หากเพื่อน ๆ ฝันอยากเดินสวย ๆ ในพระราชวังสุดอลังการ วิ่งเล่นในสวนสวยสไตล์ยุโรปดั่งเจ้าหญิง ขอให้ปักหมุดตามเรามายังกรุง Stockholm แห่งประเทศสวีเดน เมืองใหญ่สุดในสแกนดิเนเวียที่ได้รับสมญานามว่าเป็นเวนิสแห่งยุโรปเหนือ ด้วยพื้นที่ที่ถูกโอบอุ้มไปด้วยผืนน้ำ อัดแน่นไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ ทั้งพระราชวังเก่าแก่อันเป็นมรดกโลก ย่านจัสตุรัสโบราณที่ปูพื้นด้วยหิน แซมด้วยงานอาร์ตร่วมสมัยที่กระจายอยู่ในมิวเซียมทั่วทั้งเมือง ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนไปสมัยยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ Vasa แน่นอนทริปนี้เราได้คัดสรร The best of Stockholm มาฝาก กับ 13 โลเคชั่น ที่สามารถเดินทางถึงกันด้วยการคมนาคมที่สะดวกสบาย ทั้งรถราง บัส เรือ และรถไฟใต้ดิน ซึ่งเป็นอีกไฮไลต์ห้ามพลาดเพราะเป็นสถานที่จัดแสดงงานอาร์ตที่ยาวที่สุดในโลก เอาเป็นว่าถ้าอยากลองใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ กิน ดื่ม เที่ยว เดินเนียนลัดเลาะชมเมืองไปกับชาวสวีดิช ก็ตามเรามาได้เลย





แน่นอนกว่าการเดินทางที่มอบความสบายใจขั้นสุดให้แก่เราก็คือ การบินไทย สายการบินประจำชาติที่รู้ใจเรามากที่สุด เพราะบินทีไรก็อุ่นใจประหนึ่งมีญาติสนิท มิตรสหายไปส่งถึงปลายทาง โดยเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ-สตอกโฮล์ม นี้ คือเที่ยวบิน TG 960 ตารางเวลาก็แสนชิล เทคออฟ 01:25 น. แลนด์ดิ้งสวย ๆ 06:55 น. เรียกว่าเที่ยวได้ตั้งแต่วันแรกเลย ส่วนลำที่พาเราบินลัดฟ้ามานั้นคือ Airbus A350-900 ลำใหญ่ กว้างขวาง นั่งสบายทั้งในชั้น Ecomony และ Business Class พร้อมบริการครบครัน สำหรับเพื่อน ๆ ที่เลือกบินชั้นธุรกิจ หรือเป็นสมาชิกบัตรทอง ยังสามารถไปเอ็นจอยและรีแลกซ์ก่อนบินได้ที่เลาจ์การบินไทยด้วย
BKK – ARN / TG960 / 00:25 – 06:55
ARN – BKK / TG961 / 13:30 – 05:45(+1)



ทริปนี้ เราบินในชั้น Business Class เป็นที่นั่งแบบ 1-2-1 เลือกนั่งชิดติดหน้าต่างสุดไพรเวท ขึ้นเครื่องมาปุ๊ป ก็มีเวลคัมดริ้งก์มาเสิร์ฟเก๋ ๆ ไฟล์ทนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารถึง 2 มื้อด้วยกัน คือหลังเครื่องออกเป็น dinner และก่อนเครื่องลงเป็น breakfast โดยผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ชั้นธุรกิจ และสมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส บัตรแพลทินัมและบัตรทองที่เดินทางในชั้นประหยัดสามารถเลือกอาหารบนเครื่องบินล่วงหน้าก่อนเดินทางได้ด้วย ขณะเดินทาง เราสามารถเพลิดเพลินกับหนัง เพลย์ลิสต์ ที่เขามีมาให้มากมาย แถมรีเควสขนมเครื่องดื่มได้ตลอดเที่ยวบิน พูดถึงการดูแล เหล่าพี่แอร์ใส่ใจดีมาก สร้างความประทับใจให้ตั้งแต่เริ่มทริปเลย แฮปปี้!!!!




001 Stockholms Slott
ขอเริ่มจากโลเคชั่นที่ถือได้ว่าเป็นใจความสำคัญของเมืองก่อนเลย ที่พระราชวังหลวงสตอกโฮล์ม แม้อาคารจะดูเป็นทรงบาโรก เรียบง่ายและเคร่งขรึม แต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุด และสร้างสรรค์ที่สุดในยุโรป ที่สำคัญยังเป็นอดีตที่ประทับของราชวงศ์สวีเดนอีกด้วย พื้นที่นี้เป็นที่ตั้งของพระราชวังมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัย Gustav Vasa เมื่อ 500 ปีก่อน และเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1697 ที่เห็นนี้จึงถูกเรียกว่าเป็นวังใหม่ ซึ่งใช้เวลาสร้างยาวจนถึงปี 1754 เรียกว่า กว่าเชื้อพระวงศ์จะเสด็จกลับไปอยู่ได้ ก็ใช้เวลาเกือบ 60 ปีเลยทีเดียว แน่นอนว่าความหรูหราภายในจะต้องจัดเต็ม และยังมีไฮไลต์อีกจุดคือการผลัดเวรยามของทหารรักษาพระองค์ด้านหน้า ที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ประจำชาติด้วยเช่นกัน




เอาดี ๆ เข้ามาข้างในแล้ว คิดว่าถ้าใช้ชีวิตในนี้คงเดินจนผอมได้เลย เพราะมันยิ่งใหญ่โอ่โถงมาก โดยภายในเขาแบ่งห้องได้มากกว่า 600 ห้อง มีทั้งหมด 11 ชั้น บรรจุทั้ง Royal Apartment ชมห้องหับต่าง ๆ ตื่นตาไปกับงานตกแต่งสไตล์โรมันตั้งแต่รูปปั้น ภาพตกแต่ง การแกะสลักหินอ่อน มองยังไงก็เลอค่า และยังมีอีก 3 พิพิธภัณฑ์อยู่ภายใน คือ คลังสมบัติจัดแสดงตราสัญลักษณ์ของกษัตริย์, พิพิธภัณฑ์ Tre Kronor พูดถึงประวัติศาสตร์ยุคกลาง และพิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณของกุสตาฟที่ 3 ที่ที่เดียวสามารถบอกเล่าความเป็นมาทุกอย่างเกี่ยวกับการก่อตั้งเมืองและราชวงศ์ได้เป็นอย่างดี





002 Gamla Stan (Old Town)
ชมวังเสร็จ เราก็มาชมเมืองกันต่อ ย่านนี้ถือเป็นย่านที่เราชอบมากที่สุด ฟีลลิ่งเดินชมเมืองเก่าคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา มีซอกซอยให้ลัดเลาะไปเจอร้านค้า ร้านขายของฝาก คาเฟ่ ร้านอาหาร และสตูดิโอที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ที่นี่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 สถาปัตยกรรมที่เห็นส่วนใหญ่สืบทอดมาทั้งแต่ช่วง 1700’s และ 1800’s โดดเด่นด้วยถนนที่ปูด้วยหินเหมือนที่เห็นตามหนังย้อนยุคเป๊ะ! บริเวณจัตุรัสที่เป็นแหล่งนัดพบ มีลานที่นั่งชิล ชมน้ำพุโบราณขนาดใหญ่ และคัลเลอร์ฟูลเฮ้าส์ อาคารทรงยุโรปคลาสสิกสีสดใส ไอคอนประจำย่านที่ใคร ๆ ก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำ





นอกจากนี้ เขายังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกมากมายให้เราเที่ยวได้อย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็น Storkyrkan Cathedarl โบสถ์เก่าแก่ที่สุดในเมือง, พิพิธภัณ์เหรียญ, พิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์ ส่วนตรงที่เราถ่ายมานั้นคือ Stenbock Palace พระราชวังที่สร้างแบบเรเนซองส์อายุ 300 กว่าปี อยู่บริเวณวงเวียน Start av Birger Jarl ลานกว้างบรรยากาศคลาสสิก และถ้าใครมาในช่วงวันที่ 30 เมษายน ก็จะได้ร่วมงานสำคัญประจำปี King Carl Gustaf XVI Birthday ชมขบวนรถม้า และมาร์ชชิ่งแบนด์ทหารสุดยิ่งใหญ่ ฟีลเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยุครุ่งเรืองเลย




003 The Vasa Museum
สำหรับที่นี่ สายประวัติศาสตร์จะต้องอิ่มเอมขั้นสุด กับการได้ยลเรือรบวาซา สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถือเป็นเรือที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด กว่า 98% ที่เราเห็นนั้นเป็นของดั้งเดิม ซึ่งเรือลำนี้ได้ล่มลงที่ท่าเรือสตอกโฮล์มเมื่อปี 1628 ใช้เวลาเก็บกู้ 333 ปี และทางการก็ได้ฟื้นคืนชีพให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม ตอนหาข้อมูล เรารู้สึกแค่ว่าเป็นแลนด์มาร์กนึงเท่านั้น แต่พอมาเห็นกับตา คือเรือมันใหญ่อลังการจนต้องอ้าปากค้าง ด้วยความยาว 69 เมตร สูง 11.7 เมตร เทียบเท่าตึก 4 ชั้นเลยทีเดียว จนคิดไม่ออกเลยว่า 300 กว่าปีก่อน เขาสร้างกันยังไง แต่ละจุดของเรือมีงานแกะสลักที่วิจิตรบรรจงเกินที่มือสมัครเล่นจะประดิษฐ์ขึ้นมาได้



เมื่อเทียบผู้คนกับเรือที่เห็นในรูปแล้ว ก็คงบอกถึงความใหญ่ของเรือรบนี้ได้เป็นอย่างดี การเที่ยวในนี้ เราสามารถทราบความเป็นมาได้ด้วย audio guide ให้เรากดหมายเลขฟังข้อมูลของจุดต่าง ๆ มีให้เลือกหลายภาษา จุดไฮไลต์ที่ควรไปชมด้วยตา คือ รูปสลักสิงโตยาว 3 เมตร สิงโตชนิดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติสวีเดน และในอุ้งเท้าของมันยังถือตราแผ่นดินของราชวงศ์ Vasa ไว้ด้วย ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของเรือที่สมบูรณ์, Vasa Sterncastle รูปปั้นของเทวดาน้อยและราชวงศ์ที่วิจิตรสวยงาม พร้อมแบบจำลองและภาพวาด ช่วยให้เราจินตนาการถึงเรื่องราวได้เป็นอย่างดี


004 Stockholm City Hall
อาคารอิฐแดงสไตล์อิตาลีเรเนซองส์นี้ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของสตอกโฮล์มที่หลายคนรู้จักกันในฐานะสถานที่จัดงานประกาศรางวัลโนเบล หรืออาจจะคุ้นตากับภาพหอคอยที่มียอดแหลมประดับด้วยมงกุฎสีทอง ถือเป็นงานสถาปัตยกรรมระดับชาติที่ออกแบบโดย Ragnar Östberg ตั้งใจให้ใช้อิฐแดงก่อด้วยมือกว่าแปดล้านก้อน ภายในล้ำค่าไปด้วยงานตกแต่งที่แสนอลังการ อย่าง Golden Hall ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีทอง 18 ล้านชิ้น นอกจากนี้ยังเป็นที่ทำการของเหล่านักการเมืองและเจ้าหน้าที่อีกด้วย


ด้วยที่นี่ทำหน้าที่สำคัญมากมาย การเข้าชมจึงต้องทำการจองและเที่ยวชมพร้อมไกด์ประจำซิตี้ฮอลล์เท่านั้น ขอแนะนำว่าให้เช็กตารางเวลามาก่อน เพราะเขามีการปรับเปลี่ยนเป็นช่วง ๆ ด้วย ทางเราเลยขอเดิมชมรอบ ๆ แค่เห็นตัวตึกก็ได้กลิ่นอายความคลาสสิกอย่างเต็มเปี่ยม ถ่ายรูปมุมไหนก็เก๋ไปหมด อีกไฮไลต์คือบนหอคอยสูง 106 เมตรที่มีมงกุฎสีทอง 3 อันประดับยอด เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติสวีเดนนั่นเอง โดยเขาจะเปิดให้เราขึ้นเฉพาะฤดูร้อนเพื่อชมวิวริมน้ำ ทอดสายตามองเห็นตัวเมืองได้โดยรอบ



005 Stockholm Metro
ขอตัดเลี่ยนจากประวัติศาสตร์ด้วยงานศิลปะร่วมสมัยที่เราหาชมได้ง่าย ๆ ระหว่างเดินทางกับ Stockholm Metro ที่ต้องบอกเลยว่าเป็น Art Exhibition ที่ยาวที่สุดในโลก เปลี่ยนพื้นที่คมนาคมแสนน่าเบื่อให้กลายเป็นอาร์ตแกลลอรี่ที่น่าตื่นตาเป็นพื้นที่ยาวกว่า 110 กิโลเมตร รวมทั้งหมด 100 สถานี มีงานอาร์ตไปแล้ว 90 สถานีจ้า.. เยอะจนเราสามารถเที่ยวชมงานอาร์ตใต้ดินนี้ได้ทั้งวันเลยทีเดียว หรือแพลนเผื่อไว้วันไหนฝนพรำ หิมะตกมาเที่ยวอยู่ในนี้ก็ไม่เสียหายนะ



ทั้งหมดนี้สร้างสรรค์ผลงานจากศิลปิน 150 ชีวิต ในส่วนของสถานียอดฮิตที่ใคร ๆ ก็ติดใจคือ Solna Centrum station ด้วยสีเขียวที่แสดงถึงป่า และแดงแทนความงามของพระอาทิตย์หลังยอดไม้, T-Centralen station เป็นงานที่ใช้การเพ้นท์สีน้ำเงินเป็นรูปดอกไม้และไม้เลื้อยสร้างสุนทรียะตัดกับอารมณ์ของผู้คนที่กำลังเร่งรีบ และ Kungsträdgården station ที่ทุกการออกแบบคือการจำกัดความของสถานที่บนดิน ด้วยโทนสีแดง ขาว เขียวอิงกับสวนของกษัตริย์และรูปปั้นต่าง ๆ ช่วงเวลาที่เราอยากแนะนำคือวันธรรมดา ตอนสาย – บ่ายต้น ๆ เพราะคนจะไม่เยอะ ถ่ายรูปแบบเราได้ชิล ๆ เลย




006 Moderna Museet
ถึงเวลาของปวงชนผู้เสพติดงานอาร์ตกันแล้ว กับพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยชั้นนำของยุโรป ที่รวมงานศิลปะตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เอาไว้ ความจริงพิพิภัณฑ์นี้เปิดมา 60 กว่าปีแล้ว ทีแรกตั้งอยู่ใน National museum ย้ายไปเรื่อย ๆ จนมาถึงอาคารหลังปัจจุบันที่สร้างขึ้นในปี 1998 โดย Rafael Moneo สถาปนิกชาวสเปน ออกแบบเป็นอาคารทรงยาวโล่ง ๆ ภายนอกมีต้นไม้ไซส์ยักษ์ยืนโดดเด่น ประหนึ่งงานศิลปะอีกชิ้น มุมที่เราเดินแล้วกระแทกตาสุด คือตรงที่นั่งเอาท์ดอร์ จัดเรียงโต๊ะเก้าอี้เก๋ไก๋ เป็นจุดถ่ายภาพที่ขอแนะนำเลย



ภายในมีงานภาพถ่ายตั้งแต่ปี 1840 มีคอลเลกชั่นงานศิลปะกว่า 130,000 ชิ้น ที่แบ่งเป็น ศิลปะแบบสวีเดนและนอร์ดิก ศิลปะฝรั่งเศสสมัยใหม่ และศิลปะอเมริกันช่วง 1950’s ยกตัวอย่างศิลปินที่โดดเด่นมีทั้ง Picasso, Dali, Derkert และ Matisse โดยเขาจะแบ่งจัดแสดงเป็นทั้งนิทรรศกาลถาวรและหมุนเวียน ทำให้เรามั่นใจว่ามากี่ครั้งก็คงเจองานที่ไม่ซ้ำ ไม่เสียเที่ยว




แอบกระซิบนิดนึง พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ตรงเกาะ Skeppsholmsbron ซึ่งสามารถนั่งแทรมมาได้ แต่ขอให้เลือกเดินข้ามสะพานไม่ขาไปก็ขากลับสักหนึ่งครั้ง เพราะตรงสะพาน Skeppsholmsbron ที่ข้ามมานั้น มีมงกุฎทองหรือ Gilded Crown สัญลักษณ์ราชวงศ์สวีเดนติดอยู่ตรงกึ่งกลาง มักเห็นอยู่ในโปสการ์ดหรือภาพโปรโมทท่องเที่ยว เบื้องหลังเป็นทิวตึกของเมืองเก่าที่เราเที่ยวมา เป็นองค์ประกอบที่ดูมีพลังมาก ๆ


007 National museum
เป็นสถานที่ที่โอมายก๊อดดดดดมาก ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง พิพิธภัณฑ์ที่ให้เข้าฟรีแล้วจัดงานแสดงศิลปะแบบเต็มตา เต็มใจขนาดนี้ ที่ National museum ถือเป็น Art & Design Museum ที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน เปิดมายาวนานกว่า 157 ปีมาแล้ว ด้วยทัศนียภาพอาคารสไตล์นีโอเรเนซองส์ ทำจากหินปูนและหินแกรนิต ความสูง 3 ชั้นตั้งอยู่เลียบริมน้ำ ทำให้ที่นี่เป็นอีกแห่งที่ถ่ายภาพแลนด์สเคปได้อย่างสวยงาม ภายในแบ่งเป็นโถงกลาง มีโดมกระจกรับแสงธรรมชาติส่องถึง สร้างเฉดเงาสวยงาม พร้อมปีกอาคารแนวยาวทั้งสองข้าง




อาคารยิ่งใหญ่ขนาดนี้ก็คงไม่ต้องสืบว่างานสะสมจะอลังการขนาดไหน เขาบอกว่ามีมากกว่า 700,000 ชิ้นเลยสิครับ!! ส่วนใหญ่จะเป็นงานภาพวาด ประติมากรรม กราฟฟิก และงานทำมือตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนถึงปัจจุบัน พร้อมผลงานของศิลปินระดับโลกอย่าง Rembrandt, Rubens, Goya, Renoir, Degas และ Gauguin โดยเราสามารถเดินชมได้ทั่วเกือบทั้งอาคาร เพราะทุกห้องทะลุต่อถึงกันเป็นทางยาวสุดตา ตื้นเต้นไม่รู้จบกับการได้เปิดไปยังห้องใหม่ ๆ และยังมีนิทรรศการที่ต้องเสียค่าเข้าชมให้เลือกด้วยเช่นกัน





008 Carl Eldhs Ateljémuseum
ชมงานปั้นมาแทบจะทั่วยุโรป แต่เราไม่เคยได้เห็นการทำผลงานศิลปะชนิดนี้เลย เราตั้งใจมาที่ Carl Eldhs Ateljémuseum พิพิธภัณฑ์ของประติมากรงานปั้นและแกะสลัก Carl Eldh ที่สร้างสรรค์ผลงานมากมายให้เมืองสตอกโฮล์ม และทั่วทั้งสวีเดนในช่วงชีวิตกว่า 50 ปี เราอาจจะได้พบเห็นงานของเขาในสวนสาธารณะ หน้าอาคาร สำนักงาน ฯลฯ ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่พูดถึงบุคคลในประวัติศาสตร์และงานร่วมสมัย ได้ถูกส่งไปจัดแสดงตามพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ มากมาย แต่ที่นี่มีงานสะสมที่เจาะลึกกว่านั้น และบอกเล่าเรื่องราวของชายผู้นี้ได้อย่างละเมียดละไมที่สุด



ภายในสิ่งปลูกสร้างท่ามกลางสวนเขียวชอุ่ม เขาแบ่งโซนให้เราชมเป็น 2 ห้อง คือห้องจัดแสดงผลงาน นำภาพร่างและงานปั้นของ Carl Eldh รวมกว่าพันชิ้น มีทั้งที่ทำจากปูนปลาสเตอร์ ทองสัมฤทธิ์ หิน ดินเหนียว และส่วนสตูดิโอจัดวางอุปกรณ์ ตัวอย่างเท็กซ์เจอร์งานปั้น รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ที่ยังคงอยู่ครบถ้วน ประหนึ่งเขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าใครอยากรู้อินสไปเรชั่นของงานแต่ละชิ้นก็สามารถกดฟังได้จาก audio guide ให้เราค่อย ๆ พินิจความละเอียดทีละจุด บางชิ้นเส้นสลักอ่อนช้อยอย่างกับมนุษย์ที่มีชีวิตจริง ๆ เลย




009 Drottningholm Palace
แม้เราจะเที่ยวปราสาทจนตาลายขนาดไหน ก็คงพลาดที่นี่ไปไม่ได้ เพราะนอกจากจะได้ขึ้นทะเทียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO แล้ว ยังเป็นที่ประทับของราชวงศ์ปัจจุบันอีกด้วย พระราชวังนี้สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยสถาปนิก Nicodemus Tessin the Elder ผู้ทรงอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมในราชสำนักของสมัยนั้น ปัจจุบันทางการได้แบ่งปีกด้านใต้ของวังเป็นที่ประทับของราชวงศ์ และส่วนอื่น ๆ เปิดเพื่อให้ผู้คนได้เข้าชมตลอดทั้งปี.. เดินอยู่ในบ้านเดียวกับกษัตริย์อะแก.. ไม่ตื่นเต้นตรงไหนเอาปากกามาวง



พระราชวังแต่ละแห่งของสตอกโฮล์ม ใช้คำว่าสวยได้เปลืองม๊าก!! และในราชวังแห่งนี้ก็สุดปังสมมงมรดกโลกเช่นกัน แม้เวลาจะล่วงเลยมานานกว่า 400 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังคอยซ่อมแซมแต่ละจุดให้มีสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ ความโอ่โถงหรูหราเต็มไปด้วยงานฝีมือที่แต่งแต้มบนวัสดุก่อสร้างเนื้องาม ทำให้ที่นี่สวยทุกอณูที่มองเห็น บางส่วนของด้านนอกอย่าง Chinese pavilion การ์เด้น หรือโรงละคร ที่สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 18 ยังแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่มีพระราชวังแวร์ซายเป็นแรงบันดาลใจด้วย และแน่นอนว่าสวนที่เห็นนี้ เขาเปิดเป็นที่สาธารณะให้ประชาชนมาใช้หย่อนใจได้อย่างอิสระ น่าอิจฉาคนที่นี่จริง ๆ





010 Meatballs for the People
มาถึงแลนด์ออฟมีทบอลเลิฟเวอร์ทั้งที เราจะไม่มาที่นี่ได้ยังไง? เผื่อใครยังมิทราบว่ามีทบอลเป็นอีกหนึ่งอาหารประจำชาติของสวีเดน ซึ่งร้านนี้เขาเป็นร้านดังที่แค่หาคำว่า Meatballs ก็เด้งขึ้นมาเป็นที่แรก ด้วยความที่มีกิมมิกไม่เหมือนใคร เป็นมีทบอลจากเนื้อต่าง ๆ กว่า 14 ชนิดให้เลือก เช่น กวาง เนื้อวัว ปลาแซลมอน และมังสวิรัติ โดยเขาจะใช้วัตถุดิบแบบออร์แกนิกเท่านั้น การตกแต่งร้านเป็นไปอย่างเรียบง่าย ภายในอาคารอิฐทรงคลาสสิก จัดวางโต๊ะเก้าอี้เอาท์ดอร์เป็นระเบียบ แต่ด้วยความที่ร้านอยู่ตรงหัวมุมพอดี เราเลยรู้สึกว่าถ่ายรูปสวยมีกลิ่นอายความยุโรปแบบเต็มสิบ


มาดูในส่วนของอาหารกันบ้าง เราเลือกสั่งเป็นเนื้อหมู โดยเขาจะเสิร์ฟมาพร้อมกับมันบดผสมครีมชีส แยมลิงกอนเบอร์รี่ แตงกวาดอง และซอสเกรวี่ เขาจะมีธงปักพร้อมโลโก้รูปสัตว์มาให้ เพื่อให้ทราบว่าจานที่เราสั่งเป็นเนื้ออะไร พร้อมให้คำแนะนำได้ด้วยว่าจานที่เราสั่งเหมาะกับเครื่องดื่มอะไร บอกเลยว่าแอปเปิ้ลไซเดอร์แก้วนี้เสริมรสของมีทบอลเราได้ดีเกินคาด คู่ดูโอ้เด็ดที่ควรค่าแก่การลอง

011 Vete-Katten
ที่นี่เป็นร้านที่ชาวสวีเดนจะมาใช้เวลา ‘Fika’ ร่วมกัน (เป็นชื่อเรียกของวัฒนธรรมการดื่มชากาแฟพร้อมของว่างของชาวสวีเดน) เราตั้งใจมาที่ Vete-Katten ร้านดังของสตอกโฮล์ม คอยจัดเสิร์ฟความหอมหวานของเบเกอร์รี่คุณภาพเยี่ยมมานานกว่า 94 ปี มีสาขาอยู่ทั่วเมือง และสาขาที่เรามาเช็กอินคือ KUNGSGATAN 55 ถือเป็นสาขาใหญ่ มีโซนนั่งหลากหลาย เราเลือกจับจองโซนตกแต่งแบบคาสสิก มีผ้าลูกไม้ โคมไฟทรงวินเทจ ภาพวาดโบราณ ให้ฟีลอบอุ่นสไตล์ลูกคุณ



แน่นอนว่าเขาขึ้นชื่อเรื่องขนมอบ ซึ่งวางเรียงรายให้เราได้เลือกเยอะมาก ๆ จุดแข็งของเขาคือวัตถุดิบคุณภาพดี การันตีจากกลิ่นเนยชั้นเยี่ยมที่อบอวลไปทั่วร้าน และไม่ใช้สารปรุงแต่งใด ๆ อีกด้วย เมนูขึ้นชื่อที่เราสั่งมาคือ Cinnamon Buns ขนมอบที่มีกลิ่นอบเชยกำลังดี รสชาติหวานอ่อน ๆ พร้อมโรยเกล็ดสีขาว สัมผัสกรุบกรอบหวาน ๆ ช่วยเติมเต็มรสชาติ พอกินตัดกับกาแฟแล้วเรียกว่าเพอร์เฟกต์เลย นอกจากนี้ เขายังมีเมนูซุปที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน มีสลัด แซนด์วิช พาย ให้เลือกด้วยเช่นกัน

012 Rosendals Trädgårdskafé
นั่งรถรางออกมานอกเมืองสักนิด แล้วมาสัมผัสความชิลของสวีเดนสักหน่อยที่ Rosendals Trädgårdskafé ฟีลลิ่งตลาดต้นไม้ขนาดใหญ่ แต่ vibe ดีระดับที่อยากมาปลูกบ้านไว้ในนี้เลย เพราะนอกจากต้นไม้เมืองหนาวนานาพรรณแสนแปลกตาแล้ว เขายังเนรมิตรพื้นที่ขนาดใหญ่ให้เป็นสวนสวย มีน้ำพุ แอ่งน้ำ พื้นที่นั่งชมวิว และยังมีโรงเรือนกระจกที่ภายในเอาไว้ขายอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดป๊อปของชาวสวีเดน ที่เขาจะมากันในวันที่อากาศสดใส เชื่อแล้วว่า.. คนประเทศนี้เขารักธรรมชาติจริง ๆ



ที่สำคัญในโรงเรือนเหล่านั้น เขามี Garden Cafe ให้เราเข้าไปจิบกาแฟท่ามกลางความกรีนและสีสันของดอกไม้ โดยเขาวางขนมไว้บนโต๊ะให้เราเลือกหยิบตามใจชอบ แล้วไปจ่ายเงิน จากนั้นก็เริ่มบรรเลงกินก้อนเค้กพร้อมเพลิดเพลินกับบรรยากาศพักผ่อนสไตล์ชาวสวีดิชได้เลย




ส่วนใหญ่ เมนูเขาจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลที่ปลูกแบบออร์แกนิก ช่วงที่เรามาเป็นช่วงของฟักทอง เลยได้ซุปฟักทองมาหนึ่งถ้วยใหญ่ รสชาติหวานกลมกล่อมแบบธรรมชาติ ยิ่งเอาขนมปังอบของทางร้านมาจิ้มเคล้ากันยิ่งฟิน ขอกระซิบอีกนิดนึง เบเกอร์รี่ของเขาอบในเตาอบหินที่ใช้ไฟเผาจากกิ่งไม้ด้วยนะ คราฟต์สุด ๆ




013 ARYAM
อีกขนมสุดโปรดที่เราไปไหนก็ต้องหาร้านเด็ดมาฝากกัน ก็คือไอศกรีมซึ่งที่ร้าน ARYAM แห่งนี้ เป็นร้านที่ขายเจลลาโต้สไตล์อิตาลีที่เด็ดสุดในย่านนี้ เพราะเขาได้รางวัลชนะเลิศ GELATO International มาเป็นโปรไฟล์สุดเก๋ของร้าน และความเก๋อีกอย่างคือเขาเปิดเป็นซีซั่น!! อย่างปีนี้เปิดตั้งแต่เมษายน-กันยายน และน่าจะเปิดอีกครั้งช่วงธันวาคมเพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส แล้วปิดยาวจนเมษามาบรรจบ ติสป่ะละ?



รสชาติของโอศกรีมมีให้เลือกเกือบ 10 รสชาติ หรือบางวันก็จะมีเมนูพิเศษเพิ่มมาด้วย การจัดเสิร์ฟเลือกได้ทั้งแบบถ้วยและแบบโคน ทางเราจัดรส Raspberry และ Vanilla and Salted Caramel สั่งเพิ่มแผ่นวาฟเฟิลกรอบ พิมพ์รูปโลโก้ร้านมาปักไว้ด้านบนเพื่อถ่ายรูปเก๋ ๆ ตัวเนื้อเป็นเจลลาโต้เข้มข้นสัมผัสเบากำลังดี ตามสไตล์อิตาลีเด๊ะ ๆ พอกินกับโคนและวาฟเฟิลข้างบนที่มีกลิ่นขนมอบหอม ๆ กรอบ ๆ แล้วมันจึ้ง มันดี มันต้องมาลอง!!

แม้การท่องเที่ยวสตอกโฮล์มจะไม่หวือหวาเท่ากับโซนอื่น ๆ ของยุโรป แต่เรารู้สึกว่าบ้านเมืองเขาเหมาะแก่การอยู่อาศัยมาก ๆ ทุกอย่างที่ดูสวยงาม มันคือสวยด้วยตัวของมันและใช้งานได้จริง ไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้น การทำนุบำรุงโบราณสถานก็ทำได้อย่างดีประหนึ่งกาลเวลาที่ไหลผ่านไม่สามารถกลบเรื่องราวอันรุ่งเรืองในอดีตของเขาไว้ได้ เป็นทริปที่สร้างความอิ่มเอมให้เราได้มากจริง ๆ





นอกจากสตอกโฮล์มแล้ว การบินไทยก็ยังเปิดเส้นทางบินสู่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในยุโรปอีกเพียบ!! ใครสนใจจองตั๋วเข้าไปเลือก book ได้เลยที่ thaiairways.com หรือติดต่อสำนักงานขายการบินไทย, ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือ THAI Contact Center โทร 0-2356-1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง)


