รีวิวอิตาลี :: 12 Best Places To Visit In Italy For Summer Trip “Milano – Parma – Verona” 🇮🇹

Ciao~ ทริปนี้ขอมาชวนทุกคนบินตรงลัดฟ้ากับการบินไทยไปดื่มด่ำซัมเมอร์ไวป์กันที่ Milano เมืองแห่งสีสันอันเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวในอดีต ที่กำลังบรรเลงท่วงทำนองบอกเล่าความคลาสิกอันลุ่มลึก โปรยเสน่ห์อันชวนพิศมัย ผ่านสถาปัตยกรรมแสนวิจิตรงดงาม ตำนานศิลปะของเหล่าศิลปินแห่งเรเนเซองต์ และผู้คนเริศ ๆ ที่เดินเฉิดฉายสมมงตำนานเมืองแห่งแฟชั่นระดับโลก แน่นอนว่าตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน ที่จะได้อิ่มเอมใจในมิลานแล้ว เรายังจะพาเพื่อน ๆ ออกไปนอนปราสาทเก่าแก่จริตเจ้าหญิง ช้อปปิ้งเอาท์เล็ตระดับโลก ชิมเจลาโต้และส่องหนุ่มอิตาลีตาสวยในย่านเมืองเก่ากันที่ Parma ก่อนจะไปปิดจบทริปแบบฟินนาเล่ด้วยการนั่งไขว่ห้างจิบไวน์แดงท่ามกลางไร่องุ่นกันที่เมือง Verona และทั้งหมด 12 โลเคชั่น จาก 3 เมืองที่เราคัดสรรมาในครั้งนี้ บอกเลยว่าควรค่าแก่การปักหมุด จองตั๋ว แล้วตามรอยไปเที่ยวสุด ๆ

ภาพจำของเมืองสุด Iconic ด้านแฟชั่นระดับโลกบนเส้นถนนอันหรูหราที่เป็นต้นกำเนิดให้กับแบรนด์ชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Bottega Veneta, Versace, Ferragamo, PRADA, Miu Miu, Valentino ไปจนถึง Dolce & Gabbana แน่นอนว่าก่อนจะมาเป็นตัวแม่ระดับตำนาน! มิลานเองก็มีประวัติที่น่าสนใจไม่แพ้ความเก๋ไก๋ที่ถูกถ่ายทอดบนรันเวย์ เพราะที่นี่ได้เริ่มกลายมาเป็นศูนย์กลางของของคริสตจักร และเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ 4 ทำให้ช่วงนั้นมีสถาปัตยกรรมสวย ๆ อลังกาลเกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ‘Duomo di Milano’ สุดโอ่อ่าที่เป็นภาพจำของมิลาน ก่อนจะตกอยู่ใต้การปกครองของสเปนและออสเตรียอยู่นาน จนท้ายที่สุดอิตาลีก็ได้รวมรัฐ และแต่งตั้งให้มิลานเป็นเมืองหลวงในปี 1802 (ก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นโรมในภายหลัง) เรียกได้ว่าร่ำรวยด้วยวัฒนธรรมและความอลังกาลของศิลปะที่อยู่ในสายเลือดและทุกย่างก้าวของคนอิตาลี มิลานจึงเป็นหนึ่งในเมืองอันมีเสน่ห์ที่เราอยากชวนไปเที่ยวและเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

การเดินทางไปเที่ยวมิลานก็ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด แค่มี Visa ทุกอย่างหลังจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของ Thai Airways ได้เลย เพราะล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา การบินไทยได้กลับมาบินตรงลงมิลานทุกวัน ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 787-9 ดรีมไลเนอร์ จำนวน 298 ที่นั่ง แถมไฟล์ทดีงามตั้งแต่ขาไปยันขากลับ

รายละเอียดไฟล์ทบิน ::
TG940 Suvarnabhumi Airport (BKK) – Milan Malpensa Airport (MXP) : 00.40 – 07.35
TG941 Milan Malpensa Airport (MXP) – Suvarnabhumi Airport (BKK) : 14.05 – 05.55

โดยตลอดระยะเวลาบินกว่า 10 ชั่วโมง เราจะได้รับการบริการสุดประทับใจตามมาตรฐานสายการบิน Full Service ไม่ว่าเป็นที่นั่งสบายปรับเอนได้สะดวก พร้อมจอเอนเตอร์เทนเมนต์ที่มีหนังใหม่ เพลงดี ให้เลือกเสพกันแบบเพลิน ๆ อาหารอร่อยกินคู่กับไวน์ขึ้นชื่อจากอิตาลี

ส่วนการเดินทางในมิลานก็ไม่ยาก เราสามารถเช็กเส้นทางแต่ละพิกัดผ่าน Google Map แล้วนั่ง Metro หรือแทรม เที่ยวรอบเมืองได้เลย ที่ชอบมาก ๆ คือมิลานยังเป็นเหมือนฮับที่สามารถเดินทางออกไปเที่ยวต่อยังเมื่องอื่น ๆ อย่าง Parma, Lake Como หรือ Florence ได้ง่ายอีกด้วย

01 Duomo di Milano

ปักหมุดกันที่โลเคชั่นแรก ‘Duomo di Milano’ ที่หากไม่ได้มาเยือนด้วยตาของตัวเองก็เหมือนมาไม่ถึงมิลาน มหาวิหารสุดยิ่งใหญ่อลังการสไตล์กอธิกที่ติดอันดับท็อปของโลกเรื่องความยิ่งใหญ่ เรียกอีกชื่อว่า ‘Milan Cathedral’ (The Mother Church of the Diocese) ตั้งอยู่กลางจัตุรัส Piazza del Doumo ย่านเศรษฐกิจและท่องเที่ยวที่อยู่มาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 และใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 579 ปี! เกิดแล้วตายหลายสิบรอบวิหารนี่ก็น่าจะจะสร้างเสร็จพอดี ฮ่าา

สำหรับมุมถ่ายรูปสุดปัง คือมุมด้านหน้าวิหารที่ถ่ายย้อนขึ้นไปจะเห็นถึงความโออ่าน่าเกรงขาม แต่ถ้าใครอยากให้รูปมีกิมมิกเก๋ ๆ แนะนำให้ขึ้นไปยืนข้าง ๆ สิงโตด้านหน้าวิหารก็จะได้มุมที่สวยแปลกตาไปอีกแบบ ส่วนใครที่จอง Ticket Online ออนไลน์มาก็สามารถขึ้นไปถ่ายรูปบน Rooftop Terrace จะได้เห็นอีกมุมนึงของมิลานที่สวยไม่แพ้กัน (เสียดายช่วงที่เราไปบางส่วนเค้ากำลังก่อสร้างพอดี) ทั้งหมดนี่ถ้าใครขยันตื่นหน่อย ก็แนะนำให้มาตั้งแต่ช่วง 06.30 เป็นต้นไป เพราะวิวสวยทั้งหมดจะเป็นของเราคนเดียวแบบที่ไม่ต้องแย่งใคร

เพราะความใหญ่โต .. เราจึงสามารถมองเห็นตัววิหารโดดเด่นมาแต่ไกล ด้วยยอดวิหารแบบกอธิคที่เอกลักษณ์คือสูงชะลุดขึ้นไปด้านบนกว่า 157 เมตร กินพื้นที่ 11,700 ตารางเมตร เรียกได้ว่าใหญ่เกือบที่สุดในโลก เป็นรองเพียงมหาวิหารในกรุงโรมเท่านั้น หากค่อย ๆ ดู … ด้านนอกเราจะเห็นสถาปัตยกรรมแสนละเอียดสวยงาม โดยเฉพาะยอดแหลมกว่า 135 ยอดของวิหาร และรูปปั้นของเหล่านักบุญ ทวยเทพ การ์กอยล์ ยักษ์ ฯลฯ ไฮไลต์ที่ต้องสังเกตกันให้ดีคือยอดตรงกลางที่เป็น ‘Madunina’ รูปปั้นพระแม่มารีทำด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่

ในขณะที่ด้านในจะพบกับความโออ่าของตัวโบสถ์ที่สูงจนต้องแหงนหน้ามองจนสุดคอ และความวิจิตรบรรจงของงานประติมากรรมหินอ่อนต่าง ๆ กว่า 3,000 รูป ที่ศิลปินใส่ใจในทุกรายละเอียด ซูมชัดเห็นดีเทลถึงเส้นเลือด มัดกล้ามเนื้อ และความพริ้วไหวของผ้าและเส้นผมที่เป็นธรรมชาติราวกับว่ารูปปั้นนั้นมีชีวิต รวมถึงจุดที่ทุกคนจะต้องประทับใจอย่างการประดับประดาด้วยกระจกสี Stained Glass ขนาดใหญ่ ที่แสดงเรื่องราวในศาสนาคริสต์อย่างปราญีตและสวยงามที่สุดยามโดนแสงจากด้านนอกเข้ามา ทำให้มหาวิหารนี้สวยงามน่าค้นหามากขึ้นไปอีก

02 Galleria Vittorio Emanuele II 

ใกล้กันที่พลาดไม่ได้คืออาคารโออ่าหลังคาโดมที่สวยสะดุดตาอย่าง ‘Galleria Vittorio Emanuele II’ ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลีและของโลก ที่ใช้คำว่าสวยได้เปลืองมาก ด้วยสไตล์การออกแบบศิลปะ Arched โดย Giuseppe Mengoni สถาปนิกชื่อดังในยุคนั้น โดยใช้เวลาสร้างยาวนานกว่า 12 ปี และเปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1877 หรือ 145 ปีที่แล้ว คนมิลานเค้าเก๋มาเป็นร้อยกว่าปีแล้วนะคะเนี่ย เรื่องช้อปปิ้งไว้ในมิลานได้เลย

ความโดดเด่นคืออาคาร 4 ชั้น ซึ่งเป็นที่ของช็อปแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลกต่าง ๆ ทั้ง GUCCI, PRADA, Louis Vuitton, CHANEL และที่พักระดับ 5 ดาวไว้คอยต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองแบบติดแกรม นอกจากซุ้มประตูสไตล์ Arched ที่สวยตราตรึงแล้ว ยังประดับตกแต่งด้วยงานแกะสลักทุกมุมเสา ประตูหน้าต่างทุกบาน แต่งแต้มสีสันด้วยกระเบื้องโมเสกที่พื้น และโดมกระจกครอบทอดยาวไปตามทาง ทำให้ที่นี่สวยกระจ่างตาในเวลากลางวัน และสวยมีเสน่ห์แบบโรแมนติกในยามค่ำคืน ที่อยากให้สังเกตคือ แต่ละมุมอาคารจะมีภาพเพนต์โบราณสุดหรูหรา เป็นภาพตราสัญลักษณ์ของเมืองหลวงทั้ง 3 ของอิตาลีอีกด้วย ส่วนใครที่สงสัยถึงที่มาของชื่อ ‘Emanuele’ นั่นก็คือชื่อของพระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 2 กษัตริย์องค์แรกของอิตาลีนั่นเอง

เมื่อพูดถึงอิตาลี ของหวานขึ้นชื่อชูชื่นชูใจก็ต้องเป็นเจลาโตเนื้อเจ้มจ้น ทางเราขอเลือกชิมที่ร้านระดับตำนาน Ristorante Savini ร้านอาหารที่เปิดมานานกว่า 155 ปี หน้าร้านหาไม่ยาก อยู่ตรงข้ามกับ PRADA นี่เอง โดยเขาแบ่งโซนทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์ริมทางเดิน มีทั้งเมนูอาหารสุดหรูแบบฉบับอิตาเลียนแท้ ๆ หรือจะแวะซื้อเจลาโตแบบเราก็ได้ เราเลือกชิมรสช็อกโกแลตแสนเข้มข้น เท็กเจอร์หนุบหนับหอมกลมกล่อมมาก อร่อยจนน้ำตาไหลเลย

หรือถ้าใครมองหาของกินเล่นกรุบกริบก่อนจะไปจัดหนัก ขอแนะนำให้เดินทะลุออกมาที่ร้าน Luini กับเมนู  Panzerotti ขนมปังฟีลเหมือนพิซซ่าทอด อาหารพื้นเมืองที่มีมานานกว่าร้อยปี ลักษณะเป็นแป้งหนานุ่มสอดไส้มะเขือเทศและมอสเซอเรลล่าชีส ก้อนขนาดเท่ากำปั้นเอาลงไปทอด ซึ่งเป็นสูตรลับเฉพาะของเจ้าของร้าน Giuseppina Luini นำสูตรนี้มาจาก Puglia เมืองทางตอนใต้ของอิตาลีเข้าสู่มิลาน เปิดเป็นร้าน Luini ได้ 70 กว่าปีมาแล้ว โดยได้รับการรีวิวว่าอร่อยตาแตก จนคนมายืนรอต่อคิวยาวเหยียดแทบตลอดเวลาเลย

03 Palazzo Reale di Milano

ด้วยความที่มหาวิหาร และ Galleria Vittorio ตั้งอยู่บนจัตุรัส Piazza del Doumo ย่านเศรษฐกิจและท่องเที่ยวที่อยู่มาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 ย่านนี้ก็ครึกครึ้นสมฐานะ ตลอดเส้นทางเราจะเห็นรูปปั้นโบราณ ตึกทรงสวยมรดกตกทอดจากยุคเก่าจากทั่วสารทิศ และบรรยากาศของนักท่องเที่ยว และผู้คนที่ออกมาทำกิจกรรม เช่น การแสดงดนตรีเปิดหมวก คนนั่งจิบกาแฟในช่วงซัมเมอร์ หนุ่ม ๆ สาว ๆ หน้าตาดีกับ Outfit Look ที่หลุดออกมาจากนิตยสาร อีกหนึ่งกิจกรรมของสายแฟที่มาถึงมิลานแล้วต้องชมคือ Exhibition หรือ Museum เก๋ ๆ ใจกลางเมือง ที่มิลานเค้าก็หมุนเวียนจัดนิทรรศการมาให้ชมกันตลอดทั้งปีที่ ‘Palazzo Reale di Milano’ (สามารถเช็กล่วงหน้าได้เลยว่าช่วงไหน จัดงานอะไรบ้างจะได้ไม่พลาด) 

ช่วงที่เราไปเค้ากำลังจัดแสดง ‘From The Heart to The Hands’ ของแบรนด์ Dolce & Gabbana พอดิบพอดี ในส่วนของนิทรรศการจัดแสดงเรื่องราว แรงบันดาลใจ และโชว์ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ต้นกำเนิด ย้อนรอยไปถึงกระบวนการสร้างสรรค์ชุดที่ไม่ธรรมดาของ Domenico Dolce และ Stefano Gabbana ที่เห็นดีเทลของแต่ละชุดจนต้องยกมือทาบอกว่าตาแตก! ประหนึ่งยกชุดเครื่องเพชรมาไว้บนเสื้อผ้า

04 Hotel NH Milano Touring

ขอแจกพิกัดที่พักใจกลางเมืองมิลานที่ ‘NH Collection Milano Touring’ โรงแรม 4 ดาวในเครือ NH ที่เราไว้ใจเรื่องความสะอาด ปลอดภัย และการบริการที่ประทับใจ ทำเลดีงามและเดินทางง่ายสะดวกสบายสุด ๆ เพราะอยู่ใกล้สถานี Turati and Repubblica ไปเที่ยวไหนต่อก็ง่าย แถมดีไซน์ห้องเค้าจะเรียบง่ายสบายตา แบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วน สามารถวางกระเป๋าใบใหญ่ได้แบบเหลือ ๆ ที่ถูกใจก็เพราะอาหารเช้าเริ่ดและหลากหลาย ชาวเอเชียแบบเราเลยเลิฟมาก กินอิ่มนอนหลับสบาย ก็พร้อมเติมพลังแล้วออกเดินทางไปเช็กอินจุดต่อไปได้เลย

📍www.nh-hotels.com/en/hotel/nh-collection-milano-touring

05 Vertigo, Nhow Milan

อีกหนึ่งสปอตเช็กอินในมิลาน สำหรับใครที่มาเยือนถึงเมืองแห่งแฟชั่นและศิลปะ เราขอชวนขึ้นดาดฟ้าไปหาที่นั่งชิลชมวิวสวย ๆ แบบมุมสูงของมิลานกันบ้าง อย่าลืมแวะมาที่ ‘Vertigo, Nhow Milan’ บาร์เก๋ ๆ ที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม Nhow Milan ที่แค่ทางเข้าล็อบบี้โรงแรมก็แสนเก๋ เพราะเค้าตกแต่งมาในคอนเซ็ปต์งานอาร์ตแบบป๊อป ๆ ให้ชมงานศิลปะกันทั่วทุกจุดของโรงแรมแบบไม่มีเบื่อ

พอกดลิฟต์ขึ้นมาชั้นบนสุดก็ต้องว้าวกับวิว Rooftop ที่มี Pool Bar สีสันสดใสรอให้เราได้เอาเท้าจุ่มน้ำมองดูวิวสวย ๆ ของตึกรามบ้านช่องสุดคลาสสิกของมิลาน ไปพร้อมกับเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่มีให้เลือกมากมายทั้งค็อกเทล ม็อกเทล Appetizer กรุบกริบไปจนถึงเมนูอิ่มท้องให้สั่งมาฉลองกันแบบสนุก ๆ จนต้องยกนิยามให้สามคำ ‘วิวดี ถ่ายรูปสวย อาหารอร่อย’ นั่งชิลได้ยาว ๆ เพราะพระอาทิตย์ที่นี้เค้าตกตอนสองทุ่ม!

06 Cocciuto

มาถึงอิตาลีอาหารขึ้นชื่อก็ต้องยกให้ ‘พิซซ่า’ แต่ใครที่ยังไม่มีลิสต์ว่าจะแวะไปเช็กอินกินร้านไหนดีที่ว่าเด็ด เราขอชวนมาที่ ‘Cocciuto’ ร้านดังที่มีชื่อเสียงในมิลาน แถมมีหลายสาขาในเมืองให้เลือกฮอป ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น แม้จะเปิดได้ 6 ปี แต่การันตีความอร่อยด้วยรางวัลมากมาย และขึ้นเป็นร้านพิซซ่าอันดับต้น ๆ ของมิลานเลยทีเดียว ไฮไลต์คือ ร้านพิซซ่าสมัยใหม่ ที่ยังเลือกใช้วัตถุดิบ และกรรมวิธีเรียบง่ายในสไตล์อิตาลีเอาไว้ พิซซ่าที่เสิร์ฟจะมีหลายหน้าให้เลือกมากกว่าสิบ เรียกว่าเลือกกันให้จุใจ เอกลักษณ์คือแป้งที่บางเบา ขอบกรอบอร่อยเคี้ยวเพลิน นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่น ๆ แบบนานาชาติให้สั่งมาแจมได้ไม่ว่าจะเป็น แฮมเบอร์เกอร์ ทาปาส สเต็ก ปิดท้ายด้วยไวน์ดี ๆ สักขวด สายแฮงเอาต์ต้องกดเลิฟร้านนี้แน่นอน!

07 Fidenza Village

ส่วนใครที่เป็นสายช้อปตัวแม่ตัวมัม เราจะมาบอกพิกัดช้อปแบรนด์เนมสุดชิคแบบครบจบในที่เดียว แถมราคาดีงามกันที่ ‘Fidenza Village’ หนึ่งในแหล่งชอปปิ้งสุดหรูทั้ง 11 แห่ง ทั้งในยุโรปและประเทศจีนของ The Bicester Collection ที่เต็มไปด้วยหลากหลายแบรนด์ดังเรียงรายมาให้เดินเข้าช็อปนั้น ออกช็อปนี้ แถมมี Discount ส่วนลดและโปรโมชั่นฉ่ำ ๆ On Top ด้วยสิทธิพิเศษสำหรับคนที่เดินทางด้วยการบินไทยอีกเพียบ (คือคุ้มเกินจนต้องบอกต่อ) โดยการเดินทางไป Fidenza Village จะมีบริการ Shopping Express ด้วยรถบัสคันใหญ่มาจอดรับเราใกล้ ๆ โรงแรม NH Collection Milano Touring นั่งแปปเดียวก็ไปถึงด้านหน้าวิลเลจเลย สะดวกสบายทั้งขาไป-ขากลับ

ซึ่งแบรนด์ที่นี่เค้ามีหลากหลายมากกว่า 120 แบรนด์ ตั้งแต่ แบรนด์เนมชื่อดังของอิตาลีที่เรารู้จักกันดี ไปจนถึงแบรนด์ชิค ๆ สดใสวัยรุ่นชอบ อย่าง Vivienne Westwood, Paul Smith, Jil Sander, Diesel, Calvin Klein, New Balance ไปจนถึงไอเท็มเดินป่า ปีนเขาฉบับสายเที่ยว The North Face, Timberland, Salomon ฯลฯ บอกเลยว่ามีเวลา 10 วัน ก็สามารถใช้ให้หมด 10 วันที่นี่ได้ มันดีม๊ากกก

ระหว่างทางเดินเขาก็จะมีวางประติมากรรม ผลงานศิลปิน จุดถ่ายรูปสวย ๆ ให้เราได้แชะภาพ รวมถึงมีร้านอาหารและร้านเจลาโตให้พักเติมความสดชื่น งานนี้บอกเลยว่า Eat Drink Shop Repeat วนไปค่ะ แอบบอกพิกัดว่าร้าน SIGNORVINO ในวิลเลจเสิร์ฟชีสบอร์ดขึ้นชื่อของปาร์มาคือเริศสุด ๆ

ไฮไลต์ของที่นี่คือเค้าจะมี Private Suite ห้องรับรองส่วนตัวสุดหรู สำหรับคนเดินทางในชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ของการบินไทยให้ใช้บริการได้ฟรี แถมมีสไตล์ลิสต์ส่วนตัวมาช่วยเลือกมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าเก๋ ๆ ให้กับเราอีกด้วย

พิเศษจากโปรโมชั่นแต่ละร้านที่ก็ลดฉ่ำซัมเมอร์เซลล์อยู่แล้ว สมาชิก Royal Orchid Plus ที่แสดงบัตรสมาชิก และ Boarding Pass เที่ยวบินระหว่างประเทศของการบินไทย มีส่วนลด Top Up จากหน้าร้านอีก 10% แถมได้ไมล์สะสม x3 ทุก 1 ยูโรด้วยนะ มามิลานกับการบินไทยดูแลครบจบทุกโมเมนต์จริง ๆ คุ้มสุดดดด รายละเอียดโปรโมชั่นเพิ่มเติม ลองไปส่องกันพลาง ๆ shorturl.at/xS9xi

08 Museo Ferrari Maranello

พิกัดนี้ขอพาไปอินไซด์อีกหนึ่งแบรนด์ดังระดับโลกที่มาจากอิตาลีอย่าง เฟอร์รารี เจ้าแห่งความเร็วและดีไซน์สุดคูล ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ 1929 ที่นี่คือ ‘Ferrari Museum’ ณ บ้านเกิดเมือง Maranello เมืองที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของทีมรถแข่งเฟอร์รารี หรือ Scuderia Ferrari ซึ่งเป็นทีมแข่งรถฟอร์มูลาวันที่โด่งดัง ความเจ๋งคือเราจะได้ชมดีไซน์ และเครื่องยนต์เอกลักษของรถเฟอร์รารีที่หายากจากทั่วโลก ตั้งแต่ดีไซน์รถคันแรก Ferrari 125 Sport สุดวินเทจ ไปจนถึงดีไซน์สุดซิ่งติดแกรม และรถแข่ง FORMULA 1 แบบใกล้ชิดยิ่งกว่าติดขอบสนาม ที่ไปกวาดรางวัลมาอย่างมากมายในสนามแข่งระดับโลก เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินชื่อนักแข่งอย่าง Richard Mille, Charles Leclerc และ Carlos Sainz มาก่อนแน่นอน

ตั้งแต่ปี ค.ศ.1946 มาจนถึงปัจจุบัน เฟอร์รารีผลิตเครื่องยนต์ไปแล้วมากกว่า 160 แบบ และได้ผลิตรถสปอร์ตแบบต่าง ๆ ออกจำหน่ายมากมายในตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 60,000 คัน ซึ่งถือว่าน้อยมากในตลาดรถยนต์ แต่ประสบความสำเร็จจนเป็นแบรนด์รถอันดับต้น ๆ ของโลกได้ ใครที่เป็นแฟนเฟอร์รารีต้องตื่นตาตื่นใจไปกับสุดยอดรถหรูที่มาพร้อมแฟชั่น แต่คลาสสิกตลอดกาลเหมือนกันกับเราอย่างแน่นอนน

09 Relais Roncolo 1888

ความคลาสสิกของการมาเยือนอิตาลียังไม่หมดลงเท่านี้ เพราะเราจะตบเท้าเข้าไปเยือนไร่ไวน์และโรงทำบัลซามิกเก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดในอิตาลีกัน! เพราะหลากหลายอาหารและวัตถุดิบชื่อดังที่ฮอตฮิตไปทั่วโลก ก็ถือกำเนิดขึ้นในเมืองต่าง ๆ จากประเทศอิตาลี เลยอยากให้ทุกคนมาให้เห็นกับตา และชิมด้วยปากตัวเอง โดย ‘Relais Roncolo 1888’ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาระหว่างเมืองปาร์มา และเมืองเรจจิโอเอมีเลีย ซึ่งเดิมเป็นที่พักส่วนตัวของตระกูลขุนนางมาก่อน และปัจจุบันเปิดเป็นพิกัดพักผ่อนของคนโลคอลและนักท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ไร่ไวน์ กิจกรรมชิมไวน์และบัลซามิกรสเลิศ ไปจนถึงคลาสเรียนทำอาหารสนุก ๆ

แวะชมไวน์และบัลซามิกที่เก่าแก่ที่สุดกันไปแล้ว ก็อย่าลืมแวะทานอาหารกันที่ ‘Ristorante Limonaia’ ร้านอาหารบรรยากาศดีในเรือนกระจกด้านหน้า ที่มองออกไปเห็นเนินเขา Matildic ที่เขียวขจี พร้อมชิมอาหารสไตล์เอมีเลียนสมัยใหม่แบบ Full Course ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับไวน์และบัลซามิกของแทร่ ให้ลิ้มรสสัมผัสความอร่อยแบบเต็ม ๆ กัน

10 Parma Old Town

ไหน ๆ ก็แวะมาช้อปปิ้งที่ Fidrenza และเยือนบ้านเกิดของ Ferrari ถึง Maranello แล้ว เราอยากให้แวะมาเที่ยวที่ปาร์มา เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากมิลานนัก ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งเหมือนขับรถไปจิบกาแฟในสุขุมวิท โดยเฉพาะโซนเมืองเก่าหรือจตุรัสเมือง ที่บรรยากาศดี เดินเที่ยวชมสถาปัตยกรรมได้แบบชิล ๆ โดยจุดที่น่าสนใจของเมืองต้องยกให้ Parma Cathedal, Baptistery Palazzo Della Pilotta หรือลาน Piazza Garibaldi ที่มีแกลลอรีงานอาร์ต สวนสาธารณะสีเขียวชอุ่ม และจุดถ่ายรูปสวย ๆ ให้เช็กอินแวะโพสท่าเก๋ ๆ ได้แบบเพลิน ๆ

สายกินพลาดไม่ได้ที่จะแวะชิมอาหารอร่อย ๆ เพราะนี่คือเมืองต้นกำเนิดปาร์ม่าแฮม และพาร์เมซานชีสที่ฮอตฮิตไปทั่วโลก ส่วนสายช้อปก็อย่าลืมแวะซื้อแฮม ชีสอร่อย ๆ ของที่ระลึกกระจุกกระจิกติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านด้วยละ

11 Castello di Tabiano

ได้เวลามาเช็กอินนอนปราสาทเก่าแก่แบบจริตเจ้าหญิงแล้ว ใครที่อยากมีประสบการณ์พักผ่อนที่น่าจดจำในอิตาลี เราแนะนำให้ลองมาพักในรูปแบบปราสาทดูสักครั้ง ปราสาทที่ว่าไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ แต่เป็นปราสาทจริง ๆ ในยุคกลางของประวัติศาสตร์! หรือช่วงศตวรรษ 11 และครอบครองโดยครอบครัว Corazza มานานกว่า 200 ปี

‘Castello di Tabiano’ เป็นปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในชานเมืองของปาร์มา ผ่านเรื่องราวร้อนหนาวรวมถึงสงครามมาอย่างยาวนาน ก่อนที่ครอบครัว Corazza รุ่นปัจจุบันจะปรับเปลี่ยนรีโนเวทบางส่วนให้เป็นโรงแรม โดยใช้โครงสร้างแบบเดิม ๆ มาเปลี่ยนเป็นห้องพักสุดคลาสสิกให้เราได้พักผ่อนในบรรยากาศที่ชวนฝัน ข้าวของเครื่องใช้ เตียงนอนสุดคลาสสิก และเลเอาต์ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละห้องทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นแขกที่มาเยือนในยุคนั้นจริง ๆ

ที่ประทับใจคือวิวกว้างสุดสายตาของทิวเขาที่ตัดสลับกับบ้านหลังเล็กหลังน้อย โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว สามารถมองเห็นเทือกเขาแอลป์จากที่พักได้เลย ทำให้ที่นี่กลายเป็นหมุดหมายของคู่รักที่มาจัดพิธีแต่งงานสุดโรแมนติกกันอย่างมากมาย ออ แม้จะมาในฤดูร้อนแบบเรา วิวภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ก็ทำให้รู้สึกสบายตา ผ่อนคลายได้มาก ๆ เช่นกัน

ความพิเศษยังไม่หมด นอกจากประสบการณ์นอนพักในปราสาทที่เลิศไม่ไหว เค้ายังเปิดทัวร์เล็ก ๆ ให้เราได้เข้าไปชมปราสาทหลังใหญ่(ที่สุด) ที่ด้านในเก็บรักษาของทุกชิ้นไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งวอลเปเปอร์บนผนังห้องนั่งเล่นที่ปิดทองดั้งเดิมจากปลายปี 1980 รูปถ่ายของบรรพบุรุษ ห้องอาหารที่ตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังแบบเดียวกับที่ Leonardo da Vinci ทำไว้ที่ Castello Sforzesco ในมิลาน ใครที่สนใจก็สามารถจองเข้ามาเยี่ยมชมปราสาทนี้เป็นกรุ๊บได้เช่นกันบนเว็บไซต์ www.castelloditabiano.com

12 Allegrini Winery

ตลอดทั้งทริปที่เราสังเกตเห็น … หนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะอาหารของชาวอิตาลีคือชีสกับไวน์ และที่อิตาลีก็นับว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นและทำไวน์ที่ดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เพราะงั้นโลเคชันปิดทริปสุดฟินครั้งนี้เราขอพาทุกคนมาชิมไวน์จาก Winery ชื่อดังของอิตาลีเป็นการส่งท้ายทริปนี้ให้สมบูรณ์แบบ โดย Winery ที่เราไปเยือนครั้งนี้คือ ‘Allegrini’ หนึ่งในไร่และแหล่งผลิตไวน์ที่ดีที่สุดของอิตาลี (มีพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ในทัสคานี) ที่มีประวัติและกรรมวิธีการผลิตอันเก่าแก่ที่สืบทอดกันมายาวนานนับพันปี! ก่อนจะสืบทอดวัฒนธรรมการผลิตไวน์มารุ่นสู่รุ่น สายจิบไวน์ต้องรู้จักและเซฟเป็น Winelists กันไว้บ้างละ

ซึ่งไวน์แดงขึ้นชื่อของเค้าคือ ‘Corte Giara Amarone’ ไวน์ระดับ Signature ของอิตาลีที่บอดี้ที่หนักแน่นแต่กลมกล่อม เพราะกระบวนการทำที่โดดเด่นกว่าไวน์ชนิดอื่น ๆ ส่วนหนึ่งทำมาจากองุ่นแห้งที่ผ่านการผึ่งลมให้แห้งเป็นเวลา 3-4 เดือน ก่อนจะนำไปหมักบ่มในถังโอ๊คนานถึง 18 เดือน จนมีคาแรคเตอร์เฉพาะตัว

ด้วยยุทธศาสตร์ที่ตั้งของการเพาะปลูกเหนือน้ำทะเลถึง 5,000 เมตร และใกล้กับทะเลสาบ Lago di Garda ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นเวเนโต้ ทำให้องุ่นได้รับอุณหภูมิที่เหมาะสม จนได้รับการคัดสรรให้เป็นหนึ่งในไวน์ที่เสิร์ฟบนชั้นเฟิร์สคลาสของการบินไทยด้วย!

เราขอยกให้มิลาน แถมด้วยปาร์ม่าเป็นอีกหนึ่งเมืองของยุโรปที่มีความสุดในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมสุดอลังการ ประวัติศาสตร์ที่ย่ิงใหญ่ ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งยุคที่เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายมาจนถึงปัจจุบัน ยังเป็นตัวแม่ตัวมัมที่รันวงการแฟชั่นได้สุดเหวี่ยง เพราะศิลปะมันอยู่ในสายเลือด ทำให้เหล่านักช้อป สายแฟต้องฟินไปกับแหล่งช้อปปิ้งที่ตั้งอยู่ทั่วทุกหัวเมือง จะมีอะไรดีต่อใจไปกว่าการได้นั่งการบินไทยบินตรงแบบยาว ๆ หลับสบายหายห่วงไปลงมิลาน แล้วยังได้จิบไวน์ระดับซิกเนเจอร์จากไร่ไวน์ที่ดีที่สุดของอิตาลีบนน่านฟ้าแบบชิล ๆ ก่อนถึง ใครมีโอกาสแวะมาเที่ยวมิลาน แนะนำให้มาตามรอยเราให้ครบ จะได้ประสบการณ์เที่ยวที่สนุกหลากหลายรสชาติ และจดจำมิลานฉบับนี้ไปอีกนานแสนนาน