รีวิวจีน :: (Re)visit The Beautiful China – A Complete Guide To Beijing in 2023

แพลนเที่ยวจีนแบบคนเก๋คนปังรอบนี้ เราขอพาทุกคนบินตรงลัดฟ้า ไปสัมผัสท่วงทำนองความอลังการของมหานครสองกาลเวลานามว่า “𝐁𝐞𝐢𝐣𝐢𝐧𝐠” จะบอกว่านอกจากที่เที่ยววัฒนธรรมระดับมรดกโลกสิ่งปลูกสร้างโบราณแสนอลัง ตลอดจน 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่สร้างสรรค์ด้วยฝีมือของชาวจีนกว่า 1 ล้านชีวิต แบบที่เราเคยร้องว้าวเมื่อได้มายนในหลายปีก่อนแล้ว วันนี้มหานครสองกาลเวลาอย่างปักกิ่งได้พลิกโฉม พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนทำให้เมืองหลวงแห่งนี้กลายเป็นฮัปในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานอาร์ต การออกแบบสถาปัตยกรรม รวมถึงสวนสนุกระดับโลกที่สอดแทรกความเป็นจีนชนิดที่หาจากไหนไม่ได้ ที่สำคัญการเดินทางยังง่าย สามารถนั่งรถไฟไปที่ต่าง ๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล ยิ่งเที่ยวก็ยิ่งเห็นความเป็นเลิศในทุกมิติ และหลงรักเสน่ห์ จนอดไม่ได้ที่จะเอาแพลนเที่ยว 4 วัน 4 คืน นี้ มาร้อยเรียงเรื่องราวพร้อมมุมถ่ายภาพจึ้ง ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้
บินตามรอยไปฟิน ไปเช็คอินให้ฉ่ำใจกัน

แพลนเที่ยวปักกิ่งฉบับคนเก๋ต่อจากนี้ ทุกคนสามารถ make it happen ได้ง่าย กับสายการบินที่เป็นตัวจริงเรื่องบินจีนอย่าง AirAsia โดยล่าสุดเขาได้ขยายรูทบินตรงเพิ่มเติมต้อนรับ #จีนฟรีวีซ่า จากกรุงเทพฯไปยังมหานครสองกาลเวลา “Beijing” ขอเสียงปรบมือดัง ๆ ให้กับตัวเลือกแสนปังนี้ด้วยจ้า!!!!! สำหรับเส้นทางบินดอนเมือง(DMK) – ปักกิ่งต้าชิง(PKX) FD600 เป็นไฟลต์ดึกเทคออฟ  22:55 – 04:40 น. ใช้เวลาเดินทางเกือบห้าชั่วโมง นอนหลับไปได้หนึ่งตื่น ลืมตามาก็เที่ยวเต็มวันในดินแดนมังกรกันได้เลย และแน่นอนเพื่อความสะดวกสบายยิ่งกว่า เราขอแนะนำให้เลือก Premium Flex ไปเลย เพราะคลิกแล้วจบ … ได้มาครบทั้งน้ำหนักกระเป๋า ประกันการเดินทาง ที่นั่งแบบ Hot Seat เหยียดขาได้แบบสบาย ๆ พร้อมอาหารร้อน ๆ สบายพุง ในราคาประหยัดกว่าเดิมถึง 20%  ส่วนขากลับจะเป็นไฟลต์เช้า PKX – DMK 05:50 – 09:45 น. FD601 สามารถจองตั๋วได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่ www.airasia.com เริ่มบิน 1 กรกฎาคม 2567

DAY 1 

001 จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square)

โลเคชันแรกที่เหมาะแก่การกล่าว ‘เจ่าอัน’ ทักทายยามเช้ามากสุด คือ Tiananmen Square จัตุรัสกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถจุคนได้มากถึง 1 ล้านคน พอได้เอาตัวไปอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกว่าเราตัวเล็กเท่ามดจริง ๆ ทุกอย่างมันดูมหึมาเหมือนอยู่บ้านยักษ์ มีสิ่งปลูกสร้างมากมายที่เล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น ประตูเจิ้งหยาง ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ใช้สำหรับเสด็จออกนอกวังของพระจักรพรรดิ, ตึกอนุสรณ์สถานประธานเหมา จุดเคารพศพประธานาธิบดีคนสำคัญของจีน ซึ่งมีประชาชนมาต่อแถวทำความเคารพกันเยอะมาก และอีกจุดคืออนุสาวรีย์วีรชน รำลึกถึงผู้กล้าที่ทำให้จีนเปลี่ยนมาเป็นสาธารณรัฐ แต่หากอยากลงลึกกว่านั้น ลองไปที่ตึกพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เขาจะเล่าความเป็นมาของจีนตั้งแต่ยุคบุกเบิกเลยทีเดียว 

ส่วนจุดถ่ายภาพที่ท้าสายตาชาวโลก เรียกผู้คนให้อยากมาร่วมเฟรมอย่างยาวนานคือ ประตูเทียนอันเหมิน ประตูสู่พระราชวังต้องห้าม ที่สร้างมานานกว่า 600 ปี ผ่านการบูรณะใหม่กลายเป็นกำแพงสูงใหญ่สีแดงฉาน ตรงกลางมีรูปของท่านประธานเหมา ส่วนตัวหนังสือข้าง ๆ นั้นคือคำขวัญที่ว่า ‘สาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ’ และ ‘ความสามัคคีประชาชนทั่วโลกจงเจริญ’ 

002 พระราชวังต้องห้าม (The Forbidden City)

ตั้งแต่เป็นแฟนคลับซีรีส์จีนจักร ๆ วงศ์​ ๆ มา ไม่คิดว่าโตขึ้นจะได้เข้าไปใช้เวลาในพระราชวังได้เป็นนานสองนาน มาครั้งก่อนก็เดินดูผ่าน ๆ เพราะยังเด็ก แต่ตอนนี้เราแทบจะละเมียดดูทุกจุด เพราะที่นี่ พระราชวังต้องห้าม (The Forbidden City) เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกด้านโบราณสถานที่ทำจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเรื่องราวของพระจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงทั้ง 28 พระองค์ ปกครองประเทศมายาวนานกว่า 5 ศตวรรษ เป็นวังที่มีพื้นที่กว่า 720,000 ตร.ม. มีตำหนักสวยงามสร้างไว้กว่า 980 หลัง รวมห้องหับเกือบ 9,000 ห้อง เอาแค่ลานด้านหน้าก็ต้องว้าว เขาปูด้วยอิฐเกือบ 12 ล้านก้อน แค่เดินจากตรงนี้เข้าวัง ก็เหมือนได้คาดิโอแล้วอะแกกก

จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจในนี้เรียกว่าเยอะสิ่งเยอะอย่างไปหมด ถ้าเป็นคนที่อินประวัติศาสตร์มาก ๆ แนะนำให้แพลนเอาไว้เลย 1 วันเต็ม แต่ถ้ามีเวลาแค่ครึ่งวัน ลองเป็นรูทนี้ดู.. ลัดเลาะชม 3 ตำหนักสำคัญของวัง คือ ‘ตำหนักไท่เหอ (Taihedian)’ ตำหนักที่สูงที่สุดของจีนในสมัยก่อน มีกฎห้ามไม่ให้ใครสร้างตึกที่สูงกว่าโดยเด็ดขาด, ‘ตำหนักจงเหอ (Zhonghedian)’ ตำหนักที่เล็กที่สุด เป็นที่พำนักของฮ่องเต้ ก่อนมาว่าราชการที่ตำหนักไถ่เหอ และ ‘ตำหนักเป่าเหอ (Baohedian)’ สถานที่จัดอีเวนต์ต่าง ๆ ทั้งงานเฉลิมฉลอง สถานที่สอบจอหงวน ทั้งสามส่วนนี้เรียกว่าวังหน้า ถัดมาคือวังชั้นใน มี ‘ตำหนักเฉียนชิงกง (Qianqinggong)’ ใช้สำหรับลงนามและตรววจเอกสาร รวมถึงจัดงานรื่นเริง จนไปถึงงานพระบรมศพของฮ่องเต้ ก่อนย้ายไปไว้ที่เขาจิ่งซาน เพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนา อันนี้เป็นเพียงน้ำจิ้ม.. จะเห็นว่าทุกตำหนักนั้นมีเรื่องเล่า มีหน้าที่ที่น่าสนใจ ถ้าไม่กักเวลาไว้ทั้งวัน เราบอกเลยว่าไปได้ไม่ครบทุกจุดแน่นอน 

003 สวนจิ่งซาน (Jingshan Park)

เดินดูสถาปัตยกรรมกันแล้ว เรามาปรับมู้ดไปเจออะไรกรีน ๆ กันบ้างที่ สวนจิ่งซาน (Jingshan Park) สวนขนาดใหญ่อยู่ตรงข้ามพระราชวังต้องห้าม บ้านเขาเรียกว่าสวน แต่บ้านเราอาจจะเรียกว่าป่า!! เพราะเขามีภูเขาถึง 5 ยอด แต่เป็นเขาที่ใช้การถมดินตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง เป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 5 ชนิด ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ดิน สร้างขึ้นเพื่อให้ถูกหลักฮวงจุ้ย ที่เมืองจะต้องมีทั้งแม่น้ำ ศาลเจ้า และภูเขานั่นเอง เราใช้เวลาเดินขึ้นมาจุดชมวิวด้านบนประมาณ 15-20 นาที เหนื่อยในระดับหอบเบา ๆ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะจากจุดนี้จะได้เห็นแผนผังอันเป็นระเบียบสวยงามของพระราชวัง มันอลังการจนอากงอาม่าที่เดินตามขึ้นมา ส่งเสียงฮือฮากันเป็นแถบ 

004 ถนนคนเดินหวังฝูจิ่ง (Wangfujing Pedestrian Street)

มาถึงวันแรกก็อยากดื่มด่ำเมืองปักกิ่งแบบครบรส เย็นนี้เราจึงปักหมุดไปยัง ถนนคนเดินหวังฝูจิ่ง (Wangfujing Pedestrian Street) ย่านช็อปปิงที่เต็มไปด้วยของแฟชั่นมากมาย ตั้งแต่แบรนด์ตลาด จนถึงแบรนด์เนม ทั้งอยู่ริมทางและภายในห้างสรรพสินค้า แต่สำหรับสายเที่ยวอย่างเราก็คงโฟกัสไปกับจุดถ่ายรูปเริช ๆ หาของอีสเบา ๆ เพราะที่นี่เขาขึ้นชื่อเรื่องสตรีทฟู้ดเช่นกัน มีตั้งแต่ถางหูลู่ (ผลไม้เคลือบน้ำตาล) หวังฝูจิ่ง (ฟีลแมลงทอดบ้านเรา) อาหารทะเลนึ่ง ข้าวผัดสับปะรด ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีร้านขายของฝากจากท้องถิ่น ขนมบรรจุห่อแปลกตา ชาคัดพิเศษประเภทชนิดต่าง ๆ เรียกว่าครบจบที่เดียวทั้งสายเที่ยว สายกิน สายช็อปเลย

DAY 2 

005 กำแพงเมืองจีนด่านมู่เถียนยวี่ (Great Wall of China – Mutianyu)

แลนด์มาร์กวันที่สองนั้นสุดปังไม่แพ้วันแรก เปิดมาด้วย Great Wall of China กำแพงที่ยาวที่สุดในโลก สร้างด้วยน้ำมือมนุษย์จนติด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถ้าถามถึงการสร้างยุคแรก จากบันทึกได้กล่าวไว้ว่า กำแพงเริ่มสร้างตั้งแต่ 2,500 กว่าปีก่อน (ยุคชุนชิว-จ้าวกว๋อ) ในแคว้นฉี ความยาวกว่า 5 กิโลเมตร เพื่อป้องกันศัตรู-ชนเผ่าเร่ร่อน ถือเป็นกำแพงที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ จากนั้นก็มีการสร้างเรื่อยมา ชัด ๆ คือสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ราชวงศ์ฉิน) ที่เกณฑ์แรงงานมาสร้างต่อ และตั้งชื่อว่ากำแพงหมื่นลี้ และสมัยราชวงศ์ฮั่นที่สร้างจนกลายเป็นกำแพงเมืองที่ยาวที่สุดในจีน สู่ราชวงศ์ต่อ ๆ มาจนมีความยาวถึงสองหมื่นหนึ่งพันกว่ากิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ เรื่องความเวอร์วังของพี่จีน เขาสืบทอดมาทาง DNA จริง ๆ ยอมแล้ววว

แน่นอนว่าการเข้าชม เราไม่ต้องเดินไปให้สุดทาง เพราะอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี เขาจะมีจุดที่ให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นชมอยู่หลายด่าน ไกลสุดจะเป็น Jinshanling ด่านที่มีการบูรณะซ่อมแซมน้อยสุด ทำให้เราดื่มด่ำกับความโบราณได้ล้ำลึกสุด ส่วนด่านสุดป๊อปที่ได้รับความนิยมมากสุดต้องยกให้ Badaling ด้วยความสวยงามของโค้งกำแพงคล้ายระลอกคลื่น แถมเดินทางมาง่าย ๆ อยู่ใกล้ปักกิ่งเพียง 80 กม. เท่านั้น และยังเหมาะกับเด็กและผู้ใหญ่ เพราะมีเคเบิลคาร์ รถราง ร้านอาหารไว้บริการด้วย แต่คราวนี้เราขอพาเพื่อน ๆ ไปชมความจึ้งปังอลังการของกำแพงเมืองจีนที่ด่าน Mutianyu จุดที่ Keep ความ Original ได้สมบูรณ์พร้อมวิวอันงดงาม เราจะเจอทั้งหอสังเกตการณ์ จุดซุ่มยิง ป้อมปืน ฯลฯ ใครอยากชาเลนจ์กำลังขาก็สามารถเดินผ่านบันได 4,000 ขั้นขึ้นมาได้ แต่ทางเราขอขึ้นกระเช้าแทนแล้วกัน โดยมีค่าเสียหายอยู่ที่ 100 หยวน/เที่ยว หรือ 120 หยวน/ไป-กลับ และอีกเวย์คือขึ้นกระเช้า-ลงด้วยสไลด์เดอร์ 120 หยวนเช่นกัน

หลังจากที่ก้าวเท้าลงสู่พื้นกำแพง สิ่งแรกที่จับตาเราคือความเขียวฉ่ำของธรรชาติอันหนาแน่น ยาวสุดลูกหูลูกตา สันกำแพงที่เรายืนตัดผ่านเทือกเขาที่สลับทับซ้อนไปมา ยิ่งช่วงที่เรามามีฝนตกปรอย ๆ เลยได้ไอหมอกมาปะทะร่างแบบจัง ๆ ความเย็นเคล้าธรรมชาติแบบนี้ มันฟินจนอยากให้เพื่อน ๆ วาบมาสัมผัสด้วยกันเดี๋ยวนี้ ใกล้ ๆ กันจะมีสัญลักษณ์รับรองมรดกโลกจาก UNESCO เผื่อผู้ใหญ่บ้านไหนอยากถ่ายรูปคู่กับป้าย ก็ขอเรียนเชิญได้เลย

ถ้าอยากดูว่ากำแพงฝั่งไหนหันเข้าเมือง หรือหันออกเมือง สามารถดูได้จากการออกแบบ หากมีช่องสำหรับใส่ปืน ให้เหล่าทหารได้สอดเล็งเป้า ด้านนั้นคือหันออกข้างนอก และถ้าเห็นการแตกหักของกำแแพงก็ไม่ต้องตกใจ เพราะย่อมเป็นไปตามกาลเวลา แต่อยากให้เดินด้วยความระมัดระวังกันมากกว่า เพราะบันไดบางขั้นมันหดจนต้องใช้ปลายเท้าจิก บางช่วงมีความชัน ส่วนเรื่องอาหาร ตรงทางขึ้น-ลงกระเช้า เขามีขายทั้งขนม เครื่องดื่ม แต่ราคาค่อนข้างแรงนิดนึง ตามสไตล์แหล่งท่องเที่ยวอันห่างไกล

006 หอสักการะฟ้าเทียนถาน (Tiantan Temple of Heaven)

ใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อดื่มด่ำสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เราก็กลับเข้าเมืองมายลโฉมมรดกโลกกันต่อกับความตระการตาที่ หอสักการะฟ้าเทียนถาน ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ 600 กว่าปีก่อน ช่วงราชวงศ์หมิง ใช้พื้นที่ถึง 2.73 ล้านตร.ม. ถือเป็นสถานที่บูชาธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดในโลก เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายพันปี เกี่ยวกับการสื่อสารกับท้องฟ้า เพื่อขอพรเวลาที่บ้านเมืองต้องเจอภัยพิบัติ ทั้งเรื่องฝนตกน้ำท่วม แห้งแล้ง ปัญหาเรื่องแมลง โรคระบาด ฯลฯ สถาปัตยกรรมทุกจุดล้วนมีความหมาย อาทิ หินที่วางอยู่ 7 ก้อน ตรงลานประตูตะวันออก ก็ยังเป็นลักษณะของดาวไถ 7 ดวง ใครชอบเที่ยวแบบเน้นสตอรี เก็บดีเทล เราขอแนะนำเลย

ส่วนที่สำคัญสุดคือ ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน สัญลักษณ์ของที่นี่ ทำจากไม้ ใช้เสามากถึง 28 ต้น เสาชั้นในสุดจะมี 4 ต้นแทน 4 ฤดู ถัดมามีจำนวน 12 ต้นแทน 12 เดือน และ อีก 12 ต้นสุดท้ายแทนเวลาทั้ง 12 ชั่วยาม แล้วยังมีงานสลักแสนวิจิตรบรรจงให้เราได้สังเกตอยู่ตลอด อีกส่วนที่ไม่ควรพลาดคือลานกว้างที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ตรงนั้นคือหยวนชิวถาน หรือแท่นขอพรฟ้ากว้าง 3 ชั้น เป็นจุดที่ใช้สำหรับขอพร  เอาจริง ๆ สำหรับปักกิ่งมากกว่าความสวย คือเราสามารถร้อยเรียงเรื่องราวได้เป็นฉาก ๆ เห็นกิจวัตรของเหล่าราชวงศ์ ตั้งแต่ในพระราชวังต้องห้าม สวน และสถานที่ขอพรแบบไม่สะดุด เป็นอีกเสน่ห์ของการเที่ยวที่เลยก็ว่าได้ ทริปนี้ร้องว้าวกันจนไม่มีเวลาพักผ่อนจริง ๆ

Day 3

007  Universal Beijing Resort : USBJ

ที่ไหนมีธีมพาร์ค ที่นั่นมีเรา!! ที่ปักกิ่งเขามี Universal Beijing Resort เป็นยูนิเวอร์แซลแห่งล่าสุดในเอเชีย เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ตั้งอยู่ในย่านถงโจว กวาดพื้นที่กว่า 4 ล้านตร.ม. เรียกว่าใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานี้เลยทีเดียว โดยเขาจะแบ่งไว้ 7 โซนด้วยกัน ทริปนี้เราจะเลือกแบบเน้น ๆ มาเป็นน้ำจิ้มสัก 4 โซน ที่เหลือก็ขอให้เพื่อน ๆ มาจอยกันเอง แต่ก่อนจะมา แนะนำให้โหลดแอป USBJ (https://apps.apple.com/th/app/universal-beijing-resort/id1535766300) เอาไว้ก่อน เพื่อเช็กเวลาเครื่องเล่น และวางแผนการเที่ยวกันได้ถูกต้อง ส่วนเรื่องการเดินทาง.. สามารถนั่งรถไฟมาได้ถึง 2 สาย คือ สาย 1 (สีแดง) และ สาย 7 (สีเหลือง) ลงที่ป้าย Universal Resort (Huanqiu Dujiaqu St.) จากนั้นเดินตามกลิ่นความสดใสมาได้เลย

เดินถึงแค่โซนหน้าอย่าเพิ่งดี๊ด๊าจนหมดแรง เพราะยิ่งลึก ความตื่นเต้นยิ่งพีค ไม่ว่าจะเป็นตัวละครอันแสนโปรดปรานที่แวะเวียนออกมาอ้อล้อ พร้อมสะท้อนวัฒนธรรมของจีน จนกลายเป็นธีมพาร์คที่ไม่เหมือนใคร แน่นอนว่าเล่นใหญ่อลังการตาม DNA ที่สืบทอดกันมา จะบอกว่าช่วงที่เราไปคือ โชคดีม๊ากกก คนไม่ค่อยหนาแน่น เลยเล่นเครื่องเล่นหลัก ๆ ได้ครบแบบไม่ต้องซื้อตั๋ว Express เพิ่มเลย ส่วนเรื่องความเป็นระเบียบนั้นดีเกินคาด วัยรุ่นจีนเขาต่อแถวกันอย่างเรียบร้อย ไม่มีความวุ่นวายใด ๆ ทั้งสิ้น วางใจได้

‘Bello!’ เริ่มต้นโซนแรกที่แลนด์ออฟมินเนี่ยน น้อนตัวเหลืองขวัญใจชาวโลกใน ‘Minion Land’ เหมือนได้ไปอยู่ร่วมเมืองกับน้อง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่ว บ้างนอนอาบแดด ว่ายน้ำ ปีนป่ายเล่นซนรอให้เราไปร่วมเฟรม ทั้งหน้าตาและท่าทางเหมือนหลุดออกมาจากแอนิเมชันเป๊ะ! ส่วนเครื่องเล่นก็จะคิวท์ ๆ เหมาะกับครอบครัว ทั้ง Loop-Dee Doop-Dee รถไฟเหาะขนาดเล็กให้พอตื่นเต้น ส่วนไฮไลต์คือ Despicable Me: Minion Mayhem พาเราตะลุยไปในโรงงานผลิตมินเนี่ยนทุกซอกมุม เห็นทั้งความวุ่นวายและน่ารักแบบสุดโต่ง บางช่วงมีพ่นน้ำใส่ เรียกเสียงกรี๊ดจากเด็ก ๆ ได้ เป็นเครื่องเล่นที่เพลินจนไม่อยากให้จบเลย

ต่อมาคือไฮไลต์ของ USBJ ที่ไม่มีในยูนิเวอร์แซลอื่น โซน ‘Kung Fu Panda Land of Awesomeness’ ด้วยความฟีลกู้ดของเนื้อเรื่อง และความน่ารักของทุกตัวละคร จึงเป็นอีกแอนิเมชันที่เราคลั่งรัก ที่นี่เขาจัดออกมาเป็นธีมจีน ฟีลมีงานเฟสติวัลจีนตลอดเวลา ถ้าใส่ชุดกี่เผ้ามาก็สามารถโคฟเป็นอีกหนึ่งตัวละครของเรื่องได้เลย แถมยังมีเครื่องเล่นใหม่ ๆ อาทิ Lanterns of Legendary Legends โคมไฟยักษ์ลอยฟ้า ผูกไว้กับกล่องให้เราได้นั่งชมเมืองแบบ 360 องศา รวมถึง Mr. Ping Noodle House ร้านอาหารของพ่ออาโป ที่ถอดแบบมาจากในการ์ตูนเลย ขายเมนูบะหมี่ให้เราได้กินจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีของที่ระลึกน่ารัก ๆ ให้เลือกซื้ออีกเพียบ

สำหรับคนที่ชอบความล้ำยุค เน้นความหวาดเสียว อยากให้หัวใจเต้นระส่ำ แนะนำโซน ‘Transformers Metrobase’ เยี่ยมชมอาณาจักรแห่งหุ่นยนต์ยักษ์ ที่เดินทางข้ามอวกาศมากอบกู้โลก และที่นี่ก็คือฐานทัพลับ สร้างมาเพื่อให้เราได้ทำภารกิจร่วมกัน ลูกชายใครได้มา บอกเลยว่ากรี๊ดตาแตกแน่ เพราะเขาสร้างอาคารให้หน้าตาเป็นแบบไซเบอร์ตรอน โมเดิร์นอลังการสุด เครื่องเล่นที่น่าสนใจในโซนนี้คือ Decepticoaster เข้าไปนั่งใน Autobot แล้วให้พี่แกพาตีลังกาผาดโผนสัก 4 ตลบ และ Bumblebee Boogie ให้เรานั่งรถที่หมุนรอบตัวเองได้ พร้อมทั้งเหวี่ยงเราไปรอบ ๆ เป็นวงกลม อันนี้เล่นเสร็จแล้วจะมึน ๆ หน่อย แต่สนุกมาก

โซนที่ไม่พูดถึงแล้วอาจขาดใจ ‘The Wizarding World of Harry Potter’ เป็นทั้งวรรณกรรมเล่มโปรดและหนังสุดรักของเรา อีกแลนด์ที่รอให้ทุกคนได้เข้าไปใช้ชีวิตประหนึ่งเป็นพ่อมดแม่มดจริง ๆ ทั้งตรอกไดแอกอนใน Hogsmeade Village เดินช็อปปิงตามล่าหาขอใช้กัน ตั้งแต่ไม้กายสิทธิ์จากร้าน Ollivanders หาขนมกรุบกริบกินที่ Honeydukes ที่สำคัญ อย่าลืมซื้อ Butterbeer มาจิบสักแก้ว ก่อนเดินทางไปโรงเรียนฮอกวอตส์ด้วยขบวนรถไฟ Hogwarts Express ดูสิมีครบทุกรายละเอียดแบบนี้ แฟนแฮรี่อย่างเราจะพลาดได้ไง ?

หลายคนคงคิดว่าแค่เอาตัวมาอยู่ในนี้ได้ก็ดีแล้ว แต่มันดีได้มากกว่านั้น ถ้าได้เล่นเครื่องเล่น ‘Harry Potter and the Forbidden Journey’ รถไฟที่พาเราสำรวจโรงเรียนฮอกวอตส์อย่างละเอียด ประหนึ่งนั่งอยู่กับแฮรี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่สมัยเข้าเรียนปี 1 ใหม่เลย ส่วนช่วงเวลาที่ถ่ายรูปสวย Vibe ดีแบบไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์ เราแนะนำให้มาช่วงเย็น ๆ หลังดูขบวนพาเหรดจบ กับสีฟ้าแบบทไวน์ไลท์ บรรดาโคมไฟส้มเริ่มแต่งแต้มไปทั้งเมือง รวมไปถึงไฟปราสาท เป็นภาพในฝันที่อยากเห็นมานานแล้ว แถมช่วงนี้คนยังไม่เยอะมากด้วย ถือเป็นนาทีทอง อยากเล่นอะไร ถ่ามรูปมุมไหน รีบไปเลย 

นอกจากทั้ง 4 ธีมนี้ ก็ยังมีอีกหลายโซนที่รอให้เราได้ผจญภัย ไม่ว่าจะเป็น Jurassic World Isla Nublar ท่องโลกไดโนเสาร์กว่า 65 ล้านปีก่อน มีทั้งเครื่องเล่นเข้าถ้ำแสนตื่นเต้น Jurassic Flyers การแสดงควบคุมแรปเตอร์เหมือนในหนัง ฯลฯ จากนั้นไปดูโชว์สุดอลังที่โซน WaterWorld หรือไปเดินเฉิดฉายกันในย่าน Hollywood จำลองถนนสุดป็อปแห่งฮอลลีวู้ด พร้อมโชว์ที่ให้เราเห็นโปรดักชันของการทำหนังแบบเรียล ๆ เดินถ่ายรูปโพสท่ากันแบบฉ่ำ ๆ พอท้องหิว ก็เดินเข้าคาเฟ่ ร้านอาหารหลากธีมที่กระจายอยู่ทั่วทั้งสวนสนุกได้เลย

มาถึงนี่จะพลาดการแสดงพาเหรดได้อย่างไร? สำหรับ Universal on Parade ของที่นี่เป็นแบบใหม่แบบสับ! ไม่เคยเห็นในยูนิเวอร์แซลไหนแน่นอน รอบการแสดงเริ่มต้นตั้งแต่ 18:00 น. หากอยากอยู่แถวหน้าสุด แนะนำให้มานั่งรอก่อนสักครึ่งชม. และที่บอกว่าไม่เหมือนที่ไหนคือ เขาใส่ความจีนไปแบบเข้มข้น ทั้งชุดของพี่ ๆ นักแดนซ์ มีความกี่เผ้ามาเต็ม แต่เป็นดีไซน์น่ารักเหมือนหลุดมาจากการ์ตูน ส่วนรถในขบวนก็ยกชุดโคมจีนหลากทรง ประดับมังกร เปิดตัวมาอย่างฉูดฉาด หลังจากนั้นก็จะเป็นตัวละครจากแอนิเมชันเรื่องต่าง ๆ ทั้งมินเนี่ยนบนยานอวกาศดูวุ่นวาย ต่อด้วยพี่ Shrek ตัวเขียวยกมาทั้งเจ้าหญิง ลูก ๆ และปราสาท ไหนจะเหล่าสัตว์แสนกวนจากเรื่อง Madagascar และปิดท้ายด้วย Kung Fu Panda ยกมาทั้งแก๊งจีน ฉันบอกเลยนะ.. ว่าเขาไม่ได้มาเล่น ๆ เขาจัดเต็มกันมาก

Day 4

008 พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิฐแดง (Red-Brick Art Museum)

เดย์สามจบไปแบบฟิน ๆ เดย์สี่เรามาอินกันต่อกับงานอาร์ตสมัยใหม่ของปักกิ่ง ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิฐแดง (Red-Brick Art Museum) ในย่าน Chaoyang สถานที่อันเลอค่าสำหรับสายเที่ยวอาร์ตแกลอย่างเรา เก๋กรุบทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมโค้งเว้า เน้นความโล่งโอ่อ่า ให้เราถ่ายรูปไปลงโพสต์ได้สับ ๆ เรียกยอดไลก์ได้ทะลักทลาย ลงไอจีสตอรียอดดูเป็นร้อยเป็นพัน โดยที่นี่เป็นสถานที่จัดนิทรรศการศิลปะแบบหมุนเวียน ซึ่งแน่นอนว่าใครที่มาหลังเราก็อาจจะไม่ได้เจองานอาร์ตแบบนี้ แต่อาจจะได้เจองานที่เจ๋งกว่าก็เป็นได้ ส่วนใหญ่จะเป็นงาน Contemporary Arts หรือศิลปะร่วมสมัยที่คัดแต่ผลงานคูล ๆ แบ่งห้องเป็นโซนอย่างดี จนเราต้องขอยกให้เป็นอีกหนึ่งอาร์ตมิวเซียมที่ดีที่สุดของจีนเลยทีเดียว 

ภายในว่ากรี๊ดแตกแล้ว ภายนอกยิ่งเลิศกว่า ด้วยพื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม. มี 9 ห้องนิทรรศการ, 2 ห้องสตูดิโอสำหรับทำงาน-วิจัยศิลปะ และอีก 1 ฮอลล์ใหญ่สำหรับจัดงาน ทุกสัดส่วนคุมโทนอิฐแดงแบบไม่หลุดธีม กระทั่งทางเดินระหว่างตึก ทั้งแบบอินดอร์และเอาต์ดอร์นั้นสร้างมาเหมือนคำนวณทางแสงเงาอย่างสวยงาม ทะลุมาด้านหลังจะเจอกับสวนสีเขียวสบายตา จุดโฟโต้สปอตที่ต้องมาคือ กำแพงอิฐที่มีรูตรงกลาง วางเรียงกันหลาย ๆ ชั้นจนหน้าตาคล้ายอุโมงค์ พร้อมบ่อน้ำเย็นตาที่ให้เราหามุมนั่งชิลได้สบาย ๆ ถ้ามีคะแนนเต็มสิบ เราขอให้ร้อยสำหรับที่นี่เลย 

09  เขตศิลปะ 798 (798 Art District)

ไปต่ออย่างไม่รีรอกับสปอตอาร์ตถัดไป เขตศิลปะ 798 (798 Art District) ย่านของคนรักสตรีทอาร์ต ที่นี่เขาเปลี่ยนโรงงานอุตสาหกรรมอันตึงเครียด สู่พื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ เลข 798 ในที่นี้ไม่ใช่เบอร์มังกรที่สายมูเข้าใจกัน แต่เป็นโค้ดของโรงงาน ซึ่งเบอร์นี้คือโรงงานที่ใหญ่ที่สุด และขึ้นชื่อว่าดีที่สุดของจีน หลังจากที่โรงงานปิดตัวลง เขาก็พัฒนาที่นี่ให้กลายเป็นที่แสดงผลงานของเหล่าศิลปินร่วมสมัย จนเกิดเป็นสถาบันวิจิตรศิลป์กลางปักกิ่ง (CAFA) อาคารในโซนนี้จะมีกลิ่นอายความเป็นเยอรมันอยู่มาก เรียกว่าศิลปะแบบ Bauhaus ที่มีความเรียบง่าย ตรงไปตรงมาใช้รูปทรงเรขาคณิตเป็นแกนหลัก โชว์วัสดุอย่างเปิดเผยแต่เป็นระเบียบ ส่วนรอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยร้านค้าของศิลปิน แกลเลอรี ร้านหนังสือ และเป็นสถานที่จัดงานด้านการออกแบบขึ้นชื่อมากมาย 

ทางการจีนอาจเรียกที่นี่เป็นโซน แต่ทางเราขอเรียกไว้ว่าเป็นเมืองเลยแล้วกัน เพราะทุกซอกซอยที่ลัดเลาะมีผู้คน และร้านค้าอยู่อย่างหนาแน่น รวม ๆ แล้วมากกว่า 400 แห่งเลยทีเดียว ถ้าอยากเก็บทุกร้าน ชมทุกจุด อาจใช้เวลาถึง 2 วัน ที่นี่เขามีทั้งแบบเข้าฟรีและเสียเงิน เผลอ ๆ อาจจะได้โปสการ์ด ของฝากหนึ่งเดียวในโลกติดมือกลับบ้านไปด้วยก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังมีสตรีทอาร์ต อินสตอลเลชันอาร์ตตามถนนหนทางให้เราเข้าไปถ่ายรูปเช็กอิน ตามประสาสายคอนเทนต์ เหมาะกับคนที่กำลังหาอินสไปเรชัน อยากปลุกความอาร์ตในตัวให้ลุกโชนสุด ๆ 

010 Phoenix International Media Center

ด้วยพี่จีนเขาอยากนำเสนอว่าตัวเองเป็นนัมเบอร์วันในหลาย ๆ สิ่ง เขาจึงมีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงปัง ๆ ขึ้นมามากมาย อย่าง Phoenix International Media Center ก็ถือเป็นสิ่งสะท้อนความยิ่งใหญ่ได้เป็นอย่างดี นี่คืออาคารทรงรังนกฟีนิกซ์ อยู่บนพื้นที่กว้างถึง 64,973 ตร.ม. ภายใน Chaoyang Park สร้างจากโครงเหล็กที่เชื่อมต่อกันคล้ายตาข่าย ติดกระจกตามรู โค้งเว้าไล่ระดับอย่างมีชั้นเชิง ตรงกลางเป็นรูคล้ายรังนก ส่วนด้านในยังมีทางเดินกระจกที่โค้งคดเคี้ยวไปมา ถ่ายรูปออกมาแล้วจึ้งมาก! เป็นการออกแบบโดยสถาปนิกชาวจีน ทำให้เห็นว่างานด้าน Architect สมัยใหม่เขาก็ไม่เป็นรองใครเช่นกัน 

ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานีโทรทัศน์ สตูดิโอผลิตสื่อ ออฟฟิศ และยังมีโซนจัดแสดงงานศิลปะ ให้นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ได้ชื่นอกชื่นใจ พร้อมบริการร้านอาหารอยู่ด้วย ฉะนั้นเราสามารถมาเดินเล่นได้แบบไม่ต้องเคอะเขิน อีกคอนเซปต์ที่เรารู้สึกประทับใจ คือคำนึงเรื่องการประหยัดพลังงาน ใช้คาร์บอนต่ำ เช่น การวางท่อระบายน้ำจากโครงเหล็ก ลงมาสู่ถังเก็บน้ำด้านล่าง ผ่านการกรอง แล้วนำน้ำมาใช้รดน้ำต่อ, การใช้ความโค้งและเรียบ ลดทอนความรุนแรงของการปะทะจากลมฤดูหนาว เรียกว่าสายเต็กมาเห็นจะต้องใจบางแน่นอน 

011 ISSUE.01 Espresso 咖啡馆

สายฮอปอย่าเพิ่งใจเสีย เราไม่ลืมที่จะหาร้านกาแฟเก๋ ๆ มาฝากพวกเธอหรอกนะ ISSUE.01 Espresso 咖啡馆 ร้านนี้อยู่ใกล้ ๆ กับสถานี dawang Road (สายสีแดง) ตกแต่งด้วยโทนสีเทา ออกแบบสไตล์ Industrial เปิดให้เห็นโครงปูน ร่องรอยสึกกร่อน การเดินสายไฟแบบเรียล ๆ เพิ่มความอ่อนโยนขึ้นด้วยเคาน์เตอร์กาแฟ และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้เนื้อเรียบ กระจายวางโต๊ะเก้าอี้สแตนเลสให้ดูคุมคอนเซปต์ ห้อยโคมไฟกระดาษทรงเก๋ วางองค์ประกอบเท่ ๆ พร้อมแสงธรรมชาติที่ลอดมาจากกระจกบานใหญ่ รับแสงได้ทั้งแถบ เรียกว่าถ่ายรูปได้ทุกมุมแบบไม่ติดขัดเลย

เมนูของร้านจะเน้นไปด้านกาแฟ มีทั้งกาแฟแบบ Special Blend เมล็ดเอธิโอเปีย เมล็ดเคนย่า และที่ขายดีสุด ๆ จะเป็น Cold Brew กาแฟกระป๋อง รสชาติละมุน พอได้ชิมก็รู้เลยว่าบาริสต้าของร้านนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ นอกจากร้านในอาคารแล้ว เขายังมีร้าน Pop-Up ที่ไปเปิดตามที่ต่าง ๆ ด้วย อย่างนี่เราไปเจอในสวนสาธารณะ การออกแบบคือน่ารักจนต้องเดินเข้าไปซื้อเพิ่ม

012 ถนนเฉียนเหมิน (Qianmen Street)

ก่อนจะกลับโรงแรมไปพักผ่อนเตรียมตัวไปสนามบินแต่เช้าวันถัดไป เรามาจบทริปกันแบบฟิน ๆ ด้วยการกินให้ฉ่ำลิ้น ช็อปปิงให้ฉ่ำใจกันที่ ถนนเฉียนเหมิน (Qianmen Street) ช็อปปิงสตรีทใกล้จัตุรัสเทียนอันเหมิน อยู่คู่ปักกิ่งมานานหลายร้อยปี ถูกบูรณะให้เหมือนเราเดินอยู่ในย่านเมืองเก่าสมัยราชวงศ์ชิง ย้อนไปสมัยก่อนที่จะสร้างเมืองนอกวังได้สำเร็จ เส้นทางนี้เป็นเส้นที่ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงใช้เสด็จไปยังหอฟ้าเทียนถาน และเมื่อสร้างเมืองเสร็จในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ที่นี่ถูกเปลี่ยนเป็นย่านการค้าอันคึกคัก ยาวนานจนมาถึงปัจจุบัน ที่ทั้ง 2 ข้างทางความยาวกว่า 840 เมตรนี้ เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ให้เราได้แวะละลายทรัพย์ก่อนจากลา 

งานนี้รับรองเลยว่าสายกินจะต้องแฮปปี้กับถนนเส้นนี้สุด ๆ เพราะมันเต็มไปด้วยสตีทฟู้ดแบบจี๊นจีน วันนี้ขอเลือกเมนูหลัก ๆ ที่คิดว่าเป็น the must! ต้องลอง (วัดจากแถวที่คนรอคิว) เร่ิมจาก ‘เข่าโหยวหยูช้วน’ ปลาหมึกเสียบไม้ย่าง ที่ย่างมาแบบเด้งดึ๋งสาดผงหม่าล่าเคลือบมาทั้งชิ้น มีกลิ่นหอมเครื่องเทศ เข้ากับความหวานของหมึกอย่างดี

อีกเมนูที่กัดปุ๊บกรี๊ดปั๊บ ‘เซียงซูหนิวโร่วปิง’ แป้งความหนากำลังดี นำไปจี่ทอดจนมีกลิ่นกระทะ ภายในอัดแน่นไปด้วยเนื้อวัวผัดผักและเครื่องปรุงรสกลมกล่อม พอกินร้อน ๆ แล้วมันตัวลอย อร่อยแบบขาไม่แตะพื้น อร่อยแบบสวรรค์อยู่ในปากจริง ๆ

ต่อมาขอชิมให้สมมงนักกินกับร้านที่ได้มิชลินไกด์มานานหลายปี กับเมนู ‘เหล่าเป่ยจิงเป้าตู๋เฟิ้น’ วุ้นเส้นผ้าขี้ริ้วทอด คลุกกับเต้าเจี้ยวหม่าล่า โดยผ้าขี้ริ้วเขาจะทอดจนมันกรอบอร่อย กินกับวุ้นเส้นกรุบ ๆ รสชาติเค็ม เผ็ดนัว ๆ ฉันบอกเลยนะ.. ว่าถ้วยนี้ฉันไม่แบ่งใครหรอก ฉันต้องได้กินคนเดียวเท่านั้น

สำหรับพาร์ทสตรีทฟู้ด เราแนะนำให้ล้างปากกันด้วย ‘ถางหูลู่’ ผลไม้เคลือบน้ำตาลที่เรากินตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ก็ยังไม่เบื่อ หรือจะจบด้วยชาจาก ‘Hey Tea’ ร้านสุดป๊อปก็ไม่ว่ากัน ส่วนใครที่เน้นกินแบบจริงจัง บอกเลยว่าย่านนี้คือภัตตาคารอาหารจีนฉ่ำมาก โดยเฉพาะเมนู ‘เป็ดปักกิ่ง’ แบบออริจินัล เสิร์ฟมาทั้งหนังและเนื้อ ย่างจนเป็ดมีกลิ่นหอมไร้สาบ รสกลมกล่อม จุยซี่ อร่อยเวอร์วัง หรือจะสั่งเป็นกับข้าวสไตล์เสฉวนก็เผ็ชร้อนโดนใจ 

สี่วันจบไปไวเหมือนโกหก ด้วยความที่ไม่ได้มาปักกิ่งนานมากกกก.. ทำให้เราเห็นว่าบ้านเมืองเขาเจริญขึ้น แปลกตากว่าสมัยก่อนเยอะเลย ผู้คนโดยเฉพาะวัยรุ่นก็ไม่โหวกเหวกโวยวาย ห้องน้ำในอาคารใหม่ ๆ นั้นสะอาด เข้าได้อย่างสบายใจ การเดินทางในเมืองก็สะดวกมากรถไฟฟ้าไปทั่วถึงแทบทุกโซน แถมราคาคือดีงามจนน่าตกใจ เป็นทริปที่ลบภาพจำของจีนให้เราฟีลกู้ดกับบ้านเมืองเขามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว งานนี้รับรองว่าใครได้ตามรอยจะต้องไม่ผิดหวัง แล้วมองจีนเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ย้ำกันอีกครั้งว่าใคร ๆ ก็บินไปเที่ยวตามเราได้กับสายการบินแอร์เอเชียที่ล่าสุดเขาเปิดบินตรงทุกวันจากดอนเมือง โดยจะเริ่มบินตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป