เนินทรายขนาดยักษ์ริมทะเล ทุ่งทานตะวัน บ้านเกิดโคนัน อสูรน้อยคิทาโร่ และลูกแพร ส่วนผสมที่ทำให้ซัมเมอร์ 4 วัน ใน Tottori : ทตโตริ ของเราน่าจดจำที่สุด!
ทริปนี้ขอพาทุกคนนั่งรถไฟออกจากโอซาก้าเพื่อไปทำความรู้จักกับจังหวัดทตโตริ ผ่าน 21 พิกัดสวย ๆ ที่เราบรรจงเลือกสรรค์มาร้อยเรียงเป็นแพลนเที่ยวให้ได้ตามรอยกันแบบเต็มอิ่ม 4 วัน 3 คืน ในช่วงซัมเมอร์ที่สดใสทุกมิติ เริ่มจากว้าวกับเนินทะเลทรายสูงใหญ่หนึ่งเดียวของญี่ปุ่น รวมถึงประติมากรรมจากทรายสุดตระการตา ก่อนแปลงกายเป็นสาวชาวไร่หนุ่มชาวสวนเก็บลูกแพรสด ๆ กินจากต้น รีดนมวัวในฟาร์มระดับประเทศ แล้วไปอินกับสองเมืองมังงะระดับตำนานที่เต็มไปด้วยมิวเซียม ถนน และเมืองจำลองให้เหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกการ์ตูนของจริง ตบท้ายด้วยความอร่อยทั้งคาวหวานที่พร้อมเสิร์ฟความสุขให้เพลินพุง
เอาเป็นว่าทั้งหมดนี้ที่ส่งตรงจาก ทตโตริ จะต้องทำให้ทุกคนตกหลุมรักหน้าร้อนญี่ปุ่นได้อย่างแน่นอน ถ้าพร้อมแล้ว.. เราไปเที่ยวกันเล๊ยยยย






TOTTORI :: เมืองแห่งการผจญภัยที่มอบทัศนียภาพของธรรมชาติที่แปลกตาที่สุดในญี่ปุ่น ‘Tottori (ทตโตริ)’ จังหวัดในภูมิภาคชูโงกุ ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่น้อยที่สุด มีหิมะตกหนักที่สุดในประเทศ แต่งดงามไม่แพ้ใคร เริ่มจากวิวมหาสมุทรที่สามารถยืนชมได้จากเนินทะเลทรายขนาดใหญ่ ห้อมล้อมไปด้วยป่าสงวนอันเก่าแก่สร้างโอโซนให้เราชื่นใจ เรียนรู้เรื่องราวในอดีตอันน่าพิศมัย เดินพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่มากมาย และยังเป็นแหล่งปลูกสาลี่ สถานที่แช่ออนเซ็นที่มีชื่อเสียง ด้วยภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะจึงมีอาหารทะเลที่สดใหม่ โดยเฉพาะปูมีหลากชนิดรอให้เราไปลิ้มลอง


Day 1
001 bloom
เริ่มต้นซัมเมอร์แสนสดใสด้วยร้านกาแฟสุดมินิมอล ‘bloom’ ฟู้ดทรัคคาเฟ่ที่เฉิดฉายอยู่กลางลานหญ้าริมชายหาด Uratomi ในเมือง Iwami มีแบ็กกราวนด์เป็นทะเล ตัวร้านเป็นสีขาวเรียบง่ายตัดกับสีเขียว และฟ้าของธรรมชาติได้อย่างโดดเด่น จัดวางที่นั่งรอบ ๆ ให้เราเลือกได้อย่างอิสระ ซึ่งทั้งหมดเป็นแบบ outdoor แต่ไม่ต้องห่วงเพราะลมทะเลเขาโกรกพัดสบายตลอดวัน ขนาดเรามาตอนแดดกลางหัวยังไม่รู้สักร้อนเลยสักนิด โดยร้านเขาจะ ‘ปิด’ ช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ต้นธันวาคม – กลางมีนาคมนะ เช็กวันเปิดดี ๆ ก่อนไปด้วยล่ะ



เมนูของเขาจะมีทั้ง coffee, non-coffee, cake, bagle เราสั่งตัวขายดีทั้งหมดของร้านมาลิ้มลอง ทั้งกาแฟคั่วโฮมเมดหอมโดนใจ ข้าง ๆ กันคือ lemon soda เพิ่มความซาบซ่ารสหวานอมเปรี้ยวกลิ่นหอมชวนสดชื่น คู่กับ yakiniku bagle ที่มีกลิ่นเนื้อหอมชวนฝัน เนื้อมีรสชาติเค็มกลมกล่อมเข้าคู่กับขนมปังนุ่มหนึบได้อย่างดี และถ้าใครเป็นสายน้ำปั่น ขอให้ลองสาลี่ปั่นดู เป็นของดีประจำถิ่นเขาเลยล่ะ



002 Sankouen
ต้นกำเนิดวัตถุดิบอันโอชะของเมืองเกิดขึ้นที่นี่ ‘Sankouen’ สวนปลูกสาลี่ (แพร์ญี่ปุ่น) อันหวานฉ่ำของทตโตริ ที่มีมายาวนานถึง 121 ปี ขยับขยายจนมีพื้นที่กว้างขวาง สามารถส่งขายไปทั่วญี่ปุ่นและส่งออกต่างประเทศ ไฮไลต์คือสาลี่พันธุ์นิจิสเซกิ มีเอกลักษณ์ทั้งรส กลิ่น และเนื้อสัมผัส จะมีความหอมหวานกำลังดี เนื้อกรอบน้ำเยอะฉ่ำ ๆ เคี้ยวเพลิน ซึ่งความอร่อยนี้เกิดจากการทดลองและพัฒนาภายใต้คอนเซปต์ ‘ต้องการเห็นรอยยิ้มของลูกค้าเมื่อได้ชิมผลไม้ที่อร่อยที่สุด’ ของสวนแห่งนี้นั่นเอง




นอกจากนิจิสเซกิเขายังปลูกอีกมากกว่า 10 สายพันธุ์ อาทิ โคซุย ชินคันเซ็น นิจิสเซอิกิ และชินโค ซึ่งมีช่วงเวลาการเก็บแตกต่างกันไป เก็บเกี่ยวได้มากที่สุดช่วงปลายกรกฎาคม-พฤศจิกายน ที่จะเปิดสวนให้เราเข้าไปเยี่ยมชม พร้อมโปรแกรม ‘เก็บสาลี่กินได้ไม่อั้น’ โดยเขาจะมีมีดให้เราปอกกินสด ๆ บอกเลยว่ากินผลไม้ตอนที่ยังไม่ลืมต้น มันจะสดอร่อยกว่าซื้อตามตลาดเยอะมาก นอกจากเราจะได้ชิมสาลี่หลาย ๆ แบบ รับรู้ถึงความแตกต่างชัดเจนแล้ว เรายังสามารถเข้าไปชิมเจลลาโต เลือกซื้อของแปรรูปจากสาลี่ได้อีกมากมาย แถมราคายังดีงามสมควรซื้อเป็นของฝากสุด ๆ




003 The Sand Museum
ขับต่อมาไม่ไกล เราก็เลี้ยวเข้า ‘The Sand Museum’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สร้างผลงานจากเม็ดทรายแห่งแรกของโลก และแห่งเดียวของญี่ปุ่น ที่เปิดมาเกือบ 20 ปีแล้ว ตัวอาคารที่เห็นนี้เพิ่งสร้างเมื่อปี 2012 มีความสูง 3 ชั้น ให้เราได้เห็นผลงานในหลาย ๆ มุมมอง โดยแต่ละงานค่อนข้างยิ่งใหญ่ เป็นผลงานจากนักปั้นทรายทั่วโลก มีการจัดแสดงปีต่อปี ช่วงประมาณเมษายน-มกราคมของอีกปี แต่ละปีจะได้โจทย์ที่แตกต่างกันไป ส่วนราคาค่าเข้าอยู่ที่ 800 เยนเท่านั้น



ถ้ารวบรวมงานทั้งหมดแล้ว เขาจัดไปมากกว่า 14 นิทรรศการ เริ่มแรกเลยคือ Italy / Renaissance ที่สร้างความฮือฮาด้วยการโคเวอร์งาน the Annunciation ของ Leonardo da Vinci หลังจากนั้นก็จะเป็น World Heritage, Austria, Africa, The United Kingdom, USA, The Nordic Countries ฯลฯ เรียกว่ามีความวาไรตี้ เอาใจคนทั่วโลกสุด ๆ แต่ละชิ้นงานที่เราได้เห็นด้วยตาเนื้อ มันมีความละเอียดวิจิตรจนอยากยกให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของฝีมือมนุษย์ที่เขาสามารถรังสรรค์เม็ดทรายเล็ก ๆ เป็นงานอาร์ตชิ้นมหึมาได้ขนาดนี้



004 Tottori Sand Dunes
มาถึงไฮไลต์ประจำจังหวัดที่หาไม่ได้จากเมืองไหน ‘Tottori Sand Dunes’ แสนล้านล้านเม็ดทรายที่ควบแน่นกลายเป็นเนินเขาทอดตัวจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกความยาว 16 กิโลเมตร กว้าง 2.4 กิโลเมตร ลาดลงสู่ทะเลอย่างสวยงามลงตัว เกิดจากกปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แม่น้ำเซนไดนำพาตะกอนจากภูเขาไฟชูโงะไหลลงสู่ทะเล จากนั้นก็ถูกคลื่นน้ำซัดดันกลับมากลายเป็นเนินทรายที่กว้างใหญ่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นเนินทรายที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เราสามารถเดินเที่ยวเป็นรูทวงกลมรอบใหญ่ รอบเล็ก ได้ตามความต้องการเลย




และตัวช่วยที่จะทำให้ทุกคนชมครบทุกจุดเช็กอินได้โดยไม่ต้องเหนื่อย คือการกระโดดขึ้นอานขี่หลังอูฐ ชมเวิ้งทะเลทรายสีเหลืองทองตัดด้วยสีครามน่าค้นหา มองเส้นขอบฟ้าอันสดใสสไตล์ซัมเมอร์ บอกเลยว่าเป็นแห่งเดียวของญี่ปุ่นที่สร้างไวบ์อาหรับได้สมจริง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมชวนตื่นเต้นอย่างพาราไกลดิ้ง แซนบอร์ดให้เราสไลด์ลงเนินทรายอันสูงชัน ได้ยินเสียงเด็ก ผู้ใหญ่ เล่นสนุกกันเจี๊ยวจ๊าว


ด้านหน้ามีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของฝาก ที่หยิบเอา ‘น้องอูฐ’ สัญลักษณ์ประจำเนินทรายมาเป็นโลโก้สุดน่ารักให้เห็นทั่วทุกมุม อย่างร้าน 砂丘会館 (Sakyu Kaikan) ศูนย์รวมของฝากและอาหารท้องถิ่นที่ครบครัน หรือ 砂丘センター (Sakyu Center) ที่มีจุดชมวิวสุดอลัง นอกจากของที่ระลึกน้องอูฐแล้ว ยังมีขนมดังอย่าง ‘ซันโดะเบิร์ก’ คุ้กกี้รูปอูฐสุดฮิต และ ‘ลูกแพรเจลลี่’ ที่สายหวานต้องลอง! เดินเลือกของฝากกันเพลิน ๆ แล้ว เราขอแวะหลบแดด เติมความสดชื่นด้วยซอฟต์เสิร์ฟรสลูกแพรจาก Tottori Sand Dunes Café ก่อนออกไปหามุมดี ๆ นั่งรอชมพระอาทิตย์ตกดิน บอกเลยว่าบรรยากาศฟินสุด





เราใช้เวลากับจุดนี้ตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ จนถึงเย็น นั่งมองทิวทัศน์ของเนินทรายที่ทอดยาวไปจรดขอบทะเล พร้อมรอช่วงเวลาสำคัญ นั่นคือภาพพระอาทิตย์ตกทะเลสุดตระการตา เพราะสปอตนี้ขึ้นชื่อเรื่องวิว sunset ที่สวยจับใจ แสงแดดอ่อน ๆ ยามเย็นค่อย ๆ ฟุ้งกระจายย้อมทุกอย่างตรงหน้าให้เป็นสีซีเปีย เงาของเนินทรายทอดยาวดูนุ่มนวลขึ้นจากแสงที่เริ่มโรยตัว ลมทะเลพัดกลิ่นเค็มจาง ๆ โชยมาแตะจมูก ขณะที่เรานั่งเงียบ ๆ ซึมซับความงามของธรรมชาติ ก่อนที่ฟ้าจะเริ่มเปลี่ยนเฉดสีทีละนิด จากส้มเป็นชมพู ไล่ไปแดง ม่วง และน้ำเงิน แล้วค่อย ๆ มืดลงท่ามกลางเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง เป็นภาพสุดท้ายของวันแรกที่งดงามและตรึงใจสุด ๆ รักทตโตริจังเลย




005 肉料理 Nick
นอกจากสาลี่ที่เป็นของกินขึ้นชื่อแล้ว เนื้อวัวเขาก็ถือเป็นของ must try เช่นกัน ร้านที่เราภูมิใจนำเสนอชื่อ ‘肉料理 Nick’ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีทตโตริ ร้านเก๋ ไวบ์ดี สะท้อนความทันสมัยและไอเดียใหม่ ๆ ของการตกแต่งที่มีสไตล์ร่วมสมัย ด้านในร้านบรรยากาศอบอุ่น ใช้การตกแต่งแบบมินิมอล ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายตา เหมาะแก่การนั่งทานมื้ออร่อยกับเพื่อนหรือครอบครัว เราไม่แปลกใจเลยรับความนิยมจากทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่มาเยือน


แน่นอนว่าวัตถุดิบหลักเป็น ทตโตะริวากิว อันเลอค่าให้เราลิ้มลอง อย่างวยงามมาก ทำให้สามารถโพสต์ลงโซเชียลได้อย่างเก๋ไก๋ เซตเมนูยอดฮิต ซูชิทตโตะริวากิว ข้าวหน้าเนื้อที่เขาโบกเนื้อชิ้นหนา ๆ มาแน่น ๆ กัดไปเจอแต่ความนุ่มละมุนเคี้ยวง่าย มีความจุยซ์จนรสอูมามิของเนื้อแทรกซึมสู่ปลายลิ้นได้อย่างง่ายดาย พอตักกินคู่กับข้าวสวยญี่ปุ่นร้อน ๆ มีกลิ่นงาหอม ๆ ทำให้ในปากอวลไปด้วยความกลมกล่อมจนหยุดไม่อยู่ แถมหน้าตาการจัดเสิร์ฟยังสวยงาม กดถ่ายรูปโพสต์ลงไอจีได้แบบสับ ๆ ไปเลย


Day 2
006 Hakuto Shrine
หากใครกำลังอยากขอพรเรื่องความรัก เราขอผายมือให้กับ ‘Hakuto Shrine’ ศาลเจ้าที่ตั้งติดชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น โดยมีรูปปั้นกระต่ายเป็นมาสคอตประจำศาล จากเรื่องเล่าขานว่าเป็นกระต่ายที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกิ ที่ห่างจากชายฝั่งถึง 50 กิโลเมตร หากจะข้ามมาแผ่นดินใหญ่ก็จะต้องฝ่าฟันจระเข้มากมายในทะเลแห่งนี้ กระต่ายจึงออกอุบายให้จระเข้ลอยตัวต่อกันเป็นทางยาวเพื่อนับจำนวนว่ามีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่เมื่อไปถึงตัวสุดท้ายก็ดันตะโกนปนขำออกมาอย่างสะใจว่าโดนกระต่ายหลอกแล้ว จึงโดนจระเข้ตัวสุดท้ายจะจับกิน แต่ก็หนีรอดมาได้ด้วยรอยแผลที่เต็มตัว จากนั้นเขาก็ได้พบกับโอคุนินูชิโนะมิโกโตะที่มาช่วยทำแผลให้ เขาจึงได้พรจากกระต่ายจนได้ครองคู่กับเจ้าหญิงยากามิผู้งดงามเหนือใคร ปัจจุบันโอคุนินูชิโนะมิโกโตะเป็นเทพเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ที่ Izumo Taisha จึงเป็นที่มาของศาลว่าทำไมจึงเหมาะแก่การขอพรเรื่องความรักและการมีลูก






โดยการขอพรเราจะต้องล้างมือก่อนเข้าศาลเจ้า จากนั้นไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วซื้อแผ่นป้ายขอพร หรือเอมะ (絵馬) มาเขียนสิ่งที่ต้องการนำไปผูกไว้ในจุดที่เตรียมให้ แล้วก็รอเทพเจ้าแรนด้อมนำพาพรนั้นให้สมหวังได้เลย หรือถ้าใครอยากซื้อของฝาก เครื่องรางของที่นี่ก็น่ารักน่าเอาไปฝากเช่นกัน ส่วนทางนี้เพลิดเพลินกับการเก็บภาพรูปปั้นกระต่ายที่กระจายตามจุดต่าง ๆ มาก แต่ละตัวออกแบบมาได้กลมดิ๊ก ตากลมน่าทะนุถนอม ถ่ายรูปแล้วคิวต์สุด ๆ





007 Nijisseiki Pear Museum
ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่น อะไรที่คิดไม่ถึงที่นี่ทำถึงตลอด พิกัดนี้คือมิวเซียมผลไม้ ‘Nijisseiki Pear Museum’ ซึ่งเราไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนจริง ๆ เป็นที่ที่สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ลูกแพร์ญี่ปุ่นจะต้องร้องกรี๊ด แต่ทางเราขอกรี๊ดนำไปก่อนกับโครงสร้างมิวเซียมทรงโค้งมนที่ห่อหุ้มไปด้วยกระจก เดินเข้าไปจะเจอกับโถงเพดานสูงที่มีแสงธรรมชาติสาดส่องแบบเต็มสตรีม ภายในอาคาร 2 ชั้นนี้สามารถแบ่งส่วนนิทรรศการได้ถึง 13 โซน เริ่มตั้งแต่ประวัติของแพร์เมื่อ 70 ล้านปีก่อนที่มีต้นกำเนิดจากจีน มาสู่หอศิลป์ โรงภาพยนตร์ ต้นแพร์ยักษ์ สวนลูกแพร์ ห้องสำหรับศึกษาการปลูก ห้องสำหรับเด็ก ฯลฯ เรียกว่าตอบโจทย์ทุกเพศ วัยจริง ๆ




มาดูแต่ละส่วนกันให้ชัด ๆ บอกเลยว่าเขาจัดแสงได้เลิศ วางองค์ประกอบได้น่ามองสุด ๆ ยิ่งห้องที่เต็มไปด้วยลูกแพร์ในตู้อะคริลิคยิ่งเก๋ เป็นการรวบรวมแพร์จากทั่วโลก ส่วนไฮไลต์อยู่ที่ต้นแพร์ยักษ์ที่ตั้งอยู่กลางอาคาร แผ่กิ่งก้านเป็นวงกว้างด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 20 เมตร หอศิลป์ลูกแพรคอยรวบรวมงานศิลปะที่เกี่ยวกับผลไม้ชนิดนี้ สวนแพร์จำลองให้เราหาเหล่าสัตว์ที่อยู่ในสวนอย่างสนุกสนาน และยังมีห้องเทสต์รสชาติ แค่เอาตั๋วไปยื่น เราก็จะได้รับลูกแพร์ 3 ชิ้นต่างสายพันธุ์มาลิ้มลองด้วย.. ก่อนจะออกจากมิวเซียมอย่าลืมชิมซอฟต์เสิร์ฟเขาด้วยล่ะ เลิศมากขอบอก







008 Kurayoshi White Wall Warehouses
ได้เวลาของสายคอนเทนต์ที่ต้องเฉิดฉาย ด้วยการเดินทอดน่องในชุดกิโมโนที่ย่าน ‘Kurayoshi White Wall Warehouses’ แหล่งที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากในอดีต สร้างขึ้นระหว่างยุคเอโดะ (ปี 1603–1867) และต้นยุคโชวะ (ปีค.ศ. 1926–1989) จึงกลายเป็นย่านอนุรักษ์ที่สำคัญที่สุดอีกแห่งของญี่ปุ่น เนืองแน่นไปด้วยโกดังสินค้าดั้งเดิม ใช้สีขาวฉาบทับผนังเรียกว่าชิรากาเบะ ตั้งเรียงรายริมถนนเลียบแม่น้ำทามากาวะความยาว 400 เมตร มีสะพานหินเล็ก ๆ เชื่อมต่อถนนกับอาคาร หากลองสังเกตไปในน้ำเราจะเห็นเหล่าปลาน้อยแหวกว่ายสร้างสีสันอย่างงดงาม พร้อมบรรยากาศสงบเงียบ เหมาะกับการเช่าชุดกิโมโน/ยูกาตะมาถ่ายรูป portriat สักเซ็ต กระซิบนิดนึงว่าชุดของที่นี่โด่งดังเรื่องการย้อมครามแบบโบราณด้วย รับรองได้ภาพชุดที่ไม่เหมือนที่ไหนแน่นอน



009 Akagarwara Building No.5 Kura
บ้านที่ไม่ควรพลาดในย่านนี้ยกให้ ‘Akagarwara Building No.5 Kura’ แถบอาคารที่อดีตเคยเป็นแหล่งพำนักของเหล่าข้าราชการ ซามูไร ที่มาคอยคุ้มกันปราสาทอุตสึบุกิ ปัจจุบันได้กลายเป็นบ้านของชาวเมืองเพื่อเปิดเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ช่วยรักษาบรรยากาศไม่ให้หมู่บ้านนั้นซบเซา โดยร้านนี้จะเป็นบ้าน 2 ชั้น ภายในเน้นโครงสร้างไม้ ปูเสื่อทาทามิประหนึ่งบ้านดั้งเดิมที่มีกลิ่นอายของวันวานอย่างเด่นชัด




ส่วนเมนูซิกเนเจอร์ประจำร้านคือกาแฟ ที่นำเมล็ดมาบดโดยเครื่องบดหินสไตล์โบราณ วิธีการดื่มก็ถือว่าแบบใหม่แบบสับ คือเขาจะให้เราเทถั่วแดงที่เสิร์ฟมาคู่ลงไปในกาแฟแล้วค่อย ๆ คนให้มีความหวานอ่อน ๆ ยกจิบคู่กับดังโงะเหนียวหนึบหน้าหวานได้อย่างลงตัว โดยรสชาติของหน้าดังโงะจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลด้วยนะ

010 Yonezawa Taiyaki
ไม่ไกลจากคาเฟ่มากนัก เราได้พบกับร้านขนมไทยากิในตำนานของคุราโยชิที่ส่งกลิ่นหอมชวนหิวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ ‘Yonezawa Taiyaki’ ร้านนี้มีความพิเศษในการทำขนมไทยากิที่ประหนึ่งงานคราฟต์ เพราะเขานำแป้งเข้าพิมพ์แล้วปิ้งบนเตาฟืนแบบโบราณทีละชิ้น เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นไทยากิสีขาวแบบนี้ด้วย โดยไส้ในอัดแน่นไปด้วยถั่วแดงกวนรสชาติดั้งเดิม คือเค็มหน่อย ๆ หวาน ๆ นัว ๆ เคี้ยวรวมกับแป้งแล้วกลายเป็นขนมรสกลมกล่อมที่แตกต่างจากไทยากิปัจจุบันจริง ๆ




011 jifukel
ก่อนจะไปหาที่ชมพระอาทิตย์ตกดินของวันนี้ เราขอพาทุกคนมานั่งปล่อยจอยในคาเฟ่ริมทะเล ‘jifukel’ ร้านที่เพิ่งเปิดเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2023 เป็นการควบรวม 2 ร้าน specialty coffee อย่าง ‘Always Morning in the Corner of the Universe’ และ ‘Koko Coffee.’ ที่โดดเด่นเรื่องการคั่วเมล็ดกาแฟเอง คัดเมล็ดจากภูมิภาคที่ปลูกกาแฟได้ดีที่สุดจากทั่วโลก ให้เราได้ค้นพบเทสต์ที่ตัวเองชื่นชอบ กินเคล้ากับขนมสไตล์โฮมเมด ไม่ว่าจะเป็นพุดดิ้ง ทีรามิสุ คัพเค้ก พาร์เฟ่ต์ ที่สามารถเข้าคู่กับกาแฟดำแล้วอร่อยล้ำเกินคำบรรยาย ความจริงข้าง ๆ ร้านยังมีแปลงดอกทานตะวัน ซึ่งถ้าน้องบานชูช่อเต็มพื้นที่แล้วจะสวยสุด ๆ แต่ช่วงที่เราไปน้องบานช้ากว่าปกติ เลยไม่ได้เอารูปสวย ๆ มาฝากกัน เสียดายมาก





012 Nariishi Beach
เดินย่างก้าวออกจากคาเฟ่ไม่เท่าไหร่ เท้าเราก็ได้สัมผัสกับก้อนหินริมชายหาดบริเวณ ‘Nariishi Beach’ หนึ่งใน power spot ของทตโตริที่เราจะได้เก็บพลังได้เกือบทุกโสตสัมผัส โดยเฉพาะเรื่องเสียงที่จะได้ยินเสียงคลื่นซัดพัดหินให้กลิ้งไปมาอย่างก้องกังวาน เนื่องจากหินบริเวณนี้เป็นทรงกลม มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก ตอนที่ถูกคลื่นซัดจนขยับก็ทำให้เกิดเสียงกระทบเป็นเมโลดี้ที่บรรเลงโดยธรรมชาติอย่างไพเราะ ยิ่งนั่งฟังก็ยิ่งเคลิ้มชวนผ่อนคลาย พอบวกกับภาพพระอาทิตย์ตกตรงหน้า ก็ถือเป็น magic moment ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทำเราเกือบลืมหายใจ มันสุดจะตื้นตันจริง ๆ



Day 3
Hokuei
เมืองโคนัน แตงโมดัง ต้อง ‘Hokuei’ คำขวัญเมืองที่เราขอตั้งขึ้นเอง เมื่อได้มาเจอกับภาพโคนันยอดนักสืบนั่งกินแตงโมอย่างน่ารัก บอกทุกเอกลักษณ์ของเมืองแห่งนี้เอาไว้ ซึ่งที่นี่เป็นบ้านเกิดของอาจารย์อาโอยามะ โกโช ผู้เขียนต้นฉบับเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ เราจึงสามารถพบเจอตัวละครของเรื่องได้แทบทุกมุมเมือง และยังเป็นเมืองที่เหมาะกับการเที่ยวช่วงซัมเมอร์สุด ๆ เพราะท่ามกลางอากาศร้อนนี้ เราจะได้ลิ้มรส ’แตงโมไดเอ’ ผลไม้ซิกเนเจอร์ที่มีเปลือกหนา รสหวานฉ่ำ ปลูกในดินทรายที่ช่วยให้รสชาติเข้มข้น โดยเขาจะเก็บเกี่ยวช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมของทุกปี


013 Gosho Aoyama Manga Factory
แน่นอนว่าพิกัดแรกเราต้องพาไป say hi! กับเจ้าบ้านกันก่อนเลยที่ ‘Gosho Aoyama Manga Factory’ แหล่งผลิตมังงะที่เป็นตำนานระดับโลก ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ หนึ่งในสัญลักษณ์ประจำทตโตริ แค่ด้านหน้าโรงงานเราก็ตาวาวกับรถเต่าสีเหลืองสดใสของดร.อากาสะ ซึ่งคุณพ่อของอาจารย์อาโอยามะเป็นคนทำขึ้นเอง ถัดมาก็เจอกับรูปปั้นกลุ่มนักสืบเยาวชน แก๊งเพื่อนประถมตัวเด่นของเรื่องมายืนรอต้อนรับ และเมื่อเดินพ้นผ่านประตูก็ข้ามเขตแดนสู่โลกของการ์ตูนเรื่องนี้อย่างแท้จริง ๆ




ภายในนี้จะเป็นอาคาร 2 ชั้น มีการจัดนิทรรศการเป็นสัดส่วนอย่างดี ทั้งจำลองห้องทำงานของอาจารย์อาโอยามะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยภาพวาดของโคนัน โซนประวัติของการ์ตูนเรื่องนี้ ของสะสมตั้งแต่สมัยแรก ๆ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ หนังสือ โปสเตอร์ ฯลฯ, เส้นทางของการ์ตูนที่กระจายไปทั่วโลก, เล่นสเก็ตบอร์ดติดเทอร์โบของโคนันเพื่อเก็บคะแนน, ตัวอย่างการสืบคดีให้เราพิสูจน์, Family tree การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละคร, อุปกรณ์พิเศษที่โคนันใช้ก็มีให้เห็นให้จับกันจริง ๆ และแท่นรอยมือให้เราทาบทับประหนึ่งได้จับมือกับอาจารย์อาโอยามะ บอกเลยว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ fulfill วัยเด็กของเรามาก ๆ





014 Beika Shopping Street, Conan’s House
ขยับมาอีกนิดเราจะเจอกับ ‘Beika Shopping Street, Conan’s House’ ฟีลลิงเมืองจำลองในเรื่องโคนันนิด ๆ ห้อมล้อมด้วยอาคารที่เราเห็นในการ์ตูนจนชินตา เป็น community mall ที่ครบครันทั้งร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดอยู่ภายใต้ธีมโคนัน ภายในร้านก็จะมีฉากพร้อมตัวละครจัดองค์ประกอบงาม ๆ ให้แฟนคลับเข้าไปร่วมเฟรม และที่ชอบที่สุดคือหน้าตาของอาหาร ขนม เครื่องดื่ม จะตกแต่งออกมาให้เกี่ยวข้องกับมังงะเรื่องนี้ด้วย ถ่ายรูปออกมาแล้วคิวต์สุด ๆ




สายกินอย่างเรามีหรือจะกินแค่ไอศกรีมถ้วยเดียว พอเดินเล่นรอบ ๆ เสร็จ เราก็เลี้ยวเข้ามานั่งพักหลบแดดที่ร้าน ‘Conan’s Kitchen’ ร้านในบ้านทรงคิวต์ ภายในตกแต่งให้มีความคลาสสิกเหมือนร้านในการ์ตูน พร้อมเมนูทั้งคาวหวานให้เราเลือกชิม อาทิ สปาเกตตีผัดซอส แซนด์วิชหน้าตานุ่มฟู ข้าวห่อไข่แกงกะหรี่ ฮอตด็อก กาแฟร้อนที่มีภาพตัวละครบนโฟมนม เราสั่งพุดดิ้งเนื้อเด้งหนึบรสชาติหอมหวาน คู่กับซอฟต์เสิร์ฟรสนมเข้มข้นเนื้อละมุน กินคู่กับกาแฟดำแล้วต้องขอให้คะแนนเต็ม 10 10 10 หน้าสวยรสชาติอร่อยมีอยู่จริง




015 Yura Station 由良駅
อีกจุดไฮไลต์ที่แฟนโคนันไม่ควรพลาด ‘Yura Station 由良駅’ สถานีรถไฟที่มีเจ้าหนูเอโดงาวะยืนโพสท่าเท่ประจำตัวรอเจอทุกคนอยู่ เป็นสถานีเล็ก ๆ ที่รอบ ๆ เต็มไปด้วยรูปปั้นหิน รูปปั้นทาสี ฝาท่อ หลักกิโลเมตรเพนต์รูปตัวละครหลักในเรื่องสลับกันมาทักทาย และในอาคารยังมีงานอาร์ตของโคนันแทบทุกอณู ตั้งแต่ซุ้มประตูด้านหน้า กระจกหน้าต่าง หน้าตู้นายสถานี บนเพดาน พื้นบันได แล้วถ้าใครโชคดีก็อาจจะได้ขึ้นขบวนรถไฟที่เพนต์เป็นรูปการ์ตูนเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเขาจะแบ่งเป็น 2 สาย สีเหลือง สีชมพู สลับกันวิ่งไปยัง Tottori และ Yonago



สุดท้ายสำหรับเมืองนี้ เราได้นำภาพ decorate ของถนนโคนันที่มีความยาวกว่า 1.4 กิโลเมตร จากสถานีรถไฟสู่พิพิธภัณฑ์ที่เราไปเมื่อข้างต้นมาให้เพื่อน ๆ ได้รับชมกัน ที่บอกว่ารูปปั้นเยอะ มันเยอะจริง ๆ แถมยังมีหลายตัวละคร หลายอิริยาบถจนรู้สึกสนุกไปกับการ snap ภาพไปเรื่อย ๆ ไหนจะฝาท่อ ภาพเพนต์บนรถบัส ป้ายรถเมล์ เดินคนเดียวยังไงก็ไม่เหงา เหมือนเดินเจอเพื่อนตลอดทางเลย ชอบมาก






016 Daisen Makiba Milk Village
เที่ยวหน้าร้อนในญี่ปุ่นนอกจากทะเลแล้ว เราต้องพุ่งตรงหาความกรีนด้วยถึงจะถูกต้อง พิกัดต่อมา ‘Daisen Makiba Milk Village’ ฟาร์มสุดตะมุตะมิที่เชิงเขา Daisen สหกรณ์ที่มีอายุเกือบ 80 ปี ซึ่งถือเป็นสหกรณ์เกษตรที่ผลิตนมโดยเฉพาะไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นแหล่งพักใจให้เราดื่มด่ำความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ฟีลลิงเที่ยวชานเมืองสูดอากาศแสนบริสุทธิ์ หลีกหนีทุกความวุ่นวายเราสามารถชิมซอฟต์เสิร์ฟที่เข้มข้นที่สุดในเมือง พร้อมกิจกรรมฟาร์มมากมายที่ไม่ควรพลาด อาทิ การรีดนมวัว ดูขั้นตอนการผลิตนม วิธีการแปรรูปเป็นเนย ไอศกรีม ไส้กรอก ฯลฯ




นอกจากนี้เขายังมี ‘Milk Village Restaurant’ ร้านอาหารที่เราตั้งใจมาฝากท้องในข่วงบ่ายแก่ ๆ เมนูส่วนใหญ่นั้นเป็นเนื้อวัวอย่างดี รังสรรค์ได้ทั้งสไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตก อาทิ ข้าวหน้าเนื้อ แกงกะหรี่ พาสตา สเต๊ก เราสั่งเป็น Special steak bowl ข้าวสวยญี่ปุ่นเม็ดอวบนุ่มหนึบหนับ โบกหน้ามาด้วยเนื้อทตโตริชิ้นใหญ่ที่กริลด์สุกกำลังดีมีความจุยซี่ ราดซอสรสเค็มสร้างความกลมกล่อม โรยหน้าด้วยหอมเจียว งา และหอมซอย กินตัดสลับช่วยตัดความหนักของเนื้อได้อย่างดีเลย และอีกเมนูสเปเชียลคือนมที่มีให้เลือกระหว่างนมสดกับช็อกโกแลต สดระดับเพิ่งออกจากเต้า ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์แล้วมาอยู่ตรงหน้าเราเลย เรียกว่าสดของแท้ แถมรีฟีลได้อีกด้วย




Day 4
017 Shoji Ueda Museum
เริ่มต้นวันสุดท้ายด้วยการตื่นสาย บิดขี้เกียจชิล ๆ แล้วมาที่ ‘Shoji Ueda Museum’ พิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายของอุเอดะศิลปินผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในช่างภาพผู้บันทึกภาพธรรมชาติได้อย่างยอดเยี่ยมในระดับสากล ซึ่งเขามักจะใช้ภาพทตโตริบ้านเกิดของเขาเป็นหลัก จนได้รับรางวัล Chevalier des Arts et des Lettres จากฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1996 และในปี 1998 ยังได้รับรางวัลพลเมืองที่ประสบความสำเร็จประจำเมืองทตโตริเป็นคนแรก ไม่เพียงประวัติที่ทำให้เราตื่นตาเท่านั้น โลเคชันของมิวเซียมแห่งนี้ยังสุดจะปังกับกลุ่มอาคารสีเทายืนโดดเด่นอยู่กลางทุ่งหญ้า ด้านหนึ่งมีแปลงดอกทานตะวันบานชูช่ออย่างพร้อมเพรียง ทำเอาบรรยากาศซัมเมอร์ของเราสดใสขึ้นอีกร้อยเท่า



ผลงานของอาจารย์อุเอดะนั้นถูกการันตีความปังด้วยรางวัลอันยาวเหยียด ที่เราเห็นลิสต์รายชื่อรางวัลคาดว่าคงใช้เวลาทั้งวันถึงจะบอกได้หมด งานของอาจารย์เป็นศิลปะที่ถ่ายทอดออกมาอย่างมีเอกลักษณ์จนมีชื่อเรียกการถ่ายภาพแบบนี้ว่า Ueda-Cho เน้นภาพโล่งกว้างที่มีวัตถุโดดเด่นออกมาอย่างมีนัยยะ นอกจากห้องจัดแสดงภาพถ่ายแล้ว ยังมีมุมไฮไลต์บริเวณซอกอาคารวิวภูเขา Daisen ที่เขาจัดวางหมวกลอยกลางอากาศเอาไว้เหมือนใส่ให้กับภูเขา และลูกโป่งสีแดงมาตัดสีของธรรมชาติได้อย่างโดดเด่น ซึ่งพร็อปเหล่านี้ เราสามารถตกแต่งได้ตามใจชอบเลย



018 Sunflower Fields
ช่วงหน้าร้อนของทตโตริ ไม่ใช่แค่อากาศที่บอกฤดูกาล แต่ดอกไม้ก็ช่วยเติมสีสันให้ซัมเมอร์สดใสขึ้น อย่าง ‘Sunflower Fields’ ทุ่งทานตะวันสวย ๆ ที่เป็นเหมือนของขวัญประจำฤดูนี้ ถ้าขับรถผ่านเมือง Tohaku และ Saihaku ก็จะเจอแปลงทานตะวันโผล่มาให้ว้าวอยู่เรื่อย ๆ บางแห่งอยู่ริมทางรถไฟ ถ่ายจังหวะรถไฟแล่นผ่านก็เท่ไปอีกแบบ บางแห่งอยู่ริมทะเล ได้วิวสองบรรยากาศในเฟรมเดียว หรือบางแห่งก็เด่นสงบท่ามกลางทุ่งนา ไม่ต้องแย่งมุมกับใคร ได้ฟีลเหมือนหลุดเข้าไปในฉากอนิเมะญี่ปุ่นเลย





019 Sakaiminato Station 境港駅
อีกสปอตของมังงะระดับเทพ ‘Sakaiminato’ เมืองของอสูรน้อยคิทาโร่ ที่โด่งดังมากในยุค 80-90’s เจ้าผีเด็กตัวน้อยมีผมปิดตา 1 ข้างเป็นเอกลักษณ์ นอกจากลายเส้นที่คลาสสิกแล้ว ยังมีเนื้อเรื่องที่สนุกจนปัจจุบันก็ยังเป็นที่รู้จัก แถมยังถูกจัดทำเป็นภาพยนตร์ ทำเป็นอนิเมะฟอร์มยักษ์เพื่อฉลองครอบรอบ 100 ปี เมื่อปีก่อนด้วย บริเวณสถานีเขาก็จะมีการตกแต่งชานชาลาด้วยตัวละครกระจุกกระจิก สวนเด็กเล่นด้านหน้าก็อยู่ในธีมอสูรน้อย ไปจนถึงตู้ไปรษณีย์ ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า โดยรวมแล้วมันสร้างไวบ์ชวนยิ้ม น่ารักไปหมด





ถ้าใครอยากอินขึ้นอีกหน่อย แนะนำให้ลองนั่ง Kitaro Ressha (鬼太郎列車) รถไฟคิทาโร่ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 25 ปีแล้ว ขบวนรถไฟจะถูกวาดตัวละครเด่นไว้รอบคัน ไปจนถึงด้านในที่ตกแต่งไว้อย่างมีชีวิตชีวา มีทั้งหมด 6 ขบวน ซึ่งแต่ละขบวนมีคอนเซปต์แตกต่างกันเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของเมือง เช่น Sunakake Babaa Train : พรีเซนต์เนินทะเลทรายของทตโตริ, Konaki Jijii Train : จุดชมดวงดาวที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น, Yumigahama : พูดเรื่องแนวชายฝั่งอันงดงาม, Daisen : ยอดเขาที่สูงสุดในภูมิภาคชูโงกุ เป็นต้น โดยสถานีนี้เป็นป้ายสุดท้าย และยังอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ Mizuki Shigeru, ถนน Mizuki Shigeru เราจึงสามารถเดินเที่ยวต่อได้ชิล ๆ





020 Mizuki Shigeru Road
ไม่ใช่แค่ในสถานีเท่านั้นที่สเปเชียล บนถนน ‘Mizuki Shigeru Road’ ก็ถูกตกแต่งเป็นพิเศษเช่นกัน แต่ละมุมแอบซ่อนไปด้วยตัวละครในเรื่องคิทาโร่ เป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์มากถึง 177 ตัว เป็นภูตผีที่อยู่ในเรื่อง บ้างหน้าตาน่ากลัวตัวโตเห็นชัด บ้างก็เล็กจิ๋วน่ารักน่าหยิก ภาพอาร์ตบนฝาท่อช่วยสร้างสีสันให้เราตามล่าถ่ายเก็บเป็นที่ระลึกให้ครบทุกลาย ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นแฟนคลับของเรื่องนี้ แต่ตัวการ์ตูนที่เห็นทำให้เราทึ่งกับจินตนาการของผู้วาด เรียกว่าเดินหาเพลิน ถ่ายรูปสนุกไม่แพ้ใครเลย








นอกจากอาร์ตของทางการที่ทำประดับตามถนน บนบ้านเรือน ร้านค้าของผู้คนก็ล้วนแล้วแต่มีคิทาโร่ผสมปนเปอยู่ทั้งสิ้น อย่างร้านขายขนมของฝาก ก็ทาสีดำเหลืองมีหน้าตัวการ์ตูนโผล่มาตามป้ายร้าน บางร้านสื่อสารผ่านรูปทรงขนม บางร้านจัดฉากเหมือนในมังงะ มีมาสคอตยืนประหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริง ๆ ม้านั่งหน้าร้านก็ยังเป็นรูปวาดของคิทาโร่เช่นกัน แม้กระทั่งศาลเจ้ายังมีแผ่นไม้เขียนคำอวยพรเป็นธีมการ์ตูนเรื่องนี้เลย เรียกว่าทำถึงกันทั้งย่านของแท้












021 Mizuki Shigeru Museum
กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางก็ทำเอาซะเม็มแทบเต็ม พิกัดสุดท้ายของทริปนี้คือ ‘Mizuki Shigeru Museum’ พิพิธภัณฑ์คิทาโร่ที่ตั้งอยู่ปลายสุดของถนน เป็นอาคารขนาดกลางที่อัดแน่นไปด้วยแรงบันดาลใจของชายผู้ชื่อชิเงรุ มูระ อาจารย์ผู้สร้างการ์ตูนเรื่องนี้นั่นเอง ประวัติของอาจารย์ค่อนข้างสู้ชีวิต จากเด็กชายปกติที่ชอบไปหาคุณยายข้างบ้านเพื่อฟังนิทานเกี่ยวกับภูติผี โตขึ้นก็ต้องไปเป็นทหารร่วมกองทัพในสงครามโลกครั้งที่2 จนเสียแขนไปหนึ่งข้าง เมื่อกลับมาที่ญี่ปุ่นกลายเป็นคนพิการที่ไม่สามารถหางานได้ จึงผันตัวเองเป็นนักวาดการ์ตูนใช้นามปากกาว่ามิสุกิ ชิเงรุ พัฒนาฝีมือและเนื้อเรื่องมาเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นคิทาโร่ อนิเมะระดับตำนานที่จนถูกรีเมคบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น






ภายในอาคารถูกแบ่งโซนไว้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ประวัติของอาจารย์ ห้องแสดงวีดิทัศน์ เส้นทางการเติบโตของมังงะเรื่องนี้ การแนะนำตัวละคร ดีเทลการออกแบบแต่ละคาแรกเตอร์ ฉากในมังงะที่ถูกลงสีอย่างสวยงาม จำลองห้องทำงานของอาจารย์ ดูต้นฉบับของแท้ อุปกรณ์การวาดเขียนสมัยก่อน เรียกว่าเก็บครบทุกรายละเอียด แถมยังมี special exhibition ที่จัดสลับหมุนเวียนไปแต่ละช่วงด้วยนะ ใครเป็นแฟนคลับจะต้องคอมพลีตแน่นอน




ถือเป็นการเที่ยว 4 วัน 3 คืนที่เราจัดไว้ให้แบบมหากาพย์จริง ๆ ถ้าใครเน้นดื่มด่ำ เราว่าทริปนี้สามารถอยู่ยาวได้ถึง 5-6 วันเลยด้วยซ้ำ เพราะหน้าร้อนของทตโตริมันเต็มไปด้วยความสดใส เปิดหลาย ๆ ประสบการณ์ใหม่ในญี่ปุ่นที่สามารถหาได้จากที่นี่ที่เดียว รับรองว่าใครได้มาจะต้องฟินไปตาม ๆ กัน



