหลือแค่ 38 SGD/คน เท่านั้น เรียกว่ายิ่งชวนเพื่อนมาเยอะยิ่งคุ้ม

006 library@orchard

มาทำตัวแฮปปี้สไตล์หนอนหนังสือกันที่บูติคไลบรารี่ ห้องสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ ที่ได้รับการรีโนเวทใหม่เมื่อปี 2014 แต่ก็ยังดูอินเทรนด์เป็นหนึ่งในใจเรามาเสมอ ด้วยชั้นวางหนังสือฟอร์มโค้งสวย ในห้องเพดานสูงขาวสะอาด มีหนังสือกว่า 100,000 เล่มวางเรียงราย เป็นสัดส่วนสวยงาม จัดโซนที่นั่งอ่านเน้นความเป็นส่วนตัวและมีระเบียบ ใครที่ชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเราคิดว่าอยู่ในนี่น่าจะดื่มด่ำได้เป็นวัน ๆ แน่นอน

007 S.E.A. Aquarium

ที่ต้ังอยู่กลางทะเลขนาดนี้เรื่องอควาเรียมก็ต้องไม่เป็นสองรองใครสิครับ S.E.A. Aquariumเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์และเป็นที่จัดแสดงสัตว์น้ำอันดับต้น ๆ ของโลก มีสัตว์ทะเลมากกว่า 100,000 ตัว เกือบ 1,000 สายพันธุ์ จากแหล่งที่อยู่อาศัย 45 แห่ง ด้วยจำนวนสุดอลังการนี้ เขาจึงแบ่งส่วนจัดแสดงเป็น 10 โซนด้วยกัน และสิ่งที่พลาดไม่ได้คือ การแวะทักทายปลากระเบนแมนต้า ที่ใหญ่ที่สุดในโลกพระเอกของที่นี่ แนะนำให้รีบบึ่งมาสัก 10 โมงเช้าตรงเวลาเปิดพอดี เพื่อไม่ต้องฝ่าฝูงชน หามุมถ่ายรูปได้อย่างอิสระ

โซนสุดป๊อปที่ใครต่างต้องมาถ่ายภาพย้อนแสงเท่ ๆ คือ Open Ocean Habitat จัดแสดงโลกใต้ท้องทะเลสุดมหึมา ที่จุน้ำมากถึง 18 ล้านลิตร รวมปลาทะเลไว้มากกว่า 40,000 ตัว มีทั้งพันธุ์นักล่าและผู้ถูกล่าเอาไว้ รวมถึงฉลามบางสายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ด้วย ทำให้เราได้เห็นระบบนิเวศโดยรวมของอีกโลกที่เราไม่ค่อยได้พบเห็น

ไม่ว่าจะไปอวาเรียมไหน โซนที่เราดื่มด่ำที่สุดมักจะเป็นตู้จัดแสดงแมงกระพรุน พอมันอยู่รวมกันเยอะ ๆ อยู่ในแสงไฟนวลเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ พร้อมการแหวกว่ายไร้ทิศทาง ด้วยท่าทีนุ่มนวล มันดูผ่อนคลายมาก ๆ  เผลอแป๊ปเดียวก็ดูดเวลาเราไปครึ่งวันแล้ว ใครจะตามมาก็เมนเนจเวลากันดี ๆ นะฮะ

008 Marina Barrage

ร่วมดื่มด่ำกับกิจวัตรยามเย็นสไตล์คนเมือง ประหนึ่งใช้ชีวิตที่นี่มานานแรมปี ด้วยการมาพักผ่อนหย่อนใจที่ Marina Barrage สวนสาธารณะลอยฟ้าริมเขื่อน วิวมารีน่าเบย์ ที่จะคึกคักไปด้วยผู้คนมานั่งปิกนิก เล่นว่าว ขว้างบอล กันอย่างสนุกสนาน สมแล้วที่เป็นเมืองมีพื้นที่สีเขียวต่อประชากรมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งทางเราก็ได้เตรียมขนม เครื่องดื่มมารองท้อง จัดแจงหามุมสงบ ๆ มานั่งมองบรรยากาศรอบ ๆ อ่านหนังสือสักบทสองบท ทิ้งเวลาไปจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดินไปพร้อม ๆ กับชาวเมือง มันฟีลกู๊ดมากเลยนะ

พกติดตัวมาทั้งวัน ยิ่งใช้ยิ่งดีต่อใจกับเจ้า vivo X80 Pro 5G ที่มาพร้อมสีดำ Cosmic Black สุดคูลดูพรีเมี่ยม สเปคเทพระดับ Hi-End เพราะนอกจากจัดเต็มเรื่องกล้องแล้ว ฟังก์ชั่นอื่น ๆ ก็ดีงามไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว คมชัดสวยเต็มตาเล่นเกมส์ได้ดูหนังเพลิน ฟังเพลงก็ปังกับชิปเสียง Hi-Fi ตัวเครื่องใช้วัสดุ Ultimate Aesthetic ผิวสัมผัสแบบด้าน เกิดรอยนิ้วมือน้อย ทนทานกันน้ำ กันฝุ่น มองมุมไหนก็หรูหราไร้ที่ติ แบตเตอรี่อัดแน่นมาจุก ๆ พร้อม Fast Charge 80w ชาร์จเต็มได้ในเวลประมาณครึ่งชั่วโมง รองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วย เสริมทัพให้ทรงพลังมากขึ้นด้วยชิปประมวลผลภาพถ่ายแบบ V1+ISP สมาร์ทโฟนรุ่นนี้จังไม่ใช่แค่ดูดีเกินต้าน แต่ยังถ่ายรูปสวยขึ้นเทพอีกด้วย

พอเริ่มเข้าสู่ช่วงวานิลลาสกาย เราเดินมาหามุมริมอ่าวถ่ายรูปกันสักเซ็ต ยืนมองแสงสุดท้ายสะท้อนเหลืองทองระยิบตากับกระจกตามตึกสูง ลาลับไปไม่นาน ก็ถูกแทนที่ด้วยแสงฟ้าหลากสีจากตึกและเส้นถนน ฉาบไปทั่วทั้งย่านเศษฐกิจเปลี่ยนอารมณ์จากเมืองสีเขียว กลายเป็นสถานบันเทิง ปรับเข้าโหมดไนท์ไลฟ์ในทันที

009 Fort Canning Park

สปอตเช็คอินยอดนิยม ณ สวนสาธารณะที่ออกนอกย่านการค้าไปนิดหน่อย ประทับใจทางเดินตั้งแต่เดินลงรถไปที่สวน บรรยากาศค่อนข้างสงบร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ตลอดทาง ซึ่งเดิมสวน Fort Canning แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งวังของกษัตริย์ชาวมาเลย์ จากนั้นถูกเปลี่ยนเป็นศูนย์บัญชาการการปกครองสมัยอังกฤษเข้ามามีบทบาท และเมื่อสิงคโปร์ได้รับเอกราช ก็ได้คืนพื้นที่แก่ประชาชนกลายเป็นสวนสวย ตึกรอบ ๆ กลายเป็นร้านค้า โรงแรม พิพิธภัณฑ์ และลานทำกิจกรรมต่าง ๆ จุดไฮไลท์ที่ทุกคนมาต่อคิวคือมุมอุโมงค์ใต้ดินที่เราต้องเดินเข้าไปจนสุดทาง จนพบบันไดวนขึ้นสู่ด้านบนที่เป็นโพรงใหญ่ เปิดโล่ง มีแสงสาดลงมา สร้างแสงเงาให้แก่เบื้องล่างได้ถ่ายรูปได้อย่างสวยงาม ยิ่งถ้าถ่ายย้อนขึ้นไปเราจะเห็นกิ่งก้านต้นไม้สูงใหญ่แทบจะคลุมทั้งช่องแสง บอกเลยว่าสวยม๊ากกกก ต้องมาสักครั้งจริง ๆ

010 Potato Head Singapore

ด้วยความหลากหลายทางสัญชาติของสิงคโปร์ นอกจากเหล่าตึกสมัยใหม่ทรงแปลกตาแล้ว ตึกเก่าเขาก็สวยจึ้งไม่แพ้กัน พิกัดนี้ขอพาอาตี๋อาหมวยไปเช็คอินแถวไชน่าทาวน์กันบนเส้นถนน Duxton และถนน Keong Saik แหล่งรวมร้านอาหารติดดาว ติดลิสแนะนำในมิชลินไกด์ ตรงนี้จะเป็นย่านประวัติศาสตร์ของชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน อนุรักษ์ตึกเก่าเอาไว้อย่างสมบูรณ์มีร้านค้าแบบเก่าและใหม่อยู่ด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนตึกที่โดดเด่นที่สุดคือร้าน Patato Head ตรงหัวมุมนี้เลยภายในอาคาร 4 ชั้นมีทั้งร้านอาหาร คลับ และบาร์รับลมชมวิวบนดาดฟ้า สามารถมาแวะมาถ่ายรูปชิค ๆ ได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

011  Ministry of Communications and Information (MCI)

อาคารสไตล์นีโอคลาสสิกพร้อมหน้าต่างสายรุ้งที่เราเห็นแทบทุกรีวิว ผ่านตาบ่อย ๆ บนฟีดไอจีจนกลายเป็นอีก The must!! ของสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนย่าน Clarke quay แต่ก่อนตึกนี้เป็น The Old Hill Street Police Station ที่คุมขังนักโทษที่แรกของสิงคโปร์ ปัจจุบันถอดเขี้ยวถอดเล็บกลายเป็น Ministry of Communications and Information และ Ministry of Culture, Community and Youth เป็นที่เรียบร้อย กลางวันว่าสวยแล้ว กลางคืนเขาจะเปิดไฟเป็นสายรุ้งด้วย ใครมาพักแถวนี้ลองแว๊บออกมาดูนะ สวยไม่แพ้กันเลย

012  Birds of Paradise Gelato Boutique

ร้านเจลาโต้สุดยูนีคที่ยึดมั่นในคอนเซ็ปต์ด้วยการรังสรรค์รสชาติจากธรรมชาติ ทั้งสมุนไพร ดอกไม้ และผลไม้ สไตล์โฮมเมดมีให้เลือกหลากหลาย ชูรสของพืชประจำถิ่นอย่างขิง ตะไคร้ ใบโหระพา เบลนผสมกลิ่นให้อ่อนจนเข้ากัน เติมรสชาติหวานเปรี้ยวเน้นสดชื่น จนกลายเป็นร้านเจลาโต้ขวัญใจของชาวสิงคโปร์ การันตีความอร่อยด้วยรางวัล The Michelin Plate by the Michelin Guide 2018 & 2019 ทั้ง ๆ ที่ร้านเพิ่งเปิดเมื่อปี 2016 เท่านั้น อยากการได้ลิ้มลอง แค่ถ้วยเดียวก็ช่วยรีเฟรซเราให้เดินถ่ายรูปสู้แดดได้ต่อตลอดบ่ายเลย

013 Leckerbaer (Keong Saik Road) 

อีกร้านที่เราตั้งใจมา Leckerbaer เป็นร้านขนมอบสไตล์เดนมาร์กอันโด่งดัง ส่งตรงมาจากโคเปนเฮเก้น มีชื่อเสียงมากในวงการอาหารเพราะเจ้าของเป็นทั้งเชฟและปาตีซีเย ผู้มากประสบการณ์จากร้านมิชลินสตาร์ในยุโรป ตัวร้านซ่อนอยู่ในตึกสีเทาสไตล์วินเทจ ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเน้นสีขาวน้ำตาลไม้แบบสแกนดิเนเวีย เฟอร์นิเจอร์หวายให้ความอบอุ่น เน้นทางแสงธรรมชาติด้วยเพดานโปร่งแสง

แค่เห็นหน้าตาขนมก็รู้เลยว่าเขาใช้ความประณีตในการตกแต่งมาก เมนูชูโรงที่ต้องลองคือ lemon & sea buckthorn ทาร์ตสูตรซิกเนเจอร์เนื้อสัมผัสรสชาติออกซอฟไลท์ นุ่มนวลด้วย meringue แบบครีมมี่ และ småkager คุกกี้เนยหอมกรุ่นจากเตา ซึ่งเราจิ้มมาทั้งหมด 8 แบบ รสชาติออกจะเปรี้ยวนำหน่อย ทำให้ไม่เลี่ยนสามารถกินได้เรื่อย ๆ พอจิบคู่กับอเมริกาโน่เย็นคั่วกลางก็ถือว่าลงตัว เป็นร้านขนมที่ควรค่าแก่การแวะมาชิมที่สุด

014 French Fold Telok Ayer

ร้านนี้เรามาในฟีลลิ่งดื่มด่ำกับอาหารเช้าสไตล์ Frenchy เป็นร้านที่อยู่ในกลุ่ม Merci Marcel กลุ่มร้านอาหารฝรั่งเศสในสิงคโปร์ รับรองได้ว่าอาหารทุกจานที่เราได้นั้นเป็นแบบฝรั่งเศสที่แท้ทรู มีให้เลือกถึง 2 สาขาอีกที่อยู่ย่านเศรษฐกิจ Orchard Rd. ถ้าเน้นความสงบเราแนะนำให้มาสาขา Telok Ayer นี่ล่ะ การตกแต่งร้าน ด้านหน้าจะเน้นขาวดำเท่ ๆ ส่วนด้านในเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ร่วมสมัยทำจากไม้สีเข้มเนื้อดี เล่นไฟสีส้มทำให้ร้านดูมีมนต์ขลัง น่านั่งชิลคุยกับเพื่อนยาว ๆ

เมนูของทางร้านจะเป็นเครปจัดเสิร์ฟได้ทั้งคาวหวาน หน้าตาคือความฝรั่งเศสตะโกนมาก ๆ ทีเด็ดเป็นตัวแป้งบางเฉียบหอมฟุ้ง ห่อขอบให้เห็นไส้ด้านใน เราลองสั่ง No.4 เป็นเครปคลาสสิกไข่ แฮม เห็ดที่ใช้วัตถุดิบพรีเมี่ยมมาก ตัวไข่แดงเขาจะทำแบบไม่สุกให้เราได้รสสัมผัสที่ครีมมี่ ๆ ส่วนของหวานเป็น No.21 เครปเปล่าราดด้วย Valrhona Chocolate 70% เนื้อเจ้มจ้น เหมาะเป็นจานปิดจบมื้ออาหารไปฟิน ๆ

015 Plain Vanilla Tiong Bahru

สายคาเฟ่ฮอปเปอร์จะต้องไม่พลาดกับ Tiong Bahru ย่านที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ในตึกเก่า ร้านโชห่วยโบราณ ชมวิถีชีวิตของผู้คนอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนร้านประจำที่เราแวะทุกครั้งเมื่อมาสิงคโปร์คือ Plain Vanilla นี้เลย ด้วยการตกแต่งเน้นสีขาวและไม้ดูเป็นมิตร มีแอร์เย็นฉ่ำให้หลบร้อน มีตู้วางของคราฟต์กระจุกกระจิกให้เราเลือกซื้อ แต่สิ่งที่ตรึงใจเราจนต้องกลับมาหลาย ๆ ครั้งคือรสชาติของขนมนี่ล่ะ

ของเด็ดของร้านนี้จะเป็นคัพเค้กหน้าต่าง ๆ ทางเราก็ขอจิ้มมาสัก 3 ชิ้น ตัวที่เป็น Must try!!! คือ Earl Grey Lavender ตัวเค้กมีส่วนผสมของ earl gray ท็อปด้วยบัตเตอร์ครีมกลิ่นลาเวนเดอร์และโรยผงชาเข้าไปรสและกลิ่นเน้นรีเฟรซผ่อนคลายหวานหอมแบบฟิน ๆ และ Chocolate Hazelnut ตัวเค้กเป็นดาร์คช็อกโกแล็ตไม่หวานมากมีไส้นูเทลล่าเนียนนุ่ม ด้านบนเป็นช็อกโกแลตเฮเซลนัทฟรอสติ้งและเฮเซลนัททั้งลูก เท็กเจอร์กรุบ ๆ กินตัดกับกาแฟนมแล้วมันกลมกล่อมมาก บรรยากาศก็แสนชิล ใครได้มาสิงคโปร์นี่ห้ามพลาดเลยนะ

016 Proper Slice BYGB

ด้วยแต้มบุญที่มีอยู่ทั้งหมดทำให้เราได้บังเอิญเดินผ่านมาเจอร้านเก๋ เท่แบบยอมเทใจให้อีกหนึ่งร้าน Proper Slice BYGB สะดุดตาด้วยสีเขียว แดง ตัดขาวแสนโดดเด่น มีกลิ่นอายความนิวยอร์กที่เข้มข้น เพราะเขาได้อินสไปร์มาจากบรรดาร้านพิซซ่าชื่อดังในนิวยอร์กนั่นเอง ถ้าเข้าไปดูคอนเทนต์ในไอจีร้านบอกเลยว่า เทสของเจ้าของอินเตอร์โดนใจเรามาก ๆ เมื่อเดินเข้ามาในร้านก็เหมือนต้องมนต์ไปกับความคุมธีมด้วยสีสันและกลิ่นอบพิซซ่าที่หอมตลบอบอวล 

พิซซ่าเขามีให้เลือก 6 หน้าเป็นแบบเบสิก เอกลักษณ์ของทางร้านไม่ได้อยู่ที่ตัวเมนูเท่านั้น แต่ยังเป็นขนาดของพิซซ่าด้วย ซึ่งเข้าตั้งใจให้เป็นแบบ bigger-than-palm-sized pizza slices ใหญ่ขนาดกระเพาะคนไทยอย่างเราต้องกินสองคน ส่วนรสชาติออกแนวอิตาเลียโนมาก ๆ ตัวแป้งบางนุ่ม มีกลิ่นชีสหอม ๆ เคล้าความเค็มของ Pepperoni ที่สุกกำลังดี ว่าแล้วก็ขอหยิบออกมายืนถ่ายพร้อมเครื่องดื่มกระป๋องลายเท่สักชอต

ก่อนจะจบทริปขอกระซิบอีกสักครั้งว่า ภาพสวย ๆ ทั้งหมดที่เห็นนี้ เราบันทึกเรื่องราวผ่าน vivo X80 Pro 5G สุดยอดสมาร์ทโฟนที่สร้างความสนุกสนานให้แก่การถ่ายภาพได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าสถานที่จะกว้างหรือแคบ อยากได้หน้าชัดหลังเบลอ ต้องใช้เลนส์ระยะไหน รูรับแสงแบบใดเขาก็มีหมด จนเราได้รูปที่ไฉไลโดนใจที่สุด เอาเป็นว่า … ใครอยากมีไว้ครอบครอง สามารถไปจับจองกันได้แล้วที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ในราคา 39,999 บาท ดูข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vivo.com/th/products/x80pro อ่อ.. นอกจากนี้ใน vivo X80 Series 5G ยังมีรุ่น X80 5G ราคาน่ารัก 29,999 สเปกโดนใจให้เลือกเช่นกัน

หวังว่าทุกคนคงจุใจไปกับทั้ง 16 โลเคชั่น อัพเดท 2022 ที่เราตั้งใจไปเก็บภาพงาม ๆ มาให้ ใครที่ยังไม่ได้เที่ยวต่างประเทศตั้งแต่โควิดระบาด เราว่าสิงคโปร์เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยกับทริปปฐมบทในรอบหลายปี ยิ่งตอนนี้คนเริ่มทยอยเที่ยว ไม่วุ่นวาย ไม่จอแจ ยิ่งเหมาะที่จะเดินทาง แล้วอย่าลืมเอารูปสวย ๆ มาฝากให้ชมกันบ้างนะ