รีวิวราชบุรี :: How to Spend a Rainy Season in Ratchaburi

ทริปนี้ขอส่งต่อฟิลลิ่งเที่ยวไทยยังไงให้ฟีลไลค์ยุโรป ด้วยการพาเพื่อน ๆ ออกไปถ่ายรูปท้าแดดและลมฝนกันที่ “ราชบุรี” จังหวัดที่มีครบทั้งธรรมชาติสวย คาเฟ่ชิค รวมถึงสถาปัตยกรรมตะวันตก ให้เราได้เพลิดเพลินขับสกู๊ตเตอร์ชมวิวกันแบบเท่คูลตลอด 2 วัน 1 คืน ไม่ว่าจะนอนเอนกายชาร์จพลังเต็มที่ท่ามกลางสวนสวยประหนึ่งอยู่ในอิตาลี วิ่งเล่นกับน้องหมาอย่างเริงร่าในวินเทจฟาร์ม  ก่อนจะรับบทคาเฟ่ฮอปเปอร์แวะเช็คอินร้านเจ๋ง ๆ เพื่อเอาใจสายแฟกันอีกสักหน่อย แน่นอนว่าเดินทางแบบนี้รถคู่ใจก็ต้องมีสไตล์ บ่งบอกความเป็นยุโรปสุด ๆ กับ MADISON150 จาก MALAGUTI สกู๊ตเตอร์ลุคสปอร์ตพรีเมียม แบรนด์ดังจากอิตาลี ที่มีชื่อเสียงมายาวนานกว่าร้อยปี รับรองว่าลุคดีฟังก์ชั่นเด็ด เอาเป็นว่าถ้าพร้อมแล้ว มาออกเดินทางไปด้วยกันได้เลย!

อย่างที่เกริ่นไปว่าทริปนี้เราก็ยังคงอยู่กับสกู๊ตเตอร์ลุคสปอร์ตสุดพรีเมียม 150 ซีซี สัญชาติอิตาเลียนที่มีต้นกำเนิดจากเมืองโบโลญญ่า เมืองที่มีความเก่าแก่ และมีชื่อเสียงในแวดวงยนต์กรรมระดับโลกเช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือรอบนี้เราเลือกเป็นสีเขียว Mambas Matt Green Satin ที่ดูเท่แบบมีสไตล์ … เข้ากับโลเคชั่นราชบุรีที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าแบบกรีน ๆ ซึ่งยังคงมาพร้อมสโลแกน THE SPIRIT IN MOTION ยืนหนึ่งเรื่องสมรรถนะที่ดี ส่วนฟังก์ชั่นก็ตอบโจทย์การใช้งานทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ที่สำคัญรูปโฉมยังโฉบเฉี่ยว ขับไปไหนใครเห็นก็ต้องเหลียวมองแน่นอน

DAY 1

01 : SOP Cafe (Sense of Place)

ออกจากเมืองกรุงฯ เราก็มุ่งตรงมาเช็คพิกัดแรกในเขตโพธาราม พาเพื่อน ๆ ทะลุมิติข้ามกาลเวลากันที่ SOP Café คาเฟ่สีสนิมสุดเท่ริมแม่น้ำแม่กลองที่ชวนสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ด้วยการออกแบบให้เป็นอุโมงค์เหล็กทอดยาวกว่า 50 เมตร ให้เราได้ใช้เวลาสัมผัสกับมิติแสงเงาและสีสนิมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ก่อนจะพบกับบ่อน้ำทรงกลมที่สูบจากน้ำแม่กลองขึ้นมาให้เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เชื่อว่าที่นี่ต้องถูกใจสายคาเฟ่ที่ชอบถ่ายรูปแบบมินิมอลเรียบ ๆ แน่นอน ยิ่งวันไหนมีแสงแดดสาดส่องมายิ่งเหมาะกับการไปยืนโพสท่าเท่ ๆ เดินเผลอ ๆ หรือจะพา MADISON150 สกู๊ตเตอร์สปอร์ตสุดพรีเมียมอย่าง MALAGUTI เข้าเฟรมแบบเราก็ดูดีไปอีกแบบ

ด้านในก็ยังคุมโทนได้ดีไม่แพ้กัน เราชอบที่ตัวร้านออกแบบเพดานให้สูงโปร่ง ดูโล่งไม่อึดอัด บวกกับมีกระจกใสบานใหญ่ที่แสงเข้าถึงทั้งสองฝั่ง ใช้เฟอร์นิเจอร์เหล็กและหนังเป็นหลัก รวม ๆ ดูแล้วมีเสน่ห์มีความดิบเท่แต่ซ่อนความมินิมอลไว้ในหลายมุม พร้อมแบ่งที่นั่งไว้หลากหลายโซนให้เลือกกันตามใจชอบทั้ง indoor และ outdoor ที่มองออกไปเห็นแม่น้ำแม่กลองได้อย่างเต็มสายตา

สำหรับเมนูเครื่องดื่มของทางร้านก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มีให้เลือกทั้งชา กาแฟ ขนมหวาน และอาหาร เรียกว่ามีครบทั้งคาวและหวาน ตอบโจทย์คนที่อยากแวะมานั่งชิล ๆ โดยวันนี้เราสั่งเมนูแนะนำอย่าง Black Yuzu Honey มีความกลมกล่อมลงตัวของช็อตกาแฟที่เข้มข้นผสมกับไซรัปส้มยูซุได้อย่างพอดี ทานคู่กับ Mont Blanc Cake เค้กเกาลัดสูตรลับของทางร้านที่ได้ความกลมกล่อมเต็มปากเต็มคำ นุ่มละมุนแบบไม่อยากแบ่งให้ใครเลยจริง

ก่อนมูฟออนไปยังโลเคชั่นถัดไป เราขอบอกต่อสิ่งที่ประทับใจในตัวสกู๊ตเตอร์ปอร์ตพรีเมียมคันนี้อีกสักนิด เพราะนอกจากรูปโฉมที่หล่อเหลา ดูเท่ไปซะทุกตรงแล้ว ตัวเบาะยังนั่งสบาย COMFORTABLE SEAT ขับไกลแค่ไหนก็ไม่รู้สึกเมื่อย ด้านดีไซน์ไฟหน้าและไฟท้ายของสกู๊ตเตอร์สปอร์ตพรีเมียมรุ่น MADISON 150 ในคลาส 150 ซีซี ก็ถูกออกแบบมาในมิติล้ำสมัย ด้วยเทคโนโลยี FULL LED ที่ถ่ายทอด DNA อิตาเลียนดีไซน์มาแบบไร้ข้อกังขา รับรองเลยว่าขับไปไหนก็มีแต่คนมอง จะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาก็มีแต่สาว ๆ รีเควสว่าอยากซ้อนท้ายแน่นอน และที่กดเลิฟรัว ๆ คือ STORAGE BOX ช่องเก็บของใต้เบาะกว้างพอที่เราจะใส่ของอย่างพร้อพเท่ ๆ มาถ่ายรูป หรือเสื้อผ้าสำหรับออกมาเที่ยวทริปสั้น ๆ 2 วัน 1 คืนได้สบาย ๆ เลย

02 : Normal Cafe and Stay

ไม่ไกลจากโลเคชั่นแรกในเขตโพธาราม ยังมีอีกหนึ่งคาเฟ่สไตล์มินิมอล ขนาดกะทัดรัดน่าแวะชื่อว่า Normal Cafe and Stay ด้วยตัวอาคารสีครีมสว่างสบายตา รายล้อมด้วยกรอบไม้และกระจกใสบานใหญ่ พอเอาสกู๊ตเตอร์สปอร์ตพรีเมียมแบรนด์ดังจากอิตาลีอย่าง MALAGUTI รุ่น MADISON 150 สีเขียว Mambas Matt Green Satin มาเข้าเฟรม ก็ทำให้รถดูโดดเด่นได้รูปออกมาเก๋ทั้งคนทั้งรถหลายช็อตเลยทีเดียว

พอก้าวเข้ามาด้านในก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นสบายตา มองไปทางไหนก็ดูแสนเรียบง่ายแต่มีสไตล์มาก ๆ เฟอร์นิเจอร์ไม้ทุกชิ้นล้วนมิกซ์เข้ากันได้อย่างลงตัวไม่ขัดเขิน จุดเด่นคือตัวร้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองทำให้เราสามารถมองเห็นวิวได้แบบพาโนราม่าจากการกรุกระจกใสรอบร้านให้แสงธรรมชาติสาดส่องเข้ามาแบบเต็ม ๆ มีที่นั่งให้เลือกผ่อนคลายหลายมุม แต่ที่โดนใจเราสุดคือโต๊ะริมหน้าต่างที่ได้ทอดสายตาไปกับวิวของแม่น้ำอย่างเพลิดเพลินระหว่างที่รออาหารและเครื่องดื่มที่สั่งทยอยมาเสิร์ฟ

ไม่ใช่แค่บรรยากาศที่ดีงามเท่านั้น เพราะหลายเมนูของร้านก็ถูกใจเรามากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Double Cloud เครื่องดื่มที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ๆ ของกาแฟสกัดเย็นผสมกับน้ำผึ้งมะนาวโฮมเมด ท็อปด้วยครีมชีสซอสเข้มข้นกลมกล่อมกำลังพอดี ยิ่งได้ทานคู่กับบรีออชย่างเนยสับปะรดย่างคาราเมลยิ่งถูกใจมาก ๆ เพราะทางร้านใช้เนยฝรั่งเศสอย่างดีเสิร์ฟมาคู่กับ Caramelized Pineapple หวานฉ่ำ เคียงด้วยวิปครีมที่ราดด้วยน้ำผึ้งสูตรพิเศษก่อนจะโรยด้วยผิวส้มวาเลนเซียที่หอมสดชื่นสุด ๆ

และที่นี่ไม่ได้บริการแค่คาเฟ่เท่านั้น แต่ยังมีส่วนของที่พักซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ความธรรมดาและเรียบง่ายเอาไว้เป็นอย่างดี โดยมีห้องพักสไตล์มินิมอลเพียง 3 ห้องเท่านั้น ทุกห้องเรียงต่อกันในแนวยาว ถูกออกแบบและตกแต่งอย่างพิถีพิถัน แบ่งพื้นที่การใช้งานที่เป็นสัดส่วน มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถเปิดหน้าต่างรับแสงและชมวิวแม่น้ำข้างนอกได้ด้วย จึงเหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการชาร์จแบตให้กับร่างกายอย่างแท้จริง

ระหว่างที่ขับผ่านเส้นทางจากตัวเมืองราชบุรีมายังโลเคชั่นถัดไปในอำเภอสวนผึ้ง เราต้องผ่านเนินขึ้นเขาเล็กน้อย แต่กลับขี่ได้สบาย เพราะสกู๊ตเตอร์ลุคสปอร์ตพรีเมียมคู่ใจคันนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ พิกัด 150 ซีซี 4 จังหวะ 4 วาล์ว มีเทคโนโลยีหัวฉีด (Bosch EFI) พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยนํ้า  (Liquid cool) แถมยังช่วยเสริมความมั่นใจในทุกการเบรก ด้วยดิสก์เบรกหน้าและหลัง พร้อมระบบเบรกแบบ CBS ส่วนถังน้ำมันก็มีขนาดใหญ่ จุได้ถึง 10 ลิตร ตอบโจทย์ด้านการใช้งาน และให้ความสะดวกสบายกับวิถีชีวิตยุคใหม่ได้แบบพอดิบพอดี

03 : The Scenery Vintage Farm

ขับชมวิวและสัมผัส​เรื่องราว​ระหว่างเส้นทาง​ทั้งสายลม กลิ่นดิน ไอแดด เราก็มาเช็คอินกันที่ The Scenery Vintage Farm หมู่บ้านชาวฟาร์มสไตล์วินเทจที่แบ่งเป็นส่วนของรีสอร์ทและฟาร์มเหมาะสำหรับผู้ใฝ่หาธรรมชาติ​ ชอบความเป็นส่วนตัว และต้องการมาเพลิดเพลินกับกิจกรรมสนุก ๆ หลากหลาย ทั้งขี้ม้า ให้อาหารแกะ ถ่ายรูปกับอาคารสไตล์ English Country ชมการแสดงของสุนัขต้อนแกะและอีกมากมาย บอกเลยว่าแค่เลี้ยวเข้ามาในพื้นที่เราก็รู้สึกได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้นแล้ว

และกิจกรรมแสนสนุกที่รอคอยของเราก็มาถึง นั่นก็คือชมการต้อนแกะจากสมาชิก 4 ขาสุดน่ารักที่
Camp123 by the Scenery ซึ่งเป็นกิจกรรมพิเศษสำหรับผู้เข้าพัก (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) โดยสุนัขสุดน่ารักทั้งหมดนี้จะผ่านการฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญ ใครอยากมาใกล้ชิดกับน้องหมาฝึกสายพันธุ์บอร์เดอร์คอลลี่ ที่มีความเฉลียวฉลาดที่สุดในโลก และสายพันธุ์สตรองอาย ที่ทางฟาร์มนำเข้าจากประเทศนิวซีแลนด์เป็นสายพันธุ์ที่มีสัญชาตญาณในการต้อนตั้งแต่กำเนิด ก็ต้องปักหมุดมาที่สวนผึ้งแล้วล่ะ นอกจากเพลิดเพลินแล้วยังเหมือนหลุดเข้าไปในนิทานเลยนะ

หลังจากน้อง ๆ ทำการแสดงโชว์ต้อนแกะอย่างคึกคัก เจ้าหน้าที่ก็มีการสาธิตการจูงและเรียนรู้การใช้คำสั่งเบื้องต้นของน้องหมาทั้งสองสายพันธุ์ทั้งบอร์เดอร์คอลลี่และสตรองอายเพิ่มเติม ก่อนจะทำการปล่อยให้น้อง ๆ เป็นอิสระได้วิ่งเล่นไปกับเรา ท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียวกว้าง ๆ ตัดกับสีของท้องฟ้า ทำให้มองได้ไม่มีเบื่อ เพลิดเพลินไปกับความโซคิ้วท์ แสนรู้ และเฟรนด์ลี่ของน้องหมาทุกตัว

DAY 2

04 : La Provence Suan Phung

หลังจากที่เมื่อวานแฮปปี้ขีดสุดกับการวิ่งเล่นไปพร้อมเหล่าสุนัขต้อนแกะ เช้านี้เราจะพาทุกคนมาสัมผัสอากาศแสนสดชื่นกันในที่พักสไตล์ชนบทในยุโรปกันที่ La Provence Suan Phung รีสอร์ทที่สวยราวกับยกดินแดนทางตอนใต้ของยุโรปมาไว้ที่สวนผึ้ง นอกเหนือจากบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนแล้วยังได้กลิ่นอายเหมือนอยู่ต่างประเทศมากอีกด้วย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสวนต้นไม้น้อยใหญ่และดอกไม้นานาชนิด ให้ได้เดินชมอย่างเพลิดเพลิน

เมื่อเดินเข้าไปสู่โซนของที่พักด้านในเรื่อย ๆ  ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสดชื่นของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น​ ทั้งต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี และบ้านหลากทรงหลายรูปแบบ ที่เหมาะทั้งกับการมาพักคนเดียว มากับแฟน ครอบครัว หรือก๊วนเพื่อน โดยทุกหลังได้รับการออกแบบให้เป็นส่วนตัวและตกแต่งไม่ซ้ำกัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ จุดเด่นคือมีระเบียงนั่งเล่นบนชั้นดาดฟ้า สามารถเดินขึ้นชมวิวธรรมชาติที่ว้าวจนไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เลยจริง ๆ

ไม่ใช่แค่ห้องพักที่นอนหลับสบายได้รับการออกแบบและตกแต่งเป็นอย่างดีเท่านั้น พื้นที่ส่วนกลางของรีสอร์ทก็ยังดีงามไม่แพ้กัน ถ้ามาพักที่นี่เราสามารถไปดื่มด่ำใช้เวลาแห่งความสุขกันได้ที่สระว่ายน้ำขนาดกำลังเหมาะ และห้องอาหารเช้าที่ออกแบบให้เปิดโล่งรับลมแบบ Open Air แต่ก็มีลมเย็น ๆ พัดผ่านเข้าตามช่องประตูและหน้าต่างตลอดวัน สำหรับเมนูอาหารเช้าที่นี่จะเป็นเซ็ตเมนูสไตล์อเมริกันเบรกฟาสต์ เสิร์ฟพร้อมชา กาแฟ ขนมปัง และผลไม้ตามฤดูกาล จะทานก็ดี จะถ่ายรูป​ก็สวย เป็นอีกหนึ่งมื้อที่ง่าย ๆ แต่แฮปปี้มาก

จบจากอาหารมื้อเช้าเราก็เดินย่อยสักพัก ใช้เวลาไปกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัว แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก หากเดินจากโถงกลางออกมาด้านหน้าจะพบกับอีกมุมที่ใครได้มาต่างก็ต้องถ่ายภาพเก็บไว้แทบทุกคน เพราะตัวอาคารมีรูปทรงที่แปลกตากว่าห้องอาหารทั่วไป มีความละม้ายคล้ายกับโบสถ์คริสต์ ซึ่งทางรีสอร์ทก็ได้แรงบันดาลใจมาจากโบสถ์ในยุโรปยุคกลาง ตัวอาคารจึงมีกลิ่นอายวินเทจแบบยุคเก่าทั้งโทนสี วัสดุ และรูปทรงนั่นเอง

ก่อนจะเช็คเอาท์ออกจากที่พักสวย ๆ มุ่งหน้าไปเก็บจุดเช็คอินสุดท้าย เราก็บอกเล่าความเจ๋งของสกู๊ตเตอร์คู่ใจสัญชาติอิตาเลียนคันนี้เพิ่มอีกสักหน่อย เพราะไม่ใช่แค่รูปทรงที่ดูสปอร์ตพรีเมียมสวยงามเกินต้านเท่านั้น แต่ละชิ้นส่วนมีฟังก์ชันการทำงานที่ช่วยให้ทุกการขับขี่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอเรือนไมล์แบบ LCD Display Dynamic Motion ที่ช่วยเติมสีสันตั้งแต่เริ่มบิดสตาร์ท แสดงข้อมูลครบถ้วน เสริมด้วยดีไซน์รีโมทกุญแจระดับพรีเมียม ที่เพิ่มความปลอดภัยด้วยการปลดล็อกอีกขั้นก่อนบิดสตาร์ทออกตัว เรียกว่าคิดมาดีเพื่อผู้ขับขี่ทุกคนเลยล่ะ

05 :  Pasutara Farm & Village

เปลี่ยนมู้ดจากที่พักสไตล์ยุโรปขยับมาที่ Pasutara Farm & Village ฟาร์มเลม่อนติดลำธาร ให้อารมณ์เหมือนเราแวะมาหาเพื่อนที่บ้านสวนและดื่มกาแฟกันชิล ๆ มากกว่าแวะมาฟาร์มซะอีก เพราะได้รับการต้อนรับแบบเป็นกันเอง อีกทั้งยังมีทั้งส่วนที่พักและคาเฟ่บรรยากาศสบาย ๆ ในตัว รายล้อมด้วยต้นไม้หลายสายพันธ์พร้อมสวนเลม่อนที่เราสามารถยืมพร็อพเซ็ทปิกนิกไปถ่ายรูปเก๋ ๆ ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใครอยากมาถ่ายรูปเราแนะนำช่วงเช้า หรือเย็น ๆ ก่อนพระอาทิตย์ตกจะได้ไม่ร้อนและแสงสวยที่สุด

ช่วงบ่ายแก่ ๆ แดดเริ่มอ่อน ลมเย็นเริ่มพัดมา ถึงเวลาสวมบทเป็นคุณพ่อบ้านฟาร์มเมอร์ เข้าไปเก็บเลม่อนในสวน โดยไม่พลาดที่จะจัดชุดคุมธีมสีเอิร์ธโทนให้ดูเข้ากับบรรยากาศโดยรอบที่ค่อนข้างร่มรื่น รู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างมาก แถมยังมีมุมถ่ายรูปเยอะสุด ๆ ที่สำคัญเค้ายังมีผลเลม่อนตลอดทั้งปี ได้ภาพสวย ๆ มาไว้อัพลงไอจีอีกเพียบ

หลังจากเก็บเลม่อนเสร็จ เราก็เข้ามาหลบร้อนในคาเฟ่ ซึ่งพอเปิดประตูเข้ามาด้านในก็จะเจอกับเฟอร์นิเจอร์ไม้พร้อมผนังสีขาวสะอาดตา ถ่ายรูปมุมไหนออกมาก็ปัง โดยเฉพาะโต๊ะริมหน้าต่างที่แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านตลอดทั้งวัน ซึ่งที่นี่มีกิมมิคอยู่ที่เมนูเครื่องดื่มและขนมต่าง ๆ โดยมีเลม่อนเป็นส่วนผสม อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจำหน่ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ก็มีให้เลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านแบบจบครบในที่เดียว

ทั้งหมดนี้คือทริป 2 วัน 1 คืน ที่ทุกคนสามารถตามรอยได้ง่าย ๆ มีเวลาน้อยก็สามารถเปลี่ยนวันหยุดสุดสัปดาห์ให้สุขสดชื่นได้ และสำหรับใครที่อยากออกไปเติมอินสปายเก็บความทรงจำกับรถคู่ใจแบบเรา สกู๊ตเตอร์สปอร์ตสุดพรีเมียม MADISON150 จาก MALAGUTI ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากโฉบเฉี่ยว สปอร์ต หน้าตาดีเหมือนหลุดมาจากนิตยสารแล้ว ยังขับขี่สนุก เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ มาพร้อมฟังก์ชั่นตอบโจทย์การใช้งานได้รอบคัน และยังมีให้เลือกถึง 4 เฉดสี 4 สไตล์ด้วยกัน บอกเลยไม่ว่าจะขับในเมืองหรือจะลุยต่างจังหวัดก็ลงตัวที่สุด