รีวิวญี่ปุ่น :: Refreshing in Every Sense “Ehime Prefecture” 🇯🇵

Refreshing in Every Sense “Ehime Prefecture”

แพลน 3 วัน 2 คืน ประเทศญี่ปุ่นรอบนี้ …. เราขอพาทุกคนออกเดินทางไปรีเฟรชร่างกายพร้อมปล่อยจอยแบบสดใสรับปีใหม่กันที่ Ehime : เอะฮิเมะ หนึ่งในสี่ของจังหวัดบนเกาะชิโกะคุที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรม อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ ท่ามกลางบรรยากาศชิล ๆ ของทั้งธรรมชาติที่พร้อมโอบกอดทุกคนด้วยทุ่งดอกไม้สีพาสเทลที่บานสะพรั่งริมทะเล ทั้งอาหารระดับตำนานที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Soul Food ตลอดจนโรงอาบน้ำเก่าแก่อันเป็นต้นแบบของ Spirited Away อนิเมะระดับโลกจาก Ghibli

ทริปนี้เน้นสร้างไวป์เลิศ ๆ ปลอบประโลมจิตใจให้ผ่อนคลายกับ 19 โลเคชันหลัก ที่แตกย่อยไว้ให้ม่วนจอยอีกฉ่ำ ๆ บอกเลยว่าดีงามจนไม่คิดว่าเที่ยวญี่ปุ่นจังหวัดเดียวจะประทับใจได้ขนาดนี้

เอะฮิเมะ (Ehime) หนึ่งในสี่จังหวัดของภูมิภาคชิโกะคุ ซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลเซโตะ บนเกาะขนาดเล็กที่สุดจาก 1 ใน 4 เกาะของญี่ปุ่น มีเมืองหลักชื่อว่ามัตสึยามะ พร้อมสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง บวกกับสภาพอากาศที่อบอุ่นทำให้ธรรมชาติรอบ ๆ นั้นอุดมสมบูรณ์ ทั้งทะเล ภูเขา แหล่งออนเซ็น จนมีที่เที่ยวติดท็อปของประเทศมากมาย แล้วยังมีผลิตผลทั้งทางบก-ทางทะเลดีเด่น อาทิ ส้มสายพันธุ์อิโยคัง ปงคัง และยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลามาได (ปลากะพงแดง) หอยมุกมากที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ยังไม่ค่อยนิยมมากนักในนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่เราอยากแนะนำมาก ๆ เพราะที่นี่มีครบทุกรสชาติการท่องเที่ยวรอให้ทุกคนไปดื่มด่ำอย่างเพลิดเพลิน

Day 1

001 Dogo Onsen Station

เริ่มต้นวันแรกขอพาทุกคนไปทำความรู้จักเอะฮิเมะผ่านระบบคมนาคมแสนคลาสสิกของเมืองหลักมัตสึยามะผ่าน ‘Dogo Onsen Station’ แบบจำลองสถานีเดิมที่สร้างเมื่อ 114 ปีก่อน เป็นการออกแบบสไตล์ตะวันตกในยุคเมจิ ที่มีความเป็นวิกตอเรียสีขาวตัดเขียวน่ารักน่าหยิก ทำหน้าที่เป็นสถานีปลายทางของรถไฟ Botchan รถไฟหัวจักรโบราณที่ตั้งโชว์อยู่ใกล้ ๆ เคยถูกใช้งานตั้งแต่ปี 1888 โดยชาวญี่ปุ่นเรียกติดปากว่า Botchan Ressh ปัจจุบันสถานีนี้ใช้เป็นสถานีปลายทางของรถรางอิโยะเท็ตสึ (Iyotetsu) และที่ตั้งของ Starbucks Coffee ทำให้ไวป์รอบ ๆ บริเวณนี้สดใส ชวนหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพมาก ๆ

008 Botchan Karakuri Clock

เดินออกจากสถานีไม่กี่ก้าวเราก็จะเจอกับจัตุรัสโฮโจเอ็นที่ตั้งของแลนด์มาร์คสำคัญประจำย่านโดโกะ ‘Botchan Karakuri Clock’ หอนาฬิกาขนาดกลางที่จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีการก่อสร้างอาคารหลักโดโกะออนเซ็น โดยชื่อโบ๊ทจังถูกตั้งตามนวนิยายอันโด่งดังเมื่อ 119 ปีก่อน ประพันธ์โดย Natsume Soseki ความสเปเชีย คือ ในทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง นาฬิกาเรือนนี้จะค่อย ๆ ยืดขยายยกสูงขึ้น พร้อมส่งเสียงร้องเป็นเพลงประกอบ ให้ตัวละครจากหนังสือกว่า 20 ตัวออกมาเริงร่า ทำกิจกรรมจากส่วนต่าง ๆ ของนาฬิกา นอกจากมองเพลินแล้วยังสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับย่านด้วย โดยโชว์นี้จะมีทุก ๆ ชั่วโมง ตั้งแต่ 8:00 – 22:00 น. ยาว ๆ ทั้งวัน นอกจากนี้ในบริเวณเดียวกันยังมีบ่อแช่เท้ากลางแจ้งที่ไหลจากแหล่งน้ำพุร้อนโดยตรงให้ใช้ฟรีด้วย

003 Dogo Yukemuri Cafe

เยื้องมาอีกหน่อย เราก็จะเจอกับคาเฟ่ในอาคารญี่ปุ่นโบราณความสูง 2 ชั้น ‘Dogo Yukemuri Cafe’ ร้านเจลลาโต้และดังโงะชื่อดังของเมือง โดยอาคารหลังนี้มีประวัติมายาวนานถึง 120 ปี และเป็นที่ที่ Natsume Soseki นักเขียนชื่อดังระดับประเทศและเป็นที่รู้จักไปท่ัวโลกเคยมาเยี่ยมเยือนด้วย เปิดเข้าไปเราจะเจอกับความคลาสสิกทุกอณู ประหนึ่งได้ย้อนยุคกลับไปสมัยก่อน ชั้นล่างมีเคาน์เตอร์รับออเดอร์ ชั้นบนเป็นที่นั่งปูเสื่อทาทามิ รอบด้านติดตั้งกระจกไม้รับแสงธรรมชาติ มอบไวบ์ญี่ปุ่นสมัยก่อนได้ทุกกระเบียดนิ้วจริง ๆ

เมนูเด่นของร้านจะเป็นบรรดาดังโงะหน้าตาวาไรตี้ และไอศกรีมที่มีให้เลือกมากถึง 14 รสชาติ มีทั้งแบบนม เชอร์เบต เราเลือกกินเมนู No.1 Mitarashi gelato (with drink) ออริจินัลดังโงะเหนียวหนึบ ราดด้วยซอสมิทาราชิ รสชาติหวาน มัน เค็ม มีไอศกรีมชาเขียวลูกโตโปะทับ เพิ่มกลิ่นชาเขียวมาช่วยตัดเลี่ยนได้อย่างดี ยังไม่พอ เขายังมีถั่วแดงบดเสิร์ฟมาข้าง ๆ ซึ่งสามารถเข้าคู่ได้ทั้งไอศกรีมและดังโงะ ด้านเครื่องดื่มเราเลือกน้ำส้ม ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อประจำถิ่น บอกเลยว่าเป็นรสชาติหวาน เปรี้ยว หอมละมุนแตกต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ใครได้มาเยือนต้องลองสักครั้งนะ

004 Isaniwa Shrine

ด้วยพลังของดังโงะทำให้เรามีแรงสับขาขึ้นบันไดกันไปถึง 135 ขั้น เพื่อไปขอพรอวยชัยให้กับตัวเอง ณ ‘Isaniwa Shrine’ ศาลเจ้าสีแดงแรงฤทธิ์อายุกมากกว่า 1,000 ปี สร้างด้วยรูปแบบฮาจิมันสึกุริ ซึ่งมีเพียง 3 แห่งในประเทศเท่านั้น งดงามไปด้วยคานโค้ง เสาปิดทอง ศิลปะการเพนต์อันประณีต จนได้ขึ้นเป็นทรัพย์สินของชาติเมื่อปี 1967 โดยศาลเจ้าที่เห็นนี้เป็นการสร้างขึ้นใหม่เมื่อราว ๆ 358 ปีก่อน โดยมีไฮไลต์คือ 22 แผ่นป้ายที่มีอายุตั้งแต่ปี 1803-1937 ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงไว้เป็นภาพถ่ายเพื่อลดความเสียหาย และด้วยความที่อยู่บนยอดเขากลางเมืองทำให้ที่กลายกลายเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวไปโดยปริยาย ส่วนพรที่สายมูชาวญี่ปุ่นมักมาขอกันส่วนใหญ่เป็นเรื่องชีวิตคู่และการแต่งงาน

005 Dogo Haikara Dori Street (Dogo Shopping Street)

จากนั้นเราก็ย้อนกลับมาเดินเล่นที่ย่านดูดเงินอันคึกคัก ‘Dogo Haikara Dori Street’ ที่นี่เป็นย่านเศรษฐกิจที่มีมาตั้งแต่ยุคเมจิ (ปี 1868-1912) ชอปปิงสตรีทบนความยาว 250 เมตร อันอุดมไปด้วยร้านค้าคุณภาพกว่า 60 แห่ง ที่แจกแจงหมวดสินค้าไว้ได้ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ประจำถิ่น ร้านขนม คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ขนาดร้าน Ghibli shop ยังมีเลย หรือถ้าเน้นกิจกรรม ก็ยังมีรถลาก โรงอาบน้ำแช่ออนเซ็นไว้คอยบริการเช่นกัน 

ท่ามกลางร้านรวงมากมาย สิ่งที่ทำให้เราสะดุดตาที่สุดยกให้บรรดาของที่ระลึกแสนสดใส ของดีประจำถิ่นที่ถูกพรีเซนต์ในหลายรูปแบบ นั่นก็คือ ‘ส้ม’ ถ้าได้มาตรงกับฤดูเก็บเกี่ยวเหมือนกับเรา ก็จะยิ่งเจอส้มแบบอลังการเข้าไปใหญ่ มีทั้งผลส้มสด ๆ น้ำส้มคั้นสด รวมถึงผลิตภัณฑ์แปลรูปจากส้ม อย่างแยม ส้มกระป๋อง เจลลี่พร้อมดื่ม ลูกอม ขนมอบรสส้ม ฯลฯ ตลอดจนของที่ระลึกกระจุกกระจิกที่นำส้มมาเป็นต้นแบบ ไม่เว้นแต่ Mikyan มาสคอตประจำจังหวัด ที่ถูกออกแบบเป็นน้องหมาแสนคิวต์ตัวสีส้มมีใบหูเป็นใบส้ม พร้อมประดับดอกส้มที่ปลายหาง นอกจากจะเห็นน้องตามแพ็กเกจจิงแล้ว ยังมีตุ๊กตา ข้าวของเครื่องใช้หน้า Mikyan น่ารักน่าสอยอีกเพียบเลย

อีกร้านที่เราอยากแนะนำในย่านนี้ ‘chiroku Saryō’ ร้านที่สายหวานจะต้องยอมศิโรราบ ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงอาบน้ำ Dogo ซึ่งมีเมนูยอดฮิตอย่าง โนะโนะจิโนะทาร์ต (のの字のタルト) ทาร์ตสไตล์ญี่ปุ่น อีกของขึ้นชื่อประจำเมือง Matsuyama ขนมชนิดนี้ได้อิทธิพลจากขนมแบบตะวันตกที่ชาวโปรตุเกสได้นำมาให้ท่านไดเมียวผู้ครองแคว้น หลังจากนั้นจึงมีการปรับสูตรให้ถูกปากคนญี่ปุ่น พร้อมกับตั้งชื่อว่า ‘โนะ’ ตรงกับอักษร ‘の’ ที่มีรูปร่างคล้ายกับทาร์ตนี้นั่นเอง โดยไส้ของขนมจะทำจากถั่วแดงอะซูกิบดผสมกับส้มหวานยูซุ ก่อนห่อด้วยสปันจ์เค้ก จึงได้ทั้งความหวานนัว เปรี้ยวสดชื่น ผสานกับความนุ่มละมุนของเค้ก พอดื่มคู่กับกาแฟดำที่มอบรสขมมาตัดแล้ว กินเพลินสุด ๆ แนะนำว่าควรไปลอง

006 Enman-ji Temple

ก่อนที่เราจะพาไปแช่ออนเซ็นฟิน ๆ เราขอพาทุกคนเดินลัดเลาะอีกนิด เพื่อมาไหว้พระกันที่ ‘Enman-ji Temple’ วัดพระพุทธที่ก่อตั้งมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 โดยมีพระประธานคือ Amida Nyorai และยังเชื่อว่าเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้าน้ำพุร้อน ที่คอยร่วมมือกับผู้พิทักษ์แห่งไฟ มาช่วยปกปักษ์รักษาเมืองจากเหตุเพลิงไหม้นั่นเอง และยังถูกยกให้เป็น Power Spot ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมาขอพรเรื่องความรักและโชคลาภ วัดความศักดิ์สิทธิ์ได้จากคำขอพรที่มีอยู่เต็มกำแพงวัด ซึ่งที่นี่เขาก็มีกิมมิกไม่เหมือนใคร คือ เราต้องเขียนคำอธิษฐานใส่ไว้ในถุงผ้า (โอมุสุบิดะ) เล็ก ๆ สีสันจัดจ้าน เขียนเสร็จก็นำไปผูกรวมกับคนอื่น ๆ พอถ่ายรูปออกมาแล้ว มันดูสวยสดใสชวนอมยิ้มสุด ๆ

007 Sora-no-Sanpomichi (Sky promenade & Footbath)

พอเข้าช่วงบ่ายแก่ ๆ เราขอพาทุกคนขึ้นมารับลมเย็น ๆ บนดาดฟ้าที่ ‘Sora-no-Sanpomichi’ บ่อแช่เท้าชั้นดาดฟ้าที่ตั้งอยู่บนภูเขาคันมุริยามะ เหมาะสมแก่การนั่งพักสงบจิตสงบใจ คิดดูว่าขณะที่เรานั่งอยู่ท่ามกลางอากาศ 10 องศากลาง ๆ แล้วได้แช่เท้าในน้ำร้อนจะฟินขนาดไหน และยังได้เทควิวเมืองเก่าแบบพาโนรามาที่มีอาคาร Dogo Onsen Honkan โรงอาบน้ำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานไปด้วย ถือเป็นสถานที่ที่เราสามารถดื่มด่ำบรรยากาศเมืองได้ทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืนแบบไม่รู้เบื่อเลยจริง ๆ

008 Dogo Onsen Honkan

ปิดจบวันกันแบบฟินาเล่สำหรับสายออนเซ้น ณ ‘Dogo Onsen Honkan’ โรงอาบน้ำที่มีโครงสร้างน่าเกรงขามอายุกว่า 100 ปี อันเป็นไฮไลต์ประจำจังหวัด เป็นแหล่งแช่ออนเซ็นยอดฮิตของญี่ปุ่น มีประวัติยาวนานกว่า 3,000 ปีพอ ๆ กับเมืองนี้ จนมีตำนานเล่าว่าเคยมีนกกระยางขาวบินมาแช่น้ำที่บ่อแหล่งนี้ แล้วอาการบาดเจ็บที่ขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งภายในห้องออนเซ็นก็มีงานภาพวาดบนกระเบื้องของเรื่องนี้อยู่ด้วย ด้านตัวอาคารยังคงกลิ่นอายความเก่าแก่ไปด้วยงานไม้ หลังคากระเบื้องสีเข้มโก่งโค้งอย่างงดงามจนได้ขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของชาติ นอกจากนี้น้ำที่เราได้แช่ยังเป็นน้ำแร่ธรรมชาติจากหลาย ๆ แหล่งมาผสมกัน โดยรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 42 องศาเซลเซียส อุดมไปด้วยแร่ที่อ่อนโยนไม่ระคายผิว ช่วยเรื่องระบบหมุนเวียน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์

ถือว่าเป็นโรงอาบน้ำที่มีขนาดใหญ่มากทีเดียวเพราะประกอบไปด้วย 3 อาคารหลัก แบ่งเป็นห้องน้ำส่วนตัวสำหรับราชวงศ์ และโรงอาบน้ำสาธารณะที่แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ให้เราเลือกรับบริการในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ ห้องอาบน้ำรวมแบบแยกชาย-หญิง ห้องอาบน้ำส่วนตัว ห้องอาบน้ำพร้อมห้องพักผ่อนที่มีการเสิร์ฟขนมและน้ำชา และห้อง Exhibition จัดวางเครื่องใช้เก่าแก่ให้เราได้ชม โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 700 เยน และถ้าใครมาแต่ตัวก็ไม่ต้องห่วงเพราะเขามีผ้าขนหนู หมวกอาบ หวีให้ซื้อในราคาย่อมเยาสุด ๆ

แล้วพอเดินออกมาจากโรงอาบน้ำ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เห็นไฟส้มสว่างวูบวาบมาจากห้องต่าง ๆ มองแวบเดียวก็รู้เลยว่านี่คือแรงบันดาลใจของโรงอาบน้ำในอนิเมะเรื่อง Spirited Away ของ Ghibli ที่ทำให้เราข้ามน้ำข้ามทะเลมาเยือน มันสวยมากจริง ๆ

Day 2

009 Uchiko Town

เช้านี้เราขับรถไปเร่ิมต้นวันกันที่ Uchiko Town อีกเมืองเก่าเล็ก ๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และเต็มไปด้วยอาคารญี่ปุ่นผู้ลากมากดีที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว กับเหล่าอาคารสไตล์ญี่ปุ่นสมัยศตวรรษที่ 18 ยุคที่เมืองนี้รุ่งเรืองไปด้วยอุตสาหกรรมการผลิตขี้ผึ้งเป็นงานหลัก มีบ้านเรือนแบบฮิระอิริ สึคุริที่ฉาบด้วยสีเหลืองมะนาวซีดเรียงรายอยู่บนถนนความยาว 600 เมตร เป็นแหล่งรวบรวมงานฝีมือ เกษตรกรรม ให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันอย่างคับคั่ง รอบเมืองยังห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติเขียวขจี ฟีลลิงเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 200 ปีก่อนเป๊ะ

จุดเช็กอินแรกที่ไม่ควรพลาดคือ ‘Yokaichi Old Town’ ถนนที่เรียงรายไปด้วยคฤหาสน์อันโอ่อ่าซึ่งเคยเป็นบ้านพักของตระกูลพ่อค้าขี้ผึ้งอันร่ำรวย ที่คอยสร้างบ้านใหม่และต่อเติมบ้านตัวเองไปบนถนนสายต่าง ๆ เกิดเป็นอาคารสวยงามที่เรียงรายติด ๆ กันราว 90 หลัง ปัจจุบันบางอาคารได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ อย่างหลังที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นของตระกูล Kamihaga บอกเล่าเรื่องราวของอุตสาหกรรมขี้ผึ้ง ที่เขาได้ร่วมมือกับตระกูล Honhaga สร้างแบรนด์ “Crane in the Sunrise” จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบ้านอีกหลายหลังเปิดให้เราได้ซึมซับเรื่องราวประวัติศาสตร์ ควบรวมกับได้เห็นวิถีชีวิตเรียล ๆ ของผู้คนในปัจจุบันไปด้วย 

ไม่ได้มีแค่เรื่องราวเก่าแก่ให้เราได้เสาะแสวงหานะ บนถนนเส้นนี้ยังมีร้านค้า คาเฟ่ไวบ์ดีแอบซ่อนอยู่ด้วย อย่าง ‘Charme Bakery’ เป็นอีก the must ที่ต้องมาเลย ร้านเบเกอรีที่แอบซ่อนอยู่ในบ้านอนุรักษ์ ภายในมีการต่อเติมให้ดูร่วมสมัยขึ้นเล็กน้อย แต่ยังมีกลิ่นอายวันวานเจืออย่างน่ารัก โดยร้านนี้มีเมนูเด็ดคือโดนัทที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนจนเราต้องเดินตามมา ซึ่งโดนัทที่นี่เป็นสูตรโฮมเมดใช้ยีสต์ธรรมชาติ ผสมกับข้าวสาลีคุณภาพของญี่ปุ่น ผ่านการบ่มในอุณหภูมิต่ำอย่างพิถีพิถัน ทำให้มีความนุ่มฟูและหนึบหนับในคราเดียว สามารถนำมาทำได้ทั้งเมนูคาว-หวานเลย เราลองสั่งมาสองชิ้นคู่กับกาแฟดำฟินเลย

อีกร้านของฝากที่เราเห็นเหล่าคุณลุงคุณป้า คุณตาคุณยาย เดินเข้าออกไม่ขาดสาย ‘Moribun Brewery (森文醸造 )’ โรงผลิตเบียร์ที่มีอายุยาวนานกว่า 130 ปี ก่อนแตกไลน์ผลิตเป็นแหล่งผลิตซีอิ๊วขาว มิโซะ และต่อมาในปี 2010 ก็ได้สินค้าตัวแรร์อันโด่งดัง ‘Delicious Vinegared Eggs’ เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติทั้งหมด อาทิ ไข่ที่ผสมพันธุ์จากไก่พื้นเมืองที่เลี้ยงอย่างอิสระ น้ำส้มสายชูหมักจากมะละกอ และ ACEROLA CHERRY ทำให้มีรสเปรี้ยว หวานแบบละมุน นำไปประกอบอาหาร หรือกินผสมน้ำเปล่าก็ได้ แล้วถ้าใครอยากดูกรรมวิธีการผลิตแบบโบราณ ในนี้เขาก็มีพิพิธภัณฑ์ให้ชมด้วยเช่นกัน

หากเดินต่อไปอีกหน่อยเราจะเจอกับ ‘Uchiko-za Kabuki Theatre’ โรงละครคาบุกิอุชิโกะซะที่มีอายุมากกว่า 109 ปี และถูกบูรณะเมื่อปี 1985 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโรงละครแบบประเพณีดั้งเดิมจากทั้งหมด 20 แห่ง และมีไม่กี่แห่งที่ยังจัดแสดงอยู่ ซึ่งที่นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ในนี้สามารถจุผู้ชมได้มากถึง 650 คน นอกจากสถาปัตยกรรมอันงดงามเปี่ยมเสน่ห์ ความโอ่โถงยิ่งใหญ่ของโรงละครที่น่าตื่นตะลึงแล้ว ระบบเวทียังจึ้งไม่แพ้กัน เขามีทั้งประตูกล เวทีแบบหมุนรอบ ระบบลูกรอก บ่งบอกถึงความอัจฉริยะและจินตนาการอันเลิศล้ำของชาวญี่ปุ่นสมัยก่อน 

010 Ozu Castle

เดินทางออกจาก Uchiko Town ราว ๆ 20 นาทีเราก็ได้เจอกับหมุดหมายใหม่ ‘Ozu Castle’ ปราสาทสุดมินิมอลที่ตั้งอยู่กลางเนินเขาที่มีประวัติยาวนานกว่า 725 ปี แต่ถูกทำลายด้วยภัยพิบัติและสงครามจึงถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 1950 และพื้นฟูเรื่อยมา โดยยังเน้นให้โครงสร้างภายนอกและภายในใช้วัสดุเดิม นั่นคือคอนกรีตและเหล็ก แตกต่างจากปราสาทเมืองอื่น ๆ ทาทับด้วยสีขาวเปล่งกระกายงดงามอยู่เหนือแม่น้ำ Hijikawa และโอบล้อมไปด้วยภูเขาสูงใหญ่ ภายในปราสาทนั้นจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของเมือง Ozu ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นพิกัดที่ทำให้เราได้ทำความรู้จักกับเมืองโอซุได้ในระยะเวลาอันสั้น

011 Daffodil Fields in Futami ( 双海の水仙畑 )

พาร์ทครึ่งบ่ายนี้เราขอจัดสถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยความคาวาอี้ชวนใจฟู เริ่มจาก ‘Daffodil Fields in Futami’ ทุ่งดอกไม้บนเนินเขาที่เป็นทางลาด เบื้องหน้าเผยให้เห็นวิวทะเล ซึ่งในเดือนมกราคมเป็นต้นไปในทุกปีจะมีดอกแดฟโฟดิล กลีบขาวเกสรสีเหลืองน่ารักบานชูช่อส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจฟุ้งกระจายในอากาศไปทั่วบริเวณ ซึ่งเป็นแบบนี้มาราว ๆ 20 ปีมาแล้ว แต่ก่อนพื้นที่นี้ใช้ปลูกส้มมาก่อน แต่เมื่อเกษตรกรเลิกทำก็หันมาปลูกดอกไม้นี้แทน แผ่ขยายมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดรวมเป็นพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร และมีดอกไม้เยอะกว่า 100,000 ต้นเลยทีเดียว พอตัดกับภาพทะเลสีครามเบื้องหน้าแล้วกลายเป็นคู่สีเอิร์ทโทนที่ชวนสดชื่นสุด ๆ 

อินไซด์เพิ่มเติมกันอีกสักนิด .. คือหลังจากที่บริเวณนี้เขาปลูกดอกแดฟโฟดิลมาได้ไม่นานก็เริ่มมีเทศกาล “กิจกรรมการใช้ประโยชน์จากดอกแดฟโฟดิลและส่งเสริมฟุตามิและดอกแดฟโฟดิลอื่น ๆ” ที่จะจัดขึ้นช่วงกลางเดือนมกราคมของทุกปี ต่อเนื่องมานานกว่า 15 ปีแล้ว ได้รับการสนับสนุนโดย Seaside Futami, Futami Flower Association และสาขา Futami ของสมาคมการท่องเที่ยวเมือง Iyo ถ้าใครอยากมีดอกแดฟโฟดิลเป็นของตัวเอง เขามีจัดช่อไว้จำหน่ายด้วยนะ ราคาหลักร้อนเยนเท่านั้น

012 Urusumi Canola Fields ( 閏住の菜の花畑 )

ยังคงอยู่กับความสวยละมุนใจกันอย่างต่อเนื่องกับพิกัดต่อมา ‘Urusumi Canola Fields’ เนินเขาที่ถูกปูไปด้วยพรมดอกเรพซีด ริมทางหลวง 378 เส้นที่ทอดยาวเลียบชายฝั่งผ่านเมืองอิโยะไปจนถึงเมืองยาวาตะฮามะ ในทุกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมของทุกปี พื้นที่นี้จะถูกปกคลุมไปด้วยสีเหลืองบานสะพรั่งยาวลาดลงสู่เนินเขา พอมีต้นซากุระสีสมพูบานบานสะพรั่งมาทวีคูณความฟรุ้งฟริ้ง บรรจบกับทิวทัศน์ทะเลเซโตะสีคราม พร้อมท้องฟ้าอันสดใส ทุกอย่างกลายเป็นสีพาสเทลชวนสดชื่นสุด ๆ

ถัด ๆ ทุ่งดอกไม้ไปหน่อย เราจะเห็นจุดพักรถอันเป็นที่ตั้งของร้าน ‘Kujira くじら ( Whale kiosk.)‘ คาเฟ่สีขาวหลังคาเหลืองล้อไปกับสีดอกเรพซีด มุมไฮไลต์ของร้านจะอยู่ด้านใน กับฉากกระจกบานใหญ่ที่เผยให้เห็นวิวทะเล มีเส้นขอบฟ้าขีดเป็นเส้นตรงขนานกับกรอบหน้าต่างแสนมินิมอล ถ่ายรูปสวยจนใจเหลวไปหมด โดยในนี้เขามีทั้งของฝากที่เป็นของทะเลแปรรูปให้เลือกซื้อ และของกินได้รองท้อง ไม่ว่าจะเป็นทาโกะยากิ อินาริซูชิ หรือจะเลือกกินซอฟต์เสิร์ฟ น้ำปั่น โซดา กาแฟ ก็มีให้เลือกครบ

013 Shimomada Station

สำหรับมุมพระอาทิตย์ตกวันนี้เราขอปักหมุดไปที่ ‘Shimomada Station’ สถานีรถไฟธรรมดาที่เคยตั้งชิดติดริมทะเลมากที่สุดในญี่ปุ่น ปัจจุบันตัวอาคารใหม่ได้ขยับห่างออกมา เนื่องจากมีการสร้างทางหลวง ที่นี่เปิดให้บริการมานานกว่า 90 ปี มีลักษณะเป็นเพียงศาลาเล็ก ๆ ทำหน้าที่รอรับรถไฟเส้นทาง Yosan Line ของ JR Shikoku ซึ่งหลัง ๆ มีการลดจำนวนรถไฟจนเหลือจอดที่สถานีนี้เพียง 18 ขบวนต่อวันเท่านั้น จนในปี 1998 ทิวทัศน์นี้ได้ถูกโปรโมตไปยังโปสเตอร์โฆษณาตั๋ว “Seishun 18 Ticket” ผู้คนจึงหลั่งไหลกันมาชื่นชมด้วยตาตัวเอง จนในที่สุดก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวท็อปฮิตที่ควรค่าแก่การมาดื่มด่ำช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกของจังหวัด Ehime

ระหว่างที่รอชมวิวยามเย็น เราก็มาเติมคาเฟอีนสักกรุบที่ ‘Shimonada Coffee’ คาเฟ่ในรถสีขาวทรงโค้งมนสุดคิวต์ที่ตั้งชื่อเหมือนกับสถานีรถไฟ ข้าง ๆ จัดวางไม้กระดานแสดงเมนูไว้อย่างเรียบง่าย แต่ทุกอย่างดูลงตัวและเท่จนคาเฟ่ฮอปเปอร์อย่างเราใจละลายไปหมด แถมในป้ายเขายังบอกเวลาพระอาทิตย์ตกเอาไว้ด้วย โดยกาแฟที่เราได้จะเป็นแบบดริป ที่จะมีบอดี้บางเบาแต่กลิ่นกาแฟหอมชวนตื่น แต่ถ้าใครเป็นสาย non-coffee สามารถเลือกดื่มน้ำส้ม โซดา หรือไอศกรีมก็ได้เช่นกัน เลือกสักเมนูแล้วไปนั่งจิบรอพระอาทิตย์ตกคือเดอะเบสเว่อร์ ๆ

แล้วช่วงเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง กับท้องฟ้าเปลี่ยนสียามอาทิตย์อัสดง ที่จะมาทำเดย์ทูของเราจบไปแบบโรแมนติก แม้จะเป็นสถานีเล็ก ๆ ที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล แต่ก็ได้รับการดูแลจากชาวเมืองเป็นอย่างดี และอย่างที่เกริ่นไปว่าหลังถูกลดจำนวนการจอดของรถไฟ ชาวเมืองก็เริ่มกังวลถึงความซบเซา ในปี 1986 จึงได้ขอความร่วมมือกับทางการริเริ่มโปรเจค ‘Concert Sunset Platform’ และได้การตอบรับเป็นอย่างดี จนกลายเป็นงานประจำปี ทำให้เราเห็นเลยว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ผู้คนรักและหวงแหนขนาดไหน ใด ๆ คือภาพตรงหน้าตอนนี้ทำให้จินตนาการถึงฉากที่จิฮิโระนั่งรถไฟไปหาเซนิบะแม่มดพี่สาวฝาแฝดของยูบาบะในเรื่อง Spirited Away มาก ๆ

Day 3

014 Asahi 鍋焼うどん アサヒ

เดย์ทรีเราขอเริ่มต้นด้วยร้านอาหารโลคอลชื่อดัง ‘Asahi’ ร้านขายนาเบยากิอุด้งยืนหนึ่งของเมืองที่มีอายุเกือบ 80 ปี ขึ้นชื่อว่าเป็น soul food ระดับตำนานของเมือง Matsuyama จังหวัด Ehime เริ่มตั้งแต่บรรยากาศร้านที่ดูจะบ๊านบ้าน ภายนอกเป็นอาคาร 2 ชั้นสไตล์ญี่ปุ่นสมัยใหม่ หน้าร้านยังคงความคลาสสิกด้วยป้ายร้านผ้าเพนต์ตัวอักษร ใช้ประตูหน้าต่างกรอบไม้ดูเก่าแก่ ผนังร้านด้านในบุด้วยไม้เน้นสีน้ำตาล จัดวางชุดเฟอร์นิเจอร์ญี่ปุ่นวินเทจ เรียกว่าเป็นบรรยากาศที่ยังคงความท้องถิ่นเอาไว้จริง ๆ

ความโดดเด่นของอาหารร้านนี้มีทั้งเรื่องรสชาติและการจัดเสิร์ฟ ด้วยการใส่อาหารมาในหม้ออลูมิเนียม ซึ่งเป็นของหายากในสมัยนั้น เปิดหม้อมาจะเจอความหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นซุปที่มีรสชาติหวานกลมกล่อมจากเห็ดและสาหร่ายทะเล ในหม้ออัดแน่นไปด้วยเนื้อ เต้าหู้ทอด คามาโบโกะ ไข่ เส้นบะหมี่นุ่มหนึบที่ดูดซึมซุปจนเข้าเนื้อ และจะต้องกินคู่กับอินาริซูชิเพื่อเบลนด์รสชาติเจือความเข้มข้นและช่วยตัดความร้อนของซุปได้อย่างพอดี อร่อยฟินแม้จะหวานไปนิดสำหรับเรา

015 Okaido Shopping Arcade

ออกมาเดินย่อยต่อที่ ‘Okaido Shopping Arcade’ ชอปปิงเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง Matsuyama เริ่มจากทิศเหนือติดกับห้างสรรพสินค้า Mitsukoshi และศูนย์การค้า AEL Matsuyama เดินเข้ามายังชอปปิงสตรีทก็จะเจอกับบรรดาร้านค้า ร้านอาหารมากมาย สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งชาย หญิง เด็ก วัยรุ่น คนแก่ แถมเดินได้ฉ่ำตั้งแต่เช้ายันค่ำเพราะมีหลังคาช่วยบังแดด บังฝน เดินไปเรื่อย ๆ ยังเชื่อมต่อไปถึง Gintengai Shopping Arcade ที่ทุกฤดูร้อนจะมีงาน Doyo Yoichi ราว ๆ ปลายเดือนมิถุนายน-สัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมให้เราได้เข้าร่วมด้วย

016 Matsuyama Castle

ดื่มด่ำบรรยากาศความเจริญของเมืองมาเรื่อย ๆ ลัดเลาะเข้าสวนสาธารณะมาหน่อยจนมาถึงสถานีกระเช้าหรือเก้าอี้ลิฟต์ ที่จะพาเราขึ้นไปสัมผัสความงามระดับจักรพรรดิ ‘Matsuyama Castle’ เราเลือกนั่ง เก้าอี้ลิฟต์ รูปแบบลิฟต์จะเป็นเก้าอี้นั่งสำหรับ 1 คน ห้อยขาขึ้นมาแบบชิล ๆ มีที่จับพอเป็นพิธี ไต่ระดับขึ้นไปตามทางลาดที่ไม่ได้ชันและสูงมาก ซึ่งดูปลอดภัยในระดับนึง ระหว่างที่ลิฟต์เคลื่อนตัว เราจะเห็นทิวทัศน์ของธรรมชาติบนภูเขากลางเมืองได้อย่างเด่นชัดซึ่งจะเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล ใครมาช่วงใบไม้ผลิก็จะฟินไปกับซากุระที่บานสะพรั่งแบบ 360 องศา หรือจะมาช่วงใบไม้ร่วงก็คงจะปังไม่แพ้กัน นั่งเชยชมได้แป๊บ ๆ ก็ถึงจุดหมายแล้ว สามารถเลือกซื้อตั๋วได้ทั้งไป-กลับ หรือจะซื้อตั๋วขึ้นแล้วค่อย ๆ เดินลงก็ได้เช่นกัน

Matsuyama Castle นี้ถือเป็นของหายากยิ่งในญี่ปุ่น เพราะเป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่รอดพ้นจากช่วงสงครามโลก โครงสร้างดั้งเดิมนี้ถูกสร้างมาตั้งแต่ 422 ปีก่อน แต่เดิมมีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ถูกเพลิงไหม้จนได้รับความเสียหาย และถูกบูรณะขึ้นใหม่เมื่อ 171 ปีที่แล้วให้มีความสูง 3 ชั้น ความพิเศษของการมีปราสาทบนยอดเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 132 เมตร คือวิวที่เราเห็นมันสุดจะปังเลยทุกคน เห็นทั้งเมืองที่อัดแน่นไปด้วยตึกสูง ทอดยาวไปสุดสายตาเจอกับเวิ้งทะเล Seto Inland และเทือกเขายิ่งใหญ่สลับทับซ้อน รอบ ๆ ตัวปราสาทยังปลูกต้นอุเมะ ต้นซากุระ ที่พร้อมจะผลิบานช่วงปลายมีนาคม-ต้นเมษายนอีก สมกับที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 100 สถานที่ชมซากุระยอดนิยมของญี่ปุ่นจริง ๆ 

017 Gansui

มื้อเที่ยงวันนี้เราหิ้วท้องมารอคิว ‘Gansui Dogo Ten’ ร้านในตำนานที่มีแถวยาวเหยียดแทบจะตลอดทั้งวัน เป็นร้านที่สืบสานวัฒนธรรมการกินยาวนานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ยุคโชวะให้ยังคงอยู่ในปัจจุบัน กับเมนู อุวะจิมะไทเมชิ การกินซาชิมิปลามาได ปลาที่มีเกรดดีที่สุดในตระกูลปลาญี่ปุ่น ตกมาสด ๆ จากทะเล Uwa กินคู่กับซอสสูตรพิเศษ มอบความอร่อยแบบดั้งเดิมที่ส่งต่อมายังทายาทรุ่นที่สาม โดยเราเลือกมาที่สาขาใกล้กับทางขึ้นกระเช้าปราสาท

มาในส่วนเมนูอันโอชะที่อยากแนะนำ ‘Uwajima Taimeshi’ เซตเมนูซิกเนเจอร์ พระเอกคือปลามาไดที่แร่เป็นชิ้นบาง ๆ เผยให้เห็นเนื้อขาวเนียนละเอียดน่าหลงใหล ตีคู่มากับไข่ดิบ ที่ทางร้านคัดพิเศษจากไก่พันธุ์ Boris Brown ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารคุณภาพสูงและน้ำบาดาลจากอิชิซึจิ ทำให้ไข่มีความหวานนัวเป็นธรรมชาติ แช่อยู่ในซอสสูตรลับเพิ่มความเค็มหวานกลมกล่อม พอตีทุกอย่างให้เข้ากัน นำเนื้อปลามาไดสด ๆ ไปคลุก กินกับข้าวสวยร้อน ๆ แล้ว มันอร่อยจนจิตแทบหลุดออกจากร่างเลยทีเดียว ฟินม๊ากกก

018 Mitsu Station

อีกหนึ่งสถานีรถไฟเก่าแก่ที่หน้าตาตะมุตะมิน่าคบหาที่สุด ‘Mitsu Station’ เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1988 ถึงแม้จะมีอายุไม่มากนัก แต่ก็ถือเป็นอาคารทรงตะวันตกสีเขียวที่สบายตาสุด ๆ หน้าประตูทางเข้าตกแต่งด้วย Stained Glass ลายดอกไม้มิตซึฮามะ เรียกว่าคลาสสิกเอาเรื่องเลย ด้านในมีคาเฟ่ (有)風月堂 伊予鉄三津駅店 ร้านกาแฟในโถงเพดานสูงให้บรรยากาศเหมือนคาเฟ่ในการ์ตูน Ghibli มาก ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่ง การจัดวางองค์ประกอบของขนม ที่มีความโฮมมี่แต่ก็ยังเป๊ะปังทุกองศาอยู่ และตรงด้านหน้าคาเฟ่ยังมีโปสการ์ด ของที่ระลึกกระจุกกระจิกวางขายให้เราละลายทรัพย์เล่นด้วยนะ

แล้วถ้าใครกำลังมองหาโลคอลฟู้ด ใกล้ ๆ กับสถานีเขายังมีร้านเด็ดร้านเก่าแก่อยู่ด้วย ชื่อว่า ‘Hinode’ ร้านขายโอโคโนมิยากิที่มีความยูนีคไม่เหมือนใคร จนมีชื่อเรียกเป็นของตัวเองว่า ‘Mitsuhamayaki’ ติดท็อปลิสต์ 1 ใน 100 อาหารที่ดีที่สุดในเมืองอยู่หลายครั้ง ความแรร์อยู่ตรงเคาน์เตอร์ที่นั่งมีเพียง 5 ที่นั่งเท่านั้น พอเราสั่งปุ๊บ เครื่องปรุงวัตถุดิบต่าง ๆ ก็จะมาโรยให้เราเห็นทุกขั้นตอนการทำที่ตรงหน้า เสิร์ฟกันสด ๆ โดยในจานจะมีทั้งเส้น กะหล่ำปลี เนื้อสัตว์ที่ส่วนใหญ่เป็นของทะเลจากท้องถิ่น โปะทับด้วยแป้งที่ย่างจนกรอบ ราดทับด้วยซอสหวาน รสชาติค่อนข้างเข้มข้นเหมาะกินแกล้มกับเบียร์สุด ๆ

019 Baishinji Station 梅津寺駅

ปิดท้ายกันแบบประทับจิตประทับใจกับสถานีวิวจึ้งอีกเช่นเคย กับ ‘Baishinji Station’ สถานีรถไฟริมทะเล Seto Inland อยู่ห่างจากเมือง Matsuyama เพียง 18 นาที วิวของที่นี่จะเผยให้เห็นทะเลอันกว้างใหญ่แบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น มองคนกำลังนั่งตกปลาได้เพลิน ๆ มีม้านั่งสุดคิวต์มาช่วยเติมเฟรมในภาพให้ดูสะดุดตา ด้วยความงดงามและความผ่อนคลายของบรรยากาศ ทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในฉากซีรีส์ญี่ปุ่นชื่อดัง ‘Tokyo Love Story’ ปี 1991 ที่ตัวริกะ อากานะ ตัวละครหลักมาผูกผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ จนมีคนมาตามรอยผูกผ้าเช็ดหน้ากันเพียบ จนถึงปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นกันอยู่ แสดงว่าเรื่องนี้ดาเมจแรงจริง ต้องลองกลับไปดูบ้างแล้ว

และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกคุ้มค่าแก่การมาและการนั่งรอมากที่สุด คือวิวช่วงพระอาทิตย์ตก กับภาพแสงส้มทอไปบนผิวน้ำเป็นประกาย มีคลื่นทะเลเต้นระบำพาความระยิบระยับสะท้อนเข้าตา เห็นคนเดินเล่นเลาะตามชายหาดสร้างความมีชีวิตชีวา ผสานกับฟ้าระเบิดที่กำลังเปลี่ยนสีอย่างอลังการงานสร้าง บอกเลยว่าเป็นมู้ดจบวันที่ตั้งแต่เกิดจนแก่มองกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลยจริง ๆ

หมดเวลา 3 วันไปแบบอิ่มอกอิ่มใจกับจังหวัด Ehime เมืองลูกรักพระเจ้าที่ไม่แมสแต่แสนดี ให้เราได้เก็บออมเอเนอร์จี รับพลังงานจาก Power Spot ของญี่ปุ่น กินอาหารระดับตำนานที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Soul Food  ดื่มด่ำกับวิวทะเลและทุ่งดอกไม้ไปแบบปัง ๆ ใครอยากมีคอนเทนต์ลงยาว ๆ ตลอดต้นปีนี้ ก็จัดแพลนตามเรามาได้เลย สวยจัดไม่จกตาแน่นอน