รีวิวญี่ปุ่น :: A Road Trip to Yamaguchi – Discover the South of the Chugoku Region 🇯🇵

นอกจากความสะอาด ความเป็นระเบียบ และความใจดีของผู้คน ก็คงเป็นความสวยงามของแต่ละภูมิภาคในฤดูที่แตกต่างกันนี่แหละ ที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้เราเดินทางกลับมาเที่ยวญี่ปุ่นได้เรื่อย ๆ โดยไม่รู้เบื่อ … ครั้งนี้ก็ถึงเวลาของการโร้ดทริปลัดเลาะสู่โซนใต้สุดของภูมิภาคชูโกกุ ( Chūgoku ) เพื่อไปรับไอทะเลคิ้วท์ ๆ สไตล์นิฮงจิน สูดกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า ดื่มด่ำบรรยากาศชนบทใน Yamaguchi จังหวัดไม่แมสใกล้ ๆ ฟุกุโอกะ ที่ซึ่งถูกกล่าวขานถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันน่าค้นหา ตลอดจนของกินกิมมิกปังประจำเมือง คาเฟ่น่ารัก งานคราฟต์น่าเลิฟ เรียกได้ว่าเป็นอีกจังหวัดที่ครบเครื่องจนเราสามารถลิสต์ที่เที่ยวสุดปังมาให้ปักหมุดตามแบบนอนสต็อปมากถึง 20 พิกัด

รีวิวนี้บอกเลยว่าทุกคนจะต้องร้องว้าวไปกับความสดใหม่ และประสบการณ์ในญี่ปุ่นที่ไม่เคยเห็นในจังหวัดไหน ๆ อย่างแน่นอน

001 Kintaikyo Bridge

เรามาทำความรู้จักกับจังหวัดนี้ด้วยการเช็กอินตามแลนด์มาร์กในประวัติศาสตร์กันก่อนเลย เริ่มที่ ‘Kintaikyo Bridge’ 1 ใน 3 สุดยอดสะพานไม้โบราณของญี่ปุ่น (top 3 arch bridges) เป็นสะพานโค้ง 5 โค้งวางต่อกัน ความกว้าง 5 เมตร ความยาวราว ๆ 193.3 เมตร ค้ำจุนด้วยเสาหินอันแข็งแกร่ง พาดทับแม่น้ำนิชิกิอย่างสง่าผ่าเผย สะพานนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1673 ในช่วง 195 ปีแรกถูกสงวนไว้ให้ใช้เฉพาะขุนนางและข้าราชบริพารเท่านั้น ต่อมาในปี 1868 จึงเปิดให้ชาวบ้านได้สัญจร หลังจากนั้นก็ฝ่าฟันมรสุม ถูกพายุพัดทำลายจึงต้องสร้างใหม่อยู่หลายครั้ง จนมาถึงสะพานเวอร์ชันปัจจุบันซึ่งเขาพยายามสร้างให้มีรูปทรงคล้ายเดิมมากที่สุด เพิ่มเติมคือความแข็งแรงและการดูแลที่ดีขึ้นนั่นเอง 

ความสวยงามของสะพานแห่งนี้ยังถูกพูดถึงในลักษณะที่เที่ยวได้ทุกฤดูกาล เพราะรอบ ๆ อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ พร้อมภูเขาสลับทับซ้อนเป็นฉากหลัง อย่างเรามาช่วงเร่ิมเข้าสู่ซัมเมอร์ก็จะกรีนสุดใจ สดชื่นสุดจิต เพราะมีลมเย็น ๆ พัดมาปะทะผิวหน้าผิวกายแทบจะตลอดเวลา ลองจินตนาการช่วงฤดูใบไม้ร่วงสิว่าสีมันจะสลับแดง เหลือง ส้มอบอุ่นจึ้งตาขนาดไหน และช่วงใบไม้ผลิที่ซากุระพร้อมใจกันเพิ่มความละมุนให้สะพานที่เคร่งครึ้มแห่งนี้ดูอ่อนหวานมันจะชวนหลงใหลน่ามองมากแค่ไหน

ใกล้ ๆ กันทั้งสองฝั่งสะพานยังเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ขายของกินเล่น ส่วนเมนูไฮไลต์ประจำถิ่นอันโดดเด่นต้องยกให้ซอฟต์เสิร์ฟ ความจึ้งของที่นี่คือเขามีให้เลือกมากกว่า 100 รสชาติ ตอบโจทย์ทั้งสายครีมมี่ สายช็อกโกแลต สายผลไม้ ได้เลือกกินจนต้องฉีดอินซูลินกันไปข้าง ร้านยอดนิยมที่คนชอบแวะเวียนมาได้แก่ Shokujidokoro Musashi กับ Sasakiya Kojiro Shoten แต่ทางเราเลือกฝากความฟินไว้ที่ PERORISTO ペロリスト เพราะเหลือบไปเห็นเมนูซิกเนเจอร์  White Snake Soft Serve ( 白へびソフト ) นอกจากจะได้ความหวานสดชื่นแล้ว ยังได้ความเป็นสิริมงคลจากสีคุกกี้ที่แปะมาให้ด้วย สีเหลือง=เรื่องเงิน ชมพู=ความรัก และ แดง=แคล้วคลาดจากอันตราย

002 Iwakuni Castle & Kikko Park

มาต่อกันที่สปอตเรียกเสียงกรี๊ดของเมืองอิวาคูนิ ‘Kikko Park’ สวนสาธารณะที่มีบ่อน้ำล้อมรอบ สร้างไวบ์การนั่งชิลได้แบบยืนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นที่นั่งใต้ร่มเงา พุ่มไม้ดอกไม้ประดับปลูกแซมกับต้นไม้ใหญ่ แต่ก่อนบริเวณนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยของครอบครัว Kikkawa (ผู้สร้างสะพาน Kintaikyo Bridge) และครอบครัวผู้ติดตาม จึงเป็นถิ่นฐานของเหล่าซามูไร ปัจจุบันอาคารเก่าแก่เหล่านี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของสะสมโบราณ ตั้งแต่ของใช้ งานศิลปะ โบราณสถานสำคัญ และศาลเจ้าให้เราได้ explore กันแบบฟิน ๆ

เดินเลาะชมนกชมไม้มาเรื่อย ๆ จนถึงสถานีกระเช้าลอยฟ้าที่ขึ้นตรงดิ่งไปยัง ‘Iwakuni Castle’ แหล่งรวมเรื่องราว หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของเมือง ที่นี่สร้างโดย Kikkawa Hiroie ในสมัยเอโดะราว ๆ 416 ปีที่แล้ว แต่หลังจากสร้างเสร็จเพียง 7 ปี โชกุนในสมัยนั้นได้ออกนโนบาย ‘1 จังหวัด 1 ปราสาท’ ทำให้ต้องทุบทำลายปราสาทหลังนี้ลง จนเมื่อ 62 ปีก่อนเขาได้สร้างปราสาทขึ้นใหม่ให้ชิดริมเขามากกว่าเดิม เพื่อให้เบื้องล่างมองเห็นปราสาทได้ชัดเจน ใด ๆ คือชั้นบนของปราสาทสามารถชมวิวได้ถนัดตาขึ้น จากจุดนี้เราจะเห็นเลยว่าเมืองนี้ถูกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติสุดตระการตา พร้อมโค้งน้ำยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเห็นจากปราสาทเมืองไหนมาก่อน

003 Town of White Walls

สถานที่ที่จะทำให้เราเห็นภาพอดีตอันรุ่งโรจน์อย่างชัดเจน ‘Town of White Walls’ ย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสไตล์เอโดะ ฉาบทับด้วยสีขาว มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘Shirakebe no Machinami’ พิกัดนี้ตั้งอยู่ที่ Yanai เมืองติดทะเลทางตะวันออกของจังหวัดยามากุจิ ถือเป็นท่าเดินเรือสำคัญเมื่อครั้งอดีตตั้งแต่สมัยโคฟุง (ศตวรรษที่ 5-6) จนถึงยุคเอโดะ มีการค้าขายเจริญรุ่งเรือง ถูกขนานนามเป็นโกดังของตระกูลอิวาคูนินั่นเอง กิมมิกน่ารัก ๆ จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูใบไม้ร่วง ที่ทั้งเมืองจะห้อยโคมไฟปลาทองสีสันสดใสเต็มสองข้างทาง อีกทั้งในทุก ๆ วันที่ 13 สิงหาคมจะมี ‘Goldfish Lantern Festival’ เทศกาลที่ตระการตาไปด้วยโคมไฟปลาทองจำนวน 4,000 โคม ประหนึ่งตู้ปลายักษ์ที่ส่องประกายยามค่ำคืน 

นอกจากมีงาน Festival อันยิ่งใหญ่แล้ว เขายังมีงานคราฟต์ปลาทองให้เราได้ร่วมทำด้วย ที่ร้าน Yanai-nishigura อาคารสูงใหญ่อดีตโกดังซอสถั่วเหลืองก่อนเจ้าของจะบริจาคให้แก่เมืองและกลายเป็นศูนย์การท่องเที่ยว จัดทำทั้งแกลลอรีและสถานที่เวิร์กช็อป เราจะได้เรียนรู้การทำโคมไฟปลาทองแบบคลาสสิก ด้วยการวาดลวดลายโดยพู่กัน ประกอบโครงไม้จนเป็นรูปเป็นร่างคาวาอีอย่างที่เห็น 

ใครที่ชอบเที่ยวเมืองเก่าเคล้าความเงียบสงบ ขอบอกเลยว่าที่นี่เหมาะสมเป็นอย่างมาก ปริมาณนักท่องเที่ยวค่อนข้างบางตา มีร้านรวงเปิดอยู่พอประมาณ อย่างร้าน ‘Kanroshoyu-shiryokan (Sagawa-shoyu-gura)’ โรงงานซอสถั่วเหลืองที่เปิดมานานกว่า 200 ปี พร้อมเอกสารการค้าโบราณที่เก็บไว้อย่างดีให้เราได้ชม ที่นี่เราจะเห็นทุกขั้นตอนการผลิตซีอิ๊วแบบดั้งเดิม พร้อมกับช็อปสินค้าท้องถิ่น แน่นอนว่าต้องมีซอสถั่วเหลืองแบบต่าง ๆ เครื่องปรุงอีกมากมาย แต่ที่ชอบที่สุดคือของกระจุกกระจิกสไตล์นิปปอน ที่ทุกชิ้นมีโลโก้โคมปลาทองรูปแบบแตกต่างกันประกอบไว้อย่างน่ารัก 

004 Unrinji (Cat Temple)

ดูปลาเสร็จเรามาดูแมวพร้อมมูเตลูไปพร้อม ๆ กันต่อที่ ‘Unrinji (Cat Temple)’ วัดพุทธนิกาย Rinzai Zen เป็นที่รู้จักกันในชื่อเนโกะเดระ แปลตรงตัวว่าวัดแมว จากตำนานเมื่อ 400 ปีก่อน สมัยที่ไดเมียว เทรุโมโตะ โมริผู้นำจากเมืองฮิโรชิมา ย้ายมาอยู่ที่วัดนี้แล้วเสียชีวิตลง นอกจากผู้ติดตามที่ฆ่าตัวตายตามพิธีกรรมญี่ปุ่นแล้ว แมวที่เขาเลี้ยงก็ได้กัดลิ้นตายตามไปด้วย หลังจากนั้นผู้คนก็มักจะได้ยินเสียงแมวร้องอย่างโดดเดี่ยวอยู่ทุกค่ำคืน จนพระภิกษุมาทำพิธีทางศาสนาให้ เสียงร้องนั้นจึงหยุดลง 

ปัจจุบันวัด Unrinji มีรูปปั้นแมวมากกว่า 600 ตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นมีงานแกะสลักไม้ฝีมือทาคาโอะ ฮายาชิ ศิลปินเลื่อยไฟฟ้าอันโด่งดังของเมืองยามากุจิ มีงานภาพประกอบจากสตูดิโออนิเมะ ภาพวาดมังงะธีมแมวที่ศิลปินมามอบให้อีกมากมาย แต่ละชิ้นดูครีเอตจนเหมือนมาเดินงานศิลปะเสียด้วยซ้ำ มองในแง่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ยังเป็นที่ประดิษฐานของ Jizo รูปปั้นพระโพธิสัตว์มากกว่า 800 องค์ ที่ถูกพบในหมู่บ้านใกล้เคียงอีกด้วย 

005 Hagi Castle Town

พิกัดต่อมาคือเมืองแห่งผู้กล้าที่ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ‘Hagi Castle Town’ หมู่บ้านรอบปราสาทฮากิที่เรียกว่าเป็นพื้นที่ของชนชั้นสูง เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของระบบศักดินายุคเก่าแก่ ความเจริญนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 420 ปีก่อน ที่เทรุโมโตะ โมริได้สร้างปราสาทฮากิขึ้น เวลาผ่านไปพื้นที่รอบ ๆ ก็กลายเป็นที่อยู่ของซามูไรชั้นสูง และพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ซึ่งบางคนมีบทบาทสำคัญในยุคฟื้นฟูเมจิ (ญี่ปุ่นยุคใหม่) บางอาคารจัดเป็นที่พักสำหรับผู้มาเยี่ยมเยือนราชวงศ์ บรรยากาศโดยรอบคือดีงาม ดูขลังและอบอวลไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล เห็นแล้วน่าใส่กิโมโนมาเดินถ่ายรูปเล่นสุด ๆ เลย

เหมือนเป็นเมืองคนดีผีคุ้มเพราะนอกจากจะร่ำรวยแล้ว ที่นี่ยังรอดพ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่มากมายในยุคเอโดะ ฉะนั้นทุกอย่างที่เราเห็นในนี้เป็นเมืองเก่า 100 เปอร์เซ็นต์ และยังถูกอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม โดยอาคารแทบทุกหลังถูกทาด้วยสีขาวสะอาดสะอ้าน ตัดกับกระเบื้องสีเทา งานไม้โทนเข้มดูเคร่งขรึม แต่ละหลังมีเรื่องเล่าที่ต่างกันไป อาทิ Kikuya Residence :  บ้านของตระกูลซามูไรที่ผันตัวมาเป็นพ่อค้าที่มีผลงานโดดเด่นในเมือง พร้อมโครงสร้างบ้านที่ล้ำสมัยที่สุดในเวลานั้น / Kubota Residence : บ้านคนรวยแบบตะโกนจากการทำธุรกิจกิโมโนและสาเก จนมีบ้านขนาดใหญ่ปูด้วยเสื่อทาทามิหลายห้อง ปัจจุบันจัดแสดงเครื่องมือ โคมไฟเก่าแก่สมัยเอโดะ / Hagi Museum : พิพิธภัณฑ์ที่มีแผนที่และภาพสามมิติของเมืองรอบ ๆ ปราสาทฮากิ พร้อมข้อมูลของพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีจุดน่าสนใจอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น Kumaya Art Museum / Hagiyaki Pottery Museum / Enseiji Temple / Kikugahama Beach เที่ยวครึ่งวันได้แบบฟิน ๆ 

ท่ามกลางความเงียบสงบและสถาปัตยกรรมที่เหมือนพาย้อนเวลา เขายังมีคาเฟ่ ร้านขนมน่ารัก ๆ ที่เข้ากับยุคสมัยมาเติมสีสันให้กับเราด้วย ส่วนร้านที่ขอยกขึ้นหิ้งร้านแรก ‘Hagi Pudding’ พุดดิ้งนุ่มนวลจนแทบละลายในปาก มาพร้อมความหวานที่ตัดกับกาแฟดำได้อย่างลงตัว ข้าง ๆ กันยังมีร้าน ‘HAGI JYOKAMACHI BEER’ วางขายคราฟต์เบียร์โลคัลให้สายคอทองแดงได้ลิ้มลอง ส่วนใครเน้นเก็บแต้มซอฟต์เสิร์ฟรสต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่นต้องลองรสส้มแมนดาริน ผลไม้ขึ้นชื่อของเมือง ส่วนสายช็อปอย่าเพิ่งหน้างอ เพราะเขาก็มีร้านค้าขายของน่ารัก งานยูนีคให้เราได้ละลายทรัพย์ สอยของฝาก ฉ่ำ ๆ เช่นกัน 

006 Hofu Tenmangu Shrine

ศาลเจ้าอายุพันปี ที่ถูกขนานนามว่าเป็นที่ประดิษฐานของหนึ่งในสามเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่  ‘Hofu Tenmangu Shrine’ แห่งนี้ สร้างขึ้นโดยขุนนางแห่งแคว้นโชชู เพื่อเป็นสถานที่ทำสมาธิพัฒนาด้านจิตใจ เป็นวัดแรกที่อุทิศให้แก่ Sugawara no Michizane เทพเจ้าแห่งการเรียนรู้ ที่นอกจากจะขอพรด้านการเรียน การสอบได้แล้ว ผู้คนยังนิยมมาขอพรเรื่องครอบครัว สุขภาพ และการค้าขายอีกด้วย ว่ากันว่าให้มาลูบรูปปั้น ‘Dream Cow’ แล้วความปราถนานั้นจะเป็นจริง ส่วนทางนี้ขอจึ้งกับบรรยากาศศาลเจ้าก่อน สวยตั้งแต่บันไดหินทางขึ้นที่มีต้นไม้อายุหลายพันปีแผ่กิ่งก้านปกคลุม มีดอกไม้จัดวางเพิ่มสีสันอย่างงดงาม มองไปตรงกลางเจอศาลเจ้าสีแดงทรงสง่า ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยเกินเรื่องเกินราวไปมาก 

เมื่อเดินเข้าสู่ด้านในเราสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบทั้งทางด้านกายภาพรอบ ๆ และภายในจิตใจ เพราะมีต้นไม้อยู่แทบทุกจุด พร้อมบรรดางานหินแกะสลักที่ดูเย็นตา หลังจากที่เราขึ้นไปขอพรหน้าแท่นศาลเจ้าแล้ว ก็เดินมาเสี่ยงโชคตามจุดขายเครื่องรางกันสักหน่อย ซึ่งแต่ละจุดจะมีเซียมซีที่มีกิมมิกน่ารักต่างกันไป เราชอบตรง Haniwa Mikuji เซียมซีตุ๊กตาดินเผาโบราณที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าของที่นี่ รูปทรงคล้ายไข่มีหน้าตา แขนโค้งออกมาอย่างน่ารักน่าเก็บสะสมสุด ๆ ส่วนคำทำนายจะอยู่ที่ใต้ตูดน้อง ๆ นะ

007 Rurikoji Temple

วัดประจำจังหวัดยามากุจิที่ใครมาเป็นครั้งแรกจะต้องยัดใส่แพลน เพราะมีดีกรีเป็นถึงสมบัติของชาติ มีไอคอนเป็นเจดีย์ห้าชั้นอันโอ่อ่า ด้านหน้าเป็นบ่อน้ำ พร้อมภูเขาเป็นฉากหลัง ถ่ายรูปออกมาแล้วงามดั่งภาพศิลปะ ที่นี่ถือเป็น 1 ใน 3 เจดีย์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และอยู่มายาวนานกว่า 582 ปี เรียกว่ามีอายุมากกว่าตัววัดเสียอีก นอกจากนี้ยังมีสวนโคซันให้เราได้เดินเล่น พร้อมอาคารพิพิธภัณฑ์ โรงน้ำชาของบุคคลในประวัติศาสตร์ หลุมฝังศพของครอบครัวโมริ ผู้ปกครองภูมิภาคนี้ในสมัยเอโดะ เรียกว่าเดินไปตรงไหนก็เจอแต่เรื่องราวให้ได้รับรู้เต็มไปหมด ( ตอนนี้เจดีย์ได้ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ คาดว่าจะเปิดให้ชมอีกครั้งช่วงมีนาคม 2026 นะจ๊ะ )

008 Yudaonsen Station 湯田温泉駅

ขอยกให้เป็นสปอตที่ถ่ายรูปได้กร้าวใจจนกลายเป็นอีกมุมโปรดของทริป ‘Yuda onsen’ เมืองแช่ออนเซ็นสุดป็อป มีจุดเช็กอินแสนคิวต์กับรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกหน้าตาจิ้มลิ้มสูง 8 เมตร ตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟ กับตำนานที่เล่าขานกันว่ามีสุนัขจิ้งจอกได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บที่เท้า หลังจากได้จุ่มเท้าแช่ในออนเซ็น ทำให้น้ำพุร้อนของที่นี่เต็มไปด้วยน้ำมนต์รักษาของจิ้งจอก จนกลายเป็นเทศกาล ‘Yuda Onsen White fox Festival’ ที่จัดทุกต้นเดือนเมษายนของทุกปี เพื่อเป็นการขอบคุณสุนัขจิ้งจอก โดยในงานผู้คนจะใส่ชุดสีขาว สวมหน้ากากจิ้งจอก ถือคบเพลิงแล้วออกมาเดินในเวลากลางคืน อ๊ะ..แล้วที่สถานียังมีบ่อแช่น้ำร้อนให้เราแช่เท้าฟรีด้วย ถูกใจสายออนเซ็นแน่นอน 

009 Motonosumi Inari Shrine

อีกสปอตสุดว้าวที่ผสมผสานความเชื่อและธรรมชาติได้อย่างสวยงาม ‘Motonosumi Inari Shrine’ ศาลเจ้าในแห่งเมือง Nagato ที่ตั้งหันหน้าออกสู่ทะเล ที่นี่สร้างขึ้นเมื่อ 69 ปีก่อน จากตำนานเรื่องเล่าว่ามีชาวประมงท่านหนึ่งฝันเห็นเทพปรากฏในร่างจิ้งจอกขาว เป็นเทพที่แยกตัวมาจากศาลเจ้า Taikodani Inari จังหวัดชิมาเนะ มาบอกให้สร้างศาลเจ้าบริเวณนี้ ซึ่งความแปลกประหลาดอยู่ที่การวางตู้บริจาค โดยทั่วไปจะตั้งโต๊ะวางไว้ข้างเสา แต่ที่นี่ติดกล่องไว้ด้านบนเลยจ้า เชื่อว่าใครสามารถโยนเหรียญลงกล่องได้ ความปรารถนาที่ขอไว้จะเป็นจริง 

ส่วนไฮไลต์ของที่นี่อยู่ตรงเสาโทริอิที่วางเรียง 123 ต้นไปตามเนินเขาเป็นความยาวกว่า 100 เมตร เสาสีแดงฉานตัดกับสีน้ำเงินของมหาสมุทร และสีเขียวของป่าที่อยู่รอบ ๆ ได้อย่างโดดเด่น ว่ากันว่าหากได้เดินลอดอุโมงค์เสาโทริอิพร้อมอธิษฐานไปด้วย เทพเจ้าจะดลบันดาลให้คำขอเป็นจริง ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน การงาน ค้าขาย ความรัก การมีบุตร การเดินทาง ไปจนถึงการเรียน และยังมีคนนิยมมาขอพรเรื่องการตกปลาด้วยนะ สมกับเป็นเมืองทะเลจริง ๆ

เดินขึ้นมาจนสุดทางของเสาโทริอิ เราจะได้เทควิวแสนอลังของมหาสมุทร พร้อมปรากฏการณ์คลื่นกระทบฝั่ง Ryugu no Shiofuki (น้ำพุปราสาทมังกร) มวลน้ำที่ไปกระทบรูเล็ก ๆ ตรงหน้าผาที่สูง 1.20 เมตร จนเกิดแรงบีบอัดและดันน้ำทะเลให้พุ่งสู่อากาศสูงสุดถึง 30 เมตร เหมือนมังกรที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตามชื่อเรียกนั่นเอง แล้วรอบ ๆ นี้ยังมีร้านค้าเล็ก ๆ ของชาวบ้านรอของฝาก อาหาร ซอฟต์เสิร์ฟเย็น ๆ ให้เราได้กินคลายร้อนกันด้วย

010 Beppu Benten Pond

พาวเวอร์สปอตอันงดงามแห่งภูมิภาคชูโกกุ ‘Beppu Benten Pond’ สระน้ำอุดมด้วยแร่ธาตุ จนขึ้นชื่อเรื่องความใสเปร่งประกายสีฟ้างดงามดั่งอัญมณี แม้มีความลึกถึง 4 เมตร แต่เราก็ยังมองเห็นพื้นผิวเบื้องล่างได้อย่างถนัดตา ความน่าอัศจรรย์อีกอย่างอยู่ที่อุณหภูมิของน้ำที่จะอยู่ในระดับ 14 องศาตลอดปี คือแค่เดินเข้าไปในบริเวณนั้นก็สัมผัสถึงความเย็นสบายที่ลอยมาจากผิวนำ้ สมชื่อพาวเวอร์สปอตด้านจิตวิญญาณ เพราะแค่เอาตัวมายืนใกล้ ๆ แล้วมันสบายใจขึ้นจริง ๆ และยังมีการสำรวจแล้วว่าน้ำแร่ของเขาสามารถดื่มได้ ขึ้นท็อป 100 น้ำแร่ดีที่สุดของญี่ปุ่น จนเกิดเป็นความเชื่อว่าหากดื่มน้ำที่นี่เพียงแก้วเดียวจะมีชีวิตที่ยืนยาวอีกด้วย

011 Akiyoshido Cave

มุ่งสู่อ้อมกอดธรรมชาติที่อุทยานแห่งชาติ ‘Akiyoshido’ ที่ราบสูงที่มีหินปูนหนาแน่นที่สุดในญี่ปุ่น และหนึ่งในถ้ำหินปูนที่ใหญ่และยาวที่สุดในญี่ปุ่น ที่ราบโดยรอบจะถูกปกคลุมด้วยต้นไม้พุ่มเตี้ย ๆ ยาวสุดสายตา มีก้อนหินปูนสีขาวสั่งสมมานานกว่า 300 ล้านปี แต้มกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ ไฮไลต์เริ่มตั้งแต่ปากถ้ำที่ทำเราตื่นตาไปกับความใหญ่ของปากทางเข้า ปกคลุมด้วยต้นไม้หลากชนิด พร้อมน้ำตกที่หลั่งรินน้ำใสสีฟ้าส่องประกายออกมาไม่ขาดช่วง มีระเบียงเลาะด้านข้างให้เราเดินได้สบาย ๆ

ในถ้ำนี้จะมีความเย็นคงที่อยู่ที่ 17 องศาตลอดปี มีความยาวถึง 10.5 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ มีเส้นทางเดินสำรวจสำหรับนักท่องเที่ยวราว ๆ 1 กิโลเมตรด้วยกัน เป็นทางเดินที่สะดวกปลอดภัย จัดแสงสีได้สวยงามสมมงญี่ปุ่น โดยตลอดระยะทางเราจะพบบรรดาประติมากรรมหินงอกหินย้อยสูงใหญ่ที่สรรสร้างโดยธรรมชาติ แอ่งน้ำหินปูนขั้นบันไดหลายชั้นอันงดงาม ชมกระแสน้ำสีฟ้าโคบอลต์ไหลผ่านจากน้ำตกใต้ดิน และถ้าใครอยากได้ความเอ็กซ์ตรีมกว่านั้น เขายังมีทางเดินที่ยากและลื่นขึ้นเล็กน้อยให้เราได้พอใจเต้นอีกด้วย

012 Hana-no-umi 花の海

อีกหนึ่งกิจกรรมที่เราชอบเมื่อได้มาเยือนชนบทคือการเข้าชมฟาร์ม โดยครั้งนี้จะเป็นฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของญี่ปุ่น ‘Hana-no-umi 花の海’ ที่นี่ปลูกพืชแบบผสมผสาน สามารถสร้างผลิตผลได้ตลอดทั้งปี โซนแรกขอแนะนำให้แก่สาว ๆ ผู้ชื่นชอบดอกไม้กับสวนดอกป็อปปี้ที่แย้มบานรอเราอย่างน่ารัก ที่เพิ่งปลูกมาทดแทนดอกเนโมฟีล่าที่เริ่มร่วงโรย หลังจากนี้เมื่อเข้าหน้าร้อนแบบสุด ๆ ก็จะกลายเป็นดอกทานตะวัน แล้วก็เป็นคอสมอสที่รอต้อนรับในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั่นเอง เรียกว่ามาฤดูไหนก็สวยไม่ซ้ำกันเลย

ส่วนหนุ่มสาวนักกินขอให้เดินตรงมาที่โซนผลไม้ หยิบตะกร้ากันคนละใบแล้วก้าวเข้าสู่ดินแดนสตรอว์เบอร์รีที่กว้างใหญ่เทียบเท่าสนามฟุตบอลเลยทีเดียว เขามีกิจกรรมเก็บสตรอว์เบอร์รีในเดือน ธันวาคม – พฤษภาคม ราคาจะขึ้นอยู่กับช่วงที่ไป เริ่มตั้งแต่ 1,300 – 2,300 เยน สามารถกินได้ไม่อั้น โดยมีให้เลือกเก็บ 3 สายพันธุ์ ความสนุกอยู่ตรงเราได้เทสต์แต่ละชนิดว่ามีความหวานเปรี้ยวแตกต่างกันยังไง เอาจริง ๆ มันอร่อยทุกอันจนเลือกให้คะแนนไม่ถูกเลย ส่วนใครที่มาช่วงหน้าร้อนราว ๆ ต้นกรกฎาคม – ต้นสิงหาคม ก็สามารถมาเก็บบลูเบอร์รีกันได้ มีมากถึง 6 สายพันธุ์ เรียกว่าสายเบอร์รีคือฟินฉ่ำแน่นอน

013 Tsunoshima Bridge

วิวทะเลที่เป็นไฮไลต์เด็ดของเมืองยามากุชิเราขอยกให้ ‘Tsunoshima Bridge’ ถนนที่ทอดยาวสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่เป็นเส้นตรงยาวสุดลูกหูลูกตา เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินใหญ่กับเกาะสึโนะชิมะ ระยะทางยาว 1.7 กิโลเมตร ที่นี่เริ่มเปิดใช้เมื่อปี 2000 และ 15 ปีต่อมาก็ถูกตั้งให้เป็นหนึ่งในสะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำโฆษณา ซีรีส์ ภาพยนตร์อีกมากมาย พอมาเห็นด้วยตาเนื้อแล้ว ความสวยเป็นที่ประจักษ์จริง ยืนตะลึงและดื่มด่ำอยู่นานม๊าก 

014 Kawara-Soba Honten Otafuku

เปิดพิกัดร้านอาหารแรกด้วยเมนู Must try!! ประจำจังหวัดที่ร้าน ‘Kawara-Soba Honten Otafuku’ ซึ่งตั้งอยู่ภายใน 川棚グランドホテル เรียวกังที่ออกแบบในธีมโรงละครมีความญี่ปุ่นคลาสสิกผสานโมเดิร์นอยู่ในตัว ใช้สีเอิร์ธโทนทำให้ดูเข้ากับสวนและแมกไม้ที่ตัดแต่งไว้อย่างดี รวมไปถึงร้านอาหารที่มีบรรยากาศร่มรื่นผ่อนคลาย เหมาะแก่การดื่มด่ำกับเมนูท้องถิ่นอย่าง ‘คาราวะโซบะ’ เป็นที่สุด 

เมนูของที่ร้านมีทั้งข้าวและโซบะ เขาจัดเซตให้สำหรับกินได้ทั้งแบบหนึ่งหรือสองคน หรือจะสั่งแยกเดี่ยวเลยก็ได้ พระเอกของร้านคือ ‘คาราวาโซะบะ’ เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากทหารที่ปรุงอาหารโดยการใช้กระเบื้องมุงหลังคาเมื่อสมัยสงคราม การจัดเสิร์ฟจึงมาพร้อมกระเบื้องร้อนฉ่า(เรียกว่าคาราวะ) วางเส้นโซบะสีเขียวจากการผสมชาเขียว โปะทับด้วยเนื้อวัว ไข่ วิธีกินเราจะจุ่มเส้นโซบะลงในซุปสึยุรสกลมกล่อม ยิ่งเป็นเส้นส่วนที่สัมผัสกับกระเปื้องก็จะยิ่งเกรียมกรอบจิ้มกินยิ่งหอมอร่อยสุด ๆ ไปเลย 

015 Irori Sanzoku Kuga

อีกร้านขึ้นชื่อ สตอรีแน่น ‘Irori Sanzoku Kuga’ แปลตรงตัวว่าเตาไฟกองโจร ที่เน้นสร้างบรรยากาศให้ใกล้เคียงญี่ปุ่นดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นปราสาทยุคเอโดะสีเข้ม มีอาคารแตกย่อยออกมามากมาย อยู่ท่ามกลางแมกไม้โดยมีภูเขาสูงใหญ่ค้ำจุนอยู่ด้านหลัง มอบความสงบยามกลางวัน เมื่อเข้าสู่ค่ำคืนก็เปิดไฟ ประดับโคม เล่นใหญ่เล่นโต โดยเขาจะเปลี่ยนการตกแต่งไปตามฤดูกาลด้วย ที่นั่งส่วนใหญ่เป็นแบบกลางแจ้ง ให้ฟีลเหมือนเราเป็นนักพเนจรที่หลงมาอยู่ในที่ซ่อนของกองโจรจริง ๆ  

ส่วนอาหารฮิตติดลมบนของที่นี่คือ Bandit’s Grill ไก่เสียบไม้ย่าง หนังกรอบหอมกลิ่นถ่านแบบยืนหนึ่ง ส่วนเนื้อนุ่มจุยซ์มีรสชาติไก่แบบเต็มสิบ กินคู่กับ Bandit’s Riceball ข้าวปั้นห่อสาหร่ายชิ้นโตขนาดอยู่ท้องกำลังดี แต่ถ้าอยากเอาอิ่มแนะนำให้สั่งอุด้งเนื้อร้อน ๆ มากินคู่ด้วย จะเป็นมื้อที่เดินพุงกางอย่างแช่มชื่นเลยล่ะ

016 TAKADA COFFEE

คาเฟ่ในตำนานของญี่ปุ่นที่แท้ทรู ‘TAKADA COFFEE’ ร้านที่มาก่อนกาล เปิดก่อนที่วัฒนธรรมการดื่มกาแฟจะเริ่มเป็นที่นิยม กับอายุที่มากถึง 37 ปี ถือเป็นร้านกาแฟแห่งแรกของเมืองชิโมโนเซกิ คั่วเมล็ดกาแฟเอง ขยับขยายสาขา พัฒนาเมล็ด จนเมื่อปี 2019 ได้มาเปิดสาขาหลักในคฤหาสน์แห่งนี้นั่นเอง ที่นี่เรียกว่าเป็นบ้านซามูไรเก่าอย่างถูกต้องตั้งแต่โครงสร้างที่ทำจากไม้เนื้อสวยทนทานแข็งแรง มีประตูกระดาษกั้นระหว่างห้องและทางเดิน แบ่งที่นั่งฟีลโต๊ะและเสื่อทาทามิไว้ให้เลือก เมื่อเดินทะลุไปนอกอาคารจะพบกับสวนสวยพร้อมที่นั่งกลางแจ้ง แต่ละมุมให้ความเป็นส่วนตัวชวนผ่อนคลายสุด ๆ 

นอกจากกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว อีกเมนูที่ไม่ควรพลาดคือ Mont Blanc ที่ร้านเขามีรสชาติให้เลือกมากมายทั้งมัตจะ มันม่วง มันเทศ ที่เราสั่งคือช็อกโกแลตรสชาตินุ่มลึกหวานอ่อน ริชไปด้วยช็อกโกแลตแสนเข้มข้น กินคู่กับกาแฟคั่วเข้มดริปมาเสิร์ฟร้อน ๆ แล้วมันฟินเกิดคาด นอกจากนี้ยังมีพาร์เฟต์ พุดดิ้ง ชีสเค้ก และอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เลือกด้วยนะ

017 Tsunoshima pudding 角島プリン

สำหรับแฟนคลับพุดดิ้ง เราขอให้ลิสต์ร้าน ‘Tsunoshima pudding 角島プリン’ ไว้ในแพลนโดยด่วน ร้านพุดดิ้งในบ้านพื้นเมืองเก่าแก่หลังใหญ่ แต่เปิดขายแบบ Take away เท่านั้น ด้วยรูปทรงน่ารักเสิร์ฟมาในขวดแก้ว นอกจากเป็นขนมที่นิยมซื้อเป็นของฝากแล้ว ยังเป็นพร็อปยอดฮิตที่คนชอบซื้อไปร่วมเฟรมกับ Tsunoshima Bridge ด้วย

รสชาติพุดดิ้งของร้านมีความพิถีพิถันในการทำอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเลือกวัตถุดิบ ใช้ไข่แดงคุณภาพจนได้เนื้อแน่นเข้มข้น พร้อมความหวานอ่อนโยน นุ่มหยุ่นละลายในปาก มีให้เลือกถึง 6 รสชาติ Matcha Pudding, Chocolate Pudding, Smooth Pudding ส่วนซิกเนเจอร์จะเป็น Ultimate Melty Pudding ที่ผสมนมเยอะขึ้นจนพุดดิ้งจับตัวเป็นก้อน มอบเท็กซ์เจอร์แตกต่าง, Smooth Vanilla ใช้วานิลลา ครีมสดจำนวนมากเหมาะกับคนที่ไม่ชอบกินไข่ และ Tsunoshima Blue Pudding มีเยลลี่โซดาสีฟ้าน้ำทะเลแยกเลเยอร์กับเนื้อพุดดิ้งอย่างน่ารัก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากทะเลสึโนชิมะ แต่ละรสที่เราซื้อมาลองคืออร่อยทุกขวด ถูกใจทาสรักพุดดิ้งแน่นอน 

018 Ohmine Shuzou®︎New Brewery 大嶺酒造®︎ 新蔵

เปลี่ยนอดีตโรงเหล้าสาเกให้กลายเป็นร้านคาเฟ่แสนคูล ‘Ohmine Shuzou®︎New Brewery 大嶺酒造®︎ 新蔵’ หลังจากที่สาเกโอมิเนะได้ปิดกิจการมานานกว่า 50 ปี ตอนนี้เขาได้กลับมาเปิดอีกครั้ง ด้วยการชูเรื่องทรัพยากรท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์มาใช้อย่างคุ้มค่าเพื่อให้ได้สาเกชั้นเลิศ ที่เขาคงไว้ซึ่งความพิถีพิถัน เพิ่มเติมคือเทคโนโลยีชั้นสูง กลายเป็นสาเกพรีเมียมที่รู้จักไปทั่วโลก นอกจากนี้เขายังเปิดร้านคาเฟ่ภายในอาคารสีขาวสุดมินิมอล มีเพียงโลโก้ขาวแปะอยู่กลางตึก เดินเข้าไปเราจะเจอกับเคาน์เตอร์บาร์ปูนเนื้อเรียบ มีความโมเดิร์นลอฟต์หน่อย ๆ ตั้งใจให้เราเห็นส่วนหนึ่งของโรงงานสาเกที่อยู่ข้าง ๆ 

เครื่องดื่มของเขามีทั้ง Coffee, Chai, Craft-Cola, Juice และ SAKE ให้เลือก 3 รส ใส่เป็นแก้วชอต หรือถ้าอยากลองให้ครบก็จัดเซต 3 ชอต 1,000 เยนได้เลย ส่วนเมนูขนมมีอยู่ 2 อย่าง ซึ่งเราสั่งมาทั้งหมด คือ Sakekasu Cheese Cake with Seasonal Sauce เมนูยอดฮิตที่เราเห็นวางประดับทุกโต๊ะ และ Sakekasu Ice Cream กินคู่กับกาแฟดำพร้อมชมวิวหมู่บ้านท่ามกลางธรรมชาติแล้วมันดีเกินเรื่องมากเลยนะจะบอกให้

019 ZERO CAFE

นัมเบอร์วันคาเฟ่ในใจสำหรับทริปนี้ต้องยกให้ ‘ZERO CAFE’ เท่านั้น!! ร้านบล็อกสี่เหลี่ยมกับโลโก้บวกลบสุดคิวต์ ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินหญ้าสีเขียว หันหน้าเผยให้เห็นวิวทะเลแบบเต็มตา โดยที่นี่มีคอนเซปต์ว่า ‘Everything comes to zero’ ต้องการเป็นสถานที่โล่ง ๆ ว่างเปล่าให้เราได้นั่งฟังเสียงคลื่น จ้องมองท้องฟ้าและน้ำทะเลสีเขียวมรกต สัมผัสสายลมเย็นและไออุ่นจากพระอาทิตย์ โดยมุ่งเน้นให้ผู้มาเยือนได้พักและทำจิตใจให้ว่างเปล่าตามคอนเซปต์นั่นเอง

จากที่ดูแล้วเขาจะเน้นขายเมนูกาแฟ และมีขนมสไตล์โฮมเมดให้เลือกเล็กน้อย โดยเฮาส์เบลนด์ของที่ร้านจะเป็นเมล็ดผสมระหว่างเอธิโอเปีย ปาปัวนิวกินี อินโดนีเซีย และบราซิล ซึ่งมีเทสต์ออกโทนนัตตี้ ช็อกโกแลต ปลายเปรี้ยวเล็กน้อย เราลองสั่งทั้งที่เป็นอเมริกาโน่เย็นคือดี ทั้งที่เป็นลาเต้ซึ่งตัวกาแฟเข้มนัวเข้ากับนมได้อย่างกลมกล่อม ยิ่งกินเข้าคู่กับคุกกี้ของร้าน เคล้ากับวิวคลื่นกระทบฝั่งของชายหาด Doigahama Beach อันเงียบสงบแล้ว ถือเป็นไวบ์ที่อยากหยุดเวลาไว้นาน ๆ เลย อ่อ.. แล้วมุมพระอาทิตย์ตกก็อยู่ตรงทะเลพอดีด้วยนะ ใครอยากชม sunset ฟิน ๆ ก็ตามมาได้เลย 

020 wahaku

โลเคชันปิดท้ายขอเอาใจสาว ๆ กันที่ร้าน ‘wahaku’ คาเฟ่และร้านขายของกระจุกกระจิกปุ๊กปิ๊กน่ารัก เปิดประตูร้านเข้ามาเราจะเจอกับโซนขายงานคราฟต์ ทั้งเฟอร์นิเจอร์งานไม้ จานชามไม้-เซรามิก งานสาน แก้วน้ำ เชิงเทียนสไตล์วินเทจ แซมด้วยเครื่องประดับเงินนิด ๆ หน่อย ๆ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากธรรมชาติ ฯลฯ คุมธีมความโฮมมี่ไปจนถึงการตกแต่งร้าน ที่เน้นใช้โทนขาว-น้ำตาล ติดผ้าคอตตอนสีขาวบังตา พริ้วไหวไปตามลมดูสบายอารมณ์ พร้อมเคาน์เตอร์คิดเงินและรับออร์เดอร์กาแฟ ขนม

ออร์เดอร์เสร็จเราเดินทะลุเข้ามาสู่โซนที่นั่ง เขาจัดวางชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้หลวม ๆ เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ออกแบบแตกต่างกันไป มีโคมไฟเล็กจิ๋วห้อยลงมาประดับแต่ละโต๊ะ ทำให้ถ่ายรูปออกมาแล้วน่ารักขึ้นสิบเท่า จัดวางของสร้างองค์ประกอบแสนเก๋ เรียกว่ากวาดตาไปทางไหนก็ลั่นชัตเตอร์ได้หมด วันนี้เราลองเป็น White Cheese Cake ที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มนวลพร้อมความหอมหวานละมุนไม่แสบคอ จิบคู่กับลาเต้เย็นที่เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูงแล้วมันอร่อยมาก ถือเป็นร้านดังของพื้นที่ที่กำลังเป็นกระแสสุด ๆ 

จบไปแล้วกับอีกจังหวัดที่มากล้นไปด้วยเสน่ห์ที่ทำเราอึ้งทึ่งไม่แพ้จังหวัดอื่น ๆ ในญี่ปุ่น หากใครเที่ยวที่ป็อป ๆ จนครบ จนคิดไม่ออกว่าจะไปไหนต่อ เราขอให้ทุกคนมาเปิดประสบการณ์ที่ยามากุชิได้เลย เมืองที่เที่ยวได้ตลอดปี ที่สำคัญคนน้อยเที่ยวง่ายไม่วุ่นวาย แต่ความสวยงามของธรรมชาติ และความสะดวกสบายทำถึงแบบตัวมัมเลยทีเดียว