แพลนเที่ยว 3 วัน 2 คืน 20 พิกัด Kyoto-Nara แบบคุ้มสุดกับ YourTrip
บันทึกบทใหม่ในภูมิภาคคันไซรอบนี้ เราขอเริ่มต้นที่ “Kyoto” ด้วยการพาทุกคนไปดื่มด่ำกับอดีตเมืองหลวงเก่าที่ยังคงรสชาติออริจินอลได้อย่างงดงาม ตามหาสปอตถ่ายรูปสุดคูล อาร์ตมิวเซียมสุดชิค แหล่งช็อปปิงสุดเจ๋ง ร้านอาหารคาเฟ่สุดเลิศ รวมไปถึงสปอตเสริมความสวย ความปัง ความรัก ความรวย เอาใจสายมูแบบจุก ก่อนจะนั่งรถไฟไปทักทายน้องกวาง ณ เมือง “Nara” พร้อมอัพเดทพิกัดกิน เที่ยว ถ่ายรูปใหม่ ๆ เอาให้ทริปนี้ปังส่งท้ายปีกันไปเลย นอกจากชื่นบานสำราญใจด้วยพิกัดคุณภาพถึง 20 โลเคชันแล้ว ทริปนี้ก็ยังคุ้มสุดเพราะเราแลกเงินเยนรอไว้บน YouTrip พอมาถึงก็เอาไปแตะ รูด จ่าย ได้ทุกที่ ถือเป็นตัวช่วยที่ทำให้ทุกการใช้จ่ายเป็นเรื่องง่าย เที่ยวไม่สะดุด เป็นนัมเบอร์วันในดวงใจนักเดินทางได้แบบไร้ข้อกังขา
ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาเที่ยวด้วยกันได้เลย go go !!!!
หลายคนอาจจะรู้ถึงอภินิหารของ YouTrip ใบนี้ ที่เราพกติดตัวมาลุยญี่ปุ่นหลายต่อหลายทริปกันบ้างแล้ว ส่วนใครยังไม่ทราบขอให้หยุดอ่านตรงนี้ก่อนสักนิด แล้วจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมสายเที่ยวใคร ๆ เขาก็มีกัน คือนอกจากน้องจะให้เรทแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศดีที่สุดแล้ว ยังครอบคลุมที่สุด เพราะใช้ได้มากถึง 150 สกุลเงินทั่วโลก แบบฟรีทุกค่าธรรมเนียม ไม่ว่าจะไปประเทศไหนก็สุดได้ทุกทริป! ที่สำคัญ สมัครฟรี ใครที่มีแอป KPlus อยู่แล้ว ดาวนด์โหลด YouTrip ผ่าน App Store หรือ Playstore ก็สมัครได้ในเวลา 3 นาทีเท่านั้น
Day 1 ::
001 Arashiyama Bamboo Grove
เร่ิมต้นทริปกันแบบแมส ๆ กับป่าไผ่อันโด่งดังแห่งเกียวโต ที่ครองใจคนไปทั่วโลก ‘Arashiyama Bamboo Grove’ โดยทางเดินยาวกว่า 500 เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไผ่หลายร้อยหลายพันต้น ขึ้นสูงใหญ่ชูช่อปกคลุมจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ช่วยสร้างร่มเงาตลอดทาง แนะนำให้มาเดินกันช่วงเช้า เพราะคนจะยังไม่แน่นมาก เดินชิล ๆ สบาย ๆ ได้รูปเช็กอินเรียกยอดไลก์แบบจุก ๆ ส่วนใครเป็นสายมูก็ไม่ควรพลาดที่จะแวะไปขอพรด้านความรักและคู่ครองที่ศาลเจ้า Nonomiya พร้อมทั้งช็อปปิงของที่ระลึกที่ทำจากไม้ไผ่ เช่น ตะกร้า ถ้วย กล่องใส่เครื่องประดับ ฯลฯ ติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านก็น่ารักไม่เบา
นอกจากป่าไผ่ที่ถือเป็นไฮไลต์ของที่นี่แล้ว อาราชิยามะ ยังเต็มไปด้วยเช็กอินสปอตอีกมากมาย จนสามารถจัดแพลนเป็นแบบ walking-tour ได้เลย ทั้งสวนลิง, วัด Tenryuji, Kimono Forest, Sagano Romantic Train รถไฟที่วิ่งบนเส้นทางวิวสุดโรแมนติก เป็นต้น แต่ถ้าเพื่อน ๆ มีเวลาจำกัดเราแนะนำให้มาเดินชิลแถวสะพาน Togetsukyo สะพานข้ามแม่น้ำคัตสึระ เพราะตรงนี้จะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สดใส ทั้งภาพวิวภูเขาสูงทำหน้าที่เป็นฉากหลังให้เรือพายสีฟ้าน่ารักที่กำลังลอยล่องในแม่น้ำคัตสึระ ความคึกคักของเหล่าบรรดาคาเฟ่ฮอปเปอร์ที่กำลังต่อแถวสั่งกาแฟจากร้าน %arabica ตลอดจนร้านรวงที่ตั้งเรียงรายให้สายกิน สายช็อป ได้เดินเข้าไปแตะจ่ายด้วย YouTrip รัว ๆ คือเอาจริงจากที่ลองเดิน ๆ ดู นี่ว่า 90% ของร้านรวงคือรับบัตรหมด
002 Maikohan
ส่วนหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เรากลับมาเที่ยวซ้ำอาราชิยามะครั้งนี้ก็คือ ‘Maikohan’ ร้านอาหารในอาคารสไตล์ญี่ปุ่นโทนเข้มขรึม เน้นกระจกรอบด้านเพื่อให้เราเทควิวแม่น้ำคัตสึระได้อย่างสบายตา ที่นั่งมีทั้งแบบเคาน์เตอร์หันออกหน้าต่าง และโต๊ะสำหรับกลุ่มนั่งบนเสื้อทาทามิ อบอุ่นไปด้วยงานไม้เนื้องาม มีโคมกระดาษ คานไม้ไผ่เป็นกิมมิกน่ารัก ๆ เข้ามาเราจะได้กลิ่นที่อบอวลไปด้วยเทมปุระทอดหอม ๆ ซึ่งก็คือเมนูเด็ดประจำร้านนั่นเอง เรียกว่าได้กลิ่นอายความนิปปอนแบบเต็มสิบ ถือเป็นร้านฮอตสุดในย่าน ณ เวลานี้เลย แนะนำว่าให้จองล่วงหน้า หรือเดินมาเอาคิวก่อนเข้าไปเที่ยวในป่าไผ่ก็ได้
เราสั่งเป็น ‘sixteen colored assortment of tempura on sticks’ เทมปุระเสียบไม้ที่จัดเสิร์ฟเรียงเป็นลำดับสวยงาม พร้อมวิธีการกินอย่างละเอียด โดยไม้ที่ 5-12 เราสามารถเลือกเองได้ มีทั้งผัก ซีฟู้ด เนื้อไก่ และวัตถุดิบตามฤดูกาล ส่วนคำอื่น ๆ ทางร้านจะฟิกซ์ไว้แล้ว ในเซ็ตจะมีทั้งข้าว เครื่องเคียง ซุป และพลัมสาเกเจลลี่เป็นของหวานตบท้าย ตัวเทมปุระมีขนาดพอดีคำ จิ้มกินสลับกับซอสรสหวาน เกลือมัทฉะ เกลือโคโตฮิกิฮามะ จากเกียวโตตอนเหนือ และเกลือพริกไทยยูซุ ช่วยตัดรสชาติให้เกิดความแตกต่าง ซดกับซุปใสหวานกลมกล่อมมีลูกชิ้นไก่ เต้าหู้ เห็ดชิเมจิ และต้นหอมญี่ปุ่นบรรจุมาในกาจุดไฟ อุ่นกินตอนร้อน ๆ สลับกับข้าวแล้วฟินตาลอยไปเลย
แม้ที่นี่จะเป็นย่านท่องเที่ยวระดับโลก และร้านค้าเกือบทั้งหมดก็สามารถจ่ายผ่านบัตรได้หมดแล้ว แต่ Maikohan เป็นข้อยกเว้น!! เขารับเฉพาะเงินสดเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคนที่พก YouTrip เที่ยวเป็นหลักแบบเรา เพราะ YouTrip สามารถกดเงินสดผ่านตู้ ATM ที่ญี่ปุ่น ทั้ง Japan Post Bank, Aeon, Seven Bank ได้ฟรี ถือเป็น Travel Card ของไทยใบเดียวที่ไม่มีค่าธรรมเนียม ณ เวลานี้ เราเลยไม่ต้องวิ่งหาที่แลก ไม่ต้องเหนื่อยรอคิวเลย และไม่ใช่เฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้นนะ สำหรับประเทศอื่น ๆ ก็ฟรีเช่นกัน OMG ไม่มีไม่ได้แล้วเด้อ
003 Kyoto Aquarium
อิ่มหนำจนพุงกาง เราก็มาเผาผลาญแคลกันต่อยัง ‘Kyoto Aquarium’ อควาเรียมที่ตั้งอยู่ใน Umekoji Park เคียงคู่เมืองเกียวโตมาแล้ว 10 กว่าปี ถือเป็นพิกัดที่ช่วยตัดอารมณ์เมืองวัด เมืองโบราณให้เราได้เพลิดเพลินกับโลกใต้น้ำ แน่นอนว่าที่นี่เราก็สามารถใช้ YouTrip แตะจ่ายซื้อตั๋วราคา 2,400 เยน ได้อย่างสะดวก ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจภายในที่ถูกแบ่งออกเป็น 9 โซน ทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม อินดอร์ และเอาต์ดอร์ เน้นการจัดแสดงที่สร้างความสนุกผสานความรู้ไปในตัว บวกกับอุปนิสัยอันน่ารักของเหล่าสัตว์น้ำ เชื่อว่าทุกคนที่มาจะต้องแฮปปี้อย่างแน่นอน
ไฮไลต์ของเขาเป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ ‘The Sea Of Kyoto’ ที่สามารถจุน้ำได้ถึง 500 ตัน เต็มไปด้วยสัตว์น้ำนานาพันธุ์แหวกว่ายลัดเลาะไปตามซอกหินที่เป็นเหมือนถ้ำใต้น้ำ พระเอกคือฝูงปลาซาร์ดีนแห่งทะเลญี่ปุ่น ที่ว่ายเกาะกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ ส่วนทาสรักแมงกะพรุนอย่างเราขอร้องกรี๊ดพร้อมวิ่งไปที่โซน ‘Jellyfish Wonders’ ตู้ปลาทรงพาโนรามาคดโค้ง สะท้อนน้ำสีน้ำเงินคมเข้ม บรรจุแมงกะพรุนกว่า 5,000 ตัวจาก 30 สายพันธุ์ ล่องลอยอย่างอิสระ ละมุนจนใจละลายไปหมด นอกจากนี้เขายังมีสระโลมา เพนกวิน แมวน้ำ และสลาแมนเดอร์ยักษ์ มาสคอตประจำถิ่นให้ได้ชมด้วย แล้วค่อยมาจบ ณ ร้านขายของฝากที่เต็มไปด้วยของกระจุกกระจิกน่ารักให้เลือกซื้อ
004 Ninen-zaka and Sannen-zaka
พอบ่ายแก่ ๆ เราก็ออกมาชื่นชมกับความเป็นมรดกโลกกันต่อที่เขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรมฮิกาชิยามะ หมู่บ้านโบราณที่ไล่เรียงไปตามเนินเขา มีทางเดินปูกระเบื้องหินยาวราว ๆ 5 กิโลเมตร ขนาบข้างด้วยบ้านเรือนยุคเอโดะไปจนถึงยุคไทโช ตอนกลางวันจะงดงามไปด้วยสีสันของธรรมชาติที่โอบล้อม ส่วนยามค่ำคืนก็ถูกแต่งแต้มไปด้วยไฟสีส้มที่ฉายผ่านโคมไฟทรงคลาสสิก ให้ฟีลโรแมนติกสุด ๆ ภายในอาคารจะเป็นร้านขายขนม ขายของที่ระลึก และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เรียงมาตั้งแต่ทิศเหนือจรดใต้ ไล่จากวัดโชเร็น, สวนสาธารณะมารุยามะ ไปจนถึง ศาลเจ้ายาซากะ และวัดคิโยมิสึ ใช้เวลาเที่ยวยาว ๆ จนฟ้ามืดไปได้เลย
หันซ้ายหันขวาเราก็เห็นแต่ความลงตัวไปซะหมด ชนิดที่ว่ามีเวลาเท่าไหร่ก็สามารถใช้ให้หมดไปกับการถ่ายรูปเพลิน ๆ สลับกับเลือกซื้อของได้ไม่หยุดหย่อน อันนี้ก็เหมาะกับเพื่อนคนนั้น อันนั้นก็เข้ากับน้องคนนี้ มันตอบโจทย์ในการหาของฝากมาก ๆ เหนื่อยช้อปก็แวะชิมสตรีทฟู้ดพอกรุบกริบ เดินเข้าคาเฟ่นั่งชิลอีกสักเล็กน้อย ส่วนตัวคือชอบร้านรวงย่านนี้ตรงที่แม้จะสมัยใหม่แค่ไหน เขาก็ยังสามารถตกแต่งร้านให้ล้อไปกับความคลาสสิกได้อย่างลงตัวไม่ขัดตา แถมแตะจ่ายด้วย Youtrip ได้เกือบ 100%
ส่วนจุดเช็กอินนัมเบอร์วัน ฮอตฮิตติดลมบนของย่าน เราขอยกให้กับมุมถนนเก่าแก่ที่ทอดยาวเป็นเส้นนำสายตาสู่หอคอย Yasaka เจดีย์ 5 ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง มีความสูงถึง 46 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของวัด Hokan-ji ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนเกียวโตจะได้เป็นเมืองหลวงซะอีก วัดถูกสร้างและบูรณะใหม่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังคงมีเสน่ห์และมนต์ขลังของความโบร่ำโบราณอยู่มิคลาย ถือเป็นไอคอนิกของเมืองที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ แล้วความจึ้งคือรอบนี้เรามาช่วงพระอาทิตย์ตก ย่ิงสวยตราตรึงใจเข้าไปอีก เป็นภาพปิดจบทริปวันแรกแบบฟินาเล่สุดๆ
005 Gion Duck Rice 🦆🍚
ก่อนจะกลับที่พัก … เราขอมาขับกล่อมกระเพาะกันก่อนที่ ‘Gion Duck Rice’ ร้านอาหารใหม่ในเครือ Gion Duck Noodles แตกแบรนด์มาเพื่อประกาศความเป็นมืออาชีพด้าน ข้าวหน้าเป็ดฮิตสึมาบูชิ แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ตัวร้านตั้งอยู่ชั้นใต้ดินสไตล์โชวะของตึก Gion First บรรยากาศร้านให้กลิ่นอายความโมเดิร์นด้วยโทนสีเทาตัดกับงานไม้ ทั้งที่นั่งและครัวถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ รองรับได้เพียง 11 ที่นั่งเท่านั้น ( 7 ที่ตรงเคาน์เตอร์ทำอาหาร และ 1 โต๊ะสำหลับกลุ่มคน) ใช้เวลาเดินจาก Keihan Gion Shijo Station เพียง 7 นาทีเท่านั้น ถ้าเจอป้ายรูปอีโมจิ 🦆🍚 ก็สามารถเดินตามป้ายมาได้เลย
เราชอบความเป็นญี่ปุ่นตรงที่เก่งเมนูไหน ก็สามารถทำเมนูนั้นเมนูเดียวขายเป็นเรื่องเป็นราวได้ มุ่งเน้นที่วัตถุดิบหลัก ‘เป็ดคิชู’ เป็ดท้องถิ่นที่มีชั้นหนังหนาเนื้อเยอะและแน่นกว่าเป็ดทั่วไป มีอยู่เยอะตามแม่น้ำของเกียวโต โดยร้านนี้จะมีอาหารจานหลักเพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ 🦆🍚 ข้าวหน้าเป็ดฮิตสึมาบูชิ+ไข่แดงดิบ และ 🦆🍚 😋 ข้าวหน้าเป็ดฮิตสึมาบูชิ+ไข่แดงดิบ+หอยเม่น+ไข่ปลาแซลมอนที่เราสั่ง มีเครื่องเคียงตัด 3 รส ยูซุ ชิจิมิดำ และซันโชองุ่นคุณภาพสูงระดับโลก มอบกลิ่นเครื่องเทศช่วยขับความหวานของเป็ดออกมา จัดเสิร์ฟมาเป็นเซตพร้อมซุปดาชิที่ต้องใช้การดริปทีละหยด กลั่นความเข้มข้นหอมกรุ่นและสัมผัสที่เบาบาง เรียกว่าเป็นสุนทรียะแห่งการกินที่พรีเมียมคู่ควรกับเราที่สุด
จบวันแรกแบบประทับใจเพราะได้กินอาหารอร่อย ๆ ครบทุกมื้อ กินปุ๊บก็แตะจ่ายแบบโคตรสะดวกด้วย YouTrip แถมสบายใจตรงที่ไม่ต้องคอยนับเงินนับเหรียญ ทุกอย่างทำได้อย่างว่องไวเที่ยวต่อได้ไม่สะดุด ไม่ต้องถือเงินสดไว้เยอะ ๆ ให้ระแวง แถมถ้าทำบัตรหายยังสามารถล็อกบัตรในแอปได้ทันที โดยไม่ต้องโทรแจ้งธนาคารอีกด้วย
Day 2
เช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยการขึ้นรถไฟ Kintetsu-Kyoto เพื่อพุ่งตัวไปเที่ยวเมืองนารา โดยเลือกนั่งขบวน Limited Express เพราะช่วยประหยัดเวลาและมีที่นั่งชัดเจน สำหรับมือใหม่เที่ยวญี่ปุ่น … จะบอกว่าตั๋วรถไฟเราสามารถซื้อผ่านตู้ขายตั๋วอัตโนมัติซึ่งปัจจุบันหลายตู้สามารถจ่ายผ่าน YouTrip ได้อย่างง่ายดาย ส่วนรอบนี้เราขอแตะจ่ายค่าตั๋วผ่าน YouTrip กับพนักงานโดยตรงเพราะไร้คิว ก็เลยสะดวกสุด ๆ
006 ROKUMEI COFFEE CO. NARA
เติมความลั๊นลากับเช้าวันใหม่ด้วยการแวะจิบกาแฟในคาเฟ่ชื่อดังแห่งนารา ‘ROKUMEI COFFEE CO. NARA’ ร้าน Specialty Coffee เก่าแก่ที่รีแบรนด์ร้านให้เก๋คูลเข้ายุคสมัยอยู่เสมอ ซึ่งที่นี่เป็นสาขาหลักสาขาแรกอายุ 50 ปีพอดีเป๊ะ ตัวร้านถูกออกแบบให้เน้นด้วยงานไม้มอบความอบอุ่นสไตล์ญี่ปุ่น ทุกเมนูรังสรรค์จากบาริสตามือโปรที่เชี่ยวชาญด้านกาแฟ นำเทรนด์การใช้เมล็ดคั่วอ่อนมาสู่เมืองนี้ โดยจะมีเมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกสุดป็อปทั่วโลกวางเรียงให้เราเลือกเทสต์โน้ตที่ชอบ หรือจะหารือกับพนักงานเพื่อค้นหาตัวตนก็ไม่ติด หากติดใจในรสชาติยังสามารถซื้อ Drip Bags กลับไปชงเองที่บ้านได้อีกด้วย
เราเลือกสั่งแบบจับคู่เมนูยอดฮิตของร้านคือกาแฟเย็นคั่วอ่อน ที่มีรสเปรี้ยวปลาย กลิ่นฟรุตตี้เจือ ๆ กับครัวซองต์ที่ทางร้านอบสดใหม่ทุกวัน เสิร์ฟมาร้อน ๆ หอมเนยกรุ่น ๆ มีรสหวานจากไอซิ่งพอประมาณ เมื่อราดน้ำผึ้งลงไปด้วยก็ช่วยเติมกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความหวานที่กลมนวลมากยิ่งขึ้น ถือเป็นของรองท้องที่เลอค่าสุด ๆ ยิ่งจ่ายผ่านบัตร YouTrip ที่มีบริการแจ้งเตือนทุกการรูดก็สบายใจ เริ่มต้นวันได้อย่างสดใส
007 Nara Park
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าชื่อ ‘Nara’ ที่แปลว่ากวางนั้นไม่ได้มาแบบลอย ๆ แต่ที่นี่เป็นเมืองของกวางที่แท้ทรู หลักฐานอยู่ที่ ‘Nara Park’ สวนสาธารณะที่มีสัตว์สี่เท้าตัวสีน้ำตาล หน้าหวานหยดเยิ้ม บางตัวมีเขาฟอร์มสวยเดินเฉิดฉายเป็นรันเวย์อยู่มากมาย ถือเป็นอีกสวนเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นที่สร้างมานานกว่า 144 ปีแล้ว บนพื้นที่กว้างถึง 1,330 ไร่ โดยชาวญี่ปุ่นเขามีความเชื่อว่ากวางนาราเป็นเหมือนทูตสวรรค์ที่คอยส่งสาสน์ถึงพระเจ้า เขาจึงใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองด้วยนั่นเอง บอกเลยว่าถ่ายรูปพวกนางนอนอาบแดด เดินไปจิบน้ำ เดินหาอาหารแล้วมันกดชัตเตอร์เพลินมาก ได้รูปน่ารัก ๆ มาเพียบ!
เดินเข้ามานิดหน่อย เราจะเจอ The Nara National Museum ตึกฟอร์มสวยสไตล์ตะวันตก อยู่มาตั้งแต่สมัยเมจิ เป็นที่จัดแสดงงานอาร์ตเกี่ยวกับพุทธศาสนา ทั้งภาพเพ้นท์ รูปปั้น เหล่าเครื่องใช้เก่าแก่จากจีน ฯลฯ ใครมีเวลาก็แวะเข้าไปชมของหายากเหล่านั้นได้ แต่ทางเราอยากใช้เวลาทักทายน้องกวาง พร้อมแชะภาพสวย ๆ ฟีลยุโรปสักหน่อย ทริคง่าย ๆ ในการเรียกน้องเข้ามาหาคือ ซื้อขนมเซมเบ้ถือล่อเอาไว้ แค่น้องเห็นก็จะยกโขยงเข้ามาหาเป็นสิบ ๆ ตัวเลย
ขอมาอัปเดตพิกัดยอดฮิตที่กำลังเป็นไวรัลทั้งในโซเชียลของไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่นตอนนี้กันหน่อยที่ ‘Wakakusayama Hill’ จุดชมวิวบนเนินสูงสุดฮิดเด้น ที่มีความสูง 350 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างวัดโทไดจิและศาลเจ้าคาสุกะ จากตีนเขาจะมีทางเดินขึ้นง่าย ๆ เป็นเนินเขาโล้น ๆ ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวขจี เงยหน้ามองจะเห็นเส้นเขาตัดกับขอบฟ้าดูมินิมอล เห็นน้องกวางเดินเล็มหญ้า นั่งหลบแดด บ้างเดินตามมาทักทาย ฟีลลิงเหมือนเดินเขาพร้อมฝูงกวางยังไงอย่างนั้น ใช้เวลาราว ๆ 20 – 30 นาทีก็จะถึงยอด บนนี้เราจะเห็นวิวเมืองนาราอันกว้างใหญ่อัดแน่นด้วยอาคาร รอบข้างโอบล้อมด้วยธรรมชาติ
008 Sanjo-dori Street
แล้วใครว่ามานาราจะเที่ยวได้แค่สวนกวาง พิกัดนี้เราขอผายมือให้กับสายช็อป ‘Sanjo-dori Street’ ช็อปปิงสตรีทสายหลักของเมือง อยู่ระหว่างทางเดินไปที่ JR Nara Station มีความยาวราว ๆ 500 เมตร พร้อมร้านค้าที่เรียงรายกว่า 100 ร้าน มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ที่พัก ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ แล้วเรามาลองจุ่มของกิน ปรากฏว่าขนมทุกอย่างอร่อยหมด ทีเด็ดคือโมจิทำสดของร้าน Nakatanidou ที่เขาตีแป้งโมจิด้วยวิธีดั้งเดิม เป็นการตีสลับนวดด้วยความเร็วจากแรงมนุษย์ เปิดมานานกว่า 25 ปี เมนูซิเนเจอร์คือ yomogi mochi แป้งโมจิสีเขียวจากใบ Japanese mugwort สอดไส้อังโกะหวาน ๆ และโรยด้วยคินาโกะหอม ๆ กินสด ๆ แล้วมันนุ่มหยุ่นจนแทบละลายในปากเลยล่ะ
หลัง ๆ เรามาเที่ยวคันไซแล้วมองข้ามนาราไปหลายรอบ พอได้กลับมาอีกครั้งก็พบเจอความประทับใจมากมาย ทุกอย่างยังคงซึ่งความดีงาม น้องกวางยังคงออกลูกออกหลาน ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ เพิ่มเติมคือจุดเช็กอินใหม่ ๆ มีคาเฟ่น่ารัก ๆ จุดชมวิวว้าว ๆ และยังสะดวกสุด ๆ กับการใช้ YouTrip แตะจ่ายได้เกือบทุกจุด ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ไม่มี FX fee 2.5% ให้กลุ้มใจด้วย บัตรใบเดียวจ่ายได้กว่า 150 สกุลทั่วโลก แถมแลกล่วงหน้าได้มากถึง 10 สกุลเงิน และญี่ปุ่นก็คือ 1 ใน 10 ประเทศนั้นจ้าาา เรทดีเมื่อไหร่แลกเก็บไว้เที่ยวได้คุ้ม ๆ
ช่วงบ่ายเรามาเช็คอินกันต่อกับอีกหนึ่งเมืองมรดกโลกที่เรียกได้ว่ากำลังป๊อปในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย Uji เมืองที่มากล้นด้วยเสน่ห์แบบที่หาตัวจับได้ยากจากเมืองอื่น ๆ โดยเฉพาะสาวกชาเขียว เพราะที่นี่เขาขึ้นชื่อลือเรื่องชาของจริง ไม่ว่าจะมองหรือเดินไปทางไหนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความหอมกรุ่น และเข้มข้นของชาเขียว แต่ถ้าใครไม่อินกับชาเขียวก็ยังมีสปอตน่าสนใจอื่น ๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่หลายแห่ง ดังนั้นจะแค่พก YouTrip แวะมาเที่ยวแบบฮาฟเดย์ทริป วันเดย์ทริป หรือค้างคืนชิล ๆ สั้น ๆ เมืองแห่งนี้ก็มีเรื่องราวน่าประทับใจรอต้อนรับทุกคนอยู่แน่นอน
009 Byodo-In Omotesando
ก้าวขาออกจากสถานี JR ด้วยแววตามุ่งมั่นปนน่ารัก ทางเราก็ขอมุ่งหน้าสู่ ‘Byodo-In Omotesando’ แล้วก็ตามชื่อของถนน เพราะตลอดระยะทาง 300 เมตร บนถนนเส้นนี้ทุกอย่างเกือบ 99.99% คือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากชาเขียว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขนม ร้านน้ำชาที่คั่วและทำกันแบบสด ๆ ทำให้บรรยากาศบนถนนเส้นนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นของมัทฉะ จนดูเหมือนกับฉากในหนังญี่ปุ่นโบราณผสานกับโฆษณาชาเขียวของบ้านเรา จนเกือบจะร้องออกมาว่าชิเมโจได๋ (ใครงงแสดงว่าเกิดไม่ทัน)
บรรยากาศก็ชวนให้ถ่ายรูปไป ชิมขนมไป จิบชาไป คือแต่ละอย่างล้วนน่าชิมไปซะหมด โดยเฉพาะสองเมนูสุดฮิตของญี่ปุ่นที่ทุกคนรู้จักและน่าจะคุ้นเคยกันอยู่แล้วก็คือทาโกะยากิกับเกี๊ยวซ่า บนถนนเส้นนี้เราต้องตกหลุมพรางอีกครั้งกับป้ายที่บอกว่าหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น โดยความพิเศษของทาโกะยากิจะอยู่ที่ซอสราดที่เป็นสีเขียวแปลกตาไปจากที่คุ้นเคย ส่วนเกี๊ยวซ่าก็แปลกใหม่ตรงที่ตัวแป้งห่อเป็นสีเขียว (จากส่วนผสมชาเขียว) อัดแน่นด้วยหมูผัดฉ่ำ ๆ เพิ่มความเก๋ด้วยการเปลี่ยนน้ำจิ้มจากซอสเปรี้ยวมาเป็นเกลือชาเขียวแทน ซึ่งต้องบอกว่าทั้งสองเมนูอร่อยได้มาตรฐาน ส่วนตัวเราคือชอบมาก แต่ที่ชอบกว่าเห็นทีจะเป็นความสะดวกในการแตะจ่ายด้วย YouTrip อีกแล้วครับทุกคน ไม่ใช่แค่ร้านนี้นะ แต่รวมถึงร้านอื่น ๆ ในย่านนี้ทั้งหมดเลย
010 Byodo-in Temple
กินไปเดินไปจนสุดสายของถนนชาเขียว เราก็จะได้เจอกับไฮไลต์ของการมาเมืองอูจิในครั้งนี้นั่นก็คือ Byodo-in Temple วัดที่เป็นเสมือนต้นแบบของสถาปัตยกรรมสายโจโด หรือสายแผ่นดินบริสุทธิ์ของชาวพุทธ ซึ่งประกอบด้วยตัววัดที่จำลองสวรรค์มาไว้บนดินและสวนสวย ๆ ซึ่งแต่เดิมวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของนักการเมืองเมื่อ 1,026 ปีก่อน และ 55 ปีต่อมาก็ถูกปรับปลี่ยนให้กลายเป็นวัดอย่างทุกวันนี้ แถมยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย
ฟังดูจากประวัติแล้วหลายคนก็คงคิดว่ามันเป็นไฮไลต์ของเมืองนี้ได้ยังไงนะ แต่สำหรับใครก็ตามที่มาญี่ปุ่นบ่อย ๆ เราเชื่อว่าคงคุ้นตากับภาพนี้อยู่ไม่น้อย นั่นก็เพราะว่าวัดนี้คือวัดที่อยู่ด้านหลังของเหรียญ 10 เยนนั่นเอง รู้อย่างนี้แล้วถ้าไม่ล้วงกระเป๋า(ตัวเอง) หาเหรียญสิบเยนออกมาถ่ายรูปคู่กับวัดเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็คงจะเหมือนกับมาไม่ถึง แล้วถ้าอยากเพิ่มอรรถรสในการดื่มด่ำสถานที่นี้เพิ่มขึ้น ก็สามารถเดินเล่นในส่วนของมิวเซียมด้านในได้ด้วยนะ จะได้คุ้ม ๆ กับค่าตั๋ว 700 เยน เสร็จสิ้นภาระกิจฟีลมิชชั่นคอมพลีสแบบสวย ๆ
011 Nakamura Tokichi
พอเดินชมวัดเสร็จ… ร่างกายก็เร่ิมประท้วงหาของหวาน ซึ่งแน่นอนเราไม่พลาดที่จะเลือกเข้า ‘Nakamura Tokichi’ ร้านชื่อดังแห่งเมืองอูจิ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 205 ปีก่อน หรือยุคต้นกำเนิดชาเขียวของเมืองอูจิ โดยเขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้ค้าชาเขียว มาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทชา และกลายมาเป็นคาเฟ่ในปี 2001 เพื่อให้ผู้เดินทางมีความสุขกับชาของอูจิที่ตระกูลนี้ได้ผสมผสานและพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 160 ปี เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมการดื่มชาจากรุ่นสู่รุ่น จนปัจจุบันขยายได้ถึงเจ็ดสาขาโดยอยู่ที่เมืองอูจิถึงสองแห่ง ถ้าอยากได้บรรยากาศนั่งกินชาเขียวริมแม่น้ำแบบเราก็ต้องมาสาขาที่ถนนสายชาเขียว (中村藤吉平等院店) แห่งนี้เท่านั้น!
เมนูของร้านนั้นมีทั้งคาว-หวาน ล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมหลักเป็นมัทฉะเกรดพิธีชงชาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเส้นโซบะ เกลือชาเขียว พุดดิ้ง เครื่องดื่ม น้ำแข็งไส ซอฟต์เสิร์ฟ พาร์เฟต์ ส่วนเมนู The must! ที่ต้องสั่งคือ Namacha Jelly เจลลี่นุ่มหนึบที่มอบทั้งรส กลิ่น สี พรีเซนต์ความเป็นชาเขียวอย่างละเอียดละออ มีรสชาติหวานอ่อน ๆ กินคู่กับไอศกรีมและดังโงะได้อย่างพอดิบพอดี ออ ที่นี่เราสามารถเดินไปต่อแถวสั่งที่เค้าเตอร์และแตะจ่ายผ่าน YouTrip ได้ด้วยตัวเองเลย จากนั้นก็ไปหาโต๊ะนั่งรอเรียกคิวสวย ๆ
012 Uji bashi Bridge & Uji River
ช่วงเย็น ๆ ออกมาเดินเล่มริมแม่น้ำอูจิ แถว ‘Uji bashi Bridge’ สะพานไม้เชื่อมเมืองที่ถูกสร้างขึ้นในปี 646 ถือเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ก่อนจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 1996 ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมด้วยการใช้วัสดุเป็นไม้ที่เติบโตอยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำสายสำคัญแห่งนี้ ใกล้ ๆ สะพานจะมีรูปปั้นผู้หญิงกำลังนั่งทำท่าเหมือนอ่านอะไรบางอย่าง เธอมีชื่อว่า มุราซากิ ชิกิบู นักกวีและนางสนองพระโอษฐ์ผู้เขียนเรื่องราวโรแมนติกสุดคลาสิค ‘Shining Prince’ โดยใช้ทัศนียภาพของเมืองอูจิเป็นฉากดำเนินเรื่อง ด้วยเหตุนี้มันจึงเหมาะแก่การเดินลัดเลาะให้ลมตีหน้าพลางคิดว่าตัวเองเป็น Shining Prince เสียเอง
Day 3
013 Garden of Fine Arts Kyoto
เริ่มต้นวันสุดท้ายของทริปด้วยการพามาเดินชมอาร์ต ณ ‘Garden of Fine Arts Kyoto’ มิวเซียมกลางแจ้งสุดล้ำที่ออกแบบโดย Tadao Ando สถาปนิกชื่อดังของญี่ปุ่น ที่สร้างมานานกว่า 30 ปี ด้วยการใช้โทนเทาของปูนเปลือย กระจก น้ำตก และสระน้ำ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ดูล้าสมัย แถมอาคารนี้ยังถูกฝังอยู่ใต้ดินเพื่อไม่ให้บดบังทัศนียภาพของสวนพฤกษศาสตร์ที่อยู่ติดกับภูเขา Higashiyama ก็ยิ่งสร้างความว้าวเข้าไปใหญ่ และยังต้องตกตะลึงกว่านั้นเมื่อหันไปเห็นราคาค่าเข้าที่เขียนไว้ว่า 100 เยน!!! แถมแตะจ่ายด้วย YouTrip ได้อีกด้วย สะดวกมากจริง ๆ
ด้านในแม้จะไม่ใหญ่มากแต่สิ่งที่จัดแสดงล้วนเป็นผลงานจำลองชื่อก้องโลกทั้งนั้น ตั้งใจสร้างเป็นสวนภาพวาดแห่งแรกของโลกที่ถ่ายทอดความงามท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างสมจริงตลอดเวลา โดยงานเหล่านี้จะอยู่บนแผ่นเซรามิก หรือกระเบื้องเฟรสโก้ที่ทนต่อทุกสภาพอากาศ มีทั้งภาพของ The Last Supper จาก Leonardo da Vinci / Road with Cypresses and Star จาก Vincent van Gogh / The Last Judgement จาก Michelangelo รวมแล้วมีถึง 8 ภาพ ลองพินิจดี ๆ จะเห็นว่าเป็นงานละเอียดทั้งนั้น สาย architect และ fine art ไม่ควรพลาดเลย
014 Garden Museum Hiei
จากนั้นเราจะขอพาทุกคนแตะจ่ายค่าตั๋วด้วย YouTrip แล้วนั่งกระเช้าขึ้นไปยังยอด Mt.Hiei ที่มีความสูงถึง 840 เมตร เพื่อชมอาร์ตอีกแขนงที่ ‘Garden Museum Hiei’ ดื่มด่ำกับสวนดอกไม้วิวอลังการ ที่มีผลงานศิลปะวางแซมอยู่ทั่วทุกจุด เป็นอีกมิวเซียมกลางแจ้งที่เรายกขึ้นหิ้งในความครีเอต สร้างความจรรโลงใจด้วยสีสันของธรรมชาติ และศิลปะได้แบบเต็มสิบ โดยสวนนี้ถูกออกแบบให้เหมือนเราเดินอยู่บนเขาทางใต้ของฝรั่งเศส เต็มไปด้วยดอกไม้ สมุนไพรนานาพันธุ์ รวมกว่า 100,000 ต้นจาก 1,500 ชนิด ถือเป็นฮิดเดนเจมส์ที่คนไทยน้อยคนจะเคยเห็น
โดยงานที่จัดแสดงนั้นจะเน้นไปที่แนวโปรดของเราเลย นั่นก็คือ Impressionist Arts ในยุคของ Monet, Renoir, van Gogh, Seurat ฯลฯ เป็นช่วงที่ศิลปะเริ่มมีความหลากหลาย ศิลปินกล้าแสดงเอกลักษณ์ของตัวเองผ่านสี ลายเส้น และเทคนิคที่แตกต่างกันไป เหมาะสมกับความมีชีวิตชีวาของเหล่าพืชพรรณดอกไม้หลากสี พอบวกกับวิวพาโนรามาของทะเลสาบบิวะและเมืองเกียวโตที่เห็นอยู่ไกล ๆ แล้ว โลเคชันนี้ทำเราตื้นตันจนน้ำตาไหลได้เลยทีเดียว เลิฟฟฟฟมากกกกก
นอกจากนี้ด้านบนยังมีคาเฟ่ให้เรานั่งชิลนามว่า ‘Cafe de Paris’ ที่ตกแต่งฟีลลิงเหมือน Street-corner ที่ปารีส จัดที่นั่งไว้ทั้งโซนอินดอร์และเอาต์ดอร์ วางโต๊ะเก้าอี้ทรงวินเทจ เคาน์เตอร์บาร์หันออกนอกเขา พร้อมร่มสนามสีขาวสบายตา ตอกย้ำความเป็นฝรั่งเศสเข้าไปอีกหน่อยด้วยเมนูอาหารแนวตะวันตก มีของคาวไม่กี่อย่าง และขนมให้ได้เลือก เราสั่งเป็นพิซซาและไอศกรีมมาละเลียดกินแกล้มกับวิวเมือง ภูเขา และทะเลสาบ ถือเป็นมื้อของว่างที่เลิศจนอยากตะโกนคำว่า très bien! ดัง ๆ ใด ๆ คือเราชอบตรงที่ด้านบนทุกจุดสามารถแตะจ่ายด้วย YouTrip ได้หมดเลย เลิศมาก
015 Kawai Shrine
กลับเข้าในเมืองช่วงบ่ายเราก็ขอพาทุกคนมาเช็คอิน ณ ศาลเจ้าที่เหมาะกับคนน่ารักน่าหยิก ‘Kawai Shrine (河合神社)’ อยู่ภายในบริเวณของศาลเจ้าใหญ่ Shimogamo ซึ่งเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้าทามาโยริ เจ้าหญิงผู้เป็นพระมารดาของจักรพรรดิจิมมุ เชื่อว่าท่านเป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์สำหรับหญิงสาวทุกคน ผู้คนจึงนิยมมาขอพรเรื่องความสวยความงาม โดยวิธีขอพรก็แสนจะคิวต์ ด้วยการหยิบแผ่นไม้ทรงกระจก ‘คากามิเอมะ’ ให้เราวาดใบหน้าหญิงสาว จะโชว์สกิลการแต่งหน้าด้วยการแต้มสีจากเครื่องสำอางที่มีติดกระเป๋าด้วยก็ได้ ส่วนอีกด้านให้เขียนคำขอพร แล้วนำไปแขวนไว้ พอเอาป้ายของเราไปรวมกับผลงานคนอื่น ๆ แล้วกลายเป็นแผงป้ายอวยพรที่น่ารักที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยจริง ๆ
ตามธรรมเนียมของการมาศาลเจ้า เราจะต้องแวะมาชมเครื่องรางของขลังกันสักหน่อย ด้วยความที่มีเพื่อนสาวอยู่เป็นจำนวนมาก ของที่ระลึกรอบนี้จึงอยากมอบความมงคลแถมความสวยแก่ทุกคน เลยสอยกระจกทรงป้ายขอพรมาแจกจ่ายสักครึ่งโหล ซึ่งที่นี่ก็ทำเราประหลาดใจได้ไม่น้อย เพราะตั้งแต่เที่ยวญี่ปุ่นมาศาลเจ้าส่วนใหญ่ที่เจอมา 99.99% รับแต่เงินสด พอเห็นสามารถแตะจ่ายผ่านด้วย YouTrip ได้ มันก็เลยฟินหน่อย ๆ เพราะเงินที่แลกเก็บไว้เราได้มาในเรทที่คุ้มมากเว่อร์
016 Nashinoki Shrine
ฮอปขอพรกันต่อที่ ‘Nashinoki Shrine’ ศาลเจ้าใหม่ล่าสุดอีกแห่งของเกียวโต ที่มีอายุ 139 ปี (ละอ่อนมากเมื่อเทียบกับวัดเก่าแก่รอบเมือง) สร้ายเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของ Sanjo Sanetsumu และลูกชายของเขา ซึ่งมีบทบาทในการปฏิรูปการเมืองสมัยเมจิ จนถูกขนานนามว่าเป็น ‘God of imaten’ ทั้ง 2 คนมีอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะโค้นล้มรัฐบาลโชกุนในช่วงปลายเอโดะ หลังจากฟื้นฟูเมจิได้ก็กลายเป็นที่ปรึกษาหลักของจักรพรรดินั่นเอง ผู้คนจึงยกย่องเขาในเรื่องของการเรียนรู้ นอกจากนี้รอบ ๆ ยังมีสปอตด้านประวัติศาสตร์อีกมากมายให้เราได้ชมอีกด้วย
บรรยากาศโดยรวมของศาลเจ้าเรียกว่าร่มรื่นสดชื่นเกินร้อยมาก ๆ แถมยังเก๋กว่าใครตรงที่มีคาเฟ่อยู่ภายในนามว่า ‘Coffee Base NASHINOKI’ ร้านเป็นบ้านญี่ปุ่นย้อนยุคโทนสีขาวตัดกับงานไม้ละมุนตา มีโคมไฟไม้สาน ดวงไฟสีส้มที่เปิดไว้ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ห้อมล้อมไปด้วยแมกไม้ ภายในจัดวางเคาน์เตอร์กาแฟสีเข้มไว้อย่างเรียบง่าย มีเครื่องใช้โบราณวางตกแต่ง ผสานความสองสมัยได้อย่างเฉียบคม แต่ในนี้ไม่มีที่นั่งไว้รองรับ เมื่อได้รับขนมเครื่องดื่มที่สั่งแล้วก็สามารถไปนั่งดื่มที่ชานระเบียงรับลมเย็น ๆ ได้เลย
017 Okazaki Shrine
จากฟากฟ้าในจันทราสู่ตัวแทนแห่งเทพเจ้า จนกลายเป็นศาลเจ้าที่น่ารักที่สุด และนี่คืออีกพิกัดที่ทุกคนจะต้องพูดคำว่าน่ารักกกก~ ไม่หยุดปาก ‘Okazaki Shrine’ ศาลเจ้ากระต่าย ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ยุคเฮอัน อายุราว ๆ 1,230 ปี ยิ่งพอเดินเข้าไปแล้วพบกับกระต่ายบนโคมไฟ กระต่ายหิน กระต่ายดำ กระต่ายคู่ เครื่องรางกระต่ายน้อย ฯลฯ บอกได้เลยว่าโคตรน่าร๊ากกกกกก จนจิตใจไหวหวั่น หันไปทางไหนก็แชะ แชะ แชะ เก็บภาพแบบรัวมาก โดยสาเหตุที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเล่นว่าศาลเจ้ากระต่ายนั้นมาจากข้อสันนิษฐานสองข้อด้วยกัน ข้อแรกเชื่อว่ากระต่ายเป็นผู้ส่งสาสน์ของเทพเจ้า และข้อสองเป็นเพราะพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ศาลเจ้าในสมัยก่อนเต็มไปด้วยกระต่ายป่านั่นเอง
เหตุผลหลักที่ผู้คนหลั่งไหลมาที่นี่นอกจากมาชื่นชมความน่ารักของเหล่ากระต่ายน้อยเหล่านี้แล้ว ก็ยังมาเพื่ออธิษฐานในเรื่องของการแต่งงานและการคลอดลูก จนทำให้มีคู่รักหลายคู่เดินทางมาที่แห่งนี้อีกด้วย ส่วนใครไม่มีคู่เค้าก็มีกระต่ายที่ไว้ขอเรื่องโชค เรื่องการเงินอยู่ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นมาไม่เสียเที่ยวแน่นอนจ้า … แม้ 2 ศาลเจ้าก่อนหน้าจะแตะบัตรผ่านฉลุย แต่ก็อย่าลืมนะว่าศาลเจ้า วัด ในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังรับเฉพาะเงินสดเท่านั้น!! ซึ่ง YouTrip ก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด ให้เรากดเงินสดจากตู้ ATM ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ได้ทั้งที่ตู้ Japan Post Bank, Aeon และ Seven Bank นอกจากได้เรทดีแล้ว เรายังไม่ต้องเดินทางไปต่อแถวแลกเงินให้เสียเวลาด้วย ทางนี้เลยเตรียมกดเงินเพื่อมากกวาดเครื่องรางไว้เป็นของฝากครอบครัวแบบจุก ๆ ไปเลย
018 Kyoto City KYOCERA Museum of Art
เดิมไม่ไกลนักจากศาลเจ้ากระต่าย เราจะเจอกับ ‘Kyoto City KYOCERA Museum of Art’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่อยู่คู่เกียวโตมานานกว่า 91 ปี แรกเริ่มมีชื่อว่า Kyoto Enthronement Memorial Museum of Art และถูกเปลี่ยนชื่อในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นพิพิธภัณฑ์สาธารณะที่คงซึ่งสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ออกแบบโดย Maeda Kenjiro ต่อมาได้รับการตกแต่งใหม่โดย Aoki Jun และ Nishizawa Tezzo ปรับภายในให้มีพื้นที่ในการจัดแสดงงานที่หลากหลายขึ้น ฉะนั้นเราจะเห็นความคอนทราสต์ของความคลาสสิกและโมเดิร์นมินิมอลได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
จากที่ดูตารางนิทรรศการหมุนเวียนของที่นี่บอกเลยว่าค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว อย่างช่วงที่เรามาจะเป็นงานของ Takashi Murakami เจ้าของผลงานดอกไม้ยิ้มแฉ่งอันโด่งดัง ที่เคยเป็นไวรัลไปทั่วโลก งานนี้จัดเพื่อฉลองครบ 90 ปีของคุณมุราคามิ ซึ่งถือเป็นนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยจัดเลยทีเดียว คอนเซปต์ของงานจะนำความเป็น contemporary art มาผสานร่วมกับภาพแบบ traditional Japanese ซึ่งเขาได้ผลิตชิ้นงานใหม่ถึง 170 ชิ้นเพื่อมาแสดงงานนี้โดยเฉพาะ เรียกว่าจุใจแบบคุ้มค่าเวลา คุ้มค่าตั๋วสุด ๆ
หลังจากก้ม ๆ เงย ๆ ดูงานจนเริ่มเมื่อย เดินเลือกซื้อของที่ระลึกจากมิวเซียมช็อปจนสาแก่ใจ ก็ได้เวลามานั่งพักร่าง พักใจจิบกาแฟ กินขนมกันที่ Museum Cafe ENFUS คาเฟ่สีขาวสะอาดดูเรียบง่าย เน้นความพิเศษไปที่อาหารและขนมที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ใช้เทคนิคแบบเกียวโตแท้ ๆ จึงมีกลิ่นอายความคราฟต์มอบความผ่อนคลายได้ดีทีเดียว แน่นอนว่า 100% ของการใช้จ่ายในนี้ ตั้งแต่ซื้อตั๋วเข้า ช็อปของที่ระลึก มาจนคาเฟ่ เราแตะจ่ายด้วย YouTrip ทั้งหมด ง่าย สบาย ไม่ต้องคอยนับตังค์ทอน
019 Kamo River
พักสายตาจากงานออกแบบสุดคูล สู่วิวสายน้ำแห่งเกียวโตที่ ‘Kamo River’ ที่พักใจยามเย็นของเหล่าคนเมืองที่มีมานานกว่า 1,200 ปี และยังเป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมมากมาย อาทิ การแสดงคาบูกิที่ปลายแม่น้ำ ร่องรอยดาบซามูไรเมื่อปี 1864 ฯลฯ ด้วยขนาดที่ค่อนข้างกว้างใหญ่และเป็นเส้นยาว จึงมีทัศนียภาพที่หลากหลาย ทั้งวิวเลียบอาคารเก่าแก่ วิวที่ขนาบข้างด้วยต้นไม้ใบหญ้า มีการปูพื้นทางเดินอย่างดี ให้ผู้คนมาทำนานากิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นปิกนิก ออกกำลังกาย เด็ก ๆ มาศึกษาธรรมชาติ นั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน โดยความงามของแม่น้ำแห่งนี้จะเปลี่ยนไปทั้ง 4 ฤดู และแน่นอนว่าเป็นอีกจุดยอดนิยมสำหรับการชมซากุระในช่วงใบไม้ผลิด้วยเช่นกัน
020 Pontocho
ถ้าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ Kamo River ไปแล้ว ก็แนะนำให้มาเดินจบทริปต่อกันที่ ‘Pontocho’ ตรอกขนาดเล็กที่ตกแต่งด้วยโคมไฟสไตล์ญี่ปุ่น ให้บรรยากาศชวนเพลิดเพลินมาก ที่นี่เป็นแหล่งรวมร้านอาหารยามเย็นที่ป๊อปปูล่ามากที่สุดในเกียวโต เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน หรืออยากทานอะไรก็ล้วนหาได้จากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ร้านปิ้งย่าง อาหารแบบฟิวชั่น ไปจนถึงอาหารต่างประเทศ ก็มีให้เลือกอย่างคับคั่ง แถมทุกร้านแตะจ่ายด้วย YouTrip ได้แทบทั้งนั้น ส่วนถ้าใครยังอยากถ่ายรูปยามค่ำเราขอแนะนำให้สวมชุดกิโมโนสีสด รวบผมเปิดต้นคอยาวระหงส์สีขาว แล้วก้าวเล็ก ๆ บนเกี๊ยะไม้มาเดินถ่ายรูปคู่กับประตู หน้าต่าง ถนน โคมไฟ คนผ่านไปผ่านมา อะไรก็ว่าไป รับรองว่าจะได้ภาพปิดทริปที่ไลค์อลังแน่นอนจ้า
เที่ยวต่างประเทศทีไรไม่เคยต้องกังกวลเรื่องการแลกเงินเลยตั้งแต่มีบัตร YouTrip โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น แทบทุกที่เราสามารถแตะจ่ายได้อย่างง่ายดาย ใช้ปุ๊บมีข้อความแจ้งเตือนเด้งเข้าแบบเรียลไทม์ ทั้งสะดวกปลอดภัย ที่สำคัญ!!! เรทแลกดีที่สุด กดเงินสดผ่านตู้ ATM ของ Japan Post Bank, Aeon และ Seven Bank ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เรียกว่าเป็นบัตรที่มีแต่ให้กับให้ คุ้มขนาดนี้ไม่มีไม่ได้แล้วนะ ไปสมัครกัน
แม้เราจะดูเชี่ยวชาญเรื่องเที่ยวญี่ปุ่นขนาดไหน แต่นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จัก เกียวโต-นารา แบบอินไซด์ในอีกมุมมองผ่าน 20 สถานที่ ฉะนั้นเพื่อน ๆ คนไหนที่เคยมา เกียวโต-นารา แบบวันเดย์หรือทูเดย์ เช็กอินเฉพาะไฮไลต์ เราขอให้แพลนกลับมาใหม่โดยอีกครั้ง เพราะเมืองมรดกโลกที่อบอวลไปด้วยวัฒนธรรมแห่งนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาและตกหลุมรักอีกเยอะ อย่างทริป 3 วัน 2 คืน ที่แนะนำกันวันนี้ เชื่อว่าหากปักหมุดตามจะต้องกลายเป็น Destination ขึ้นหิ้งแห่งคันไซของทุกคนอย่างแน่นอน