รีวิวฝรั่งเศส :: 2024 Christmas markets in Colmar or Strasbourg in the heart of Alsace 🇫🇷

bonjour!! ชวนเที่ยวฝรั่งเศสรอบนี้ ขอพาทุกคน ไปตกหลุมรักความหนาวเหน็บอันแสนอบอุ่นใจกับ 2 เมืองที่สวยดั่งเทพนิยาย Strasbourg และ Colmar ในบรรยากาศเฟสทีฟของช่วงเวลาคริสต์มาสที่ชวนยิ้มร่าได้ตลอดเวลา

ทริปนี้เริ่มต้นกัน ณ เมือง สตราสบูร์ก เดินเล่นทอดน่องชมสถาปัตยกรรมยุคกลางผ่านแลนด์มาร์คประจำเมืองที่ถูกห้อมล้อมด้วยคริสมาสต์มาเก็ต ท่ามกลางความหนาวเย็นก็มีไวน์ร้อน ขนมปังขิง และแสงไฟระยิบระยับมามอบความอบอุ่นให้กายและใจ ก่อนไปพบปะคุณลุงซานต้า เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสุขต่อ ณ กอลมาร์ เมืองอนุรักษ์ขนาดกระทัดรัดที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวอันงามงด ราวกับพาเราหลุดไปยังดินแดนแห่งเทพนิยาย ทั้งสถาปัตยกรรม ผังเมืองแสนคลาสสิกที่กลายเป็นอินสไปเรชันของงานอนิเมชันระดับโลกมากมาย

หากพูดถึง Travel Card ในปัจจุบัน Krungthai Travel Debit Card ถือเป็นช้อยส์แรก ๆ ที่เรามักจะนึกถึงและบอกต่อคนรอบตัวเสมอ เพราะนอกจากความโดดเด่นของตัวบัตรที่ได้หยิบเอาแลนด์มาร์คระดับโลกจากหลายประเทศมาพิมพ์ลวดลายลงไปอย่างสวยงามแล้ว สิทธิประโยชน์ที่เขาให้ก็ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรูดจ่ายได้สูงสุด 5  ล้านบาท/วัน อันนี้คือตรงใจสายช็อปเว่อร์ ๆ ไหนจะเรทแลกดีได้ถึง 20 สกุลเงิน พร้อมให้ดอกเบี้ยสูงถึง 2.5% ผ่านบัญชี Global Savings, รับ Cashback สูงสุด 5,000 บาท/ปี เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร หรือจะช็อปสินค้าแบรนด์ดังไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า นาฬิการะดับ luxury ต่าง ๆ รวมไปถึงส่วนลดรถ Limousine รับ-ส่งสนามบิน และ Airport Lounge และยังมี Special Offer ตามช่วงเวลาอีกมากมาย เรียกว่าเป็นบัตรใจป้ำ ให้คุ้มให้เยอะในแบบที่ไม่มีใครกล้าให้ โดนใจสายเที่ยวสาย สายช็อปแน่นอน

แน่นอนว่าสิทธิแรกที่เราจะใช้สำหรับทริปนี้คือสิทธิ์ส่วนลด The Coral Executive Lounge แค่เพียงจ่ายค่าบริการผ่าน Krungthai Travel  Debit Card ก็ได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 50% สามารถใช้ได้ทั้งห้องรับรองพิเศษภายในประเทศและระหว่างประเทศ อย่างเราขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เลือกใช้แพ็กเกจ Finest Business Class Gate C จ่ายในราคา 1,500 บาท (ราคาปกติ 3,000 บาท) มีทั้งที่นั่งนุ่ม ๆ บรรยากาศแสนสงบ พร้อมอาหารหน้าตาดูดีกินคู่กับเครื่องดื่มเก๋ ๆ ฟินตั้งแต่ยังไม่เริ่มเที่ยวเลย

Strasbourg  (สตราสบูร์ก)

เมืองหลวงของแคว้นอัลซาส (Alsaca) ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งคริสต์มาส” ที่นี่โดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรมยุคกลาง โดยเฉพาะอาคารบ้านเรือนหลากสีสัน ที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีในฐานะมรดกโลกจาก UNESCO เนื่องด้วยความที่มีแม่น้ำอีล (River Ill) ไหลผ่านเมือง ในสมัยโบราณที่นี่จึงเป็นที่หมายปองของเหล่าเมืองใหญ่ ๆ ถูกตีให้กลายเป็นเมืองขึ้นอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจากโรมัน แฟรงก์ จนในช่วงศตวรรษที่ 17-20 กลายเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงกลับมาอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศสอีกครั้งจวบจนปัจจุบัน จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นวิถีชีวิต วัฒนธรรม ภาษา อาหารการกิน ที่ผสานระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมันอย่างเข้มข้น

Must-see attractions

01 Strasbourg Cathedral

หมุดแรกเราไปทำความรู้จักกับสตราสบูร์กผ่านมหาวิหารสุดอลังประจำเมืองกันก่อน ‘Strasbourg Cathedral’ หรือ Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg งดงามด้วยสถาปัตกยกรรม Sandstone Gothic แบบที่นิยมมากในยุคกลาง เน้นความวิจิตรบรรจงด้านงานปั้นแกะสลักหินคล้าย ๆ กับ Notre-Dame ในกรุงปารีส แต่สีหินจะแตกต่างกันไป โดยสีของโบสถ์นี้จะเข้มออกน้ำตาลแดงกว่า ถูกสร้างครั้งแรกเมื่อพันกว่าปีก่อน ใช้เวลาสร้างนานกว่า 424 ปี ด้วยความสูงที่มากถึง 142 เมตร ครั้งหนึ่งจึงเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ส่วนปัจจุบันจัดเป็นโบสถ์ที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลาง และติดอยู่ในอันดับ 6 ของโบสถ์ที่สูงที่สุดในโลก เรียกผู้คนมายลโฉมได้มากถึง 4 ล้านคนต่อปี สมมงที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจริง ๆ

ความตระการตาเกิดขึ้นตั้งแต่บริเวณซุ้มประตูทั้ง 3 ที่จะมีรูปปั้นงานสลักหลายร้อยรูปประดับอยู่รอบซุ้ม พอผ่านเข้ามาด้านในนอกจากความสงบและสวยงามแล้ว เราจะเจอกับ Astronomical Clock ผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซที่โด่งดังที่สุดในโบสถ์ นี่คือนาฬิกาดาราศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 614 ปี ใช้เป็นปฏิทินดาราศาตร์ที่แสดงตำแหน่งที่แท้จริงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ คนสมัยก่อนสามารถคำนวณสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้จากสิ่งนี้ ส่วนจุดที่เป็นสิ่งดึงดูดเราได้มากที่สุด ขอยกให้รูปปั้นพระเยซูและเหล่าสาวกความสูง 18 นิ้ว ที่จะออกมาร่ายรำจากนาฬิกาทุก ๆ เที่ยงตรงของทุกวัน

02  Place Du Château

ติดกับมหาวิหารประจำเมือง เราจะได้เพลิดเพลินกับจัตุรัสสุดครึกครื้นที่มีชื่อว่า ‘Place Du Château’ ห้อมล้อมด้วยสถานที่สำคัญมากมาย อาทิ พระราชวังสตราสบูร์ก ศาลาว่าการ ของเมืองสตราสบูร์ก พร้อมเหล่าอาคารที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Half-timbered มีความคล้ายกับของเยอรมัน ส่วนบ้านตรงหัวมุมที่โดดเด่นกว่าใครนั้นมีชื่อว่า Maison Kammerzell มีอายุมากกว่า 597 ปี ปัจจุบันแต่ละอาคารได้ผันตัวมาเป็นร้านค้า ร้านอาหารมากมาย และในช่วงเทศกาลยังมีตลาดคริสต์มาสอันโด่งดังให้เราร่วมชิมร่วมช็อปแบบฉ่ำ ๆ อีกด้วย

03 Place Kléber

ส่วนจัตุรัสกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสตราสบูร์กมีนามว่า ‘Place Kléber’ ซึ่งชื่อนี้มาจากชื่อนักปฎิวัติชาวฝรั่งเศส Jean-Baptiste Kléber นายพลมีถิ่นกำเนิดในเมืองแห่งนี้ นอกจากความใหญ่แล้ว ลานนี้ยังงดงามไปด้วยกลุ่มอาคารทรงคลาสสิกที่บรรจุร้านค้าไว้มากกว่า 300 ร้าน จนเรียกว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองได้เลย ยิ่งช่วงคริสต์มาสเขาขึ้นชื่อเรื่องการจัดการแบบดั้งเดิมและเก่าแก่ที่สุด เปลี่ยนลานโล่งให้เป็นคริสต์มาสมาร์เก็ต จัดวางต้นสนประดับไฟสูงกว่า 30 เมตร พร้อมซุ้มร้านค้าที่ส่งกลิ่นหอมของอาหาร และขนมอบฟุ้งไปทั่วบริเวณ พร้อมบรรยากาศที่แสนจอแจมีชีวิตชีวา สมกับเป็นเมืองหลวงแห่งคริสต์มาสจริง ๆ

04 Petite France

ย่านเมืองเก่าสุดคลาสสิกที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ‘Petite France’ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Little France ย่านฝรั่งเศสตัวเล็กตัวน้อย บนถนน Rue Des Moulins เต็มไปด้วยบ้านทรง Half-Timbered บ้านไม้ครึ่งปูนยอดฮิตของแคว้น สร้างไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และ 17 ส่วนใหญ่ใช้เป็นโรงสี โรงฟอกหนังสัตว์ โดยชั้นใต้หลังคาจะเห็นห้องตากหนังสัตว์นั่นเอง เมื่อก่อนบริเวณนี้ถือเป็นแหล่งเสื่อมโทรม แต่หลังจากที่ได้รับการดูแล ขัดสีฉวีวรรณใหม่ก็กลายเป็นเมืองริมแม่น้ำอิลที่น่ารักจนใจเจ็บ มองไปทางไหนก็ล้วนเป็นเฟรมถ่ายรูปจึ้งได้ทั้งหมด ยกให้เป็นสปอตที่สวยสุดในย่านเมืองเก่าที่ต้องห้ามพลาดเลย 

05 Barrage Vauban & Ponts Couverts de Strasbourg (Covered Bridges)

อีกสถานที่สุดคลาสสิกที่เหมือนหลุดไปอยู่ในหนังรักโรแมนติก ‘Barrage Vauban‘ เขื่อนบาราจ วูบอง ที่สร้างขึ้นราว ๆ 330 ปีก่อน ออกแบบโดยนักวิศวกร Sebastien Vauban ลักษณะเป็นเหมือนสะพานที่มีความยาว 120 เมตร พาดทับแม่น้ำอิล สร้างจากหินทรายที่มีโครงสร้างแข็งแรง บนสะพานเป็นอาคาร 2 ชั้นที่หลังคาปูพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม ตรงฐานจะมีประตูเขื่อนทั้งหมด 13 บาน สามารถยกประตูเพื่อให้เรือแล่นผ่านได้ ใช้สำหรับควบคุมระดับแม่น้ำไม่ให้เมืองถูกน้ำท่วม และในสมัยโบราณยังใช้ในการยับยั้งข้าศึกด้วยการปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองทางตอนใต้ ตัดเส้นทางสัญจรของศัตรูนั่นเอง

ปัจจุบันได้มีการดัดแปลงชั้นที่เป็นหลังคาให้เป็น The Panoramic Terrace ระเบียงชมวิว สามารถชมภาพเมือง Petite France ในมุมกว้างได้อย่างสบายตาเป็นฉากหลัง สอดรับกับสะพานเก่าแก่ Ponts Couverts ที่เป็นฉากหน้าได้อย่างลงตัว สะพานปงกูรแวร์ตเป็นกลุ่มสะพาน 3 แห่ง และหอคอยอีก 4 แห่งกลางแม่น้ำอิล ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการปกป้องเมืองสมัยศตวรรษที่ 13 เปิดใช้ประมาณ 774 ปีก่อน สมัยนั้นบนสะพานจะมีหลังคาเพื่อปกป้องเหล่าทหารที่ประจำการในช่วงสงครามก่อนรื้อถอนออก จึงเป็นที่มาของชื่อ Ponts Couverts แปลว่าสะพานที่มีหลังคานั่นเอง

06 Museum of Modern and Contemporary Art

มาชมอาร์ตยุคปัจจุบันกันบ้างที่ ‘Museum of Modern and Contemporary Art’ พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่และร่วมสมัยริมแม่น้ำอิล ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 27 ปีแล้ว ทำหน้าที่จัดแสดงชิ้นงานที่สร้างสรรค์ตั้งแต่ 150 ปีก่อนจนถึงปัจจุบันเป็นต้นไป ด้วยโครงสร้างอาคารที่เน้นความเรียบง่าย ติดตั้งกระจกขนาดใหญ่รอบด้านทำให้ที่นี่ดูอินเทรนด์ไม่ล้าสมัย เปิดพื้นที่เป็นโถงโล่งกว้างมอบความสบายตา ส่วนผนังอาคารด้านนอกก็จะถูกเพ้นต์ลาย Graffiti คูล ๆ บางช่วงยังมีจัดวาง Installation Arts กลางแจ้งให้ชมกันด้วย

จะบอกว่าที่นี่เขามีผลงานที่สะสมไว้มากถึง 18,000 ชิ้นเชียวล่ะ เป็นของศิลปินชาวเยอรมัน ฝรั่งเศส และอาร์ติสต์ระดับโลกอย่าง Monet, Picasso, Kandinsky และ Brauner นำมาร้อยเรียงรูปแบบประวัติศาสตร์ของคอลเลกชันตั้งแต่ปี 1870-1960 ให้เห็นถึงวิวัฒนาการของงานอาร์ตที่เริ่มแตกแขนงอย่างยิ่งใหญ่ในยุคอิมเพรสชันนิสม์ โพสต์อิมเพรสชันนิสม์ จวบจนปัจจุบัน นอกจากงานถาวรที่เห็นแล้ว เขาก็มีนิทรรศการหมุนเวียนจากศิลปินยุคปัจจุบัน และศิลปินหน้าใหม่อีกด้วย เรียกว่าเป็นเวทีของนักสร้างสรรค์ที่สายอาร์ตไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

Food&Drink – Shopping

01 Christmas market

มาเช็กอินถึงถิ่นเมืองคริสต์มาส เราก็ไม่พลาดมาดื่มด่ำไวป์ดี ๆ กันที่ ‘Christmas market’ สำหรับ Strasbourg ขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดคริสต์มาสดั้งเดิมที่เก่าแก่ถึง 500 กว่าปี สปอตเด่นดังที่สุดยกให้ Christkindelsmärik at Place Broglie กับขนาดที่ยิ่งใหญ่จนสามารถอัดร้านเข้ามาได้มากถึง 300 ร้านค้า พร้อมต้นสนขนาดยักษ์ บ้านเรือนที่ประดับไฟ มีตุ๊กตาหมี กล่องของขวัญ ห้อยอยู่ตามตึก สร้างบรรยากาศเฟสทีฟแบบทำถึง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเริงร่า ถ่ายรูปออกมาแล้วน่ารักน่ากอดสุด ๆ โดยปีนี้เขาจะจัดตลาดกันตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. – 24 ธ.ค. 2567

ร้านรวงแต่ละซุ้มก็งัดของดี ของเด็ด ของหน้าตาจิ้มลิ้มมาให้เราเลือกซื้อเลือกสอยไม่หยุด ส่วนเมนูเฟสทีฟที่อยากให้ลองคือ ไวน์ร้อน เป็นไวน์อุ่น ๆ ที่จิบในช่วงอากาศติดลบแล้วมันอุ่นคออุ่นท้อง ฟินเป็นที่สุด หรือจะเป็นโกโก้มาร์ชเมลโลว์ที่ใช้น้ำช็อกโกแลตเข้มข้นชวนตื่นก็เข้ากับอากาศ กินคู่กับขนมปังขิงวาดหน้าด้วยไอซิ่งเป็นรูปต่าง ๆ ก็น่ารักไม่หยอก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสินค้าทำมือของคนท้องถิ่น คนรักงานคราฟต์อย่างเราก็รูดปื๊ดผ่าน Krungthai Travel Debit Card ไปเลยรัว ๆ ซื้อชิม ซื้อฝากกันแบบไม่มียับยั้งชั่งใจเลย


ตอนกลางวันว่าสวยแล้ว พอตอนกลางคืนที่ฟ้าเริ่มมืด แต่ละร้านเริ่มเปิดไฟระยิบระยับสะท้อนใส่กันและกัน กลายเป็นภาพที่งดงามดั่งกล่องใส่อัญมณีสีสดใส เย้ายวนชวนมองจนลืมเวลาไปเลย ซึ่งปีนี้เราสามารถเดิมฮอปตลาดรอบเมืองได้มากถึง 9 จุดด้วยกัน ได้แก่

* Chrìstkìndelsmärik at Place Broglie

* Grand Sapin at Place Kléber

* Place de la Cathédrale

* The Quai des Délices

* Carré d’Or Market at Place du Temple-Neuf

* Place Saint-Thomas

* Advent Village at Square Louise-Weiss

* Place Benjamin-Zix

* OFF Market at Place Grimmeissen

ใครมีแพลนตามไปปักหมุดไว้ได้เลย มันดีย์มากกกก

02 Café Bretelles

สำหรับคอกาแฟ เราขอแนะนำให้มาที่ ’Café Bretelles’ ร้านกาแฟชื่อดังที่มีถึง 2 สาขาในเมือง ซึ่งเรามาปักหมุดอยู่ที่ Café Bretelles – Krutenau, Strasbourg ร้านเล็ก ๆ ที่หน้าร้านเหมือนหลุดออกมาจาก Pinterest เป็นโครงไม้ติดตั้งกระจกบานใหญ่เดินเข้าไปเจอเคาน์เตอร์รับออเดอร์และชงกาแฟ พร้อมบาริสต้าหนุ่มสาวอัธยาศัยดี เฟอร์นิเจอร์ของร้านจะเน้นงานไม้ จัดวางที่นั่งในพื้นที่กะทัดรัดได้อย่างน่ารัก มีทางแสงธรรมชาติทำให้ร้านดูไม่อึดอัด โดยรวมถือเป็นร้านที่อบอุ่นพอสมควรเลย เราสั่งชีสเค้กรสชาตินัวหนึบหวานอ่อนเนื้อแน่นแบบตะวันตกเข้ากับคาปูชิโน่เข้ม ๆ ได้อย่างลงตัว

03 Restaurant La Corde à Linge

ส่วนใครหามื้อหนักทางเราขอแนะนำร้านยอดฮิตติดลมบน ที่คนกินกว่าแปดพันคนแต่ได้คะแนนเกือบเต็ม ‘Restaurant La Corde à Linge’ ตั้งอยู่ใจกลาง Petite France เป็นอาคารโบราณแนวยาวสูง 1 ชั้น เคยถูกใช้เป็นร้านขายเสื้อผ้าและร้านซักรีด ก่อนผันมาเป็นร้านอาหารโฮมเมดไวป์ดีขายอาหารท้องถิ่น เราสามารถเลือกนั่งโซนอินดอร์อุ่น ๆ หรือจะนั่งรับแดดฤดูหนาวเอาท์ดอร์ก็ได้ ในบรรดาเมนูอาหารละลานตาเราลองสั่งเป็น cordon bleu เนื้อลูกวัวนุ่มละมุน ผสานแฮมฝรั่งเศส และชีส Comté AOP ที่ละลายรอเราลิ้มลองอยู่ภายใน กินตัดกับซุปแคร์รอตผสมบรอกโคลีเข้มข้นรสนัว เพิ่มโปรตีนอีกหน่อยด้วย escargot หอยทากฝรั่งเศสอบกระเทียมมาแบบฉ่ำ ๆ ดื่มคู่ไวน์เพิ่มความวูบวาบภายในแล้วฟินสุด ๆ

04  Galeries Lafayette

ถึงเวลาเอาใจนักช็อปด้วยการพามา ‘Galeries Lafayette’ ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่ตกแต่งสวยจึ้งทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยโครงสร้างตึกที่อยู่มานานกว่า 112 ปี ถือเป็นเครือห้างที่มีความลักชูและโด่งดังที่สุดในฝรั่งเศส โดยสาขานี้มีพื้นที่ให้ช็อปถึง 13,600 ตารางเมตร เนืองแน่นไปด้วยแบรนด์สินค้ามากกว่า 400 แบรนด์ กระจายไปตามหมวดหมู่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของเสื้อผ้าเครื่องประดับ เครื่องหนัง ของใช้ กระเป๋า ร้านอาหาร คาเฟ่ สปา ฯลฯ ครบสูตรสำหรับคนรักการเปย์ แล้วใครได้มาช่วงปลายปี เขามีฉาย 3D Mapping ฉาบทั้งอาคารด้วย บอกเลยว่าทำออกมาอลังการและสวยมาก

แบรนด์ที่อยู่ภายในห้าง เหล่านักช็อปน่าจะคุ้นตากันพอสมควร มีตั้งแต่ร้านแฟชั่นยอดฮิตระดับ Global ร้านแบรนด์เนมที่มี และไม่มีในไทย อยากได้อันไหนก็หยิบบัตร Krungthai Travel Debit Card ขึ้นมา แล้วเดินไปรูดได้แบบไม่ต้องกลัววงเงินหมด เพราะเขาให้มาถึง 5 ล้านบาทต่อวัน ถือเป็นบัตรที่ให้สูงกว่าใคร แถม เรทก็ถูก ใช้ง่ายไม่ต้องพกเงินก้อนให้กังวลใจด้วย มันดีย์ มันเพลินสุด ๆ

กอลมาร์ (Colmar)

โยกย้ายตัวมาอีกเมืองที่ดีเด่นเรื่องความโบราณไม่แพ้กัน ‘Colmar’ บ้านเกิดศิลปินผู้ออกแบบเทพีเสรีภาพ เฟรเดริก โอกุสต์ บาร์โธลดี เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของ Alsace ที่มองโดยรวมแล้วจะคล้าย ๆ กับสตราส์บูร์ก ด้วยภูมิศาสตร์ที่มีคูคลองเล็ก ๆ มากมายแทรกอยู่กลางหมู่บ้าน จึงได้รับสมญานามอีกอย่างว่า Little Venice of Alsace สำหรับเราถือเป็นเมืองที่สวยทั้งวิว ดีทั้งบรรยากาศ มีการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม สถานที่ทางศาสนา ไม่แปลกใจเลยที่จะถูกยกให้เป็นมรดกโลกอีกแห่ง

Must-see attractions

01 Pl. de la Cathédrale ( Collégiale Saint-Martin de Colmar )

ทำความรู้จักเมืองกันแบบจึ้ง ๆ ด้วยสปอตแรก ‘Pl. de la Cathédrale’ โบสถ์สไตล์โกธิคอันเก่าแก่ประจำเมือง สร้างขึ้นจากหินทรายสีโทนอุ่นราว ๆ 789 ปีก่อน พร้อมประวัติอันยาวนานกว่า 1,000 ปี ถือเป็นอาสนวิหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองกอลมาร์ แม้การออกแบบจะไม่หวือหวามาก แต่หากมองใกล้ ๆ จะเห็นดีเทลของอิฐที่ไล่โทนสลับกันไปมาป็นเท็กซ์เจอร์ที่เห็นแล้วเรารู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูก ที่นี่เคยผ่านเหตุการณ์ไฟไหม้มาและถูกบูรณะใหม่หลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1982 เรียกว่ามีประสบการณ์โชกโชนพอสมควรเลยล่ะ

ภายในวิหารเต็มไปด้วยของสะสมเปี่ยมมนต์ขลังจากกาลเวลา และยังเป็นสุสานของนักบุญมาร์ตินอีกด้วย เราอยากให้ลองสังเกตงานแกะสลักทั้งเล็กทั้งใหญ่ดูนะทุกคน มันเต็มไปด้วยดีเทลที่วิจิตรบรรจงและเหมือนจริงมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นความยับของผ้า เส้นผม การลงสีให้เกิดแสงเงา หน้าตาของแต่ละรูปปั้นที่แตกต่างกัน เขาเก็บรายละเอียดได้ตาแตกสุด ๆ ถ้าใครได้มาช่วงคริสต์มาสแบบเรา ในโบสถ์เขาจะวางต้นสนประดับไฟไว้ด้วย พอบวกกับเทียนแดง งานศิลปะแล้ว มันให้มู้ดคริสต์มาสแบบสวยอบอุ่นสุด ๆ ไปเลย 

02 Rue des Marchands & Rue des Tanneurs

เดินชมเมืองกันแบบจึ้ง ๆ กับสถานที่ที่เหมือนหลุดไปอยู่ในภาพงานศิลปะ ‘Rue des Marchands & Rue des Tanneurs’ ถนนหลัก 2 เส้นหลักย่านดาวทาวน์ของเมืองเก่าที่ถูกปูด้วยหินแบบโบราณ สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารทรง Half-Timbered ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 17-18 พบเจอความน่ารักของจั่วบ้านที่วางเรียงทำมุมเป็นองค์ประกอบให้ถ่ายรูปเก๋ ๆ ตามขอบประตูหน้าต่างถูกตกแต่งด้วยพุ่มไม้ดอกสีแดง-เขียว มอบบรรยากาศแสนเฟสทีฟ นี่แค่เห็นในรูปยังตะลึง บอกเลยว่าถ้ามาเห็นด้วยตาตัวเอง พวกแกจะไม่อยากกะพริบตา เพราะไม่อยากพลาดความงามนี้สักเสี้ยววินาที

ไฮไลต์สำหรับคนรัก Studio Ghibli อย่างเราไม่พลาดที่จะเดินมาหา Maison Pfister อาคารหัวมุมที่มาพร้อมดีไซน์โดดเด่นกว่าใคร จนกลายเป็นแม่แบบในฉากหนึ่งของอนิเมชันของ Howl’s Moving Castle เป็นอาคารเก่าแก่เจ้าของอายุ 487 ขวบ เป็นการออกแบบสไตล์เรอเนซองส์ จุดสังเกตคือระเบียงทางเดินไม้แนวทแยง ตามผนังมีภาพเพ้นท์เรื่องราวในพระคัมภีร์ ตรงหัวมุมจะมียอดทรงหมวกสีเขียวอยู่ โดยที่นี่เคยเป็นร้านทำหมวกนามว่า Ludwig Scherer ซึ่งในเรื่องก็เป็นร้านหมวกเหมือนกัน พอมาเห็นกับตาตัวเองแล้วแฮปปี้สุด ๆ

อีกสปอตยอดนิยมที่เราเห็นบ่อยมากในโซเชียล โดยเฉพาะช่วงคริสต์มาส Maison au Pélerin (Colmar) บ้านหลังใหญ่ของชายวัยเกษียณ Lucien Fohrer ที่พร้อมจะดึงดูดสายตาทุกคู่ด้วยพวงพุ่มไม้ ดาว ของขวัญ ฯลฯ ติดประดับทั่วทั้งตึก จนกลายเป็นสปอตถ่ายรูปของเหล่านักท่องเที่ยวมาช้านาน จุดประกายความป็อปให้ที่นี่เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ส่วนภายในนั้นเป็นร้านขายกระปุกออมสินรูปทรงบ้าน Half-Timbered ทำจากกระดาษแข็งแต้มสีสันสดใส เป็นงานแฮนด์เมดที่เขาและภรรยาทำขึ้นเอง ถือเป็นหนึ่งในของฝากยอดฮิตของเมืองด้วยนะ น่ารักฝุด ๆ 

03 Little Venice Neighborhood ( La Petite Venise )

เวนิสฉบับย่อ ’La Petite Venise’ สปอตที่มอบวิวคลองเล็ก ๆ ไหลลัดเลาะผ่านเมืองทั้งสองข้างทางเป็นบ้านเรือนสไตล์ Alsatian ที่เราเริ่มคุ้นตา พร้อมสะพานทรงงามทำหน้าที่เชื่อมต่อแต่ละส่วนของหมู่บ้านเข้าด้วยกัน ซึ่งบรรยากาศและสถาปัตยกรรมของเมืองนี้ได้ถูกอนุรักษ์ไว้ให้สวยสดคงเดิมอยู่เสมอจนติดอันดับต้น ๆ ของเมืองโรแมนติกแห่งฝรั่งเศส งดงามในทุกฤดู อย่างหน้าหนาวก็จะพบความขาวโพลนไปด้วยหิมะนุ่มฟู ตัดกับบ้านเรือนสีสดใสอย่างน่ารัก มาหน้าร้อนก็จะเจอกับดอกไม้นานาพรรณที่เขาบรรจงปลูกไว้ตามทางเดินสร้างความจรรโลงใจ และสำหรับนักดื่ม ที่นี่ยังเป็น capitale des vins d’Alsace เมืองหลวงแห่งไวน์ของ Alsace ด้วยนะ เพราะชาวบ้านแถบนี้เขามีอาชีพทำไวน์กัน

นอกจากเดินเที่ยวชมทัศนียภาพของเมือง เก็บภาพหวาน ๆ กับแฟน ถ่ายเซตแฟชั่นชิค ๆ กับเพื่อนได้แล้ว อีกกิจกรรมที่ห้ามพลาดคือการล่องเรือชมความงามทั้ง 2 ข้างทาง นอกจากวิวเมืองที่กว้างกว่าเดิม เรายังได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ได้อย่างใกล้ชิด หากเปรียบเทียบกับสปอตป็อป ๆ ที่ไปมาก่อนหน้า เราค่อนข้างชอบความเงียบสงบในช่วงเช้า ๆ ของที่นี่ที่สุด เหมือนอยู่บนโลกคู่ขนานเลย ยิ่งหน้าหนาวยิ่งชิล โดยเรือของเขาจะล่องเป็นรอบ ๆ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ราคาคนละ 7 ยูโร ถือเป็น 15 นาทีที่คุ้มค่าคุ้มเวลาชีวิตสุด ๆ

04 Old Custom House Square and Schwendi Fountain

อย่านหลักใจกลางเมืองเก่าที่ต้องแวะเก็บภาพ ‘Old Custom House Square’ จัตุรัสประจำเมืองกอลมาร์ ห้อมล้อมไปด้วยอาคารโบราณ มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้ารอเราเข้าไปเยี่ยมชมอยู่เพียบ ซึ่งอาคารที่ต้องโฟกัสคือ Old Custom House หรือที่ชาวเมืองเรียกว่า Koïfhus อาคารทรงยาวสไตล์โกธิคที่มีอายุกว่า 535 ปี เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งสถาปัตยกรรมยุคกลาง เคยใช้เป็นด่านศุลกากรเก็บภาษีต่าง ๆ ปัจจุบันได้ถูกตั้งเป็นอนุสรณ์สถานแห่งประวัติศาสตร์ และถ้าใครเป็นแฟนคลับ Disney จงรู้ไว้ว่าที่แห่งนี้คือแรงบันดาลใจของเมืองในเรื่อง Beauty and the Beast ด้วย ไหนลองทายดูสิว่าซีนอะไร?

บริเวณจัตุรัส Old Custom House ยังมีน้ำพุกลางแจ้งที่สวยงามที่สุดของเมืองตั้งอยู่ด้วย โดดเด่นด้วยรูปปั้นของ Lazarus Schwendi ขุนนางแห่ง Hohlandsburg ที่ต่อสู้กับพวกเติร์กในฮังการี อีกทั้งยังเป็นคนที่นำต้นองุ่นพันธุ์ Tokay กลับมาจากการรบ เมื่อเอามาปลูกก็กลายเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของแคว้น รูปปั้นของเขาจึงถูกสร้างให้อยู่ในท่วงท่าที่กำลังกำต้นองุ่นไว้ที่มือขวา พร้อมกระบอกปืนที่ทำหน้าที่ปล่อยน้ำให้ไหลลงบ่อน้ำด้านล่างนั่นเอง เอฟวายไอ. รูปปั้นที่เห็นอยู่เป็นเพียงแบบจำลองเสมือนจริงเท่านั้น ของจริงที่เป็นผลงานของ Auguste Bartholdi นั้นถูกทำลายไปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

05 Marché Couvert Colma

ตลาดติดแกรมที่มีอายุกว่า 160 ปี ‘Marché Couvert Colmar’ เป็นตลาดในร่มที่อยู่ภายในอาคารอันงดงาม ออกแบบโดย Louis Michel Boltz ด้วยสถาปัตยกรรมช่วงศตวรรษที่ 19 จึงมีความเก่าใหม่ผสมกันอย่างลงตัว แต่เดิมละแวกนี้เป็นแหล่งค้าขายแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว พอได้รับการรีโนเวทในปี 2010 จึงเปิดเป็นตลาดแบบถาวร และในทุกวันพฤหัสบดีจะมีตลาดรอบนอกอาคารด้วย จากที่เดินดูถือเป็นตลาดที่ครบครันสุด มีทั้งของสด ผลไม้ เบเกอรี เมล็ดกาแฟ ร้านอาหาร ฯลฯ บางร้านเอาสินค้าเฉพาะเทศกาลมาขายด้วย ละลานตาสุด ๆ

Food&Drink – Shopping

01 Christmas market

กอลมาร์ถือเป็นอีกเมืองมหัศจรรย์แห่งคริสต์มาสที่จัด ‘Christmas market’ มาตั้งแต่ยุคกลาง เปิดให้เหล่าเกษตรกร ช่างฝีมือได้นำของมาขายช่วงวันหยุด ทุกปีจะมีการเนรมิตหมู่บ้านชนบทให้กลายเป็นหมู่ดาวบนดินอันเรืองรอง สามารถเดินทอดน่องไปบนถนนเส้นโบราณที่ปูไปด้วยหิน ชมวิถีชีวิต-ขนบธรรมเนียมประเพณีของเทศกาลคริสต์มาสประจำแคว้นที่คนเอเชียอย่างเราไม่คุ้นชินได้อย่างเพลิน ๆ  บ้านแต่ละหลัง ซุ้มแต่ละซุ้ม ก็พยายามจัดพื้นที่ของตัวเองให้สวยงามโดดเด่นเหมือนเดินอยู่ในโลกแห่งจินตนาการยังไงอย่างงั้น

นอกจากสายตาจะเพลิดเพลินแล้ว พุงของเราก็เพลินไปด้วย เพราะทางนี้แวะสตรีทฟู้ด ร้านขนมฉ่ำ สิ่งที่ชอบที่สุดสำหรับเทศกาลนี้คือไวน์ร้อน ยิ่งเป็นไวน์ท้องถิ่นของกอลมาร์แล้วยิ่งเลิศ รับรู้ได้ถึงความสดทั้งนุ่มทั้งหอม ดื่มร้อน ๆ แล้วอุ่นไปทั้งร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่พรีเซนต์ความเป็นคริสต์มาสอีกมากมาย เน้นไปที่งานคราฟต์คุณภาพสูง มีพื้นที่เล่นเกมส์สำหรับเด็ก ๆ และแทบทุกร้านสามารถจ่ายเงินผ่านบัตร ‘Krungthai Travel Debit Card’ ได้ หยิบของ แตะบัตร แล้วเดินตัวปลิวออกมาได้เลย ไม่ต้องเสียค่ารูด 2.5% ด้วย เก๋จะตาย

แนะนำว่ามาถึงเมืองนี้ให้ลองนอนสักคืนหรืออยู่จนค่ำ เพื่อรอเวลากลางคืนที่ทั้งเมืองจะเริ่มเปิดไฟบนอาคาร ต้นคริสต์มาส จุดที่เปลี่ยนโฉมจนยืนตะลึงอยู่นานยกให้ Maison au Pélerin บ้านที่เราเห็นตอนเที่ยงว่าน่ารักแล้ว ตอนกลางคืนมีทั้งไฟส้ม น้ำเงิน เขียวยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ สำหรับใครจะตามมาเดินเล่น Christmas market ปีนี้เขามี 6 จุดใหญ่ ๆ ได้แก่

* Marché de Noël – Place des Dominicains (Arts and Crafts)

* Marché de Noël – Place Jeanne d’Arc (reconstitution of a traditional Alsace village)

* Marché de Noël – Place de l’Ancienne Douanne (Arts and Crafts)

* Koïfus – Indoor Market (Arts and Crafts from local artisans)

* Little Venise Christmas Market – Place des Six Montagnes Noires (for kids)

* Marché Gourmand – Square de la Montagne Verte (Gourmet Market)

เลือกตามความชอบเท่าที่เวลาจะเอื้อ หรือไปทั้งหมดก็ปัง ๆ เลยจ้าา

02 L’Artémise

หากใครต้องการหลบไอหนาวมาเจอไออุ่นของขนมหวานชวนพริ้มเราขอแนะนำเป็น ’L’Artémise’ ร้านที่แอบซ่อนอยู่ภายในบ้านโบราณสูง 2 ชั้น ถูกฉาบด้วยสีชมพูดูอ่อนหวานแบบลูกคุณ เข้าไปจะเจอกับโลกแห่งชาตะวันตก ที่รอบ ๆ ร้านตกแต่งด้วยไม้ดอก เปียโน ผ้าม่านโปร่งแสง วอลเปเปอร์สีเหลืองน่าเอ็นดู ทุกอย่างดูนุ่มนวลไปหมด เรียกว่าประณีตทั้งการออกแบบและการจัดเสิร์ฟ โดยขนมแต่ละชิ้นถูกรังสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบที่คัดอย่างดี อาทิ ไข่จากไก่ที่เลี้ยงตามธรรมชาติ น้ำตาลอ้อยจากเกาะเรอูเนียง เป็นต้น 

โดยเมนูขนมของที่ร้านจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาลขึ้นอยู่กับของที่หาได้ในขณะนั้น ตอบโจทย์ทุกรูปแบบสำหรับสายกินหวานทั้ง พายผลไม้สด ทาร์ต คุกกี้ สโคน ขนมปัง ฯลฯ ชิ้นที่เราสั่งคือ Le Mont-Blanc est de retour à l’Artémise แป้งกรุบกรอบผสมดอกเกลือที่มีความกลมกล่อม ท็อปด้วยครีมวานิลลาหวาน ๆ ผสานเกาลัดมอบความหอมหวานนัวเป็นเอกลักษณ์ จิบคู่กับกาแฟแล้วมันเดอะเบสต์สุด ๆ ชอบมาก 

03 Au Croissant Doré

ส่วนร้านนี้เป็นร้านที่เราค้นเจอในหน้าไอจี ‘Au Croissant Doré’ คาเฟ่ที่เราประทับใจกับโครงสร้างตึกสไตล์อาร์ตนูโวสีโอรส หน้าร้านเป็นกระจกบานใหญ่พร้อมประตูที่เป็นตะแกรงเหล็กกั้นดูน่าค้นหา ตรงข้ามร้านมีกรอบประตูให้ถ่ายรูปสร้างมิติแบบจึ้ง ๆ ภายในก็ยังคงความ colorful ด้วยผนังสีเหลืองม่วง แซมตู้ โต๊ะ เก้าอี้ไม้เนื้อสวยทรงวินเทจ รวมไปถึงภาพติดผนังเป็นโปสเตอร์โฆษณาสมัยก่อน จัดวางของสะสมกระจุกกระจิกอยู่ทั่วร้าน ทำให้ร้านดูน่ารักเข้าถึงง่าย เมนูของร้านจะมีไม่เยอะมาก แต่ขนมและกาแฟที่เราสั่งรสชาติถือว่าโอเค ราคาสมเหตุสมผล เรียกว่านั่งชิลหลับหนาวได้สบาย ๆ

ถือเป็นอีกครั้งที่เราได้เที่ยวส่งท้ายปีกันแบบอิ่มอกอิ่มใจ สามารถดื่มด่ำบรรยากาศคริสต์มาสสไตล์ยุโรปขนานแท้สมมงนักเที่ยวจริง ๆ ใด ๆ คือต้องขออวย Krungthai Travel Debit Card ตัวช่วยที่ทำให้ทุกอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะรูด แตะ จ่ายร้านใหญ่ร้านเล็ก ซื้อตั้งแต่ของกินยันกระเป๋า นาฬิกาแบรนด์เนมก็ไม่หวั่น เพราะวงเงินที่เยอะ แถมเรทยังดีงาม มีดอกเบี้ย พร้อม Cashback สูงสุด 5,000 บาท/ปี ให้อีก เปย์ฉ่ำ ๆ ขนาดนี้กดสมัครไว้รอทริปหน้าของทุกคนกันไว้ได้เลยที่ https://krungthainext.onelink.me/pfZZ/s8o1o2je

เมืองหลวงแห่งคริสต์มาส ถือเป็นสมญานามท่ีไม่เกินจริงสำหรับ 2 เมืองนี้เลยจริง ๆ เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่ในนี้ เรารู้สึกอิ่มเอมไปด้วยความสุข อบอุ่นไปกับบรรยากาศอันแสนเฟสทีฟ จนลืมความทรมานจากอากาศอันเหน็บหนาว ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยความเพลิดเพลินกับภาพหมู่บ้านที่งดงามราวความฝัน กลิ่นอาหาร ขนม หอมโชยจากทุกมุมตึก ใครอยากได้ Magic Moment ช่วงเทศกาลคริสต์มาสแบบเรา ก็ลองแพลนตามมาสัมผัสด้วยตัวเองได้เลย ไม่ผิดหวังแน่นอน