ชวนเที่ยวญี่ปุ่นรูทสุดคลาสิก Kamakura – Hagone จังหวัด Kanagawa 2 เมืองที่เหมือนหลุดออกมาจากอนิเมะ หันไปทางไหนก็เจอแต่ความน่ารักจนใจฟู
รูทฮีลใจใกล้โตเกียวครั้งนี้ … เรามากันแบบคนชิลพาลัดเลาะดื่มด่ำ คานากาว่า กับ 18 โลเคชั่นในเวลา 4 วัน 3 คืน ผ่านความคลาสสิกของ 2 เมืองสุดฮอต โดยเริ่มจากอินไซด์เมืองริมทะเลอย่าง คามาคุระ ที่ครบองค์ตั้งแต่วัดวาสำหรับสายมู คาเฟ่ดี ๆ ร้านอาหารสตอรี่แน่นสำหรับสายกิน ตลอดจนพิกัดชิค ๆ อีกมากมายสำหรับสายถ่ายรูป ก่อนโยกไปยัง ฮาโกเน่ พาขึ้นเขาไปชมภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น อบอุ่นกับจุดชมวิวฟูจิซังอันหล่อเหลา เคล้าคลอไปกับอาร์ตมิวเซียมที่แอบซ่อนอยู่กลางป่า นี่แค่อินโทรยังชวนว้าวได้ขนาดนี้ บอกเลยว่าถ้าเลื่อนอ่านจบยันบทสุดท้ายรับรองว่าอยากตามรอยแน่นอน




ก่อนจะออกเดินทางเรามาทำความรู้จักเจ้าบัตรหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกล้องถ่ายรูปบัตรเดบิต JOURNEY น้องเป็น Travel Card ประเภท Debit VISA ใช้ผูกกับบัญชีเงินฝาก สามารถถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ใช้แตะจ่ายซื้อสินค้าและบริการได้ทั่วโลก โดยไม่จำเป็นต้องแลกเงินล่วงหน้า มีจุดเด่นที่เป็นประโยชน์สำหรับสายเที่ยว คือ
– เรทถูกสุด ๆ ไม่มีชาร์จ 2.5% รูด แตะจ่ายได้ทั่วโลก ทุกสกุลเงิน
– ฟรี!! สิทธิเลือกเข้าใช้บริการ Miracle Lounge, The Coral Lounge หรือ K Point Klub 1 ครั้งต่อปี
แถมช่วงนี้เขายังมาพร้อมโปรโมชัน ส่วนลด อีกมากมาย ที่เด่น ๆ เลยก็จะเป็น
– ฟรีประกันเดินทางต่างประเทศ AXA สูงสุด 10 วัน
– ส่วนลดทั้งใน Booking, Agoda และ Klook
– ใช้จ่ายในประเทศ ได้ส่วนลดและเงินคืนสูงสุด 999 บาทต่อเดือน
ไม่เพียงเท่านั้น หากเราเป็น Top Spender ใช้จ่ายต่างประเทศสูงสุด 50 คนแรก ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 67 รับไปเลยที่พัก The Standard หัวหิน 1 คืน สมัครง่ายผ่าน K PLUS หน้าบัตรมีให้เลือกถึง 4 สี ดีงามขนาดนี้ สายเที่ยวอย่างเรา ๆ ไม่มีไม่ได้แล้วนะ
ดูรายละเอียด หรือสนใจสมัครบัตรเดบิต JOURNEY คลิก : https://www.kasikornbank.com/k_3CunQzJ



ความประทับใจแรกในการเดินทางพร้อมบัตรเดบิต JOURNEY เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มบินเลยทุกคน กับสิทธิเข้าใช้บริการใน K Point Klub พร้อมผู้ติดตามที่สนามบินฟรี!! ในนี้เป็นเหมือนแหล่งพักใจชั้นดีก่อนขึ้นเครื่อง มีทั้งที่นั่งแสนสบายรองรับ ไม่ว่าจะมาเดี่ยวหรือมากลุ่มก็ได้รับความไพรเวตเหมือนกัน ตู้กดน้ำ ตู้กดขนมที่มีสินค้าให้เลือกละลานตาไปหมด พร้อมมุมถ่ายรูปเช็กอินด้านหน้าเลานจ์ให้เราได้ร่วมเฟรมอย่างเริงร่าก่อนเดินทาง




Day1
01 Enoden line
ประเดิมวันแรกด้วยการไปชมยานพาหนะสุดคลาสสิก ที่ญี่ปุ่นเขาภูมิใจมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า บนทางรถไฟสายเอโนะเด็น ‘Enoden line’ เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลวงเก่าคามาคุระ เกาะเอโนะชิมะ และฟูจิซาวะ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ให้เราได้ชมทัศนียภาพที่ผันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และด้วยลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ฉาบทับด้วยสีเขียว-ครีม เมื่อวิ่งตัดผ่านกับน้ำทะเลแล้วกลายเป็นเฟรมภาพอันทรงเสน่ห์ ไฮไลต์จะอยู่ระหว่างสถานี Kamakurakōkō-Mae Station และ Inamuragasaki Station จะเป็นช่วงที่วิ่งติดริมทะเลมากที่สุด สวยจนกลายเป็นฉากในตำนานของอนิเมะเรื่อง Slamdunk ที่โด่งดังไปทั่วโลก จนแฟน ๆ ต้องรีบมาตามรอยเช็กอินกันเลยล่ะ



02 Cafe Yoridokoro
จากนั้นเราก็มาจัดมื้อเช้ามื้อแรกด้วยอาหารญี่ปุ่นแสนธรรมดากับบรรยากาศสุดแสนจะพิเศษที่ร้าน ‘Cafe Yoridokoro’ เปิดประสบการณ์กินข้าววิวรถไฟ ในบ้านเก่าสไตล์ญี่ปุ่นผสานตะวันตกที่สร้างมานานกว่า 80 ปี ใกล้กับสถานี Inamuragasaki จึงเกิดเป็นคอนเซปต์ ‘การเดินทางในชีวิตประจำวันของคามาคุระ‘ ให้เรารู้สึกถึงการใช้ชีวิตในเมืองอย่างใกล้ชิด ติดรางรถไฟเอโนะเด็น ที่มีระยะห่างกันไม่ถึงเมตร ถือเป็นการกินข้าวไปตื่นเต้นไปกับการเห็นรถไฟผ่านหน้าระยะประชิดแบบที่ไม่มีใครเลียนแบบได้จริง ๆ



เมนูอาหารของเขาจะเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพดี จัดเสิร์ฟเป็นอาหารเซ็ตสไตล์ญี่ปุ่น อย่างชุดที่เราสั่ง Teishoku ปลาย่างส่งตรงมาจาก Marukei และไข่ดิบที่ทางร้านคัดพิเศษ เสิร์ฟมากับข้าวสวยร้อน ๆ เลือกได้ว่าจะเอาข้าวขาว หรือข้าวธัญพืช 15 อย่าง เคียงมาด้วยสลัด ซุปมิโสะ ผักดอง ด้านรสชาติปลาเขาทำออกมาได้เค็มกลมกล่มเบลนด์กับข้าวสวยและไข่ได้นัวกำลังดี พอตัดกับเครื่องเคียงต่าง ๆ ที่มีรสเปรี้ยวหวาน ถือว่าลงตัวสุด ๆ เป็นการกินอาหารที่ตื่นตาทั้งวิว ตื่นใจกับของอร่อยจริง ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีเนื้อปลาอื่น ๆ อาทิ Aji, Ebodai, True Hokke, Salted Saba ให้เลือกตามความชอบด้วยนะ มันดีมาก!!!


03 The Sunrise Shack
เดินต่อมาอีกนิดเราก็ได้เอนเตอร์เทนพุงน้อย ๆ กันต่อที่บีชคาเฟ่ริมทะเลแสนเก๋ ร้านที่มีต้นกำเนิดมาจากฮาวายเมื่อ 8 ปีก่อน ‘The Sunrise Shack’ ร้านสีขาวที่ตัดกรอบด้วยสีเหลืองและฟ้าน้ำทะเล มีโลโก้พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งสดใสราวแสงแรกของวันคอยต้อนรับ ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ฟีลริมเล มีหน้าต่างเผยวิวทะเลส่องแสงระยิบระยับ แสดงคาแรกเตอร์ของฮาวายที่พร้อมมอบความสุข เป็นคอมมิวนิตี้ที่มีแต่เอเนอร์จี้ดี ๆ ล้อมรอบตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสู่ร้าน จนอยากตะโกนคำว่า Aloha! ออกมาดัง ๆ




มาเริ่มกันที่กาแฟของทางร้านที่เขาจะใช้เมล็ดโคลอมเบีย ที่มีความเข้มกลมกล่อมหอมหนักแน่น เราสั่งเป็น Coconuts Butter กาแฟนมผสมมะพร้าวที่มอบความหอมมันสดชื่น ส่วนจานข้าง ๆ ชื่อว่า Monkey toast ขนมปังเนยถั่วแสนนัว ที่มีกล้วยหอมโปะมามอบความหวานอีกที นอกจากนี้ยังมี Smoothie bowl ผสานเหล่าผลไม้แบบทรอปิคัลรสเปรี้ยว หวาน มัน อุดมด้วยวิตามิน หรือจะสั่งพวกข้าว แซนด์วิชก็ถือเป็นเมนูเด็ดที่คนรีวิวไว้เยอะพอสมควร แถมแตะจ่ายผ่านบัตรเดบิต JOURNEY ได้ชิล ๆ ไม่ต้องควักแบงก์ควักเหรียญมานับให้ยุ่งยาก




04 Kotoku-in
แม้จะเป็นคนเจนใหม่ผู้ปลาบปลื้มความชิคคูลขนาดไหน เราก็ไม่อาจพลาดแลนด์มาร์กสำคัญประจำเมืองไปได้ ‘Kokoku-in’ ที่ตั้งของ The Great Buddha องค์พระไดบุทสึองค์ใหญ่ที่สูงล้ำไปกว่าภูเขาเบื้องหลัง ด้วยความสูงถึง 11.3 เมตร หนักกว่า 121 ตัน ทำจากเนื้อสำริดและทองแดงที่มีอายุยาวนานกว่า 770 ปี แม้จะเคยถูกทำลายจากพายุไต้ฝุ่นช่วง 1334 และ 1369 ถูกฤทธิ์แผ่นดินไหวปี 1498 แต่ก็ยังกลับมาได้อย่างสวยงาม ผ่านลมผ่านฝนจนกลายเป็นสีเขียวคล้ายหยก ฉายแววความขลังอันทรงเสน่ห์ได้ทุกครั้งที่หันมอง โดยที่นี่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปีเพื่อชมภาพธรรมชาติรอบด้านที่เปลี่ยนไปทุกฤดู สวยแบบไม่มีใครยอมใครเลยล่ะ




05 Hasedera
เดินลัดเลาะมาเรื่อย ๆ ไม่ถึง 500 เมตร เราก็เจอกับวัดประจำเมือง ‘Hasedera Temple’ วัดเก่าแก่นิกายโจโด มีประวัติมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 เป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิม 11 เศียรแกะสลักจากต้นการบูรอันศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าเป็นฝีมือของช่างแกะสลักเมื่อ 1,300 ปีก่อน เป็นที่นิยมในการขอพรเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว ซึ่งเขาไม่อนุญาตให้เราถ่ายรูปด้านใน เลยสามารถเล่าได้แค่ว่าเป็นองค์เจ้าแม่ที่ใหญ่ แวววาวไปด้วยสีทอง และมีการสลักที่อ่อนช้อย วิจิตรบรรจง แววตาฉายความอ่อนโยนจนเหมือนท่านมีชีวิต คิดว่าถ้าลูกหลานเจ้าแม่กวนอิมได้มาเห็นจะต้องรู้สึกอิ่มเอมอย่างแน่นอน




นอกจากเจ้าแม่กวนอิมแล้ว เราขอให้ทุกคนเดินสำรวจรอบ ๆ มาดูจุดที่เราชอบที่สุด ลานตุ๊กตาหินจิโซ (Jizo-do Hall) หรือตุ๊กตาพระจิโซ ที่หน้าตากลมดูน่ารักและใจดี ผู้มีหน้าที่นำพาวิญญาณของเหล่าเด็กน้อยเดินทางกลับสู่สรวงสวรรค์นับ 1000 ตัว ตั้งเรียงกันเป็นแถวให้เราได้เก็บภาพ พร้อมกับบรรยากาศแสนสบายที่มีทั้งเสียงนก เสียงใบไม้ขับกล่อมตลอดการเดินเล่น หรือจะไปชมสวนหินที่ถูกจัดอย่างประณีตรอบบ้านไม้ทรงญี่ปุ่นคลาสสิก แวะดูศาลาตีระฆังที่สร้างตั้งแต่ปี 1264 เก่าแก่เป็นอันดับ 3 ของเมือง และถ้าใครหิวเขายังมีร้านขายของกินเล่นให้เรารองท้อง เรียกว่าเป็นพิกัดที่เหมาะแก่การเดินทอดน่องสุด ๆ




06 KANNON COFFEE kamakura
ปิดท้ายวันนี้ด้วยการไปรับเอเนอร์จี้ดี ๆ ที่ ‘Kannon Coffee Kamakura’ ร้านกาแฟชื่อดังจากเมืองนาโกย่า ตรึงใจตั้งแต่การตกแต่งร้านให้ออกมามีความเรียบเท่อบอุ่นสไตล์ญี่ปุ่น ด้วยโทนสีขาว ดำ น้ำตาล เน้นใช้วัสดุไม้ไม่ว่าจะเป็นผนังร้าน ด้านบนที่ตกแต่งด้วยการนำไม้มาพาดกันเป็นลายตาราง เปลือยสายไฟเพิ่มความลอฟต์ เด็ดสุดจนไวรัลขอยกให้เมนูที่เขาขาย เครปไส้โยเกิร์ตเฟรชครีมมีรสชาติให้เลือกเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ทุกชิ้นสามาระเพิ่มท็อปปิ้งคุกกี้รูปพระพุทธไดบุทสึ ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ทำให้ร้านกลายเป็นที่รู้จัก จนได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในทาสการตลาดคนนึงเช่นกัน มาแล้วมาอีกได้ ไม่ติดเลย




Day2
07 Komachi St.
เริ่มต้นวันให้กระชุ่มกระชวยหัวใจด้วยการมาย่านชอปปิง ‘Kamachi St.’ ถนนโคมาจิโดริที่อู้ฟู่ไปด้วยร้านค้ามากมายกว่า 250 ร้าน ในระยะทางราว 350 เมตร ในนี้เราจะถูกห้อมล้อมด้วยร้านค้าแบรนด์แฟชั่นทุกระดับ ร้านขายของที่ระลึก สามารถหาซื้อขนม เครื่องสำอางปลอดภาษี หรือจะมาเดินหาร้านอาหารดี ๆ คาเฟ่เก๋ ๆ ก็มีให้เลือกจนตาลาย และแน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินในการใช้จ่ายมากที่สุดคงหนีไม่พ้น บัตรเดบิต JOURNEY ที่เราสามารถแตะ รูดจ่ายได้ฉ่ำทุกร้าน ชอปปิงได้คล่องตัว ไม่ต้องนั่งนับเงินให้ปวดหัว พกเงินเยอะ ๆ ให้หวาดระแวง แถมไม่เสียค่ารูด 2.5% อีกด้วย





เข้าสู่ช่วงป้ายยาสำหรับย่านนี้กันแล้ว เริ่มด้วยการเอาใจสายกินจุบกินจิบกับ 2 ร้านนี้ 鎌倉茶屋たばねのし เครปชาเขียวคามากุระที่ถือเป็นชาขึ้นชื่อไม่แพ้ชิสึโอกะ ข้างในเป็นทีรามิสุหวานนุ่มละมุนแต่งหน้าเป็นพระพุทธสุดเก๋ ส่วนใครชอบกินไทยากิแนะนำ Tomoya Kamakurakomachi ร้านทำขนมแป้งอบออกมาเป็นรูปพระพุทธเช่นกัน มีไส้ให้เลือกตั้งแต่ถั่วแดง มันม่วง ครีมชีส เบคอนชีส ฯลฯ ส่วนสินค้าแฟชั่นที่มาขยี้จุดอ่อนคนรักสตรีทแฟชั่นยกให้ Sunday Mart แบรนด์ที่มีลายเส้นอารมณ์ดีเป็นเอกลักษณ์จนต้องสอยกลับบ้านสักตัวสองตัว หากใครกำลังหาของฝากต้องนี่เลยถั่วทอด snack ของโปรดคนญี่ปุ่นทุกเพศวัย จาก Kamakura Mameya ร้านที่คนญี่ปุ่นต่อแถวซื้อเยอะมาก




08 Pacific DRIVE-IN
เพื่อให้เข้าถึงเมืองแห่งทะเลอย่างถ่องแท้ เราขอพามาเช็กอินในสปอตสุดคูล ‘Pacific DRIVE-IN’ คาเฟ่ที่อยู่ติดกับสปอตเล่นเซิร์ฟสุดฮอต ที่มองแวบแรกก็ทำให้คิดถึงฮาวายขึ้นมาจับใจ ทั้งการออกแบบที่เหมือนหลุดมาจากอเมริกายุค 80’s มีที่นั่งเอาต์ดอร์สุดชิลให้เราเทควิวทะเล หากในวันฟ้าเปิดก็จะได้เห็นฟูจิยืนเซย์ไฮอยู่ลิบ ๆ ด้วยเช่นกัน เมนูของเขาจะมีขายทั้งอาหาร ออกแนวข้าวซีฟู้ด ไก่ทอด แซนด์วิช แพนเค้ก และเครื่องดื่มเกือบ 40 เมนูตั้งแต่ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ค็อกเทล ถ้าใครอยากได้คอนเทนต์ปัง ๆ แนะนำแต่งตัวท้าแดด ท้าลมเย็นด้วยบิกินีแล้วโพสท่าแซ่บ ๆ กันได้เลย





และนี่คือหน้าตาของอาหารที่เราสั่งในมื้อนี้ โหลดคาร์บหนัก ๆ กับ Butter Milk Pancakes แพนเค้กสูตรท้องถิ่นของฮาวาย หอมกลิ่นเนย มีครีมนัว ๆ ให้ป้าย ราดกินพร้อมกับเมเปิลไซรัปรวมเป็นความนุ่ม หนึบ หวาน หอมของหลายส่วนผสมรวมกัน กินคู่กับ cafe Latte กาแฟนมเข้มข้นไร้ความหวาน ที่มีความขมนัวกลมกล่อม กินไป มองชายหาดเห็นสาว ๆ กำลังนอนอาบแดด หนุ่ม ๆ หุ่นเลิศกำลังเล่นเซิร์ฟ ก็ถือเป็นอาหารตาที่พาเจริญใจสุด ๆ แน่นอนไม่ว่ามื้อเล็กมือใหญ่ เราก็จ่ายด้วยบัตรเดบิต JOURNEY เหมือนเดิม สะดวกมากจริง ๆ


09 Enoshima 江の島
จากนั้นเราก็เดินทางข้ามจากแผ่นดินใหญ่สู่ผืนเกาะเล็ก ๆ นามว่า ‘Enoshima 江の島’ เกาะจิ๋วแต่แจ๋วเพราะแม้จะมีพื้นที่เพียง 0.38 ตารางกิโลเมตร แต่ก็อัดแน่นไปด้วยที่เที่ยวมากมาย จนถูกจัดไว้เป็น 1 ใน 100 ภูมิทัศน์ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น สามารถเดินทางจากโตเกียวด้วยการนั่งรถไฟเพียงชั่วโมงนิด ๆ เท่านั้น ในหน้าร้อนชาวญี่ปุ่นจะนิยมใส่บิกินีอวดผิวขาวแล้วมาเล่นน้ำตามชายหาด ส่วนฤดูอื่น ๆ ก็มักจะมาล่าเช็กอินสปอตทั้ง สะพาน-ศาลเจ้าที่มีประวัติตั้งแต่ยุคเอโดะ ประภาคารทรงเก๋สำหรับวิวงาม ๆ ทั้งยามเช้าและยามค่ำคืน และยังมีคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกให้เราได้สำรวจอีกเพียบ เป็นอีกเกาะเปี่ยมคุณภาพที่จะมาสร้างวันหยุดอันทรงคุณค่าให้แก่เรา




แน่นอนว่านักเที่ยวพุงเต่งอย่างเราก็ต้องหาของกินมาฝากเป็นอย่างแรก ที่พลาดไม่ได้ขอยกให้อาหารทะเลที่แต่ละร้านจะมีน้องปลา หอย กุ้งแหวกว่ายอยู่เต็มตู้ การันตีความสดแบบเต็มสิบ มีหลายบรรยากาศให้เลือก ทั้งนั่งกินริมทะเลรับลมชิล ๆ กินในบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่นโบราณ และร้านแบบโรงอาหารให้เลือกกินได้หลากหลาย แต่ถ้าใครไม่อยากจัดเป็นมื้อหนัก เราแนะนำให้เดินตามทางมาเรื่อย ๆ จะเจอกับบรรดาสตรีทฟู้ด อาทิ โคร็อกเกะสอดไส้ปลาชิระสึ (Namashirasu) ลูกปลาซาร์ดีนตัวเล็ก ๆ ที่มีอายุ 2 เดือน โดดเด่นเรื่องความหวาน เนื้อแน่น เคี้ยวหนุบหนับ หรือจะกินขนมเซมเบ้ที่อัดเป็นแผ่นพร้อมปลาหมึกยักษ์ทั้งตัวจนบางกรอบ กินร้อน ๆ จะได้ทั้งรสเค็มและหอมของปลาหมึกแบบเต็ม ๆ เลย หรือใครเป็นสายของหวาน พวกขนมนมเนย ซอฟต์เสิรฟ ก็มีให้จิ้มเลือกละลานตาไปหมด







หากเดินไปจนสุดถนนหลักจะเจอกับบันไดหินขึ้นไปยังเนินเขา สถานที่ไฮไลต์สำหรับสายมู Enoshima Shrine ศาลเจ้าเอโนชิมะแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 1,470 ปีก่อน ภายในจะประกอบด้วย 3 ศาลเจ้าเล็ก ๆ ซึ่งเป็นตัวแทนของเบ็นไซเท็น เทพแห่งท้องทะเลที่มอบพรแห่งความสุข ทรัพย์สมบัติ ศิลปะ ดนตรี และสติปัญญา แถมบนนี้ยังมีจุดชมวิวให้เราเห็นภาพเวิ้งทะเลกว้างใหญ่ ถ้าไม่อยากขาสั่นหรือรู้สึกเข่าเสื่อมจากการเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้น แนะนำให้จ่ายเงินเพิ่มไม่กี่ร้อยเยน แล้วเดินไปใช้บริการบันไดเลื่อนพาขึ้นไปแบบสบาย ๆ จะดีงามที่สุด




10 Enoshima Aquarium
ออกจากเกาะข้ามฝั่งกลับมาปุ๊บ เราก็เลี้ยวเข้า ‘Enoshima Aquarium’ ทันที พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของผืนทะเลแปซิฟิกที่เปิดมานานกว่า 20 ปี ตั้งเลียบชายหาดซากามิคอยเชื่อมต่อระหว่างโลกบนบกและใต้น้ำได้อย่างดี ด้วยขนาดที่ใหญ่จึงสามารถจำแนกนิทรรศการออกมาได้ถึง 14 โซน เล่าตั้งแต่ชีวภาพใต้ทะเลของท้องถิ่น โลกใต้ทะเลลึก สัตว์ทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิก ชมแพนกวิ้นแมวน้ำกระโดดโลดเต้นว่ายวนอย่างใกล้ชิด การแสดงปลาโลมาอันน่าตื่นตา โซนแมงกะพรุนแสนโปรด มีตู้ที่เปิดให้เราสัมผัสสัตว์น้ำผ่านมือตัวเอง ยืนดูนักประดาน้ำที่ลงไปให้อาหารพร้อมเล่นกับสัตว์ทะเลอย่างเป็นมิตร และสำหรับสายเรียนรู้เขาก็มีผลงานวิจัยทางวิทยศาสตร์ให้เราอ่านอีกมากมายเลยล่ะ ทั้งหมดนี้เราสามารถเอ็นจอยได้ในราคาคนละ 2,800 เยนเท่านั้น






แน่นอนว่าไฮไลต์เด่นที่เราชอบมากที่สุดคงต้องยกให้โซน Jellyfish Fantasy Hall กับห้องจัดแสดงขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยตู้แมงกะพรุนหลายฟอร์ม แต่ละตู้ก็จะมีชนิดแตกต่างกันไป ทั้งหมดลอยตัวอย่างสบายอารมณ์อยู่ในนั้น ตรงเพดานของกลางห้องเขาออกแบบเป็นทรงคล้ายโดม พร้อมฉาย 3D projection mapping เป็นลวดลายเหมือนตัวของแมงกระพรุนยักษ์ที่กำลังห่อหุ้มเราเอาไว้ ด้านล่างเป็นลูกแก้วก้อนใหญ่ที่ภายในมีน้องกะพรุนจิ๋วลอยอยู่เช่นกัน ซึ่งการเล่นไฟของที่นี่ทำให้เรารู้สึกสงบเหมือนได้ด่ำดิ่งอยู่ในโลกใต้ทะเลจริง ๆ






11 Enoden Goods Shop
อันนี้เป็นสเปเชียลลิสต์ก่อนโบกมือลา Kamakura ที่เราหามาให้สำหรับคนที่รักรถไฟญี่ปุ่นยุคคลาสสิกแบบเข้าเส้น ‘Enoden Goods Shop’ นำรถไฟสีเขียวเหลืองสายเอโนะเด็น มาเป็นของที่ระลึกรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างน่ารักน่าชัง ไม่ว่าจะเป็นของเล่น เครื่องเขียน พวงกุญแจ แก้วน้ำ ขนม ฯลฯ เป็นการตอกย้ำว่าชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับรถไฟมากทุกยุคสมัย ไม่เฉพาะชินกันเซ็นเท่านั้น เห็นถึงความผูกพันที่พวกเขามีต่อรถไฟจนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเวลามีการเปิด-ปิดเส้นทางรถไฟถึงได้ออกข่าวใหญ่โตอยู่เสมอ นอกจากนี้เขายังมีสินค้าจำหน่ายอยู่อีก 2 สาขาด้วยกัน คือในร้าน Kotonoichi Kamakura ใน Kamakura Station และ Enoshima Electric Railway Goods Shop Fujisawa ชอปเพลินได้ขนาดนี้เพราะมีบัตรเดบิต JOURNEY เลย





Day 3
12 Hakone Ropeway Owakudani Station
วันนี้เราย้ายจากเที่ยวทะเลอันสดใสขึ้นเขาใกล้ชิดปล่องภูเขาไฟกันบ้างกับเส้นทาง ‘Hakone Ropeway Owakudani Station’ เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของหุบเขาโอวาคุดานิ ณ เมืองฮาโกเน่ ที่ยังคงคุกรุ่น มีควันสีขาวพร้อมกลิ่นกำมะถันโชยพุ่งมาจากพื้นปฐพีที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,050 เมตร ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ภูเขาไฟฮาโกเน่แห่งนี้ระเบิดคือเมื่อ 3,000 ปีก่อนโน้น จึงมีจุดเด่นในเรื่องแหล่งแช่ออนเซ็น ที่เชื่อว่ามีสรรพคุณทำให้ผิวสวย เพิ่มความยืดหยุ่นและอ่อนเยาว์ อีกทั้งยังแก้โรคผิวหนังได้อีกด้วย




และที่พลาดไม่ได้คือการร่วมเช็กอินกับไข่ (Kuro Tamago) มาสคอตประจำถิ่นที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้เราเห็นอยู่รอบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นป้ายสถานที่ที่สลักอยู่บนรูปปั้นไข่ดำสำหรับถ่ายรูปเช็กอิน กินไข่ที่ต้มจากแร่กำมะถันจนทำให้เปลือกไข่กลายเป็นสีดำ ไข่แดงข้างในจะสุกระดับ well done รสชาติจะค่อนข้างนัวหนึบกว่าไข่ต้มธรรมดานิดหน่อย เชื่อกันว่ากินไข่ดำ 1 ฟองจะทำให้เราอายุยืนยาวขึ้นอีก 7 ปีเลยทีเดียว หรือจะลองกินซอฟต์เสิร์ฟสีดำที่น่าจะทำจากชาร์โคลก็ยังคุมโทนได้อยู่ และอย่าลืมซื้อขนม ของฝากกลับไปเป็นที่ระลึกกันด้วย เพราะส่วนใหญ่เป็นของฝากประจำท้องถิ่นที่มีขายแค่ตรงนี้เท่านั้น





โดยการเดินทางขึ้นมาบนนี้ เราสามารถเช่ารถขับขึ้นเอง หรือจะนั่งกระเช้าลอยฟ้าก็ได้ แต่เราอยากแนะนำให้ใช้วิธีหลังเพราะกระเช้าที่นี่ได้ Guiness Book of World Records ว่าเป็นกระเช้าลอยฟ้าที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลก ถึงแม้จะเปิดมานานกว่า 65 ปีเขาก็ยังดูใหม่ ดูแข็งแรงสุด ๆ สามารถทำหน้าที่พาเราชมวิวที่ค่อย ๆ ไต่ระดับจากที่ต่ำ สูงขึ้นจนเกินผืนป่ากว้างไกล จนกลายเป็นหินภูเขาไฟ เห็นแสงเงาของพื้นผิวอันขรุขระอย่างสวยงาม โดยสามารถเลือกขึ้นได้จากทั้ง 2 ฝั่งคือ Gora Station และ Togendai Station (ฝั่งทะเลสาบ Ashi) ใช้ระยะเวลาราว ๆ 30 นาที อาจจะดูหวาดเสียวอยู่บ้างแต่เราก็อุ่นใจสุด ๆ เพราะแค่ถือบัตรเดบิต JOURNEY เขาก็มีประกันเดินทางต่างประเทศ AXA ให้สูงสุดถึง 10 วัน จะพาขึ้นเหนือล่องใต้ขนาดไหนก็ไร้กังวล



13 Mishima Sky Walk
กระโดดข้ามจังหวัดมาชมวิวภูเขาไฟฟูจิให้เต็มตากันบ้างที่ ‘Mishima Sky Walk’ สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นกับระยะทาง 400 เมตร บนความสูง 70.6 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่เราเดินชมวิวมุมสูงไร้สิ่งปลูกสร้างอันรกตาได้แบบ 360 องศา พระเอกยกให้ภูเขาไฟฟูจิที่ยืนเปิดเผยตัวตนอย่างอลังการในวันฟ้าเปิด หากถ่ายรูปจากมุมไกลเทียบกับตัวคนจะเห็นความยิ่งใหญ่ได้อย่างชัดเจน อีกด้านของสะพานจะเป็นวิวอ่าวซุรุงะ ขึ้นชื่อว่าเป็นอ่าวที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่นด้วยนะ แต่ถ้าการเดินสะพานยังไม่ท้าทายพอ เขายังมีกิจกรรมเล่นซิปไลน์เลียบไปกับสะพานไว้รอบริการสายเอ็กซ์ตรีมด้วยเช่นกัน




14 Hakone Shrine
ออกไปตื่นเต้นจากความสูงที่สะพานแล้ว เราขอพากลับมาสงบจิตสงบใจกันสักหน่อยที่ ‘Hakone Shrine’ ศาลเจ้าชินโต ที่มีอายุมากถึง 1,267 ปี สร้างเพื่ออุทิศให้แก่เทพเจ้า Ninigi-no-Mikoto และ Konohanasakuya-hime เทพีแห่งภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งในอดีตเขายังเป็นสถานที่ที่มีการปฏิบัติทางศาสนาผสมระหว่างชินโตและพุทธ ก่อนจะถูกแยกอย่างเป็นทางการในสมัยเมจิ เรียกว่าเป็นพิกัดยอดฮิตสำหรับสายมูตั้งแต่รุ่นบรรพชน ที่เหล่าซามูไรจะชอบมาขอพรในเรื่องการรบ ความปลอดภัยในการเดินทาง ไปจนถึงโชกุนโทกุงาวะผู้ปกครองญี่ปุ่นยุคเอโดะก็ยังมีความศรัทธาในศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้ที่นี่กลายเป็นศาลเจ้าที่ทรงอิทธิพลและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเมืองเสมอมา




ไฮไลต์ของศาลเจ้าไม่ได้มีแค่การขอพรเท่านั้น ยังมีวิวอันงดงามของเสาโทริอิ ซุ้มประตูสีแดงที่ตั้งยื่นออกไปจากริมทะเลสาบ Ashi เป็นองศาที่ตรงกับประตูศาลเจ้าด้านบนพอดี มีชื่อว่า Heiwa no Torii จัดเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างนี้มานานกว่า 72 ปีแล้ว ถือเป็นจุด photogenic ที่ใครมาจะต้องมาแวะถ่ายรูป แถมบรรยากาศโดยรอบยังแสนสงบ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่อีก สมแล้วที่เป็น Power Spot ประจำเมือง

15 Bakery & Table Hakone
คาเฟ่ที่อยู่ในอาคารสูง 3 ชั้น รูปทรงคล้ายโกดังสีน้ำตาลอ่อน ตั้งอยู่ริมทะเลสาบดูแนบเนียนไปกับธรรมชาติโดยรอบแต่แอบซ่อนความหรูหราไว้ภายใน ที่นี่คือร้าน ‘Bakery & Table Hakone’ เปิดให้บริการมานานกว่า 51 ปี บนที่ตั้งที่เหมาะสมแก่การนั่งเทควิวทะเลสาบ Ashi เคล้าแดดยามเย็นอย่างสวยงาม โดยชั้นล่างจะเป็นร้านเบเกอรีคุณภาพพรีเมียม หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นเนยและแป้ง ที่ขายแบบ Take away เท่านั้น แต่เราสามารถซื้อแล้วขึ้นไปสั่งกาแฟเพื่อนั่งกินที่คาเฟ่ชั้น 2 ได้เช่นกัน ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นร้านอาหาร ที่มีเมนูความครบครันทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่ม





ขนมปังที่เราหยิบมาเป็นแบบผสมทั้งสไตล์ตะวันตกและญี่ปุ่น เลือกมาทั้งคาวและหวานเพื่อแทนเป็นมื้อเที่ยงวันนี้ ส่วนเมนูเครื่องดื่มนอกจากกาแฟแล้ว ยังมีชา สมูตตี้ เชอร์เบต ซุป ฯลฯ ให้เลือกอีกมากมาย พอได้เอามานั่งกินเคล้าวิวทะเลสาบเห็นความมีชีวิตชีวาของผู้คนในวันหยุด ต่างก็พาครอบครัวมาเที่ยวเล่น ถีบเรือเป็ด จูงลูกที่กำลังหัดเดิน หรือจะนั่งเหม่อมองเสาสีแดงที่เราเพิ่งไปเที่ยวมาสลับกับสีเขียวของป่ารอบด้านแล้ว มันแสนจะผ่อนคลาย และถ้าใครมาวันฟ้าเคลียร์ ๆ ก็จะเห็นฟูจิมาเซย์ไฮอยู่ตรงหน้าด้วยนะ




Day 4
16 Cafe Sima Studio
Last day ของทริปนี้เราขอเริ่มต้นกันช่วงสาย ๆ ที่ ‘Cafe Sima Studio’ อดีตสตูดิโอถ่ายภาพที่เปิดเมื่อ 105 ปีก่อน โดย Rikizo Shima ช่างภาพมือฉมัง ที่ถ่ายภาพฮาโกเน่ไว้มากมายจนกลายเป็นไดอารี่ของเมืองแห่งนี้ไปโดยปริยาย ปัจจุบันได้ผันเปลี่ยนมาเป็นคาเฟ่เรียบเท่ที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น ตั้งอยู่ตรงใกล้ ๆ กับสถานี Gora นอกจากเราจะเพลิดเพลินกับภาพถ่ายโบราณหาดูยากแล้ว เมนูไฮไลต์ของเขาก็น่ารักไม่เหมือนใคร Tocotoko Mountain Railway Pound Cake เค้กรูปรถไฟ ที่ใช้คุกกี้มาวาดลวดลายเป็นประตู หน้าต่าง ลางรถไฟทำจากซอสช็อกโกแลตวาดสด ๆ ลงบนจาน และเรายังสามารถให้เขาถ่ายภาพให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ หลังถ่ายเสร็จเขาจะส่งภาพมาให้ทางอีเมล




17 Pola Museum of Art
ในเมืองฮาโกเน่เรายังสามารถพบเห็นอาร์ตมิวเซียมสุดคูลที่อยู่ใจกลางป่าได้ด้วย ที่แห่งนั้นคือ ‘Pola Museum of Art’ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติฮาโกเน่ ที่มีคอนเซปต์การออกแบบให้เทคโนโลยีและธรรมชาติสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ผ่านการศึกษาทั้งด้านการสำรวจสัตว์ พืชพรรณ กระแสน้ำ ฯลฯ ก่อนร่างแบบก่อสร้าง ถึงแม้จะเปิดมานานกว่า 22 ปี แต่ที่นี่ก็ยังคงได้รับการดูแลให้เหมือนใหม่อยู่เสมอ บรรยากาศดูโล่งสบายตาด้วยงานกระจกที่เผยให้เห็นความเขียวภายนอก พร้อมแสงเงาที่พาดกระทบมาสู่ภายใน เพลิดเพลินกับงานจัดแสดงทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ ที่เราสามารถเดินไปตามเส้นทางธรรมชาติ ฟังเสียงนก เสียงใบไม้เสียดสีกัน เคล้ากับงานอาร์ตที่วางกระจัดกระจายอย่างโดดเด่น






โดยพื้นที่ภายในทั้ง 4 ชั้นถูกจัดโซนไว้อย่างเป็นระเบียบ แบ่งเป็นห้องจัดแสดงศิลปะ 5 ห้อง กระจายไปแต่ละชั้น ซึ่งจะมีทั้งนิทรรศการถาวร เป็นของสะสมจากศิลปินระดับโลกอย่าง Monet, Pierre, Picasso, Léonard Foujita และ Sugiyama Yasushi พร้อมกับนิทรรศการหมุนเวียนให้เราได้เดินชมศิลปะหลายรูปแบบในคราวเดียว นอกจากนี้ยังมีค่าเฟ่ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกให้เราได้เลือกซื้อของที่ระลึกคอลเลกชันที่กำลังจัดแสดงอีกด้วย





ช่วงที่เรามา เราได้เจอกับงานที่กระตุกต่อมติ่งของเราได้อย่างมากกับนิทรรศการ ‘From Impressionism to Richter’ การพัฒนางานอาร์ตของเหล่าศิลปินยุค impressionist ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่เน้นการใช้สีสันสดใส ซึ่งแต่ละคนก็จะมีส่วนเปลี่ยนแปลงศิลปะในเรื่องที่แตกต่างกันไป ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ Gerhard Richter ผู้ให้ความสำคัญกับการมองเห็นของแสงนั่นเอง พอเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับงานที่เริ่มหลากหลายขึ้น เดินได้ไม่เบื่อเลยจริง ๆ







18 The Hakone Open-Air Museum
ปิดทริปกันที่โลเคชันสุดว้าวของฮาโกเน่ ‘The Hakone Open-Air Museum’ ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu สร้างมานานกว่า 55 ปี เน้นการจัดแสดงนิทรรศการกลางแจ้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงสมดุลของธรรมชาติและศิลปะอย่างกลมกลืน ผ่านเหล่าประติมากรรมบนเนินหญ้า ที่ถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาและป่าไม้ ให้การผันเปลี่ยนตามฤดูกาลเป็นส่วนหนึ่งของภาพศิลปะ ฉะนั้นในแต่ละช่วงเราก็จะได้เห็นชิ้นงานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ซึ่งนี่แหละคือความว้าวที่ทำให้เราอยากมาเช็กอิน






นอกจากโซนกลางแจ้งที่เราพาไปชมแล้ว เขาก็มีนิทรรศการอินดอร์ให้ชมเช่นกัน อย่าง The Picasso Exhibition Hall นี้ก็จะเป็นงานถาวรเกี่ยวกับ Picasso ที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน ซึ่งการจัดแสดงค่อนข้าง Deep มีของหาดูยากพอสมควรทั้งงานภาพวาด เซรามิก และภาพถ่ายของเขาระหว่างประดิษฐ์ชิ้นงาน ใครเป็นแฟนคลับไม่ควรพลาดเลย และ Art Hall ที่จัดแสดงงานหมุนเวียนที่มีศิลปิน Tag มือมาสับเปลี่ยนกันให้ชมไม่ซ้ำหน้า ด้านหลังยังมี Symphonic Sculpture งานอาร์ตรูปแบบประติมากรรมให้เราขึ้นบันไดวนผ่านกระจกหลากสีไปยังจุดชมวิวด้านบน เอาจริงคือที่นี่มีอะไรให้ดูเยอะมาก เพลินสุด ๆ






พอมาอยู่ในที่บรรยากาศดี ๆ ความกรีนตาก็พาให้อยากนั่งชิลอีกนาน ๆ เราเลยมาเช็กอินต่อที่โซนคาเฟ่ ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ในอาคารใหญ่กลางลานกว้าง รอบด้านติดตั้งผนังกระจกสำหรับเทควิวทุ่งหญ้าพร้อมประติมากรรมได้แบบไม่มีอะไรกั้น มีแสงธรรมชาติที่ผลัดกันสาดส่องจากทิศต่าง ๆ ตามช่วงเวลา หากนั่นข้างในก็จะได้กลิ่นอายความอบอุ่นอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟ หากนั่งด้านนอกก็จะสัมผัสกับไอเย็นพร้อมแดดอุ่น ๆ กินเสร็จอย่าลืมไปแช่เท้าให้หายเมื่อยกันที่ Hot Spring Foot Bath ด้วยล่ะ เขาจัดบริการไว้ให้ฟรี ถือเป็นอีกโลเคชันที่เราอยู่ได้เต็มวันแบบไม่เสียดายเวลาเลย





นอกจากความสะดวกสบายตลอด 4 วัน ที่รูด แตะ จ่าย ด้วย บัตรเดบิต JOURNEY ด้วยเรทถูกสุด ๆ ไม่มีชาร์จ 2.5% แล้ว ทริปนี้ก็คุ้มสุด ๆ กับส่วนลดการจองที่พักผ่านแอป Agoda และ Booking รวมถึงส่วนลดบริการท่องเที่ยวต่าง ๆ ใน Klook ยิ่งรูดก็ยิ่งคุ้ม!! สมมงเจ้าของสโลแกน “พกบัตรเดบิต JOURNEY คุ้มติดใจ ทุกทริป” ย้ำกันอีกครั้ง ใครที่ได้เป็น Top Spender ใช้จ่ายต่างประเทศ สูงสุด 50 คนแรก ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 67 รับไปเลยที่พัก The Standard หัวหินฟรีอีก 1 คืนไปอีก
ดูรายละเอียด หรือสนใจสมัครบัตรเดบิต JOURNEY คลิก: https://www.kasikornbank.com/k_3CunQzJ

หากมีเวลาเที่ยวน้อย หรือมาเต็มโควต้า 15 วันแล้วไม่รู้จะไปไหน เราขอให้ลองจัดแพลนเที่ยว Kanagawa ดูสัก 4-5 วัน เพราะนอกจากเดินทางง่าย ห่างจากโตเกียวไม่กี่ชั่วโมงแล้ว ถ้าเที่ยวรูทเดียวกับเราก็จะได้พบเจอกับการเที่ยวญี่ปุ่นครบทุกรสชาติ บอกเลยว่าทุกคนจะต้องว้าวกับความครีเอทีฟ ความใส่ใจ ความไม่เหมือนใครตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายแน่นอน





