มัดรวม 27 พิกัด จาก Nagoya และ Mie 2 เมืองแห่งภูมิภาคชูบุ มาจัดแพลนแพคคู่ฟูลฟีล ให้เหล่าเจแปนเลิฟเว่อร์เที่ยวตามแบบฉ่ำใจ
ทริปสุดประทับใจในภูมิภาคชูบุล่าสุดรอบนี้ เราเริ่มต้นที่จังหวัด มิเอะ ด้วยการพาทุกคนไปดื่มด่ำความอุดมสมบูรณ์ของทั้งทะเลภูเขา คละเคล้าวิถีชีวิตโลคอลแสนยูนีคของเหล่าอามะจัง แวะฮอปปิงขอพรศาลเจ้า สวมยูกาตะลากเกี๊ยะเดินลัดเลาะถ่ายรูปบนถนนในย่านเมืองเก่าอย่างเพลิดเพลิน แช่ไพรเวทออนเซ็นท็อป 3 ของประเทศ พักผ่อนในที่พักธีมดีสตอรี่แน่น ก่อนจะย้ายไปนาโกยาเพื่อตามล่าสปอตสุดฮิดเด้น ลิ้มรสอาหารพื้นถิ่นรสชาติอร่อย แล้วค่อยจบที่ละลายทรัพย์ครั้งยิ่งใหญ่เพื่อใช้โควต้าน้ำหนักกระเป๋าให้เต็มที่
และทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ทริปนี้ ขอยกให้เป็นเครื่องการรันตีว่าต่อให้เที่ยวญี่ปุ่นอีกสิบหรือยี่สิบครั้ง … ก็ยังห่างไกลคำว่าเบื่อ เพราะญี่ปุ่นเขามีเสน่ห์ทุกที่ น่าเที่ยวทุกเมืองจริง ๆ คอนเฟิร์ม!!!!!!!!
แพลนเที่ยว 4 วัน 3 คืน ” Nagoya – Mie “
Day 1 ::
Arrived Chubu Centrair International Airport with Thai Airways ( TG644 BKK-NGO :: 00.05 น. – 08.00 น.)
01 Ise Shrine
02 Oharai-machi
03 Ebiya-Daishokudou
04 SNOOPY茶屋
05 Akafuku Honten wi
06 Okage-yokocho
07 Meoto Iwa, Futami Okitama Shrine
08 Hinjitsukan (賓日館)
09 Hachiman Kamado (Ama Goya)
10 Shima Kanko Hotel
Day 2 ::
11 Yokoyama Observatory Deck
12 Mikimoto Pearl Island
13 無添加商店 尾粂 三重VISON店
14 Misugi Resort
Day 3 ::
15 Seki-Juku ( Seki Post Town )
16 SEKIHONJIN at Meihan Seki Drive-in
17 Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima
18 Nikko Style Nagoya
19 Gomitori
Day 4 ::
20 Wakamiya Hachiman Shrine
21 Nagoya Castle
22 Nagoya Nogakudo Noh Theater
23 Kinshachi Yokocho
24 Tamesaburo Memorial Museum
25 Kakuōzan Nittai-ji Temple
26 Shopping at PARCO in Sakae Downtown
27 Osu Shopping Street
Banck to Bangkok with Thai Airways ( TG647 NGO-BKK :: 00.30 น. – 04.30 น.)
ปักหมุดแล้วตามไปเที่ยวได้เลย go go!!!!!
ทริปนี้เราบินตรงกับการบินไทยด้วยเครื่องบินลำใหญ่ Airbus A350-900 ที่นั่งกว้างสบาย เหยียดตัวได้ มีที่วางขา ปรับเอนเบาะสบาย ๆ พร้อมเซ็ตอาหารรสชาติถูกปากให้กินจุก ๆ การบริการทุกอย่างถือว่าตรงตามมาตรฐาน Full service ทำให้การเดินทางตลอด 6 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ สู่นาโกยา (Chubu Centrair International Airport) ครั้งนี้ มีแต่ความสะดวกสบาย
โดยปัจจุบันเส้นทาง กรุงเทพฯ – นาโกยา การบินไทยจะมีบินตรงทุกวัน
TG644 BKK-NGO :: 00.05 น. – 08.00 น.
TG645 NGO-BKK :: 11.00 น. – 15.00 น.
และตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 67 นี้เป็นต้นไป การบินไทยจะมีเที่ยวบินเพิ่มเติมมาเป็นตัวเลือกดี ๆ งาม ๆ ให้อีก ( บินเฉพาะวันอังคาร,พฤหัสบดี,ศุกร์ และอาทิตย์ )
TG646 BKK-NGO :: 10.45 น. – 18.40 น.
TG647 NGO-BKK :: 00.30 น. – 04.30 น.
เรียกว่าบินกันฉ่ำ 11 เที่ยวต่ออาทิตย์ ใครกำลังมีแพลนไปเที่ยว Chubu ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็ตามไปดูตั๋วกันได้เลย https://www.thaiairways.com/flights/th-th/เที่ยวบิน-ไป-นาโกยา
Highspeed Boat from Chubu Centrair International Airport to Mie Prefecture
ด้วยแพลนทริปนี้จะเริ่มเที่ยวกันจากจังหวัดมิเอะ ทันทีที่แลนดิ้งเราก็ขอเดินทางข้ามเมืองแบบปัง ๆ ด้วยเรือ ซึ่งสามารถขึ้นจากท่าเรือใน Chubu Centrair International Airport ได้เลย ถือเป็นวิธีที่ประหยัดเวลามากกว่านั่งรถไฟมาก เพราะใช้เวลาราว ๆ 45 นาทีเท่านั้น โดยเรือที่เรานั่งมีชื่อว่า ‘Ninja High Speed Ship’ ขึ้นฝั่งในจังหวัดมิเอะที่ Tsu Nagisa Machi ราคาอยู่ที่ 2,980 เยน มีตารางเดินเรือตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึง 4 ทุ่มเลยทีเดียว หากสนใจ เข้าไปดูข้อมูลได้ที่ https://tsu-airportline.co.jp/ เขามีภาษาอังกฤษให้เรียบร้อย
Day 1
001 Ise Shrine
สปอตแรกที่นึกถึงเมื่อเมาเยือนมิเอะต้องเป็นที่นี่เลย Ise JinguIse Jingu ศาลเจ้าชินโตแห่งแรกของประเทศที่มีอายุกว่า 2,000 ปี สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ดูเรียบง่ายแต่มีกลิ่นอายต้องมนต์ขลัง แม้จะถูกบูรณะถูกดูแลอย่างดี ก็ยังคงมีร่องรอยของกาลเวลาหลงเหลือ ทั้งบนเสาโทริอิ ของขลังภายในศาลเจ้าต่าง ๆ โดยเชื่อกันว่าที่นี่เป็นที่สถิตของเทพสูงสุดของชินโต หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ (Amaterasu Omikami) ผู้เป็นบรรพบุรุษที่คอยปกปักษ์รักษาชาวญี่ปุ่น จึงเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วประเทศ ถึงกับตั้งมั่นกันว่าจะต้องมากราบไหว้กันสักครั้งในชีวิต
ภายในได้ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ด้วยศาลเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่มากกว่า 125 แห่ง ที่จะมีเทพองค์ต่าง ๆ สถิตอยู่ อาทิ Toyoukedai Jingu ศาลเจ้าส่วนนอกเป็นของเทพแห่งการเพาะปลูก ทำหน้าที่ถวายอาหารแด่เทพดวงอาทิตย์ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถเข้าถึงได้เพียง 10 % ของทั้งหมด ในส่วนที่ลึกกว่านี้มีไว้สำหรับราชวงศ์ที่สามารถเข้าไปทำราชพิธีได้เท่านั้น นอกจากประชาชนคนทั่วไปจะนิยมมาขอพรให้ชีวิตดี ประสบความสำเร็จแล้ว เหล่านักธุรกิจบริษัทใหญ่ ๆ ก็ชอบมาทำพิธีไหว้บูชาเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าประเทศนี้เขาก็มีความเชื่อที่แข็งแกร่งอยู่เหมือนกันนะ
002 Oharai-machi
เดินออกมาจากศาลเจ้าทางด้านหน้า เราจะพบกับ Oharai-machi ถนนคนเดินที่ขนาบข้างไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคเอโดะ บ้านเรือนไม้สูงสองชั้นปกคลุมด้วยกระเบื้องสีเข้มดูแข็งแรงคงทนเรียงรายยาวกว่า 1 กิโลเมตร มีการนำสินค้ามาวางล่อตากันไม่หยุด ตั้งแต่งานเซรามิก งานคราฟต์ ของที่ระลึก ขนม เนื้อย่างเสียบไม้ หน้าตาแทบไม่ซ้ำกัน ที่นี่จึงเหมาะแก่การมาเดินชิล ๆ เพลิน ๆ หาของกินของฝากสุด ๆ เอาจริง!!! บรรยากาศเมืองเก่าแบบนี้ถือเป็นอีก Part ของการเที่ยวญี่ปุ่นที่ทำเราประทับใจในเสน่ห์ทุกครั้ง
003 Ebiya-Daishokudou
สำหรับมื้อเที่ยงเรามาฝากท้องกันที่ Ebiya-Daishokudou ตัวร้านตั้งอยู่บนถนนเส้นคลาสสิกแห่งนี้เช่นกัน ที่นี่มีสตอรี่แน่นสุด ๆ เพราะเปิดมานานกว่า 150 ปี ภายในร้านตกแต่งอย่างเรียบหรูแบบญี่ปุ่นโดยแท้กับโต๊ะที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบ ประดับด้วยโคมกระดาษโบราณทั่วร้าน มีที่นั่งทั้งแบบเสื่อทาทามิและเก้าอี้ โดยเขาจะมุ่งเน้นเรื่องการรักษารสชาติความอร่อยประจำภูมิภาคกว่าร้อยปี ด้วยเหล่าวัตถุดิบสุดพรีเมียมที่หาได้ตามท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อมัตซึซากะ ล็อบสเตอร์อิเสะ เป๋าฮื้อ ของทะเลต่าง ๆ ซึ่งเรากินข้าวด้งหน้าปลาทูน่า ที่เขาจะใช้ปลาครีบน้ำเงินที่มีอายุมาก เนื้อจึงมีรสชาติกลมกล่อม มีไขมันปานกลางให้พอเด้ง เป็นมื้อที่ฉ่ำวาวไปด้วยกลิ่นไอทะเล เชื่อว่าใครได้ลิ้มลองเป็นต้องจดจำไปอีกแสนนาน
004 SNOOPY茶屋
อิ่มหนำกันพอสมควรก็ออกมาเดินหาของหวานล้างปาก จนกวาดตาไปเจอตัวการ์ตูนที่คุ้ยเคยของร้าน SNOOPY茶屋 ที่มีสาขากระจายอยู่ตามย่านเมืองเก่าป็อป ๆ ทั่วประเทศถึง 7 แห่ง สำหรับที่นี่น่ารักตั้งแต่ทางเข้ากับภาพเพนต์บนกำแพงไม้ เมนูซิกเนเจอร์ประจำสาขาคือ ’Snoopy Yaki’ แป้งหนานุ่มหอมกรุ่นเนยยัดไส้ต่าง ๆ มีให้เลือกทั้งถั่วแดง คัสตาร์ด และไส้ตามฤดูกาล กินคู่กับชาเขียวแล้วมันสุดจะฟิน นอกจากนี้ยังมีสินค้าตั้งแต่กระเป๋า แก้ว เครื่องประดับ ตุ๊กตา ของฝากท้องถิ่นแพ็กเกจจิงน่ารัก ๆ ให้เลือกอีกเพียบ!
005 Akafuku Honten
เดินต่อจนเกือบสุดถนน เราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านดังประจำย่านกับ Akafuku Honten ร้านน้ำชาที่อยู่มานานกว่า 300 ปี เมนูที่ดึงลูกค้าให้มาต่อคิวยาวเหยียด คือ Akafuku Mochi โมจิผสมถั่วแดงของดีประจำถิ่น แต่การออกแบบขนมร้านนี้เขามีความหมายนะจ๊ะ เพราะการปั้นถั่วแดงเป็นริ้วนี้แฝงถึงแม่น้ำ Isuzu ที่ไหลผ่านศาลเจ้าอิเสะ และแป้งโมจิด้านล่างก็เปรียบเสมือนเป็นก้อนกรวดที่อยู่ใต้น้ำ เมื่อเราออเดอร์เสร็จ โมจิจะถูกเสิร์ฟพร้อมน้ำชามาในถาดเดียวกัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและการแบ่งปันน้ำใจที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ปูสตอรี่มาขนาดนี้ เรื่องรสชาติไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ ความนุ่มละมุนลิ้นของถั่วแดงและโมจิที่ทานคู่กับชาร้อน ๆ มันให้ความรู้สึกที่ลงตัว กลมกล่อม จนอยากสั่งมาเคี้ยวเรื่อย ๆ
006 Okage-yokocho
มรดกโลกอยู่ไม่ไกล แค่เดินข้ามฝั่งจากร้านขนมมานิดเดียวก็เจอกับ Okage-yokocho (ตรอกโอคะเกะโยโคะโจ) ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 31 ปี ด้วยแนวคิดที่เกิดจากความรู้สึกซาบซึ้งใจในความงดงามของสภาพแวดล้อมและทรัพยากรในเมือง Oharai เมืองเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในศาลเจ้า Ise จุดหมายของนักแสวงบุญจำนวนมาก ที่แม้ว่าเส้นทางข้ามเมืองในสมัยเอโดะจะยากลำบากขนาดไหน แต่ยังดั้นด้นมาจนสำเร็จ ซึ่งชาวเมืองจึงตระเตรียมพื้นที่เพื่อต้อนรับผู้มาเยือน เพราะเชื่อว่าการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้น เป็นการแสดงความขอบคุณต่อเทพเจ้าที่สถิตอยู่ ณ ศาลเจ้านี้ด้วยนั่นเอง ปัจจุบันจึงมีการปรับพื้นที่ขนาด 3.2 เอเคอร์ เพื่อนำสถาปัตยกรรมทั้งสมัยเอโดะและเมจิมาวางอยู่ร่วมกัน บ้างถูกสร้างใหม่ บ้างย้ายมากจากพื้นที่อื่น ๆ ให้เราได้เห็นบรรยากาศอันรื่นรมย์ของผู้คนภายใต้คอนเซปต์เดิม ที่ยังมีความรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งแวดล้อม เผื่อแผ่แก่ผู้มาเยือนอยู่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO
นอกจากเรื่องราวแล้ว ในนี้ยังมีร้านค้ากระจายตัวอยู่มากมาย ของกินเล่นให้เราได้เลือกชิมเยอะแยะ ทีเด็ดมงลงเรายกให้โคร็อกเกะแสนอร่อยจากร้าน Butasute ขายมา 115 ปี โดดเด่นเรื่องเนื้ออิเสะวากิวที่พิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนการเลี้ยง การตัดชิ้นเนื้อ เผยให้เห็นลายหินอ่อน มีทั้งเมนูข้าวหน้าและโคร็อกเกะ บอกเลยว่ากลิ่นเนื้อหอมฟุ้งกระจาย ความจุยซ์ของเนื้อนั้นแทบละลายไปกับแป้ง และนอกจากกินฟินแล้ว ของที่ระลึกในตรอกนี้ก็ถือว่าเด็ดดวงพวงมาลัยเด้อแม่ มีสินค้าให้เลือกหลากหลายแนวมาก
ส่วนใครที่เป็นทาสแมวและพ่วงตำแหน่ง no.1 สายมู ขอแนะนำให้เดินต่อมาที่ Kitcho Shofukutei เพราะร้านนี้เขาจะเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์แมวกวัก ที่รวบรวมผลงานจากศิลปินและเครื่องปั้นดินเผารูปแมวจากทั่วประเทศ ทุกยุคคละเคล้ากันไป และแน่นอนว่ามีรูปแบบซิกเนเจอร์ด้วยเช่นกัน กับคุณลุงแมวที่นอนแผ่อยู่บนเบาะรองนั่ง และภายใต้ความน่ารัก แมวเหล่านี้ก็มาพร้อมโชคลาภที่พร้อมจะมอบให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครองเช่นกัน
007 Meoto Iwa, Futami Okitama Shrine
มูจากน้องแมวเสร็จ เราก็มามูกันต่อรัว ๆ สำหรับใครที่กำลังท้อแท้กับความรัก อกหักรักคุด รักเขาแล้วเขาไม่รักตอบ หรือเป็นคู่รักหวานชื่นแต่ก็อยากให้เขาขอแต่งงานสักที เราอยากให้มาที่ ‘Meoto Iwa’ หรือที่เรียกกันว่าหินแต่งงาน ตั้งอยู่ที่ศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine) เป็นหินสองก้อนตั้งอยู่คู่กันตามธรรมชาติ โดยคนโบราณเขาแทนหินก้อนใหญ่เป็นสามี และก้อนเล็กเป็นภรรยา มีธรรมเนียมเอาเชือกฟางเส้นโตมาคล้องเชื่อมทั้งสองก้อนไว้ด้วยกัน เหมือนคู่บ่าวสาวบ้านเราในประเพณีรดน้ำสังข์ ซึ่งเชื่อกันอีกว่ามีเทพ Izanagi และเทพ Izanami เทพผู้สร้างสรรพสิ่งบนโลก ให้กำเนิดเทพต่าง ๆ สถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย
ถ้าลองสังเกตรอบ ๆ เราจะเห็นรูปปั้นกบอยู่ด้วย ซึ่งกบนี้มีความหมายถึงการกลับมา เป็นคำพ้องเสียงจากคำว่า Kaeru (กบ) และ Kaeri (การกลับมา) สำหรับใครที่พลัดพรากจากความรัก ณ จุดนี้ แนะนำให้ลองแวะมาขอพรดูนะ เผื่อใครคนนั้นจะกลับมาครองรักแบบนิรันดร์ บ่มีอีหยังมาพังทลาย ความฮักเฮาสองลงได้ ^^
008 Hinjitsukan (賓日館)
ใกล้ ๆ กันกับหินคู่รักยังมีอีกพิกัดที่บอกเล่าเรื่องราวของพื้นที่นี้ได้อย่างดี Hinjitsukan (賓日館) อดีตเรียวกังที่สร้างมานานกว่า 137 ปี ใช้สำหรับต้อนรับแขกระดับสูงผู้มาเยือนศาลเจ้าอิเสะ โดดเด่นด้วยงานออกแบบยุคเมจิ ใช้โครงสร้างไม้ พร้อมลวดลายการตกแต่งที่เน้นความวิจิตรบรรจงฝีมือสถาปนิกชั้นนำแห่งยุค แม้แต่ละห้องจะถูกออกแบบให้เป็นญี่ปุ่นดั้งเดิม แต่ก็มีการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์ตะวันตก เช่น การสลักปิดทอง ติดตั้งโคมระย้า มีห้องประชุมขนาดใหญ่ถึง 120 เสื่อทาทามิ รวมไปถึงสวนที่ถูกจัดโดยช่างศิลป์ผู้มีชื่อเสียง ทุกอณูนี้เต็มไปด้วยความใส่ใจที่ชวนมองจริง ๆ
009 Hachiman Kamado (Ama Goya)
พิกัดน่ารักที่ขอยกให้เป็น MVP ของวันก็คือ Hachiman Kamado กระท่อมเล็ก ๆ ที่เหล่าอามะจัง หรือ สาวนักประดาน้ำใช้พักผ่อนเพื่ออบอุ่นร่างกาย และจัดมื้อปิ้งย่างคลายหนาว สาวกปิ้งย่างอย่างเราก็ไม่พลาดที่จะมาสัมผัสและลิ้มลองประสบการณ์นี้ ซึ่งสำหรับเรารู้สึกคุ้มค่ามากเว่อร์ ตั้งแต่เปิดประตูกระท่อมเข้าไปมันสัมผัสได้ถึงความเรียลของอามะแต่ละคนที่ถูกฝึกฝนนับสิบปีกว่าจะมีอาชีพนักดำน้ำ ซึ่งเท่าที่รู้มาอาชีพอามะมีประมาณ 2,000 คนในญี่ปุ่น และครึ่งหนึ่งอยู่ที่มิเอะ ฉะนั้นดินเนอร์วันนี้ต้องขอฝากท้องกับอามะเลยก็แล้วกัน
โดยในกระท่อมจะล้อมด้วยโต๊ะอาหาร ส่วนตรงกลางเป็นเตาถ่านที่เหล่าอามะจะนั่งล้อมวงกันย่างกุ้ง ปู หอย ส่งกลิ่นหอมชวนหิวกันให้เห็นสด ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่อามะไปดำหามาได้เมื่อเช้านี้ ไม่ว่าจะเป็นหอยนานาชนิด อาทิ เป๋าฮื้อ หอยเชลล์ ฯลฯ ทีเด็ดอยู่ที่กุ้งมังกรหรือกุ้งอิเสะ ของขึ้นชื่อให้เราได้ชิมเป็นบุญปากบุญท้อง รสชาติบอกเลยว่าสดหวานฉ่ำ หอมกลิ่นทะเลขั้นสุด ขณะที่ย่างไป กินไป เราก็ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของอาชีพอามะประดับความรู้ เพิ่มอรรถรสของมื้อนี้ให้แซ่บยิ่งขึ้น ส่วนใครสนใจแต่งตัวแบบอามะ เขาก็มีชุดให้ลองใส่ด้วยนะ ใครอยากมาตามต้องจ้องล่วงหน้า … ห้าม Walk in เด็ดขาด เพราะอามะทั้งหลายต้องเตรียมอาหารแบบสดๆ ไว้ให้เพียงพอต่อการสั่งจองแต่ละครั้งด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมและทางไปจอง http://amakoya.com/amahuthachimanreserve.htm
010 Shima Kanko Hotel
คืนแรกเราพักกันที่ Shima Kanko Hotel โรงแรมขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 73 ปีแล้ว ภายในถูกรีโนเวทให้ดูโมเดิร์นขัดจากภาพอาคารภายนอกอย่างสิ้นเชิง อย่างที่นั่งตรงล็อบบี ถ่ายออกมาแล้วเหมือนบาร์แสนเก๋ ส่วนห้องนอนก็มีให้เลือกหลายไทป์ บวกกับโลเคชันที่ตั้งอยู่ริมอ่าวอาโกะ ยืนหนึ่งเรื่องความเงียบสงบ พร้อมอากาศสุดเฟรชจากธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติอิเสะชิมะ เรียกว่ามอบความผ่อนคลายได้ทุกโสตประสาทจริง ๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://bit.ly/3YbNu52
Day 2
อีกสิ่งที่ประทับใจคือห้องอาหารเช้าที่ตกแต่งหรูหราคลาสสิกสไตล์ลูกคุณ ให้เกียรติการรีบตื่นเช้ามาแต่งหน้าทำผมของเรามาก ๆ โดยเมนูอาหารสามารถเลือกได้ทั้งแบบเซ็ตเบนโตะ และไลน์บุฟเฟต์ มีที่นั่งริมกระจกบานใหญ่ให้เรากินข้าวพร้อมดื่มด่ำกับวิวริมอ่าวแบบพาโนรามาได้อย่างสบายอารมณ์ และยังมี Facilities อีกหลาย ๆ อย่างที่เหมาะสมแก่การพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ฟิตเนส พื้นที่นั่งเล่นส่วนกลาง ลานระเบียงชมพระอาทิตย์ตกดิน สมมงโรงแรม 5 ดาวม๊าก
011 Yokoyama Observatory Deck
หลังจากเช็กเอาต์จากโรงแรมก็พุ่งตัวขึ้นสู่ที่สูงไปจิบกาแฟ ณ จุดชมวิวของ Mt.Yokoyama กับภาพมุมกว้างมองเห็นทั้งอ่าวอาโกะ ที่มีเกาะแก่งมากถึง 64 แห่ง ถูกโอบอุ้มด้วยผืนป่าที่มีต้นไม้สีเขียวขึ้นฟูฟ่องดูนุ่มนิ่มราวฟองน้ำ พร้อมท้องฟ้าที่แม้จะครึ้มฝนแต่ก็มอบความเย็นซ่านได้แบบไม่เสียมู้ด เรียกว่าเป็นโมเมนต์ในฝันที่หลาย ๆ คนอยากสัมผัส เชื่อว่าถ้าใครได้มาจะต้องได้รับการฟูลฟิลจากธรรมชาติไม่ต่างจากเราแน่นอน บนนี้จะมีร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ขายทั้ง Coffee, Café au lait, Vinegar Drink, Soft Creamให้เราเติมความสดชื่นด้วยนะ
012 Mikimoto Pearl Island
หากย้อนไปเมื่อ 120 กว่าปีที่แล้ว Mikimoto Pearl Island แห่งนี้คือแหล่งกำเนิดการเลี้ยงหอยมุกที่แรกของโลกโดยคุณโคะคิชิ มิคิโมะโตะ ซึ่งปัจจุบันก็มีรูปปั้นของเขาอยู่บนเกาะนี้ด้วย ช่วงสาระมีอยู่จริง!! ทุกคนรู้หรือเปล่าว่าไข่มุกเลี้ยงเม็ดแรกที่เลี้ยงได้เป็นแค่ไข่มุกครึ่งซีก (Mabes) เท่านั้น แล้วคุณมิคิโมะโตะ เขาใช้เวลาร่วม 10 ปี เพื่อทดลองเลี้ยงไข่มุกให้ได้ทรงกลมและสำเร็จในที่สุด สำหรับคนที่สนใจก็สามารถมาเที่ยวเกาะไข่มุกนี้เพื่อเรียนรู้วิธีการเลี้ยง ติดตามการเจริญเติบโต การเก็บ การคัดเลือกไข่มุกได้ ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นคนสนใจเรื่องเครื่องประดับมุกมาก่อน แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็แอบอินเหมือนกัน งานจิวเวอรี่แต่ละชิ้นเขาออกแบบสวยตาแตกเกินคุณน้า
สืบเนื่องจากการฝากท้องกับอามะในเมื่อวาน จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เราเลือกมาเกาะไข่มุกแห่งนี้ ก็เพื่อมาชมโชว์นักดำน้ำอามะ (Ama) แต่งชุดโบราณสีขาวดำน้ำลงไปเก็บหอยมุก โดยนักประดาน้ำหญิงที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาการเลี้ยงหอยมุกเป็นอย่างมาก ส่วนสาเหตุที่ใช้ผู้หญิงเป็นคนดำน้ำไปเก็บหอยมุกเนื่องจากผู้หญิงมีชั้นไขมันที่หนากว่าทำให้ทนต่อสภาพอากาศหนาวและน้ำทะเลที่เย็นมากในหน้าหนาวได้ดีกว่าผู้ชาย เรานั่งดูไปก็อึ้งไปกับทั้งความเก่ง ทั้งความอึด และยังมีความชำนาญมากๆ ส่วนสิ่งที่เราลืมไม่ลงเลยคือเสียงผิวปากที่ใช้กำหนดลมหายใจของอามะขณะดำน้ำนี่ล่ะ ยกให้เป็นยอดหญิงพลังแกร่งแห่งปี 2024 ของเราไปเลย
โชว์ดำน้ำนี้จะมีทั้งหมด 8 รอบ/วัน คือ 9:30 / 10:30 / 11:30 / 13:30 / 14:30 / 15:30 / 16:30 น.
013 無添加商店 尾粂 三重VISON店
ไปต่อกับแหล่งไลฟ์สไตล์สุดชิลที่ขอยกให้เป็นฮิดเด้นเจมส์ของเมืองมิเอะ เรียกสั้น ๆ ว่า VISON มาสปอตเดียวได้ครบทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร ตลาดขายของสดที่รวบรวมของดีท้องถิ่นเอาไว้ ยังมีสปาแสนพรีเมียมที่มีแล็บสำหรับรีเสิร์ชด้านสมุนไพร สถานที่เวิร์กช็อปชมการผลิตมิริน สาเก ซีอิ๊วแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ไปจนถึงฟาร์ม พื้นที่เล่น-กิจกรรมสำหรับเด็ก และที่พักแบบโรงแรมและวิลล่าสุดลักชู ซึ่งทุกสัดส่วนถูกออกแบบให้ดูมินิมอลเรียบง่ายแต่มากด้วยดีเทล พรีเซนต์งานคราฟต์ได้อย่างโมเดิร์น เป็นคาแรกเตอร์ของงานญี่ปุ่นยุคใหม่แบบ 100% เหมาะสมกับทั้งสายคอนเทนต์ สายถ่ายภาพ สายชอป สายชิล สายอาร์ตดีไซน์เลย
หากให้เช็กอินหมดทุกจุดอาจต้องใช้เวลาราว ๆ 2 วัน เราเลยขอจิ้มเลือกฝากท้องกันที่ร้าน NOUNIYELL ตั้งอยู่ในโซนของฟาร์ม เน้นใช้วัตถุดิบเป็นพืชผักที่ปลูกเองด้วยวิธีเกษตรอินทรีย์ คอนเซปต์เพื่อปกป้องชีวิตและดินให้เป็นไปอย่างธรรมชาติและอยู่อย่างยั้งยืน จึงมั่นใจได้เลยว่าทุกคำที่กินนั้นปลอดภัยไร้สารเจือปน โดยเขาจะจัดเสิร์ฟมาเป็นคอร์ส เริ่มจากสลัดที่มีความหวานกรอบประหนึ่งเพิ่งเด็ดมาจากต้น ตามด้วยพาสต้ารสไลท์ ๆ หอมกลิ่นชีสให้พอเรียกน้ำย่อย ต่อด้วยสเต๊กที่ย่างมาแบบนุ่มจุยซ์กินคู่ผักย่างฟิน ๆ ปิดท้ายด้วยขนมหน้าตาเก๋ประหนึ่งงานอาร์ต กินกับกาแฟดำแล้วช่วยล้างปากได้อย่างดี
และถ้าใครสนใจอยากดื่มด่ำอยู่ในนี้ให้นานอีกหน่อย ก็สามารถลากกระเป๋ามาเช็กอินได้ในโซนที่พักซึ่งมีให้เลือกถึง 4 โรงแรม ซึ่งเราเลือกแวะมาดู HACIENDA VISON โรงแรมใหม่ล่าสุดที่เห็นปุ๊บอยากจะเดินไปทำเรื่องจองซะเดี๋ยวนั้น เป็นเหมือนคฤหาสน์กลางหุบเขา มี 6 ห้องนอนออกแบบไม่ซ้ำ ทุกห้องมีมุมนั่งเล่น ห้องครัวฟีลแฟมิลี่รูม แต่ละจุดตกแต่งด้วย Interior ชั้นเลิศองค์ประกอบเป๊ะ ทางแสงปัง!! ส่วนรูปแบบอื่น ๆ ก็จะมี HOTEL VISON ที่แบ่งเป็นห้องโรงแรมลดหลั่นเป็นขั้นบันได มีห้องให้เลือกถึง 5 ไทป์, VILLA บ้านพักที่แยกตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่มีให้บริการอยู่ 6 หลัง, HATAGO VISON ห้องที่ใช้การออกแบบแตกต่าง บ้างโฮมมี่ บ้างดูเรโทร ชอบนอนแบบไหนเลือกได้เลย
014 Misugi Resort
ด้วยความรักที่เรามีต่อออนเซ็นจึงต้องหันหนีจากโรงแรมแสนโมเดิร์นสู่เรียวกังสุดพรีเมียมที่ได้มงออนเซ็นไพรเวตติดอันดับ Top 3 ของญี่ปุ่น! อย่าง Misugi Resort ที่พักที่ให้ความใส่ใจแก่แขกผู้มาเยือน เพราะไม่ว่าจะเทศกาลไหนก็จะมีการจัดโถงส่วนกลางแบบเล่นใหญ่เล่นโตเรียกรอยยิ้มอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานฮัลโลวีน วันเด็กผู้หญิง คริสต์มาส ฯลฯ โดยห้องนอนของที่นี่จะมีให้เลือกทั้งแบบญี่ปุ่นและตะวันตก ส่วนห้องที่มีบ่อแช่ออนเซ็นส่วนตัวมีทั้งหมด 5 ห้อง รูปแบบแตกต่างกัน พร้อมอาหารมื้อค่ำทั้งแบบไคเซกิและแบบบุฟเฟ่ต์ ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าปลาดิบ สุกี้เนื้อ จุกมากจ้าา
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://bit.ly/3XRpoeh
และอีกรูมไทป์แสนสเปเชียลยกให้ ‘Beer Room’ ห้องนอนแบบตะวันตกปูพื้นไม้เรียบหรู มีตัวเอกเป็นหัวจ่ายเบียร์คราฟต์ตั้งอยู่กลางห้อง จัดเสิร์ฟ Hinotani Beer จากโรงเบียร์ของตัวเองที่ทำจากน้ำแร่ท้องถิ่น ทำให้มีรสชาติและอะโรมาคล้ายกับไวน์เลยทีเดียว ถือเป็นหนึ่งในของดีจังหวัดมิเอะที่ได้รับรางวัลระดับจังหวัดมากมาย เข้ากับคอนเซปต์ ‘all-you-can-drink craft beer from check-in to check-out’ เอาใจสายดื่มกันแบบเต็มที่ และถ้าใครอยากจิบพอเป็นพิธี เขาก็มีร้านขายของฝากด้านล่างให้เลือกชมเช่นกัน
Day 3
หลังจัดมื้อเช้าเรียบร้อย เราก็สวมบทปาตีซีแยร์สาวเข้าคลาสทำขนมเค้กขอนไม้ Baumkuchen อีกหนึ่งกิจกรรมของทางโรงแรม ณ Fire Valley Beer Factory and Stone Oven Bakery ที่นี่เป็นทั้งโรงผลิตเบียร์และอบขนม โดยวัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากมิเอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี แป้งโฮลวีต เกลือทะเลลึก และน้ำแร่ธรรมชาติจากหุบเขาในเมือง Hinotani ขั้นตอนการทำนั้นเริ่มตั้งแต่การตีแป้ง จากนั้นราดแป้งบนแท่งเหล็ก หมุนให้แป้งเคลือบทั้งแกน แล้วนำไปผิงบนกระทะจนสุกจากนั้นก็ราดทับอีกชั้น แล้วทำตามขั้นตอนเดิม ทำไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นชิ้นหนา รูปทรงและลวดลายจะคล้ายขอนไม้ ถือเป็นเมนูยอดฮิตที่คนญี่ปุ่นชอบกินคู่กับชาเลย
015 Seki-Juku ( Seki Post Town )
ถอดผ้ากันเปื้อนเดินออกจากครัวแล้วเปลี่ยนใส่ชุดยูกาตะเพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของย่านเมืองเก่าสมัยเอโดะ Seki-Juku อีกหนึ่งจุดตรวจอันยิ่งใหญ่ของถนนโทไกโด เส้นเศรษฐกิจที่เชื่อมต่อระหว่างโตเกียวและเกียวโตระยะทาง 492 กิโลเมตร ซึ่งสมัยก่อนต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 13-15 วันเลยทีเดียว มีที่พักมากถึง 53 แห่ง และที่นี่ถือเป็นหนึ่งในจุดที่ใหญ่และเจริญรุ่งเรืองที่สุดจวบจนปัจจุบันที่เขายังคงความดั้งเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ตามบ้านเรือนเปิดเป็นร้านค้า ร้านอาหาร บางหลังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีวัด ศาลเจ้า ปราสาทให้ได้เดินเที่ยวเล่นอีก บอกเลยว่าใช้เวลากันยาว 3-4 ชม. เป็นการเช่าชุดกิโมโนมาถ่ายที่คุ้มค่าสุด ๆ
รูทที่เราอยากแนะนำคือการซื้อตั๋ว 500 เยน ที่สามารถเข้าได้ถึง 3 สถานที่เที่ยวสำคัญ ได้แก่ ‘หอแสดงรถไม้ของเซกิ (เซกิโนะยามะไคคัง)’ รถไม้สลักติดทองสุดวิจิตรที่จะถูกนำมาอวดโฉมในเทศกาลฤดูร้อน เซกิยะโดะกิองของทุกปี ‘พิพิธภัณฑ์ผังเมืองเซกิ’ บ้านที่เก็บรวบรวมเรื่องราวของเมือง พร้อมร้อยเรียงให้เราเห็นภาพในคราวเดียว จากภาพถ่ายเก่าแก่พร้อมบทความที่แขวนตามผนัง โครงสร้าง ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำให้จินตนาการภาพความเป็นอยู่ได้อย่างชัดเจน ‘พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เซกิจูกุฮาตะโกะทามะยะ’ ที่พักสมัยเอโดะที่ยังคงเดิม ทั้งรองเท้าฟาง อ่างล้างเท้า ห้องนอน ห้องอาหารปูเสื่อทาทามิ จัดวางโต๊ะฟูกไว้อย่างเป็นระเบียบ ประหนึ่งยังเปิดให้บริการอยู่ ถ้าชมครบทั้งสามแห่งแล้วจะอินกับการเดินเล่นในนี้อีกสิบเท่า
016 SEKIHONJIN at Meihan Seki Drive-in
ร้านอาหารในจุดพักรถที่ตะโกนความเป็นชนบทได้อย่างน่ารัก SEKIHONJIN at Meihan Seki Drive-in อาคารคล้ายโกดังสไตล์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยของฝากจำนวนมาก ทั้งขนม ของสด อาหารแห้ง ฟู้ดคอร์ดที่เน้นเมนูท้องถิ่นของมิเอะและอิเสะ ส่วนร้าน SEKIHONJIN จะอยู่ข้าง ๆ กัน เป็นบ้านญี่ปุ่นที่มีความโบราณผสมมินิมอล เน้นโทนสีขาวและงานไม้ทั้งภายนอกและภายใน ที่นั่งของเราติดกับวิวสวนที่เขาได้ตระเตรียมเมนูเด็ดวางไว้ให้เรียบร้อย เซ็ตสุกี้ยากี้ที่ใช้เนื้อมัตสึซากะอันขึ้นชื่อเรื่องความฉ่ำหอมของมันเนื้อลายหินอ่อน รสเค็มนิด ๆ กินคู่กับผักในซุปหวาน ๆ แล้ว มันกลมกล่อมลงตัวจนเกินจะบรรยายจริง ๆ
017 Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima
หลังจากเที่ยว ชิม พักผ่อนในมิเอะแบบจุใจตลอด 3 วัน ก็ได้เวลาย้ายเมืองไปยังนาโกยา แต่ถ้าไม่ชอปสักหน่อยก็อาจจะรู้สึกหงุดหงิดคันไม้คันมือ โลเคชันนี้เราให้เวลาจุก ๆ พาไปเริงร่ากันที่ Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima แหล่งรวมสินค้าลดราคาจากแบรนด์ดังที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งมีมากถึง 100 ร้านค้า ครบทั้งแบรนด์เนม สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ แบรนด์กีฬา แคมปิง เครื่องสำอาง ฯลฯ นอกจากนี้เขายังให้บริการออนเซ็น สวนสนุก สวนน้ำ มาที่เดียวครบทุกรส ตอบโจทย์ทั้งเที่ยวกับแฟน เพื่อน และครอบครัวจริง ๆ
แอบแวะไปดูบรรยากาศสวนสนุกสักหน่อยที่ ‘Nagashima Spa Land’ เครื่องเล่นเรียกว่ายังใหม่ไม่ไก่กาเลยนะ มีทั้งโซนเด็กที่เป็นเครื่องเล่นเน้นสีสันเน้นความน่ารัก ไปจนถึงรถไฟเหาะขนาดใหญ่ Hybrid Coaster Hakugei ที่จบด้วยการพาเราพุ่งตัวลงสู่ผิวน้ำ Cork screw พาตีลังกาเป็นเกลียวคลื่น และ Flying Coaster Acrobat นั่งห้อยขาบินไปสุดขอบฟ้า แต่ถ้าไม่ถนัดเครื่องเล่นหวาดเสียว แนะนำให้ไปนั่งบนชิงช้าสวรรค์ชมวิวพาโรนามาของอ่าวอิเสะ คาบสมุทรชิตะ และเทือกเขาซูซูกะก็ฟินไม่แพ้กัน
018 Nikko Style Nagoya
คืนสุดท้ายเรามาพักในเมืองนาโกยาที่ ‘Nikko Style Nagoya’ โรงแรมแบรนด์ท้องถิ่นดีไซน์เก๋ แค่ดูเผิน ๆ ก็รู้สึกถึงความสวยมีเสน่ห์ แต่สำหรับคนที่ชอบมองความละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเรา ถือว่าเป็นการตกแต่งที่ผสานวัฒนธรรมของนาโกยาได้อย่างกลมกล่อมไร้ที่ติ ภายใต้คอนเซปต์ ‘beyond accommodation: a hotel to experience’ ออกแบบโดย Gensler and Associates/International, Ltd., บริษัทสถาปนิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่นำงานฝีมือดั้งเดิมมาผสมผสานกับความโมเดิร์น สร้างสภาพแวดล้อมให้ผู้พักได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ควบคู่ไปกับความสะดวกสบาย พร้อมส่วนกลางและคาเฟ่แสนชิลให้เราได้พบปะเพื่อนใหม่ที่มีเทสต์เดียวกัน เราเห็นฝรั่งเข้ามาพักกันเยอะมาก ๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://bit.ly/4dvWGW3
ห้องนอนของเขามีให้เลือกถึง 5 ไทป์ด้วยกัน รองรับได้ตั้งแต่ 2-4 คน เรานอนห้อง Twin ขนาดถือว่าใหญ่พอสำหรับกางกระเป๋าเดินทาง 2 ใบได้ชิล ๆ การแบ่งสัดส่วนของห้องเป็นแบบสมัยใหม่ที่เน้นฟังก์ชัน อีกสิ่งที่อยากเชียร์ให้ทุกคนมาลองสัมผัสคือ Amenities ทั้งหมดในห้อง มีตั้งแต่ ทีวี ลำโพง GENEVA ไดร์ยี่ห้อ LOUVREDO สบู่-แชมพูแบรนด์ Kimura ที่หอมมากจนต้องซื้อกลับบ้านมาใช้ตาม เครื่องประทินผิว ไปจนถึงเครื่องชั่งน้ำหนัก ชุดดริปกาแฟ ทำเอาเข้าห้องปุ๊บก็แทบไม่อยากออกไปไหนอีกเลย
019 Gomitori
มาเอ็นจอยกันต่อกับร้านอิซากายะท้องถิ่นแบบนาโกยาแท้ ๆ ที่ ‘Gomitori’ ครองใจชาวเมืองมานานกว่า 68 ปี เน้นขายเมนูกับแกล้ม ทั้งของทอดและเมนูเสียบไม้สไตล์ดั้งเดิมเป๊ะ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Tebasaki ปีกไก่ทอดสไตล์นาโกยาที่ทำมาจากปีกไก่ขึ้นชื่อ Nagoya Cochin chicken, Dote Miso บรรดาหมูและผักเสียบไม้ทอดแล้วนำไปจิ้มในมิโซะแดงเข้มข้น, Miso Oden น้ำมิโซะสีน้ำตาลข้นคลั่กที่มีเครื่องโอเด้งลอยหน้าลอยตาอยู่มากมาย รสชาติมีความเค็มหวานกลมกล่อม ถือเป็นเมนูเอกลักษณ์ประจำเมือง กินเคล้ากับบรรยากาศแสนคึกคักตามสไตล์อิซากายะ ม่วนจอยสุด ๆ นอกจากนี้ทางร้านยังขยันหาโปรโมชั่นมาให้ร่วมสนุกอยู่เรื่อย ๆ ช่วงที่เรามาเขาให้ใช้มือหยิบปีกไก่จำลองขึ้นมา 1 กำ หยิบได้กี่ชิ้นก็ได้กินเท่านั้นในราคา 1,000 เยน คุ้มมาก!
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://bit.ly/4dz8S8B
DAY4
เร่ิมต้นวันสุดท้ายด้วยการดื่มด่ำมื้อเช้าใน Nikko Style Nagoya โดยเขาจะมีเซ็ตอาหารให้เลือก 4 แบบ เราสั่งแบบเวสเทิร์นที่ตัวไข่ทำเป็น French Toast ใช้ขนมปัง brioche เนียนนุ่มชุ่มไข่กินคู่กับแฮมเบคอน ตัดกับสลัดผักสด อีกชุดเป็นอาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่นที่คัดสรรอย่างพิถีพิถัน ทั้งปลาเผา ผักดอง ผักดองในสาเก ไข่ม้วน ไข่ลวกในน้ำพุร้อน ฯลฯ แถมยังมีไลน์บุฟเฟ่ต์ให้กินเพิ่มด้วย ของเด็ดอยู่ที่สลัดบาร์ที่มีผักผลไม้ถึง 15 อย่าง มาแบบสดฉ่ำไม่เหม็นเขียวเลยสักนิด นมสดจากไอจิ กิฟุ มิเอะ และซุปมิโซะที่ใช้มิโซะจากเมืองมิกาวะ ทุกอย่างมอบรสชาติละมุนกลมกล่อมดีงามเหมาะเป็นมื้อเริ่มต้นวันสุด ๆ
020 Wakamiya Hachiman Shrine
เริ่มต้นพิกัดแรกของวันกันที่ Wakamiya Hachiman Shrine ศาลเจ้าที่มีมานานกว่า 1,300 ปี จากตำนานเล่าว่าจักรพรรดิเท็นจิเคยเสด็จเยือนพื้นที่นี้ และได้พบกับนกพิราบสีทองเกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้ ๆ ท่านจึงประกาศให้สร้างศาลเจ้าบนแผ่นดินนี้ แม้จะเคยถูกทำลายในสมรภูมิทั้งสงครามในประเทศและสงครามโลกครั้งนี้ 2 ก็ได้ถูกสร้างกลับมาใหม่อยู่หลายครั้ง จนถูกสถาปนาให้เป็นศาลเจ้าหลักของเมืองเมื่อราว ๆ 414 ปีก่อน โดยเชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของ 3 จักรพรรดิผู้พิทักษ์เมือง Nintoku, Ojin และ Takeuchinosukune ซึ่งผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความรัก จนกลายเป็นสถานที่จัดงานแต่งที่ได้รับความนิยมอีกด้วย
021 Nagoya Castle
กลับมาเซย์ไฮ Nagoya Castle กันอีกสักครั้ง นี่คืออีกปราสาทหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นเมื่อ 414 ปีก่อน เพื่อใช้เป็นป้อมปราการสู้รบกับโอซาก้าในสมัยเอโดะ แม้จะผ่านพ้นช่วงสงครามมาได้ แต่ก็ต้องถูกเผาทำลายไปจากภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางการจึงได้บูรณะใหม่ให้คล้ายเดิมมากที่สุด ถือเป็นปราสาทแรกที่ถูกยกขึ้นเป็นสมบัติของชาติ ภายในมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างกว่าที่อื่น ถูกแบ่งออกเป็นห้องมากมายที่คอยเก็บเรื่องราวของเมืองนาโกยาไว้อย่างดี จัดแสดงเครื่องใช้โบราณ ชุดเกราะของนักรบ ฯลฯ ด้านบนประดับด้วยปลาเสือชาจิโฮโกะสีทองหรือคินซาจิ สัตว์ในตำนานที่เชื่อว่าป้องกันอัคคีภัยได้ แต่ตอนนี้ภายในปราสาทเขายังปิดปรับปรุงอยู่ เราจึงสามารถเดินชมแค่รอบ ๆ เท่านั้น ซึ่งก็จะมีพระราชวัง สวน ฮอลล์จัดแสดงงานมากมายให้เลือกชม
ปราสาทไม่เปิดงั้นเรามาดูที่หลับนอนของเหล่าคนใหญ่คนโตแทนที่ ‘Hommaru Palace’ เดิมเป็นสำนักงานบริหารและที่อยู่อาศัยของขุนนาง ประกอบด้วยโครงสร้าง 13 หลัง แบ่งได้มากถึง 30 ห้อง แต่ละห้องจะมีขนาดและความหรูหราไล่ลำดับไปตามยศ ขุนนางยศใหญ่ก็จะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าห้องอื่น ๆ ภายนอกดูเป็นอาคารสไตล์ญี่ปุ่นเรียบง่าย ส่วนภายในนั้นอร่ามตาไปด้วยงานศิลปะอันแสนวิจิตร ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดบนผนัง ฉากกั้น ที่มีการประดับขอบแกน คาน และเสาด้วยโลหะฉลุทอง ลวดลายประณีต ถือเป็นงานฝีมือชั้นสูงของสมัยเอโดะ สถาปัตยกรรมแบบนี้เรียกว่าโชอิน-ซึกุริ ซึ่งเป็นที่นิยมของเหล่าซามูไร ที่ให้ความสำคัญในเรื่องพิธีรีตรอง มารยาท และลำดับขั้นเป็นอย่างยิ่ง พอมาดูเองก็ยิ่งว้าวในความตาแตกของช่างศิลป์สมัยก่อน สร้างผลงานมาได้สวยมาก
022 Nagoya Nogakudo Noh Theater
ถ้าใครเป็นคนชื่นชอบงานมหรสพสไตล์ญี่ปุ่นก็ไม่ควรพลาดแวะชม Nagoya Nogakudo Noh Theater โรงละครโนห์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สามารถจุได้ถึง 630 ที่นั่ง ละครโนห์เป็นการแสดงที่นักแสดงต้องใส่หน้ากากไม้โบราณที่มีมานานกว่า 700 ปี ซึ่งถือเป็นอีกวัฒนธรรมที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยเนื้อหาที่แสดงนั้นจะอิงจากวรรณกรรมโบราณ ดำเนินเรื่องด้วยเทพเจ้าแปลงกายเป็นมนุษย์เป็นผู้บรรยายประกอบ ตัวแสดงอื่น ๆ ที่มีทั้งคน เทพ ภูตปิศาจ โดยภายในเราจะเห็นฉากที่เป็นศาลาสีทองอลังกาลตั้งอยู่กลางโรงละคร รอบ ๆ จัดวางหน้ากาก ชุดที่ใช้ขึ้นแสดง เป็นงานที่เก็บดีเทลได้ดีมาก เห็นเครื่องทรงแล้วอยากจะเห็นการแสดงด้วยตาตัวเองสักครั้งจริง ๆ
023 Kinshachi Yokocho
ออกจากเขตปราสาทแล้ว เราก็มาเดินเล่นกันต่อที่ Kinshachi Yokocho ที่สร้างไว้ให้เราเพลิดเพลินกับสารพัดอาหารอันโอชะ พร้อมขายของที่ระลึกประจำจังหวัดมากมาย ก่อนอื่นเลยต้องมาถ่ายรูปเช็กอินกับปลาคาร์ปทองยักษ์ หรือที่เรียกกันว่าคินซาจิอันเป็นต้นกำเนิดชื่อเรียกของย่านนี้นั่นเอง โดยเขาได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 โซน คือ โยชินาโอะ อยู่ด้านประตูหลักเซมง ที่จะมีร้านอาหารเก่าแก่รสชาติต้นตำรับภายใต้บรรยากาศที่ขนาบข้างไปด้วยบ้านเรือนสมัยเอโดะ และมุเนะฮารุ ประตูฝั่งตะวันออกฮิกาชิมง เป็นร้านอาหารแบรนด์ต่าง ๆ แซมกับร้านอาหารแบบดั้งเดิมที่เน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น โดยการตกแต่งจะมีความโมเดิร์นเน้นนวัตกรรมขึ้นมาหน่อย
ส่วนเมนูเด็ดที่ใครมาย่านนี้จะต้องได้ลิ้มลอง ยกให้เป็นข้าวหน้าปลาไหลของร้าน Bincho ซึ่งที่นาโกยาจะเรียกเมนูนี้ว่า Hitsumabushi จัดเสิร์ฟมาในโถข้าวที่เรียกว่าฮิตสึ ให้เราตักใส่ชามแล้วค่อย ๆ กินทีละขั้นตอน โดยถ้วยแรกจะเป็นการกินข้าวกับปลาไหลธรรมดา ส่วนถ้วยที่สองให้ใส่เครื่องเทศ อาทิ วาซาบิ หอม สาหร่าย และถ้วยที่สามจะเทชาเขียวลงไปเป็นฟีลข้าวต้ม เป็นขั้นตอนการกินที่มอบรสชาติแสนวาไรตี้ ทั้งแบบย่างหนังกรอบเนื้อนุ่มลิ้มรสเนื้อปลาธรรมชาติพร้อมรสหวานเค็มกลมกล่อมจากซอส, กินแบบตัดเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม และแบบน้ำสุดจะนุ่มละมุนไปด้วยชาเขียว ส่วนถ้วยที่สี่ก็เลือกแบบที่อยากทานจาก 3 แบบแรกได้เลย
024 Tamesaburo Memorial Museum
พิกัดนี้เรายกให้เป็นฮิดเด้นเจมส์ของนาโกยาที่แท้ทรูกับ Tamesaburo Memorial Museum บ้านของมหาเศรษฐี ฟุรุคาวะ ทาเมะซาบุโระ ผู้ก่อตั้ง Furukawa Art Museum ที่เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว บ้านหลังนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของที่เขาสะสมมาทั้งชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานเซรามิกที่รวบรวมผลงานของศิลปินชื่อดังมากมาย เราเห็นคนญี่ปุ่นตามไปดูงานกันเยอะมาก นอกจากงานสวย ๆ แล้ว บรรยากาศของบ้านยังยืนหนึ่งเรื่องความสงบ ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ สวนญี่ปุ่นที่ถูกตัดแต่งด้วยความบรรจง คงความธรรมชาติของตะไคร่ตามโขดหินให้รู้สึกถึงความเก่าแก่ แถมยังมีโรงชาที่แยกส่วนออกไป ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลัก และเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ฟุรุคาวะมีอายุยืนยาวถึง 103 ปีอีกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://bit.ly/3XIJ7Ne
หากใครอยากลิ้มลองชาชั้นเลิศสไตล์ชนชั้นสูงก็เชิญได้ที่ Sukiya Café ตั้งอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ได้เลย เป็นส่วนของอาคารที่ด้านข้างเปิดโล่งให้เห็นวิวสวนญี่ปุ่นแสนสบายตา จัดวางที่นั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์หันออกนอกหน้าต่างเคล้ากับการจิบมัทฉะแท้ที่เสิร์ฟมาในแก้วเซรามิก ฝีมือศิลปินแตกต่างกันไป ซึ่งตอนเสิร์ฟเขาจะบอกด้วยว่าแก้วที่เราได้เป็นผลงานของใคร เรื่องรสชาติบอกเลยว่าอะโรมามาแน่น กลิ่นหอมชื่นใจตั้งแต่ยกเข้าใกล้จมูก พร้อมรสชาติอูมามิที่ติดอยู่ปลายลำคอ กินคู่กับขนมถั่วแดงบดรสชาติหวานเนื้อนวลเนียนแล้ว เป็นโมเมนต์ที่มอบความสงบจิตสงบใจที่หอมหวานซะเหลือเกิน
025 Kakuōzan Nittai-ji Temple
วัดที่ทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรีเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน Kakuōzan Nittai-ji Temple สร้างขึ้นเมื่อ 121 ปีก่อน ซึ่งตรงกับช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมมสารีริกธาตุจากเมืองกบิลพัสดุ์ที่ทรงพระราชทานให้ญี่ปุ่น จึงเป็นที่มาของชื่อนิตไทจิ แปลว่าวัดญี่ปุ่น-ไทย มีการออกแบบที่ผสานเอกลักษณ์ของสองชาติเอาไว้ อาทิ ป้ายหน้าวัดที่มีชื่อภาษาไทย รูปปั้นพระสงฆ์ทรงไทยที่แกะสลักหินสไตล์ญี่ปุ่น ระฆังแบบเซนที่มีสัญลักษณ์จปร.ประดับ มีหออนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ฯลฯ
อีกจุดที่น่าชมคือเจดีย์ที่ทำจากหินแกรนิต ผลงานของชูตะ อิโตะ ที่ออกแบบเป็นสไตล์คันธาระรูปแบบหนึ่งของอินเดีย และเจดีย์ 5 ชั้นที่มีรูปพระอรหันต์ของพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ให้ได้กราบไหว้บูชา เรียกว่าเป็นวัดเดียวในชาติที่ผสมผสานงานพุทธทั้ง 19 นิกายของญี่ปุ่นเอาไว้ แรร์สุด ๆ
026 Shopping at PARCO in Sakae Downtown
พาร์ทเที่ยวจบไปก็ขอพาทุกคนมากวาดตา กว้านซื้อของกันที่ PARCO ห้างสรรพสินค้าที่ครบครันไปด้วยสินค้าแบรนด์ดังทั้ง ABC-Mart Grand Stage, MUJI, ANNASUI, Vivienne Westwood ฯลฯ ไปจนถึง pop-up store ของศิลปินในกระแสวางขายคอลเลกชันลิมิเต็ดมากมาย ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ โรงหนัง เรียกว่าเป็นศูนย์กลางเอนเตอร์เทนเมนต์เน้นความบันเทิง พร้อมปลุกความโอตะคุในกายให้พลุ่งพล่าน ด้วยการชอปสินค้าจากคาแรกเตอร์ตัวโปรดในอนิเมะ ตั้งเรียงรายให้เราเลือกจิ้มเลือกจุ่มเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Ghibli, One Piece, ชินจัง รวมถึงโปรเกมอน และพิเศษกว่านั้นหากใครถือ Boarding Pass ของการบินไทยมาด้วย ให้เอาไปแสดงที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ จะได้เวาเชอร์ราคา 1,000 เยนมาใช้จ่ายภายในห้างได้ฟรี ๆ เลย
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://nagoya.parco.jp/
027 Osu Shopping Street
ยังคงจับจ่ายอย่างไม่หยุดยั้ง มาต่อกันที่ Osu Shopping Street โลเคชันปิดทริปสำหรับเก็บตกโปรดักส์ที่ยังหาซื้อไม่ได้ หรือยังไม่มีของฝากไปให้ที่บ้าน ที่นี่เป็นย่านร้านค้าอันแสนคึกคักที่มีอายุนานกว่า 400 ปี ทุกอณูบนความยาว 1.7 กิโลเมตรนี้ เนืองแน่นไปด้วย 1,200 ร้านค้า ขายตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง สินค้าแฟชั่นราคาดี สตรีทฟู้ดอร่อย ๆ ตู้เกมส์ ร้านขายของอนิเมะ พ่อค้าแม่ขายออกมาตะโกนแจ้งโปรโมชั่นกันอย่างสนุกสนาน เหมือนกับว่าที่แห่งนี้ไม่เคยหลับใหล และเราสังเกตว่ามีชุดคอสเพลย์ขายอยู่เพียบ สมกับเป็นย่านจัดประกวดคอสเพลย์ระดับโลก! พร้อมมุมถ่ายรูปสวย ๆ ที่เบลนด์ความเก่าเข้ากับยุคใหม่ได้แบบไม่ขัดตา เป็นสปอตที่เที่ยวได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเลย
อีกร้านเฟรนไชน์อันแสนเลอค่า ที่เห็นที่ไหนเป็นต้องพุ่งตัวเข้าไปซื้อเป็นประจำ Benzaiten ร้านที่ขาย Daifuku แบบ Specialty มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น จุดขายคือการพรีเซนต์รสชาติผลไม้ธรรมชาติที่เขาได้คัดคุณภาพจากตลาดชั้นนำทั่วญี่ปุ่น จะเป็นผลไม้ตามฤดูกาล ผสานกับชิโรอัน (ถั่วขาวบด) ที่มีรสชาติหวานเล็กน้อย ก่อนห่อด้วยกิวฮิ (เค้กข้าว) นุ่มหนึบหนับช่วยส่งเสริมรสของผลไม้ที่อยู่ด้านในได้อย่างมีมิติ นอกจากเมนูเบสิกอย่างสตรอว์เบอร์รีแล้ว เขายังมีส้ม ลูกฟิก ลูกแพร องุ่นไชมัสแคท พีช พลัม แอปเปิล กีวี่ แตงโม ฯลฯ กิน 1 ชิ้น แล้วอยากเหมาอีก 10 มันยัมมี่มากกก
ซื้อของแพ็กเข้ากระเป๋าเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางไปสู่สนามบิน ส่วนตัวเราชอบไฟลต์กลับดึกของการบินไทยที่เขาเพิ่มมามาก ๆ เพราะได้มีเวลาเที่ยวต่อ 1 วันเต็ม ๆ ลากตั้งแต่เช้าจนกระทั่งกินมื้อเย็น แล้วก็เดินทางมารอขึ้นเครื่องแบบไม่ต้องรีบร้อน ขอย้ำอีกครั้งว่าวันที่ 28 ตุลาคม 2567 นี้ การบินไทยเขาจะเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางกรุงเทพฯ-นาโกยา
TG646 BKK-NGO :: 10.45 น. – 18.40 น.
TG647 NGO-BKK :: 00.30 น. – 04.30 น
ที่จะบินทุก ๆ วันอังคาร, พฤหัสบดี, ศุกร์, อาทิตย์ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีปีนี้ใครแพลนจะมา ก็กดจองได้เลย เวลาดี ได้บริการแบบฟูลเซอร์วิสครบ ๆ จุก ๆ
จบแล้วกับสองเมืองแสนน่ารักที่เราอัดมาให้ทุกคนในเวลา 4 วัน 3 คืน ซึ่งแต่ละที่สามารถพรีเซนต์ความเป็นตัวตนของเมืองได้แบบยืนหนึ่ง เห็นความน่ารักของผู้คน อมยิ้มไปกับความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตื่นตะลึงกับการออกแบบที่ผสานยุคเก่าและใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นรูทบินไป-กลับนาโกยาจึงเป็นอีกตัวเลือกที่สามารถฟูลฟีลวันหยุดของทุกคนได้อย่างดี ไม่เชื่อก็ลองแพลนตามมาได้เลย