รีวิวญี่ปุ่น :: Live like a local in ASAI KYOTO SHIJO

ถึงแม้นี่จะเป็น 𝐊𝐘𝐎𝐓𝐎 มากกว่า 5 ครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด เพราะทริปนี้เรามากับลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวแบบครบครัน ทั้งอัปเดตพิกัดยอดนิยม เติมความละเมียดในการรับชมจุดต่าง ๆ มากขึ้น ฮอปคาเฟ่คิวท์ ๆ รสชาติดี พร้อมลิ้มรสอาหารโลคอลกิมมิกดีสตอรี่แน่น และที่สำคัญ 3 วัน 2 คืน รอบนี้จะทำให้ทุกคนหลงรักเกียวโตมากขึ้นกับบรรยากาศการพักผ่อนอันแตกต่าง เพราะเราเลือกปลีกตัวออกจากความจอแจสู่โลคอลแอเรียอย่าง ชิโจ ย่านที่อยู่อาศัยของชาวเมืองจริง ๆ ณ 𝐀𝐒𝐀𝐈 𝐊𝐲𝐨𝐭𝐨 𝐒𝐡𝐢𝐣𝐨 โรงแรมสัญชาติไทย สาขาแรกนอกประเทศ กับคอนเซปต์ที่ต้องการให้กลมกลืนไปกับพื้นที่ประหนึ่งเป็นเพื่อนบ้าน สอดแทรกประเพณี วัฒนธรรม ใช้วัสดุอันบ่งบอกความเป็นเกียวโต ภายใต้บรรยากาศที่แสนสงบ จนทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้อยู่บ้านทุกค่ำคืนจริง ๆ มาดูกันว่า 1 ที่พัก 6 ที่เที่ยว และ 7 ที่กิน ในเกียวโตรอบนี้มันดีต่อใจขนาดไหน ตามมาเลย!!!!

WHERE TO STAY

อย่างที่เราเกริ่นไป ครั้งนี้เราเปลี่ยนจากนอนในแหล่งท่องเที่ยวอันวุ่นวายอย่าง ฮิกาชิยามะ หรือ กิออน มาลองพักที่ย่าน ‘ชิโจ’ แหล่งที่อยู่อาศัยของชาวเมือง ซึ่งเป็นโลเคชั่นของที่พักสัญชาติไทย ‘ASAI Kyoto Shijo’ โรงแรมในเครือ ASAI แห่งแรกที่อยู่นอกประเทศไทย ถือเป็นย่านที่สอดคล้องกับเป้าหมายโรงแรม ที่ต้องการให้นักเดินทางได้สัมผัสสิ่งน่าสนใจใน ‘ละแวกบ้าน’ ให้เห็นชีวิตแสนโลคอลของคนเกียวโตแบบไร้การปรุงแต่งที่สามารถพบเห็นได้ง่าย ๆ ตามตรกอกซอกซอยเล็ก ๆ ได้พบทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ แหล่งงานคราฟต์ งานสะสมมากมาย พร้อมบรรยากาศที่แสนสงบอย่างไม่น่าเชื่อ

ว่าด้วยเรื่องของการออกแบบ ASAI เรียกว่าพิถีพิถันไม่แพ้ใคร มีความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม จากภายนอกที่ใช้โครงสร้างผสมระหว่างสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเก่าแก่และอาคารสมัยใหม่ ในโทนสีดำ เทา เรียบเท่โดดเด่นแต่ไม่แปลกแยก เข้ามาด้านใน เราจะปะทะกับความอบอุ่นไปด้วยงานไม้และไฟส้ม วัสดุต่าง ๆ ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเกียวโต เช่น โทนสีของผ้าที่ใช้ตกแต่งมาจากเจดีย์ Yazaka, กระเบื้องหินที่พื้นและเคาน์เตอร์บาร์ ยังล้อไปกับวัสดุพื้นถนน Sennen Zaka, โครงไม้เหนือบาร์ ได้มาจากโครงสร้างของวัด Kiyomisu-dera หรือวัดน้ำใส เหมาะสุด ๆ สำหรับคนที่ชอบงานสถาปัตยกรรม แบบมีเรื่องเล่าและที่มา แถมพื้นที่ส่วนกลางก็กว้างขวางเหมาะแก่การพบเจอเพื่อนใหม่สุด ๆ

แม้จะมีพื้นที่อย่างจำกัด แต่ ASAI ก็สามารถแบ่งห้องพักได้ถึง 114 ห้อง และทุกห้องมีพื้นที่ใช้สอยเหมาะสมสำหรับผู้มาเยือนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นยกระดับที่บุด้วยเสื่อทาทามิ ทำให้ด้านล่างเราสามารถสอดกระเป๋าเดินทางเก็บเข้าไปได้ ด้านบนเป็นเตียงนอนพร้อมผ้าห่มอุ่น ๆ นุ่มสบาย ของตกแต่งยังบ่งบอกความเป็นท้องถิ่นได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Ojami หมอนอิงทรงกลม, โคมไฟโบราณทรงเหลี่ยม ที่มักเห็นในย่านฮิกาชิยามะ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งผ้าขนหนู ชุดนอนจินเบ รองเท้าเดินภายใน 

สำหรับห้องพักของที่นี่ เขามีให้เลือกถึง 6 แบบ Cozy Twin, Comfy Twin, Comfy King, Comfy Hollywood Twin, Accessible (Comfy King) และ Comfy Corner Hollywood Twin ขนาดตั้งแต่ 16-18 ตร.ม. เรียกว่าตอบโจทย์ทุกความต้องการแน่นอน แต่สิ่งที่เราประทับใจสุด ๆ คือเขาจะเน้นย้ำเรื่องความรักษ์โลกด้วย น้ำดื่มที่วางไว้ในทุกห้องจะเป็นขวดแสตนเลส ให้เราสามารถรีฟิลน้ำเองได้ตลอดเวลา มันเลิศมากแก๊

สำหรับมื้อเช้าของที่นี่ เขาจะมีให้เลือกทั้งหมด 4 เซตเมนู ทั้งแบบญี่ปุ่น ประกอบด้วยข้าวสวย ปลาย่าง ผักดอง นัตโตะ, อเมริกันเบรกฟาสต์, ก๋วยเตี๋ยวไก่ เสิร์ฟพร้อมเกี๊ยวทอด, อาหารไทย จัดมาเป็นชุดข้าวแกง รวมไปถึงอาหารสำหรับเด็ก หากมาพักหลายวันก็สามารถเปลี่ยนกินสลับได้แบบไม่จำเจ เอาใจได้ทั้งคนญี่ปุ่น คนไทย และนักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ แบบเต็มสิบไปเลย

WHERE TO VISIT IN KYOTO

01 Ninen-zaka and Sannen-zaka

เพื่อให้สมกับเป็นเมืองมรดกโลก โลเคชั่นแรกเราก็ขอมาเช็กอินที่เขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรมฮิกาชิยาม่ากันสักหน่อย บนเส้นทางราว ๆ 5 กิโลเมตร ขนาบข้างไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะจนถึงไทโช มีผลงานของศิลปินสไตล์โบราณ ร้านค้าขายขนม ขายของที่ระลึก สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เรียงมาตั้งแต่ทิศเหนือจรดใต้ ไล่จากวัดโชเร็น, สวนสาธารณะมารุยามะ ไปจนถึง ศาลเจ้าโยซากะและวัดคิโยมิสึ พร้อมทั้งคาเฟ่สมัยใหม่ที่ตั้งเนียนไปกับย่านเก่านี้ได้อย่างลงตัว ชนิดที่ว่าใช้เวลาถ่ายรูปได้เป็นชั่วโมง ๆ จนเม็มแทบเต็มเลยทีเดียว

ส่วนจุดเช็กอินนัมเบอร์วันของย่าน ฮอตฮิตติดลมบน เราขอยกให้กับ มุมถนนเก่าแก่ที่ทอดยาวเป็นเส้นนำสายตาสู่หอคอย Yasaka เจดีย์ 5 ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง  มีความสูงถึง 46 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของวัด Hokan-ji ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนเกียวโตจะได้เป็นเมืองหลวงซะอีก วัดมีการสร้างและบูรณะใหม่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังคงมีเสน่ห์และมนต์ขลังของความโบร่ำโบราณอยู่มิคลาย ถือเป็นไอคอนิกของเมืองที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ 

02 Kinkakuji Temple

สวมบทบาทเป็นอิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา ตัวการ์ตูนยอดฮิตวัยเด็ก ที่คอยแก้ปัญหามากมายด้วยความฉลาดแบบมีกึ๋น พร้อมงานวาดวัดวา หมู่บ้าน ปราสาทเสมือนสถานที่จริง ซึ่งที่วัด Kinkakuji แห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งโลเคชั่นหลักของเรื่องเช่นกัน สำหรับคนไทยเราจะคุ้นเคยกันในชื่อ ‘วัดทอง หรือ วัดสวนกวาง’ เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยของโชกุนอะชิคากะ หลังสละราชสมบัติ และเมื่อท่านเสียชีวิตก็ได้อุทิศที่นี่ให้กับวัดนิกายเซนจนถึงปัจจุบัน แค่ความสง่างามของโครงสร้างวัดที่เคลือบด้วยสีทองก็ทำเราสตั๊นแล้ว ยิ่งห้อมล้อมไปด้วยความเขียวที่ขับให้วัดโดดเด่น พร้อมเงาสะท้อนน้ำยามแสงตกกระทบก็ยิ่งทำให้ที่นี่สวยงามราวภาพวาด จึงไม่แปลกใจเลยที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลก

03 Kamo River

พักสายตาจากงานออกแบบแสนประณีต สู่วิวสายน้ำแห่งฤดูร้อนที่ ‘Kamo River’ ที่พักใจยามเย็นของเหล่าคนเมืองที่มีมานานกว่า 1,200 ปี และยังเป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมมากมาย อาทิ การแสดงคาบูกิที่ปลายแม่น้ำ ร่องรอยดาบซามูไรเมื่อปี 1864 ฯลฯ  ด้วยขนาดที่ค่อนข้างกว้างใหญ่และเป็นเส้นยาว จึงมีทัศนียภาพที่หลากหลาย ทั้งวิวเลียบอาคารเก่าแก่ วิวที่ขนาบข้างด้วยต้นไม้ใบหญ้า มีการปูพื้นทางเดินอย่างดี ให้ผู้คนมาทำนานากิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นปิกนิก ออกกำลังกาย เด็ก ๆ มาศึกษาธรรมชาติ นั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน โดยความงามของแม่น้ำแห่งนี้จะเปลี่ยนไปทั้ง 4 ฤดู และแน่นอนว่าเป็นอีกจุดยอดนิยมสำหรับการชมซากุระในช่วงใบไม้ผลิด้วยเช่นกัน

04 Arashiyama Bamboo Grove

หากใครยังไม่เคยมาที่นี่ก็เหมือนว่ายังไม่เคยมาเกียวโต กับป่าไผ่อันโด่งดัง ‘Arashiyama Bamboo Grove’ ที่ครองใจคนไปทั่วโลก ลงรูปเช็กอินเมื่อไหร่ก็เรียกยอดไลก์ได้กระจัดกระจาย เป็นทางเดินยาวกว่า 500 เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไผ่หลายร้อยหลายพันต้น ขึ้นสูงใหญ่ชูช่อปกคลุมจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า สร้างร่มเงาตลอดทาง แม้จะมาในช่วงบ่ายที่แดดค่อนข้างจัดก็ยังเดินได้สบาย ๆ ส่วนสายมูก็ไม่ควรพลาดที่จะแวะไปขอพรที่ศาลเจ้า Nonomiya ขึ้นชื่อเรื่องการให้พรด้านความรัก และคู่ครอง พร้อมทั้งช็อปปิงของที่ระลึกที่ทำจากไม้ไผ่อย่าง ตะกร้า ถ้วย กล่องใส่เครื่องประดับ ฯลฯ ติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านก็น่ารักไม่เบา 

และบริเวณใกล้ ๆ กันยังมีจุดท่องเที่ยวอีกเยอะมาก จนสามารถจัดทัวร์เป็นแบบ walking-tour ได้เลย ทั้งสวนลิง, วัด Tenryuji, Kimono Forest และจุดที่เรามาหยุดพักคือตรงสะพาน Togetsukyo สะพานข้ามแม่น้ำคัตสึระ ซึ่งสะพานดั้งเดิมนั้นสร้างเมื่อปี 836 ส่วนรูปแบบปัจจุบันสร้างใหม่เมื่อปี 1934 เป็นการเพิ่มเติมโครงด้านล่างให้แข็งแรงขึ้น แต่ด้านบนยังคงเป็นไม้แบบดั้งเดิม ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่นี่ยังเป็นจุด Photogenic ในฝันของเหล่าตากล้องอีกด้วย

05 Nishi Honganji Temple

สปอตต่อมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ วัด Nishi Honganji ที่สร้างมานานกว่า 430 ปี เคียงคู่มากับวัด Higashi Honganji ที่ถูกสร้างหลังจากนั้น 11 ปี ทั้งสองถือเป็นศูนย์กลางของนิกายโจโด นิกายที่คนญี่ปุ่นนิยมนับถือ ซึ่งตอนนี้มีวัดในประเทศมากกว่า 10,000 แห่ง และนอกญี่ปุ่นอีกกว่า 200 แห่ง ภายในวัดเต็มไปด้วยกลุ่มอาคารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม เช่น Goeido Hall สร้างเพื่ออุทิศให้ท่านชินรัน ผู้ก่อตั้งลัทธิ, Ornate Shoro หรือหอระฆังออริจินัลอายุ 400 กว่าปี ที่เอามาจากวัดโคคิวจิ ทางตะวันตกของเกียวโต, Amidado Hall ที่ตั้งของพระพุทธรูป Amida  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของนิกาย หากลองไปอ่านคำสอนของเขาจะแตกต่างจากพุทธบ้านเรามาก ๆ แต่ก็ยังเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนได้อย่างดีเช่นกัน

บริเวณรอบ ๆ ยังมีไฮไลต์อีกมากมายให้เราได้แวะชมความยิ่งใหญ่สวยงาม บางจุดถึงกับต้องแอบกรี๊ดในใจ ทั้งโคมไฟยักษ์ใหญ่ แผ่นสลักลงรักปิดทองก็คือวิจิตรบรรจงมาก จนอยากตีตัวเองเพราะมาตั้ง 5 ครั้ง แต่ทำไมไม่เคยมาที่นี่ และอีกหนึ่งอาคารที่ไม่ควรพลาดคือ Hiunkaku Pavilion ศาลาสีเงินและสีทอง ติด 1 ใน 3 ศาลาที่สวยที่สุดในเกียวโต ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งปัจจุบันเราสามารถชมได้เพียงด้านนอกเท่านั้น

06 唐丸

ปรับลุคนายแบบสุดคูล ให้กลายเป็นหนุ่มคราฟต์แสนละมุนกันบ้างที่ ‘Kyo Karakami Experience’ สถานที่สืบสานงานสลักไม้พิมพ์บล็อกแบบดั้งเดิม ที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,000 ปี เวลาที่เราไปเที่ยวสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่นักสะสมหวงแหนมาก ๆ คือลายภาพบนประตูบานเลื่อนที่มีลวดลายหรูหรา บางส่วนเป็นงานวาดจากศิลปิน และบางส่วนก็เป็นงานที่ทำจาก เคียว คาราคามินี่ล่ะ เทคนิคนี้ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน ซึ่งมาทำการฑูตสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งช่วงนั้นกระดาษถือเป็นของหายาก จึงใช้เฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้น ต่อมาเมื่อเกียวโตได้เป็นเมืองหลวงและเริ่มมีโรงงานผลิตกระดาษ จึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น จนถึงปัจจุบันที่ยังใช้เทคนิคนี้กับงานวอลเปเปอร์ โคมไฟ และงานศิลปะในการตกแต่งอยู่ 

นอกจากเขาจะขายสมุด แท่นพิมพ์ไม้สลัก กระดาษของที่ระลึกต่าง ๆ แล้ว เขายังมีงานเวิร์กช็อปให้เราได้ทำ ไม่ว่าจะเป็น การผลิตการ์ดด้วย Karakami, การพิมพ์ภาพบนกระดาษแผ่นใหญ่, ทำ Stamp book ฯลฯ จากที่ลองทำ มันเป็นการพิมพ์ภาพที่มีมิติมากกว่าแบบพิมพ์ดิจิตอลมาก ๆ ยิ่งเป็นชิ้นงานที่ทำด้วยตัวเอง ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันสวยและมีคุณค่ากว่าการ์ดทั่ว ๆ ไปเยอะเลย

WHERE TO EAT

01 Soba-no-Mi Yoshimura

สำหรับคนที่ต้องการสร้างทริปนี้ให้มีฟีลลิ่งดั้งเดิมในทุกมิติ เราขอแนะนำให้มาที่ร้าน ‘Soba-no-Mi Yoshimura’ จัดหนัก ๆ กันสักมื้อ เพราะที่นี่เป็นร้านโซบะแบบดั้งเดิม ที่ใช้วัตถุดิบหลักเป็นแป้งบัควีท ทำจากเมล็ดโซบะ ซึ่งก่อนเสิร์ฟเขาก็จะมีโชว์ทำเส้น ให้เห็นกันจะจะไปเลยว่าทำเส้นสดแบบวันต่อวันจริง ๆ ส่วนบรรยากาศร้านเขาจะดูเคร่งขรึมสไตล์ร้านในตำนานเลย ตั้งแต่ด้านหน้าที่เป็นอาคารสมัยเอโดะ พร้อมป้ายไม้สีดำใหญ่โต ภายในจะใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลเข้มสลับอ่อน จัดวางโต๊ะกั้นฉากให้ความเป็นส่วนตัว

ในส่วนของอาหารก็จะออกแนวผู้มากรากดี เสิร์ฟเป็นถาดอย่างยิ่งใหญ่ มีให้เลือกทั้งแบบโซบะร้อนและเย็น เราสั่งเป็นเซตเทมปุระ แค่มองด้วยตาเนื้อก็รับรู้ถึงการคัดสรรวัตถุดิบอย่างดี ทั้งกุ้งที่เด้งหวาน ผักสดใหม่ ชุบมาในแป้งเทมปุระสร้างความกรอบละมุนไม่ทิ่มปาก ส่วนเส้นโซบะจะมีความกรึบกว่าเส้นที่ทำจากแป้งสาลี พร้อมกลิ่นหอมโซบะอันเป็นเอกลักษณ์ กินกับซุปรสชาติเค็มหวานสไตล์ญี่ปุ่นแล้วอร่อยลงตัวสุด ๆ ถือเป็นอีกร้าน The must! ที่ต้องมาในเกียวโตจริง ๆ

02 Amairo Cafe Taiyaki

ฮัลโหลววว.. ร้านนี้ขอโบกมือเรียกเหล่าแฟนคลับไทยากิ ขนมสอดไส้รูปปลาแสนคิวท์ ที่ร้านนี้จะทำทรงออกมาได้กลมกว่าปกติ ‘Amairo Cafe Taiyaki’ คาเฟ่เล็ก ๆ ที่แอบอยู่ในซอกซอย ส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วบริเวณ เปิดประตูเข้าไปจะเจอกับบาร์รับออเดอร์และที่ทำกาแฟ มีเพียงที่นั่งเป็นเคาน์เตอร์บาร์เล็ก ๆ ให้บริการ พร้อมมุมขายของกระจุกกระจิก น่าหยิบน่าสอย มาดูที่เมนูเขาจะมีทั้งเมนู coffee, non-coffee และไทยากิ มีไส้ให้เลือกตั้งแต่ ถั่วแดง คัสตาร์ด ออรินัลมิกซ์ที่รวมทั้งสองไส้เข้าด้วยกัน เสิร์ฟมาแบบร้อน ๆ กัดไปเจอความเหนียวนุ่ม หอมฟุ้งของแป้งอบอวลไปทั่วจมูก จากนั้นเป็นไส้เนื้อหนุบหนับอัดแน่นอยู่ภายใน กินตัดกับอเมริกาโน่เย็นรสขมอ่อน ๆ แล้ว เข้ากั๊นเข้ากัน

03 Soi Gaeng (ソイ·ギャン)

ต่อมาเป็นร้านที่คนไทยอย่างฉันแสนภาคภูมิใจ ‘Soi Gaeng’ หรืออ่านว่าซอยแกง จัดเสิร์ฟอาหารไทยสูตรต้นตำรับ โดยเชฟเลย์ กิติชัย เชฟผู้มากประสบการณ์ด้านอาหารไทยจากเครือดุสิต มีทั้งเมนูอาหารจานเดียว เซตอาหารกลางวัน และมื้อเย็น มาครบทั้งแกง พะแนง คอหมูย่าง ปอเปี๊ยะ เสือร้องไห้ ที่สำคัญเขาใช้ข้าวสวยไทยเสิร์ฟร้อน ๆ มีของหวาน อาทิ บัวลอย ทับทิมกรอบ สูตรทำเอง เรียกว่ากินปุ๊บ หายคิดถึงไทยไปอีกนาน หรือจะพาเพื่อนชาวญี่ปุ่นมาลิ้มรส ความออริจินัลไทยเทสต์ที่นี่ก็สมมง แถมยังมีโปรเครื่องดื่มสำหรับสังสรรค์ยามเย็นด้วย และแม้ไม่ได้พักที่ ASAI ก็สามารถมาใช้บริการได้เช่นกัน 

นอกจากนี้ยังจะได้ดื่มด่ำกับโชว์พิเศษ เป็นการแสดงความงามผ่านท่วงท่า การร่ายรำของไมโกะ ที่หาชมยากมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีราคาค่าเข้าชมที่สูง แต่ที่โรงแรมเราสามารถหาชมได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย โดยการแสดงจะมีขึ้นทุกวันเสาร์ที่ 1 และ 3 ของเดือน เวลา 14:30-16:30 น. เริ่มแสดงเต้นรำ 15:00 และ 15:30 น. เป็น 2 รอบ รอบละ 3-5 นาที หากใครจะมาชมก็ลองเช็กวันและเวลากันให้ดี ๆ นะฮะ

04 Kyoryori Yamano (local restaurant)

อีกร้านอาหารญี่ปุ่นแสนโลคอล ที่ดูเผิน ๆ ออกจะเก่าแก่และธรรมดาทั่วไป แต่บอกเลยว่าเป็นสถานที่ที่เปิดโลกอาหารได้แบบตาวาวมาก ๆ เพราะทุกองค์ประกอบนั้นอัดแน่นไปด้วยความคลาสสิก ความพิถีพิถันแบบฉบับเกียวโต โดยเฉพาะเมนูอาหารเน้นทำด้วยวิถีดั้งเดิม ใช้วัตถุดิบที่หาได้จากในท้องถิ่นเท่านั้น พร้อมกับสาเกระดับ selected ที่ช่วยชูรสชาติอาหารให้พรีเมียมได้อีกหลายเท่าตัว

โดยเมนูของร้านมีทั้งอาหารจานเดี่ยว ซูชิ เบนโตะ ชาบูหม้อร้อน แต่ที่ต้องลองเลยคือเซตอาหารไคเซกิ ที่ทางร้านจะค่อย ๆ เสิร์ฟออกมาเป็นคอร์ส ๆ มีให้เลือกตั้งแต่ 8 จานจนถึง 12 จานเลยทีเดียว โดยเมนูก็จะเปลี่ยนไปตามวัตถุดิบที่หาได้ตามฤดูกาล และของที่หาได้ในวันนั้น ๆ โดยจะไม่มีการใช้ของค้าง หรือเก็บฟรีซไว้เด็ดขาด ราคาจึงค่อนข้างสูง อยู่ระหว่าง 2,600 – 7,900 เยน แต่รับรองว่าเป็นประสบการณ์การกินที่เลอค่าแบบไม่มีวันลืมแน่นอน

05 WEEKENDERS COFFEE TOMINOKOJI

ร้านที่เหมาะแก่การมาใช้เวลาอย่างเนิบช้า รอกาแฟแบบ Slow-bar กันสักกรุบ กับร้าน coffee stand ตัวมัมที่เปิดมานานหลายปี ‘WEEKENDERS COFFEE TOMINOKOJI’ เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีโต๊ะให้นั่ง แต่ด้านหน้ายังพอมีที่ให้นั่งรอ ซึ่งก็มีลูกค้าเดินเข้าออกอยู่เรื่อย ๆ นั่นคงเป็นเพราะความโดดเด่นด้านกาแฟ ที่มีเมล็ดให้เลือกหลากหลาย ทั้งเมล็ดเอธิโอเปีย เปรู โคลอมเบีย เคนย่า กัวเตมาลา โดยส่วนใหญ่จะให้เทสต์โน้ตออก Floral, Fruity แต่ก็ยังมีบางตัวที่มีความ Chocolat, Nutty ให้เลือกเช่นกัน เราลองสั่งคั่วอ่อนมาทำแบบดริป ซึ่งมีความเปรี้ยวสดชื่นขั้นสุด บอดี้ไม่หนัก แต่หอมกลิ่นกาแฟมาก ๆ ถือว่าให้สามผ่านสำหรับคอกาแฟเลย

06 Oku-no-Niwa 良彌 奥の庭

หลบมุมจากความวุ่นวายของย่าน Arashiyama ด้วยการเปิดประตู เข้ามาลิ้มรสอาหารสูตรต้นตำหรับกันที่ร้าน ‘Oku-no-Niwa’ ที่ภายในตกแต่งให้มีความคลาสสิกและโมเดิร์นผสมกันอยู่อย่างแยบยล ด้วยวัสดุไม้-ไม้ไผ่ ให้รู้สึกเป็นมิตรและผ่อนคลาย เมนูเด็ดของร้านจะเป็นอูด้งที่เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปดาชิ เบสซุปที่ทำจากการต้มปลาแห้ง สาหร่าย ฯลฯ จนมีความหวานเค็มหอมละมุน กินกับเทมปุระ และเต้าหู้ยุโดฟุ เต้าหู้ทำสดใหม่ตุ๋นกับน้ำซุป จนมีทั้งรสชาติและความนุ่มหยุ่น ไม่มีกลิ่นเต้าหู้กวนใจ และยังเป็นร้านที่เหมาะกับคนแพ้ง่าย เพราะอาหารเขามีทั้งวีแกน ปราศจากกลูเตน แถมยังเป็นฮาลาลอีกด้วย

07 Nishiki Market

หากที่แนะนำมายังไม่สาแก่ใจ เราขอผายมือทุกท่านให้มาที่ ‘Nishiki Market’ เปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำของชาวเกียวโตที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปี ถ้านับจากร้านแรก ๆ ที่เปิดก็ราว ๆ 700 ปีมาแล้ว แม้ความยาวถนนจะอยู่ที่ 400 เมตร แต่ก็อัดแน่นไปด้วยร้านค้ามากกว่า 100 ร้าน เราจะเห็นพ่อค้าแม่ค้าออกมาเรียกลูกค้าอย่างจอแจดูมีชีวิตชีวา ละลานตาไปด้วยของสด ของแห้ง อาหารทะเล ผลไม้ ฯลฯ สายกินก็สามารถซื้อของกินฟีลสตรีทฟู้ดได้จุบจิบ หรือจะจัดเป็นมื้อใหญ่ก็มีร้านข้าวหน้าต่าง ๆ ร้านซูชิให้กินกันแบบหนำใจ 

และนี่คือหน้าตาอาหารที่นักชิมอย่างเราไปสรรหามาลอง ทั้งอาหารทะเลอย่างกุ้งย่างที่แกะเปลือกให้เรียบร้อย ฟีลแฟนเวอร์ ความสดเรียกว่าหวานฉ่ำน้ำตาไหล อร่อยจนไม่ต้องจิ้ม เกี๊ยวซ่าทอดหอม ๆ ไส้ฉ่ำ ๆ ปลาหมึกเสียบไม้รสหวานเค็มกินเพลิน ตบท้ายด้วย ซอฟต์เสิร์ฟมัทฉะหวานน้อย กลิ่นมัทฉะฟุ้งสมกับที่เป็นเมืองปลูกชาเขียวดั้งเดิมของประเทศ และยังมีอีกมากมายที่เราอยากลอง แต่อิ่มเกินจะกินต่อ ไหนใครเจออะไรเด็ด.. ลองมาแนะนำกันหน่อยซิ

สำหรับชาวเมืองเหนือที่อยากเที่ยวโซนคันไซตามรอยทริปเกียวโตของเรา ก็สามารถกดเข้าไปดูไฟล์ทบินตรงเชียงใหม่-คันไซ จาก Vietjet กันได้ ถือเป็นอีกสายการบินราคาดี ให้เราประหยัดค่าใช้จ่าย แล้วไปปล่อยใจจอยกับการเที่ยวได้เต็มที่ โดยเค้ามี 4 ไฟลท์/สัปดาห์ CNX – KIX 23:00 – 06:00 (อ พฤ ส อา) และ KIX – CNX 08:30 – 13:05 (จ พ ศ อา) อย่าลืมจองเป็น Deluxe ละ ได้ทั้งน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม เลือกที่นั่งได้ดั่งใจ แถมเปลี่ยนไฟล์ทบินได้ด้วย ถ้ากลัวหิวเขาก็มีอาหารอุ่นร้อน ชานมไข่มุกราคาดีให้เลือกล่วงหน้าด้วยเช่นกัน

การเดินทางตลอดทั้งทริป 3 วัน 2 คืน ในเกียวโตครั้งนี้ เราใช้บริการแบบของ White Glove Delivery and Services บริการรถรับ-ส่ง จากสนามบินคันไซถึงที่พัก รวมถึงตะลุยเที่ยวในโลเคชั่นต่าง ๆ แบบ Luxury บอกเลยว่าเขาดูแลดี สะดวกสบาย มีมาตรฐานการบริการ แถมรถที่ใช้รับส่งมีการตรวจเช็คอย่างดี อุ่นใจสุด ๆ เอาเป็นว่าหากเพื่อน ๆ สนใจลองติดต่อไปโดยตรงได้เลย ไม่ว่าจะกรุ๊ปเล็กกรุ๊ปใหญ่เขาจัดให้ได้หมดเลย

แม้จะเป็นเกียวโตครั้งที่ 5 ของเรา แต่ทุกอย่างก็ทำให้เราตื่นเต้นได้เหมือนครั้งแรกที่มาเลย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายอันเก่าแก่ของความเป็นเมืองมรดกโลกที่ยังเข้มข้น ร้านอาหาร คาเฟ่น่ารัก ๆ ให้ค้นหาตามซอกหลืบ สถานที่ท่องเที่ยวมากมายพร้อมรายละเอียดให้ได้ละเมียดเลียดชม ยิ่งมีโรงแรมสัญชาติไทย ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจแบบ Feel like home อย่าง ASAI ก็ยิ่งทำให้เราอยากกลับมาอีกหลาย ๆ ครั้ง ใครที่กำลังแพลนมาเกียวโต เราแนะนำให้จองที่นี่เลย นอกจากจะหลับสบายแล้ว ยังมีสตาฟคอยแนะนำ ช่วยให้เที่ยวได้สนุกขึ้นอีกหลายร้อยเท่าเลยจริง ๆ_