รีวิวเนเธอร์แลนด์ :: One day trip in ZAANSE SCHANS 🇳🇱

แนะนำที่เที่ยวยุโรปสุดคิ้วท์รอบนี้ … เราขอพาทุกคนนั่งบัสชมวิวเพลิน ๆ ออกจากกรุงอัมสเตอร์ดัมแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์สู่ ‘Zaanse Schans’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘หมู่บ้านกังหันลม’ เพื่อสัมผัสความสโลว์ไลฟ์ ความชิล ความเงียบสงบอย่างมีสีสันของเมืองตากอากาศ และชมสิ่งปลูกสร้างน่ารักที่บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ในวิถีชีวิตของชาวดัตช์มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่16 พร้อมพาเก็บจุดเช็คอินสปอตสำหรับถ่ายรูป ช้อปปิ้ง กินดื่ม บอกเลยว่าเดย์ทริปที่นำมาบอกต่อรอบนี้ เราเชื่อว่าจะทำให้คนไปเที่ยวตามหัวใจพองโตได้ไม่ยากแน่นอน

ขอบอกก่อนเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางไปกับกล้องตัวใหม่ล่าสุดของตัวเอง Lumix S5 ซึ่งแค่สัมผัสแรกก็ประทับใจในความกระทัดรัดถนัดมือ แถมน้ำหนักเบามาก ถ้าไม่รวมเลนส์หนักเพียง 714 กรัมเท่านั้น.. แล้วพอได้ใช้ถ่ายรูปเรื่อย ๆ ก็ต้องร้องว้าวกับความครบเครื่อง ด้วยความที่เป็นกล้องฟูลเฟรม ความละเอียด 24.2MP เซนเซอร์ CMOS ทำให้ได้รูปคบกริบ แถมโฟกัสยังไวไม่มีหลุด เพราะให้มามากถึง 225 จุด จับอัตโนมัติทั้งดวงตา ใบหน้า ลำตัว หรือจะถ่ายเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ก็ได้เช่นกัน ยิ่งเลือกใช้กับเลนส์ระยะ 20-60mm f/3.5-5.6 บอกเลยว่าครบจบซูมอินซูมเอาท์ได้ดั่งใจ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา มาดูกันเลยดีกว่าว่าภาพที่เราได้จะสวยงามขนาดไหน 

เมื่อพูดถึง ประเทศเนเธอร์แลนด์ หลายคนคงนึกถึงทุ่งดอกทิวลิป บ้านเรือนหลากสีในกรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองรวยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมอย่างฮาเร็ม เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างรอตเตอร์ดัม แต่ความจริงนอกจากเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ เหล่านี้ มันยังมีอีกเมืองที่สร้างความประทับใจให้เราจนต้องหยิบยกมารีวิวสั้น ๆ เบา ๆ นั่นคือหมู่บ้าน ‘Zaanse Schans(ซานส์สคันส์)’ ในเมืองซานดัม ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวง 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 30-40 นาที ก็ได้พบเจอกับหมู่บ้านกังหันลมโบราณ หนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศ รอบ ๆ ตัวหมู่บ้านจะมีทั้งพิพิธภัณฑ์ แหล่งผลิตรองเท้าไม้แสนคลาสสิก โรงงานทำชีส ทำขนม ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้เทคนิกการผลิตแบบดั่งเดิมหาชมยาก รับรองเลยว่าเที่ยวที่นี่เราใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าแน่นอน

ขอเริ่มจากการเดินทางก่อนเลย.. ซึ่งง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากอีกทุกคน ทางเราเลือกซื้อตั๋วบัสแบบ Day Ticket ไป-กลับจาก สถานี Amsterdam Central นั่งบัสสาย 391 ตรงไปยังหน้าหมู่บ้าน Zaanse Schans ได้เลย ซึ่งราคาถูกกว่าซื้อแบบ Single Ticket นิดหน่อย แต่ถ้าใครอยากนั่งรถไฟก็สามารถเลือกเส้นที่วิ่งไปยัง Uitgeest ไปลงที่สถานี  Zaandijk Zaanse Schans หลังจากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาทีก็ได้เช่นกัน

อารัมภบทมามากมายกว่าจะถึงตัวหมู่บ้าน 😉 สำหรับเพื่อน ๆ หลายคนก็คงจะพอรู้กันแล้วล่ะว่าจุดเด่นของ ‘Zaanse Schans’ คงหนีไม่พ้นกังหันลมอย่างแน่นอน โดยประวัติของเขาเริ่มขึ้นจากภูมิประเทศของเนเธอร์แลนด์ที่เป็นพื้นที่ต่ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมอยู่บ่อยคร้ัง จึงมีการสร้างกังหันลมมาช่วยในการวิดน้ำ และเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้ในงานด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงปี 1588-1672 จนเมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางการอุตสาหกรรมการสี ถือเป็นเมืองอุตสาหากรรมยุคแรก ๆ ทำให้มีกังหันลมกว่าพันหลังมากที่สุดในประเทศ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องกังหันลมถูกใช้น้อยลง ลดจำนวนมาสู่หลักร้อย และปัจจุบันเหลือเพียง 6 หลังเท่านั้น ที่ยังสามารถใช้งานแบบดั้งเดิมอยู่

ครึ่งเช้าเราขอใช้เวลาชิล ๆ ช้า ๆ เดินชมบรรยากาศรอบ ๆ ซึ่งบอกเลยว่าฟีลเหมือนเมืองตากอากาศแสนสงบ เต็มไปด้วยบ้านไม้ยุโรปวินเทจหลากรูปทรง สีสันคละเคล้าแต่กลับคุมโทนได้อย่างไม่น่าเชื่อ มองมุมไหนก็สวยถ่ายรูปสนุก แถมธรรมชาติโดยรอบยังสมบูรณ์มีลมพัดอากาศเย็น ๆ ปะทะหน้าสร้างความสดชื่นได้ตลอดเวลา สมแล้วที่เขามาตั้งกังหันลมไว้ที่เมืองนี้ ถ้าใครไม่ใช่สายเดินหรือกลัวคนที่มาด้วยจะงอแง แนะนำให้เช่าจักรยานปั่นจะทุ่นแรงได้ดีมากเลยล่ะ

อากาศโดยรวมคือ 10 องศานิด ๆ พอเจอแดดอุ่น ๆ แล้วมันกำลังดีเดินได้ทั้งวัน มองดูวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านก็เป็นธรรมชาติสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทำการเกษตร ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ร้านรวงต่าง ๆ ดูเป็นชีวิตประจำวันที่ไม่ได้อิงเฉพาะเพื่อการท่องเที่ยว เรียกว่าทั้งวิว อากาศ แสงแดดที่ตกกระทบ ความเขียวและบ้านเรือน เหมาะมากสำหรับการใส่หูฟังเปิดเพลลิสต์ที่ชอบแล้วเดินชมความสวยงามนี้ไปเรื่อย ๆ จริง ๆ 

ขอมาเติมเกร็ดความรู้สักนิดสักหน่อยว่าปัจจุบันกังหันลมทั่วทั้งเนเธอร์แลนด์เขามีหลงเหลืออยู่ประมาณ 1,000 แห่ง ซึ่งยังใช้เป็นเครื่องมือระบายน้ำ สีเมล็ดพืชตามชนบทอยู่ เขาให้ความสำคัญกับสิ่งปลูกสร้างนี้ถึงขนาดมี “National Mill Day” แปลตรงตัวว่าวันโรงสีแห่งชาติ ที่จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์ที่ 2 สอง เดือนพฤษภาคม เหล่ากังหันลมและกังหันน้ำกว่า 900 แห่งทั่วประเทศจะเปิดรับผู้มาเยือน กระทั่งโรงสีเก่า หรือโรงสีสวย ๆ ที่ไม่เปิดให้ใครเข้าก็จะเปิดในวันนั้นเช่นกัน แต่ถ้าใครไม่ได้มาช่วงนั้น ก็ลองมาเลือกชมกังหันใน Zaanse Schans นี้ได้ มีทั้งโรงเลื่อยไม้(Het Jonge Schaap), โรงสีน้ำมัน(De Os) และโรงผลิตเม็ดสีคุณภาพสูง(De Kat) ฯลฯ ซึ่งแต่ละหลังมีอายุตั้งแต่เกือบ 100-350 ปีเลยทีเดียว

จากกังหันทั้งหมดทั้งมวลในหมู่บ้านแห่งนี้ เราขอเลือกพาทุกคนเข้าชมด้านในของ Verfmolen de Kat (Paintmill De Kat) โดดเด่นด้วยกังหันลมทรงแปดเหลี่ยมสีเทาเขียวตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำ เปิดตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ราว ๆ 239 ปีก่อน โรงสีนี้ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีจากธรรมชาติ อาทิ โอปอล รากอัลคาเน็ต อำพัน อะซูไรต์ ฯลฯ ค่าเข้าอยู่ที่ 5 ยูโรซึ่งถือว่าคุ้มมากกับประวัติที่มี โดยเขาจะให้เราขึ้นบันไดไปทีละชั้น ชมขั้นตอนการโม่สีด้วยเครื่องจักรโบราณ ชั้นบนสุดคือจุดชมวิวที่เปิดโล่งให้เราใกล้ชิดกับใบกังหันพร้อมวิวอันกว้างใหญ่ จากนั้นลงมาช้อปปิ้งที่ร้านขายของฝากกันหน่อย

สำหรับสายอาร์ตอาจจะกระเป๋าฉีกกันได้เพราะสีของที่นี่เขาเป็นเท็กเจอร์จากธรรมชาติไม่เหมือนใคร แถมเม็ดสียังแน่นบางขวดเป็นประกายสวยงาม มีหนังสือเกี่ยวกับสี อุปกรณ์ผลิตสีต่าง ๆ วางขาย และที่ชอบสุด ๆ คือช็อกโกแลตร้อนแสนอร่อย อยากให้ทุกคนลองซื้อมาจิบ ๆ ชมวิวสักแก้ว รับรองบรรยากาศตรงหน้าจะยิ่งฟินเพิ่มขึ้นคูณสองคูณสามเลยละ

อีกจุดที่ถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่คือโรงงานผลิตรองเท้าไม้ KLOMPENMAKERIJ ของฝากประจำชาติที่หลายคนอาจคุ้นตามาบ้างแล้ว เชื่อกันว่ารองเท้าไม้นี้เป็นภูมิปัญญาชาวดัตช์ตั้งแต่ 790 ปีก่อน ซึ่งถ้าใครอยากเห็นกรรมวิธีการทำรองเท้าทรงน่ารักน่าชังนี้ก็สามารถเข้าไปชมกันได้ เพียงเดินตามแมปมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอรองเท้าไม้สีเหลืองอันใหญ่ยักษ์รอต้อนรับเราอย่างสดใส นอกจากนี้รอบ ๆ หมู่บ้านยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวอื่น ๆ รองรับอีกด้วยนะ เช่น ชมพิพิธภัณฑ์ของหมู่บ้าน ดูโรงงานผลิตช็อกโกแลตและบิสกิตตั้งแต่ต้นศตวรรษที่18 ทัวร์เรือล่องแม่น้ำซาน เรียนรู้การผลิตถังเบียร์ ชมบ้านช่างทอผ้าชาวดัตช์ของต้นศตวรรษที่20 เป็นต้น เรียกว่าเที่ยวได้ทั้งแบบเดย์ทัวร์ และสองวันหนึ่งคืนเลยล่ะ

สำหรับจุดชมวิวมหานิยมที่ทำให้เราเห็นเวิ้งน้ำพร้อมกังหันยืนเรียงต้านลมกันอยู่ เราขอแนะนำให้มาตรงสะพาน julianabrug zaandijk สะพานข้ามแม่น้ำซานที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองซานดิจค์และซานดัม สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการจากไปของเจ้าหญิงจูเลียนา เจ้าของชื่อสะพานนั่นเอง มีการเปิดใช้มากว่า 50 ปีแล้ว และเป็นอีกสะพานที่สามารถเปิดขึ้นเพื่อให้เรือใหญ่แล่นผ่านได้ ในบางวีคที่เรือแล่นเยอะ ๆ เขาเปิดเกือบ 80 ครั้ง/อาทิตย์เลยทีเดียว

ก่อนที่จะเดินทางกลับทางเราขอแวะเติมพลังหลังจากที่เดินเที่ยวมาอย่างยาวนานที่ร้าน De Saense Lelie ร้านขายของฝากที่รวบรวมของดีของเด็ดประจำหมู่บ้านไว้นั่นเอง มีตั้งแต่รองเท้าไม้ ช็อกโกแลตทรัฟเฟิลโฮมเมด เบเกอรี่ เครื่องประดับ ผลงานศิลปะจากช่างฝีมือ และที่พลาดไม่ได้เลยคือ ‘Stroopwafel’ ขนมประจำชาติคล้ายวาฟเฟิลแผ่นกลมบางวางประกบกัน ตรงกลายเป็นคาราเมลหวานหนุบหนับ พอกินคู่กับกาแฟแล้วอร่อยจนตาวาว และไอศกรีมชนิดโปรดซอฟเสิร์ฟที่เขามีให้เลือกรสวานิลลากับช็อกโกแลต หรือจะสั่งเป็นทูโทนผสมแบบเราก็ได้ บอกเลยว่าหอมกลิ่นนมกลมกล่อมไปด้วยความเข้มข้นของทั้งสองรส เนื้อละมุนจนเรากินไม่แบ่งใครเลย

สำหรับมินิรีวิว ณ หมู่บ้านกังหันลมแห่งนี้ ถือเป็นส่วนเล็ก ๆ ในทริปเนเธอร์แลนด์ที่เปิดโลกให้กับเรา ได้รู้ข้อมูลความสัมพันระหว่างชาวดัตช์และกังหันลมฉบับเจาะลึก ที่สร้างความประทับใจให้เราได้มากเลยทีเดียว การใช้เวลาเที่ยวหนึ่งวัน เพลิดเพลินกับการเดินทอดน่อง ดื่มด่ำชีวิตสโลว์ไลฟ์ มีทั้งวิวสวย ๆ วิถีชีวิตที่แปลกตา ทุกอย่างดูใหม่จนเราลืมคำว่าเบื่อไปเลย และแน่นอนว่าช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้เราก็ต้องมีเครื่องบันทึกความทรงจำที่ดีด้วย อย่างกล้อง Lumix S5 แม้จะเป็นครั้งแรกที่มาด้วยกันแต่น้องก็ทำหน้าที่ได้ไม่บกพร่องตั้งแต่น้ำหนักที่เบา ขนาดที่พอดีมือเดินเที่ยวได้ฟิน ๆ และคุณภาพของไฟล์ภาพยังละเอียดสีสดใส ปรับแสงเงาให้เราแต่งรูปเป็นสไตล์ตัวเองได้ง่าย ใครกำลังหากล้องดี ๆ อยู่เราขอแนะนำตัวนี้เลย