รีวิวญี่ปุ่น :: The Ultimate Hokuriku Guide : Exploring the Hidden Charms of Fukui, Ishikawa & Toyama 🇯🇵

แพลนเที่ยว 6 วัน 5 คืน ในภูมิภาค Hokuriku แห่งเกาะฮอนชู กับการนั่งรถไฟลัดเลาะ Fukui – Ishikawa – Toyama 3 จังหวัดที่พร้อมเสิร์ฟความประทับใจที่หาไม่ได้จากไหนในญี่ปุ่น

ทริปนี้เราขอพาทุกคนไปเริ่มต้นช้า ๆ ชิล ๆ กันที่ Fukui ดินแดนแห่งไดโนเสาร์ ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่ซ่อนความเงียบสงบไว้ในทุกมุมมอง ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง Ishikawa จังหวัดที่มากล้นด้วยเสน่ห์จากศิลปะ อาหาร วัฒนธรรม ตลอดจนหนึ่งในเมืองออนเซ็นที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นซึ่งมีอายุกว่าพันปี ก่อนจะมุ่งหน้าไปจบแบบฟิน ๆ ณ จังหวัด Toyama สัมผัสความงดงามของเจแปนแอลป์ส ชิมซูชิสดใหม่ที่ปั้นเองกับมือ แวะเซฮายบ้านเกิดโดราเอมอน บอกเลยว่าทริปนี้อัดแน่นไปด้วยความสนุก ความทรงจำ และรอยยิ้ม เรียกว่าเป็นมหากาพย์การเดินทางในโฮคุริคุได้เลย เพราะมัดรวมมาให้ปักหมุดตามกว่า 40 พิกัด

#PR #ToyamaPrefecture #IshikawaPrefecture #FukuiPrefecture

สำหรับการเดินทางยิงยาว 3 เมืองครั้งนี้ เราเลือกใช้บัตร Kansai Hokuriku Area Pass 7 Days เป็นหลัก โดยพาสนี้สามารถใช้ได้กับทั้ง SHINKANSEN, JR-WEST รวมถึง JR BUS ในพื้นที่ที่กำหนดได้ไม่จำกัดรอบ ซึ่งถือเป็นวิธีการเดินทางที่สะดวก และประหยัดเวลา คุมแพลนเที่ยวได้เป๊ะตั้งแต่อยู่ไทย ทั้งยังสามารถจอง Pass ออนไลน์ แล้วไปรับบัตรที่ตู้อัตโนมัติ ณ สนามบินนานาชาติคันไซ(Kansai Airport : KIX) ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวให้พนักงานออกบัตรให้ คอมพลีตการเที่ยวรอบนี้สุด ๆ 

Day1 : Train to Fukui

Tsuruga Station

เริ่มต้นการเดินทางจาก Osaka Station ด้วยรถไฟด่วนพิเศษ THUNDERBIRD ที่จะพาเรามุ่งหน้าสู่เมือง Fukui โดยระหว่างทางเราจะต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานี Tsuruga สถานีชินคันเซ็นแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการช่วงมีนาคมปีที่แล้ว ความสดใหม่ของตัวอาคารที่ถูกออกแบบให้ทันสมัยและใช้งานง่าย ช่วยให้การเปลี่ยนขบวนเป็นเรื่องสะดวกสบาย อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่พาเราเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาค Hokuriku ได้อย่างไร้กังวล ไหน ๆ เราก็ใช้ตั๋วอภิสิทธิ์เข้าออกได้ดั่งใจแล้ว งั้นขอฝากของไว้ในล็อกเกอร์แล้วแวะเที่ยวเมืองนี้กันสักหน่อย เป็นการทำความรู้จักเมือง Fukui ฉบับท้องถิ่น ให้เราเห็นความออริจินัลกันตั้งแต่ที่นี่เลย

Oboroya ( Tsuruga Konbu )

หมุดแรกก็จึ้งเลยกับการได้ลิ้มลอง Konbu ขูดสดครั้งแรกในชีวิต ที่ร้าน ‘Oboroya’ โดยสาหร่ายคอมบุของเมืองนี้มีประวัติมาตั้งแต่ยุคเอโดะ รับสาหร่ายมาจากเกาะฮอกไกโด นำมาแปรรูปโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งใช้เวลาบ่มสาหร่ายนานกว่า 1-2 ปี จึงจะมาใช้ประกอบอาหารได้ ถือเป็นวัตถุดิบเลอค่าที่มักใช้ในอาหารหรู ๆ เพราะทำให้อาหารมีรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม เสริมกลิ่นเอกลักษณ์ของอาหารญี่ปุ่นมากขึ้น ซึ่งเขาก็มีโชว์ขูดคอมบุให้ดูกันสด ๆ ใครอยากได้คอมบุพรีเมียมกลับบ้าน แนะนำให้ซื้อไว้เลย มีทั้งแบบเครื่องปรุง ผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ตลอดจนกับแกล้มที่กินกับสาเกแล้วเลิศมาก

Mugiya

สำหรับอาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น เราพุ่งตรงมาที่ ‘Mugiya’ อยู่ติดจากร้านสาหร่ายแบบสองก้าวถึง เพื่อลิ้มลองเมนูโปรดที่มีกิมมิกไม่ธรรมดา ‘โซบะสไตล์เอจิเซ็น (Echizen Soba)’ อาหารพื้นเมืองของ Fukui ที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ เอกลักษณ์อยู่ที่เส้นโซบะ ทำจากแป้งบัควีตแท้ ๆ บดผสมนวดและรีดออกมาเป็นเส้นที่นุ่มกำลังดี รสชาติเข้มข้น และกลิ่นเส้นหอมชัดเจน ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมนูประจำภูมิภาคโฮคุริคุ แต่ที่สเปเชียลกว่าร้านอื่น ๆ คือเขาจะขูดคอมบุลงไปในชาม ช่วยเพิ่มความอูมามิ หอมกลิ่นทะเลมากขึ้น เราถึงกับยกซดกินซุปเกลี้ยงเลยทีเดียว อันนี้แนะนำเลยสำหรับใครที่ชอบอีสเมนูเส้นแบบเรา

Chaya Kamu Cafe 

มาล้างปากกันต่อด้วยเครื่องดื่มแสนโอชะใน ‘Chaya Kamu Cafe’ ร้านกาแฟที่ดัดแปลงโครงสร้างจากบ้านโบราณอายุกว่า 100 ปี ให้ดูโมเดิร์นขึ้น ภายในยังเต็มไปด้วยกลิ่นอาย ‘วาบิซาบิ’ ที่ตีความได้ว่าเป็นความพึงพอใจในชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นเสาไม้ ประตูหน้าต่างบุเยื่อกระดาษ เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้องามถูกวางบนเสื่อทาทามิอย่างบรรจง เครื่องถ้วยเซรามิกหลากหลายฟอร์มและลวดลายถูกจัดวางสร้างความมีชีวิตชีวาให้แก่ร้าน ซึ่งเราสามารถรีเควสต์ลายที่ชอบมาใส่เครื่องดื่มที่สั่งได้ด้วย ถือเป็นกิมมิกที่คาวาอีม๊าก

ขนมของที่ร้านล้วนเป็นขนมต้นตำรับสไตล์ญี่ปุ่น มีชื่อเรียกว่า ‘วากาชิ’ ส่วนใหญ่จะทำจากแป้ง ถั่วแดง น้ำตาล และวัตถุดิบที่หาได้ในช่วงนั้น ๆ มาปรับให้เข้ากับยุคสมัย เราสั่งเป็นตัวขายดี ‘Kam Parfait’ พาร์เฟ่ต์ที่ทำจากไอศกรีมโฮมเมดที่ทางร้านตีขึ้นสด ๆ รสชาติหวานละไม มีกลิ่นชาเขียว และกาแฟหอมเตะจมูก คู่กับเยลลี่นุ่มละลายในปาก อีกเซตเป็น ‘Coffee Samimi’ ที่นำกาแฟคั่วเองของทางร้านมาจัดเสิร์ฟเป็นไอศกรีม เยลลี่ และเครื่องดื่ม เรียกว่าเอาใจคนคลั่งกาแฟแบบสุดฤทธิ์

Mikuni Minato

จากนั้นเรานั่งชินคังเซ็นจาก Tsuruka แล้วมาต่อ Local Train (จ่ายแยกต่างหาก) เพื่อไปยัง ‘Mikuni Minato’ ย่านริมทะเลแห่งเมือง Sakai เมืองท่าที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลสมัยเอโดะเส้นทางฮอกไกโด-โอซาก้า จึงมีทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยบ้านเรือน โกดังเก่าแก่มากกว่าที่อื่น ๆ ส่วนบรรยากาศเรียกว่าเงียบสงบ แบบที่สายชิลอย่างเรายังฟิน ได้เดินชมบ้านเรือน ดื่มด่ำกับกลิ่นอายประวัติศาสตร์ พร้อมทอดมองวิวทะเลญี่ปุ่นอันกว้างใหญ่ ถ่ายรูปได้อย่างเพลิดเพลิน และแน่นอนว่าของขึ้นชื่อประจำถิ่นจะต้องเป็นของทะเลสด ๆ ที่สามารถหากินได้ ณ ตลาดปลา โดยเฉพาะปูเอจิเซ็น (Echizen Crab) หรือปูหิมะ เป็นสายพันธุ์คุณภาพสูงชนิดเดียวที่ได้ถวายให้กับราชวงศ์จักรพรรดิในสมัยก่อนเลยทีเดียว

Nakajima

เพื่อให้เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนริมน้ำ คืนนี้เราเลือกนอนที่ ‘Nakajima’ โฮมสเตย์ของชาวประมงแท้ ๆ ที่ให้ฟีลเหมือนมานอนบ้านเพื่อนญี่ปุ่น ด้วยลักษณะของบ้านที่อบอุ่น แบ่งห้องหับแบบบ้านธรรมดา มีห้องนอนและห้องอาบน้ำพร้อมบ่อน้ำร้อนสะอาดสะอ้าน จัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบ เพิ่มเติมคือเราได้เห็นการใช้ชีวิตของคุณลุงเจ้าของ ที่ต้องตื่นมาเช็กคุณภาพของทะเล ก่อนแพ็กและจัดส่ง จากนั้นเขาก็จะพาเราไปตกปลา หาปูกันแบบสบาย ๆ ไม่รีบร้อน ใครอยากมีประสบการณ์อินไซด์แบบประมงญี่ปุ่นไปเล่าให้ลูกหลานฟังก็มาที่นี่ได้เลย

และอีกเหตุผลที่ควรค่าในการมานอนบ้านชาวประมงญี่ปุ่นคือเรื่องของการกิน ยิ่งมาช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคมยิ่งปัง เพราะเราจะได้กินปู Echizen Crab แบบแน่น ๆ เน้น ๆ ซึ่งปูชนิดนี้จะมีจุดเด่นอยู่ตรงขาที่ยาวใหญ่ มีเท็กซ์เจอร์เนื้อที่แน่นนุ่มฉ่ำ รสชาติหวานหอมกลิ่นทะเล ยิ่งถ้าได้ลิ้มลอง ‘Seiko Gani’ ปูตัวเมียก็จะมีไข่ที่มอบความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น คุณลุงก็จัดมาให้ทั้งแบบหม้อไฟ ซาชิมิ และนึ่ง แต่ละแบบก็มอบความอร่อยที่แตกต่างกัน เป็นการปิดจบคืนที่ชวนฝันดีสุด ๆ แต่ถ้ามาช่วงอื่นเขาก็มีของทะเลอื่น ๆ ให้เราได้ชิมเหมือนกันนะ ไม่ต้องเสียใจไป 

Day 2 : One day in Fukui

Fukui Station

จะบอกว่าที่เราชอบเที่ยวญี่ปุ่นด้วยการนั่งรถไฟคือความใส่ใจในรายละเอียด เพราะแทบจะทุกสถานีใหญ่ ๆ จะมีกิมมิกให้เราได้ทำคอนเทนต์อยู่เสมอ อย่างFukui Station’ เขาจัดสถานที่ให้เราเดินถ่ายรูปเล่นกินเวลาไปได้เพลิน ๆ ซึ่งแต่ละจุดจะมีสตอรีสัมพันธ์กับเมืองทั้งสิ้น อย่างรูปปั้นไดโนเสาร์ ที่นั่งไข่ไดโนเสาร์ มาจากการขุดเจอซากฟอสซิลไดโนเสาร์ในพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง ถ้าใครอยากทราบประวัติก็สามารถไปดูต่อได้ที่พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์จังหวัดฟุคุอิ (Fukui Prefectural Dinosaur Museum) แล้วเรื่องการจัดวาง การดีไซน์แต่ละมุมคือมีความครีเอต ทำให้เราสนุกกับการเช็กอินทุกสปอตจริง ๆ 

Daihonzan Eiheiji

ที่เที่ยวแรกสำหรับเช้านี้ เราขอเติมพลังจิตพลังใจกันที่ ‘Daihonzan Eiheiji’ วัดที่มีอายุมากกว่า 780 ปี ก่อตั้งโดย Dogen Zenji เป็นหนึ่งในสำนักเซนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น วัดแห่งนี้จึงถือเป็นอีกวัดหลักของ Nihon Sotoshu เช่นกัน ทำหน้าที่ฝึกอบรมพระสงฆ์ในสำนัก Sato ทั้งยังมีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นดั้งเดิม ท่ามกลางแมกไม้เมืองหนาวอันสูงใหญ่ สร้างบรรยากาศสงบเงียบ เป็นสถานที่ที่ทำเราต้องมนต์ขลังจนแทบไม่อยากออกไปไหนเลยทีเดียว 

ความยูนีคของวัดนี้คือกิจกรรมที่ดึงดูดนักเดินทางสายธรรมจากทั่วทุกมุมโลกให้มาได้ ‘นั่งสมาธิ’ เป็นการฝึกสมาธิในแบบของเซน เหมาะกับคนที่อยากรู้วิถีชีวิตเซนอย่างลึกซึ้ง เริ่มตั้งแต่ท่านั่งที่ถูกต้อง จะต้องนั่งขัดสมาธิ จากนั้นฝึกการควบคุมลมหายใจ เพื่อทำจิตใจให้สงบ พร้อมกับสอนให้เราทิ้งความคิดและอยู่กับปัจจุบัน เน้นในเรื่องของการมีสติ ละทิ้งสิ่งที่รบกวนจิตใจ ซึ่งหากทำได้จะเป็นการฝึกจิตเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย โดยใช้เวลาราว ๆ 30 – 60 นาที ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน พอลืมตาตื่นมาแล้ว เราจะรู้สึกสมองโล่ง เฟรชขึ้นมาก เหมาะกับคนที่ชอบทำอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกันจนจิตยุ่งเหยิงแบบเราสุด ๆ 

Hikari Terrace

ใช้พลังงานในการฝึกจิตไปค่อนข้างเยอะ เลยขอมาเติมเอเนอร์จีกันต่อที่ ‘Hikari Terrace’ คอมมิวนิตีขนาดย่อม มาพร้อมดีไซน์ Japanese Modern ที่ถูกต้อง กับศาลาทรงยาวแบบญี่ปุ่น ภายในเป็นคาเฟ่และร้านค้า มีที่นั่งแบบ semi-outdoor และ indoor ให้เราเลือกนั่งได้อย่างอิสระ สินค้าส่วนใหญ่ที่วางขายจะเป็นงานฝีมือแสนประณีต เน้นไปทางหัตถกรรมดั้งเดิมของจังหวัด พร้อมกับคาเฟ่เทสต์ดีที่ขายทั้งอาหารชุด ขนมนมเนย และเครื่องดื่ม เป็นคอมฟอร์ดฟู้ดสไตล์ญี่ปุ่นที่มีรสชาติโฮมมี่โฮมเมดดีต่อใจมาก ๆ 

ESHIKOTO

ไปกันต่อกับของดีประจำเมือง ณ  ‘ESHIKOTO’ แหล่งท่องเที่ยวที่มอบประสบการณ์การสัมผัสสินค้าพรีเมียมจาก Fukui ในรูปแบบโมเดิร์นกว่าที่ไหน ๆ โดยที่นี่ก่อตั้งโดย Nizaemon Ishidaya เจ้าของโรงกลั่นสาเก Kokuryu ที่ผลิตสาเกระดับพรีเมียมชื่อดังของญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 220 ปี โดยผลิตจากน้ำใต้ดินในแม่น้ำคุซุริวแห่งนี้ ที่นี่จึงถูกสร้างในรูปแบบอาคารที่เรียบเท่ โล่งโปร่งไปด้วยกระจกใส เผยให้เห็นธรรมชาติโดยรอบที่มีความผูกพันกับประวัติของสถานที่แห่งนี้นั่นเอง เขาจะแบ่งสัดส่วนทั้งเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ พื้นที่สีเขียว โรงกลั่นสาเก มีกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ร่วมสนุก เรียกว่าอยู่เที่ยวได้เพลิน ๆ เลย

Kanshukuen ESHIKOTO

นอกจากด้านเอนเตอร์เทนแล้ว เขายังมีส่วนของที่พักซึ่งออกแบบมาถูกจริตสายเที่ยวเน้นสบายอย่าง ‘Kanshukuen ESHIKOTO’ สร้างในคอนเซปต์ ‘ต้องการเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับอาหารและสาเกอันเป็นของขึ้นชื่อในท้องถิ่น’ ด้วยการรวมทุกความที่สุดด้านการกินดื่มมาไว้ที่นี่ พร้อมหลับนอนในห้องพักที่มีให้เลือกถึง 8 สไตล์ เน้นความเรียงง่ายแต่หรูหรา ใช้วัสดุธรรมชาติและสีเอิร์ธโทน สร้างการพักผ่อนที่เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ ถ้ามีโอกาส รอบหน้าเราจะกลับมาพักให้ได้อย่างแน่นอน

Ichijodani Asakura Clan Historic Ruins

ก่อนกลับเข้าที่พักในเมือง เราขอแวะศึกษาเรื่องราวในอดีตที่ ‘Ichijodani Asakura Clan Historic Ruins’ ซากปรักหักพังของตระกูลอิจิโจดานิ อาซากุระ ผู้เคยปกครองเมืองเมื่อครึ่งหลังของศตวรรษที่ 13 ในอดีตที่นี่เจริญรุ่งเรืองไปด้วยการค้า การทหาร และวัฒนธรรม ก่อนถูกเผาทำลายโดยขุนนางยุคศักดินาผู้ยิ่งใหญ่ โอดะ โนบุนากะ ในปี ค.ศ. 1573 และมาถูกค้นพบในเวลา 400 ปีต่อมา ซึ่งถือเป็นซากเมืองปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีการฟื้นฟูบรรยากาศของหมู่บ้านให้เราเห็นความเป็นอยู่ช่วงยุคมูโรมาจิ (ค.ศ. 1336-1573) ที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน บอกเลยว่าแปลกตากว่าเมืองเก่าของที่อื่น ๆ อยู่มาก 

Amazen

และนี่คือหนึ่งในอาหารติดท็อปของ Fukui เมนูทงคัตสึสุดยูนีค เรามาชิมที่ร้าน ‘Amazen’ ร้านในสถานีที่มองผ่าน ๆ แสนจะธรรมดา แต่พอจัดเสิร์ฟอาหารมาถึงกับตาวาว ภาพชิ้นหมูชุบเกล็ดขนมปังทอดที่ส่องแสงเป็นประกาย วางเรียงตัวอยู่บนข้าวสวยญี่ปุ่นเม็ดอวบอ้วน กัดไปเจอความกรอบนอกนุ่มใน กลมกล่อมไปด้วยรสชาติเนื้อหมูที่มีมันแทรกฉ่ำ ๆ ราดมาด้วยซอสสูตรพิเศษที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นของ Fukui ไม่ว่าจะเป็นน้ำส้มสายชู เครื่องเทศ ฯลฯ เกิดเป็นรสชาติที่ไม่เหมือนใคร พอกินตัดกับ Oroshi Soba แบบเย็นสไตล์ Fukui ที่จะใส่หัวไชเท้าเยอะเป็นพิเศษแล้ว ก็ยิ่งช่วยลดความเลี่ยน เสริมความละมุน กินได้เพลิน ๆ จนหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว ไม่แปลกที่เซทนี้จะเป็นที่นิยมมาก ๆ อยากให้ทุกคนได้ลองจริง ๆ

Day 3 : Fukui – Ishikawa

Wakura Onsen

โยกย้ายจาก Fukui สู่ Ishikawa ด้วยรถไฟอย่างว่องไว โดยเริ่มต้นกันที่เมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัด ‘Wakura Onsen’ ตั้งติดกับอ่าว Nanao ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเหล่าออนเซ็นเลิฟเวอร์ เพราะมีประวัติมายาวนานมากกว่า 1,200 ปี แถมยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบรรยากาศที่แสนเงียบสงบ เหมาะมานอนพักผ่อน เอาร่างไปแช่อยู่ในน้ำร้อนที่อุดมด้วยแร่ธาตุที่ดีต่อผิวพรรณ ระบบไหลเวียนของเลือด ช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้า ซึ่งนอกจากออนเซ็นแล้ว เขายังมีสปอตให้เราเที่ยวได้อีกเพียบ!

Notojima Aquarium

หลังจากฝากสัมภาระไว้ที่ที่พัก เราก็ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไปยัง ‘Notojima Aquarium’ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบนเกาะ Noto Island ที่จัดแสดงสัตว์น้ำกว่า 500 สายพันธุ์ รวมกว่า 40,000 ชีวิต โดยเน้นสายพันธุ์ที่พบในคาบสมุทรโนโตะ ตั้งแต่ปลาตัวเล็กน่ารักไปจนถึงสัตว์น้ำหายากในท้องถิ่น ที่นี่มีทั้งโซนจัดแสดงสัตว์น้ำที่น่าสนใจ โซนสัมผัส และกิจกรรมหลากหลายสำหรับทุกวัย บวกกับวิวทะเลญี่ปุ่นรอบข้างที่ทำให้บรรยากาศการเยี่ยมชมยิ่งสดชื่นและผ่อนคลาย ส่วนไฮไลต์ที่ใคร ๆ ก็ต้องมาดูให้ได้คือ ฉลามวาฬยักษ์ ตัวใหม่ที่เพิ่งมาประจำการในอะควาเรียม แทนตัวเก่าที่จากไปอย่างน่าเศร้าในช่วงแผ่นดินไหวที่ผ่านมา

ที่นี่มีสองจุดที่ชวนประทับใจจนแทบลืมไม่ลง จุดแรกคือ Projection Mapping ที่ฉายกราฟิกแสงสีสุดอลังการลงบนเพดานและตู้ปลา ลวดลายที่ปรากฏชวนให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกใต้น้ำอันน่าพิศวง อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Penguin Walk การแสดงสุดน่ารักที่พาเหล่าเพนกวินออกมาเดินอวดโฉม น้อง ๆ เดินกวัดแกว่งปีกพลางหันซ้ายขวา ราวกับกำลังทักทายผู้ชมอย่างรู้หน้าที่ การได้ชมเพนกวินอย่างใกล้ชิดแบบนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและพิเศษกว่าการมองผ่านกระจกมาก ๆ

Yumoto No Hiroba

กลับจากอะควาเรียม เราก็มาเดินเล่นย่านใจกลางเมือง ‘Yumoto No Hiroba’  สำรวจหาสิ่งที่น่าสนใจมาฝากเพื่อน ๆ โดยเริ่มปักหมุดไปที่ จตุรัสฮิโรบะ (Hiroba public square) ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์บอกเล่าเรื่องราวเมื่อ 1,200 ปีก่อน ว่ากันว่ามีชาวประมงเห็นนกกระยางที่ได้รับบาดเจ็บ มาแช่น้ำเพื่อรักษาอาการจากน้ำพุร้อนแห่งนี้ ทางการจึงนำโขดหินขนาดใหญ่มาวาง พร้อมด้วยรูปปั้นนกกระสาที่ทำจากสำริดมาจัดท่วงท่าให้เหมือนกับเรื่องเล่านั้นนั่นเอง แล้วยังมีกิมมิกน่ารัก ๆ ให้ทำด้วย คือการซื้อไข่จากร้านของฝากใกล้ ๆ แล้วนำไปต้มตรงบ่อน้ำพุร้อนเล็ก ๆ ตรงนกกระสา ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีก็กินได้เลย

Wakura Onsen Public Bath

ฟังเรื่องเล่าไปแล้วก็ได้เวลามาชมออนเซ็นระดับประเทศให้เป็นบุญกายสักหน่อย ‘Wakura Onsen Public Bath’ โรงอาบน้ำสาธารณะสำหรับคนที่ไม่ได้มาพักโรงแรมแต่อยากสัมผัสน้ำเปี่ยมสรรพคุณของเมืองนี้ โดยโรงอาบน้ำแห่งนี้มีอายุยาวนานกว่า 380 ปี ทำหน้าที่ปกป้องรักษาคุณภาพให้คงเดิมเหมือนอดีต เราชอบตั้งแต่โครงสร้างอาคาร ที่เป็นแนวยาวมีชั้นเดียว ภายในโอ่โถงไปด้วยเพดานสูง หอมกลิ่นไม้อันเป็นวัสดุหลักภายใน การจัดวางเฟอร์นิเจอร์จะเน้นเปิดพื้นที่ให้โล่งกว้าง เป็นระเบียบ สะอาดเอี่ยมน่าอยู่เป็นที่สุด ซึ่งราคาค่าเข้าอยู่ที่ 490 เยนเท่านั้น มีทั้งบ่อแช่อินดอร์และเอาท์ดอร์ ลานสำหรับนอนพัก แถมยังมีบ่อแช่เท้าฟรีด้านหน้าอีก ( ตอนนี้อยู่ในช่วงปรับปรุงเพราะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวปีก่อน ) คุ้มไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว

Hanagoyomi

ในเมือง Wakura Onsen จะมีโรงแรม รีสอร์ทบริการบ่อออนเซ็นอยู่หลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือที่พักของเรา ‘Hanagoyomi’ ที่มีความ traditional ญี่ปุ่นแท้ ๆ สูงมาก เดินเข้ามาให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่นยุคก่อน ภายในห้องนอนเขาจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ บนเสื่อทาทามิ มีกาน้ำแสนตะมุตะมิวางอย่างน่ารัก คล้ายห้องคุณปู่ในการ์ตูนมารูโกะเลยล่ะ ส่วนห้องอาบน้ำก็ปูพื้นกระเบื้องแบบสมัยก่อน ดูเรียลสุด ๆ แอบอินดีเทลนิดนึงว่า ใครมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นที่มีสัตว์เลี้ยง แล้วอยากชวนกันมาเที่ยว ที่นี่เขามีห้องแบบ pet friendly ด้วยนะ

ชำระล้างร่ายกายพร้อมแช่น้ำผ่อนคลายกล้ามเนื้อเรียบร้อย ก็ได้เวลาที่เรารอคอย กับการดินเนอร์ด้วยอาหารชุดใหญ่แบบฉบับที่พักเรียวกัง บางที่จะเป็นบุฟเฟต์ ส่วนที่นี่เขาจะเป็นชุดไคเซกิ ที่เมนูจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เสิร์ฟมาในรูปแบบหม้อร้อน ซาชิมิ ของทอด ของย่าง ของนึ่ง และเครื่องเคียงอีกมากมาย สิ่งที่เราขออวยยศคือปลาดิบ ที่เขาทำออกมาได้สดหวานเนื้อปลานุ่มแน่น อร่อยจนแทบไม่ต้องพึ่งโชยุ ซุปในหม้อร้อนก็แสนจะคล่องคอ กินตัดกับผัก ปลาย่าง ไก่ทอดได้อย่างลงตัว เป็นความอิ่มหนำที่สมบูรณ์แบบ

Day 4 : Kanazawa City

Higashi Chaya District

วันที่ 4 เราเดินทางข้ามมายังเมือง Kanazawa พร้อมเริ่มต้นกันที่ ‘Higashi Chaya District’ ย่านโรงน้ำชาเก่าแก่อยู่ติดแม่น้ำอาซาโนะ อันเป็นแลนด์มาร์กประจำเมือง โดดเด่นด้วยอาคารไม้ตั้งเรียงกันเป็นธีมเดียว ซึ่งมีมานานกว่า 200 ปี เป็นอีกแห่งที่เราสามารถพบเห็นเกอิชาได้อีกด้วย และที่นี่ยังเป็นหนึ่งในแหล่งแปรรูปทองคำเปลวที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น เราจึงได้เห็นงานคราฟต์ ผลิตภัณฑ์ ของฝาก รวมไปถึงร้านอาหารที่นิยมใช้ทองคำเปลวเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ชวนระยิบตาไปแทบจะทุกร้าน

Nishi Chaya District

แต่ถ้าใครอยู่แถบ Higashi แล้วไม่เอ็นจอยเพราะคนเยอะ เราแนะนำให้ลองมาที่ ‘Nishi Chaya District’ 1 ใน 3 ย่านโรงน้ำชาของ Kanazawa ที่มีขนาดเล็กกว่า บรรยากาศเงียบสงบกว่า แถมเก่าแก่พอ ๆ กับย่าน Higashi อีกด้วย ลักษณะของบ้านเรือน และทางเดินนั้นยังคงความคลาสสิก มีร้านค้า พิพิธภัณฑ์ Kanazawa Nishi Chaya Shiryokan ให้เราได้ชมประวัติศาสตร์ของย่านอย่างลึกซึ้ง ใครที่ได้เช่าชุดกิโมโนหวังจะทำคอนเทนต์ เราแนะนำให้มาที่ย่านนี้เลย ถ่ายรูปได้สบายกว่ามาก

Ninja Weapon Museum

อีกหนึ่งมิวเซียวของละแวกนี้ที่น่าสนใจ เรายกให้ ‘Ninja Weapon Museum’ สำหรับคนคลั่งนินจา ที่นี่เรียกว่าเป็นวิมานบนดินได้เลย เพราะนอกจากจะจัดแสดงของใช้ ชุดเกราะ อาวุธโบราณของนินจาที่เคยใช้จริง ๆ มากกว่า 160 ชิ้นแล้ว เขายังมีห้องปาดาวกระจายเข้าเป้าให้เราได้เล่น พร้อมร้านของฝากที่มีสินค้าธีมนินจาให้เลือกมากมาย อ๊ะ.. แล้วก็อย่าลืมชิมซอฟต์เสิร์ฟโปะทองคำเปลว ที่สามารถซื้อคุกกี้ดาวกระจายสีดำมาเสียบเพิ่มความเท่ได้ด้วย

Hareyaka Kanazawa

มื้อเที่ยงเรามาฝากท้องกันที่ ‘Hareyaka Kanazawa’ ร้านที่ด้านนอกดูแสนจะวินเทจแต่เมื่อก้าวขาเข้าด้านใน เราจะพบกับการตกแต่งสุดโมเดิร์น อบอุ่นไปด้วยไฟส้มที่ฝังฝ้า ดาวน์ไลต์เพิ่มความสว่างสบายตา มีที่นั่งให้เลือกทั้งแบบเคาน์เตอร์บาร์ และห้องส่วนตัว ด้านเมนูชูโรงของร้านคือ ‘Nodokuro’ ปลาทะเลญี่ปุ่นที่หาได้เฉพาะในโซน Hokuriku มีเนื้อนุ่ม รสชาติหวานอ่อน ๆ กลมกล่อมโดดเด่น เราสั่งเป็นเซตข้าวหน้า ชิ้นปลาถูกวางเรียงอย่างสวยงาม เนื้อปลามีความนุ่มเด้งและแทบจะละลายในปากในคราเดียว กินได้ทั้งกับโชยุและซอสงา ซึ่งจะมอบความอร่อยที่แตกต่าง พอตัดกับเครื่องเคียงที่มีทั้งรสหวาน เปรี้ยว เค็มแล้ว เป็นเซตอาหารที่ครบรสฉบับญี่ปุ่นสุด ๆ 

Amanatto Kawamura

จบคาวแล้วเรามาต่อกันที่ของหวานกันบ้างกับร้าน ‘Amanatto Kawamura’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งร้านของฝากกึ่งคาเฟ่ที่มีชื่อเสียงมาก มีประวัติยาวนานถึง 3 ชั่วอายุคน โดยพัฒนาสูตรมาเรื่อย ๆ จวบจนปัจจุบันที่ได้นำวัตถุดิบจากฝรั่งเศสและอิชิกาวะมาผสม ใช้เกลือชั้นดีที่เก็บด้วยเทคนิคดั้งเดิมกว่า 400 ปีมาเป็นส่วนประกอบในการมอบความหวาน ละมุน กลมกล่อมไม่เหมือนใคร ไฮไลต์ที่อยากให้ทุกคนได้ลองคือถั่วต้มที่นำมาเชื่อมเรียกว่า Amanutto ที่เขามีมากกว่า 30-40 รูปแบบให้เราเลือกชิม ตักกินคู่กับไอศรีมทีละคำแล้วเพลินอย่าบอกใคร

MAME nomanoma

ปัจจุบันร้าน Amanatto Kawamura ยังแตกไลน์ขนมมาเปิดเป็นร้าน ‘MAME nomanoma’ จัดเสิร์ฟขนมโมนากะ เวเฟอร์เนื้อบางลวดลายน่ารัก ภายในจะอัดแน่นไปด้วยถั่วบดและไอศกรีม ที่จะหมดอายุใน 6 นาที!! เพราะจะเป็นระยะเวลาที่ขนมกรอบและอร่อยที่สุด กินเข้าไปเราจะเจอความหวานละมุนของไส้ พร้อมกลิ่นหอมของถั่ว เท็กซ์เจอร์หนึบหนับเข้าคู่กับแป้งกรอบ ๆ ที่อยู่ด้านนอกได้อย่างลงตัว และความพิเศษของแป้งชนิดนี้เมื่อเจอความชื้น มันจะนุ่มจนแทบละลายในปากเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ของโมนากะเลยก็ว่าได้

Omicho Market

จากนั้นเราก็มาเดินหาของกินกรุบกริบกันต่อที่ ‘Omicho Market’ ตลาดชื่อดังของเมืองที่อยู่มานานกว่า 200 ปี โดดเด่นเรื่องอาหารทะเลสด ๆ ให้เราเลือกจิ้มชิมอย่างละลานตา รวม ๆ แล้วน่าจะมีมากกว่า 100 ร้านเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาเดินกันในธีมฮอปปิงสตรีทซีฟู้ด เมนูตัวตึงท้องถิ่นจะเป็นปูหิมะเช่นกัน เราสามารถจิ้มเลือกให้เขาย่างได้สด ๆ นอกจากนี้ยังมีหอย กุ้ง ปลา ที่หวาน สด ฉ่ำ ไม่น้อยหน้า เสิร์ฟได้ทั้งแบบซูชิ ข้าวด้ง ซาชิมิ ฯลฯ แม้ร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นแนวสตรีทซีฟู้ดแต่ทางตลาดเขาก็ได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับทานอาหารไว้รองรับด้วย ถ้าไปกันหลาย ๆ คน สามารถแยกกันไปซื้อแล้วมาล้อมวงกินด้วยกันอย่างเพลิน ๆ เรียกว่าสะดวกสุด ๆ ไม่ต้องเดินกินให้เสี่ยงต่อการหกเลอะเทอะ ส่วนของฝากจำพวกอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยวก็มีให้เหล่าแม่บ้านได้ซื้อได้สอยเยอะไม่น้อยหน้าเช่นกัน

21st Century Museum of Contemporary Art

โลเคชันที่เหมาะสำหรับการปล่อยเวลาให้ไหลผ่านอย่างเนิบช้าในบ่ายนี้คือ ‘21st Century Museum of Contemporary Art’ อาร์ตมิวเซียมชื่อดังที่เปิดให้บริการมานานกว่า 20 ปี ตัวอาคารถูกออกแบบอย่างเรียบง่ายด้วยโครงสร้างกระจกและสีขาว ตกแต่งด้วยความโค้งมนที่ช่วยให้บรรยากาศดูโปร่งสบาย และล้อมรอบด้วยพื้นที่กว้างขวางที่เหมาะกับการเดินเล่นหรือพักผ่อนหย่อนใจ ภายในมิวเซียมแบ่งห้องจัดแสดงไว้หลากหลายขนาด เพื่อรองรับงานศิลปะจากศิลปินหลากสไตล์ ไฮไลต์ห้ามพลาดคือ The Swimming Pool ของ Leandro ERLICH ที่ชวนให้เราลงไปใต้ผืนน้ำได้โดยไม่ต้องเปียกแม้สักหยด และ Colour Activity House ของ Olafur Eliasson กระจกหลากสีที่ขดตัวเป็นวงกลม เชื้อเชิญให้เราเดินสำรวจ ถ่ายภาพ หรือชื่นชมแสงสะท้อนที่เปลี่ยนแปลงไปตามมุมมอง

ส่วนงานนิทรรศการที่เลือกมาจัดแสดงหมุนเวียนมีทั้งผลงานจากอาร์ติสระดับโลก และศิลปินหน้าใหม่ที่มีผลงานโดดเด่น อย่างช่วงที่เรามาจะมี PNAT การนำต้นไม้มาจัดวางอยู่ในเรือนกระจกทรงเหลี่ยม พร้อมจอแสดงที่เป็นรูปงานนามธรรม โดยมีโครงเรื่องเกี่ยวกับ natural และ environment หรือจะเป็นงานแกะสลักไม้ เซรามิก ปูนปั้น ภาพถ่าย Installation สุดยิ่งใหญ่ก็มีให้เลือกชม เหมาะกับคนชอบเสพงานอาร์ตหาแรงบันดาลใจและสายคอนเทนต์ เพราะเต็มไปด้วยสปอตถ่ายรูปเยอะจริงไม่จกตา 

Kuroyuri

ช่วงเวลาของ Kanazawa นั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ค่ำนี้เราเลือกกินอีกหนึ่งเมนูโปรดที่ ‘Kuroyuri’ ร้านโอเด้งหนึ่งในเมนูเด็ดประจำเมือง ที่สูตรของร้านนี้สืบทอดมายาวนานกว่า 50 ปี โดดเด่นด้วยน้ำซุปดาชิหวานกลมกล่อม หอมกลิ่นปลาเจืออยู่ในวัตถุดิบ เหมาะมานั่งจอยกับเพื่อน สนุกสนานไปกับการจิ้มของที่มีให้เลือกมากกว่า 10 ชนิด แต่สำหรับคนที่มาแล้วขี้เกียจจิ้มเลือก แนะนำตัว best seller ‘โอเด้งรวมมิตร’ ในถ้วยมีทั้งหอยเชลล์ เนื้อสัตว์ เต้าหู้ ผัก ลูกชิ้นปลาสีขาวและแดง ไข่ ฯลฯ กินแกล้มกับสาเก หรือเบียร์เย็น ๆ แล้วฟินสุด ๆ 

Hachiban Ramen – Kanazawa Station

หลายคนอาจไม่ทราบว่า ‘Hachiban Ramen’ แบรนด์ราเม็งชื่อดังที่เราคุ้นเคยในไทย มีต้นกำเนิดจากจังหวัด Ishikawa และเปิดบริการมาอย่างยาวนานมากว่า 50 ปี ความพิเศษของร้านนี้คือ น้ำซุปที่กลมกล่อม และสูตรที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เริ่มต้น ชื่อ ‘Hachiban’ ได้มาจากสาขาแรกที่ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 8 ซึ่งเลข 8 ยังถูกนำมาเป็นโลโก้ของแบรนด์ เพราะมีรูปร่างเหมือนเครื่องหมายอินฟินิตี้ สื่อถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาไม่สิ้นสุด เพื่อตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้า เมื่อมาเยือนเมืองต้นกำเนิดอย่างคานาซาวะ เราจึงไม่พลาดที่จะแวะชิม Hachiban Ramen สาขา Kanazawa Station เพื่อสัมผัสรสชาติต้นตำรับ และพิสูจน์ด้วยตัวเองว่ารสชาติที่นี่จะเหมือนที่เราคุ้นเคยในไทยหรือไม่

Day 5 : Ishikawa – Toyama

ใกล้ถึงปลายทางของทริปมากขึ้นทุกที ขอพามากอบเก็บความประทับใจกันต่อ ณ จังหวัดที่ถูกโอบด้วยหุบเขาและผืนทะเลอันสวยงาม Toyama โดยเริ่มจากเมือง Takaoka หรือที่เรียกกันว่าเมืองโดราเอมอน การ์ตูนสุดฮิตที่โผล่มาจ๊ะเอ๋เราแทบทุกซอกซอย ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นตัวละคร 12 ตัวหน้าตึก WING WING TAKAOKA, ตู้จดหมายโดราเอมอน และยังมีรถรางธีมโดราเอมอนให้แฟนคลับได้ใจละลาย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเมืองนี้คือบ้านเกิดของผู้ประพันธ์มังงะระดับตำนานเรื่องนี้นั่นเอง

Takaoka Otogi-no-mori Park

สปอตที่ทำให้เรานึกถึงวันวาน รู้สึกอินกับเมืองนี้ในนามเมืองโดราเอมอนมากที่สุดยกให้ ‘Takaoka Otogi-no-mori Park’ จำลองฉากสนามเด็กเล่นในการ์ตูน อันเป็นซีนสำคัญที่เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครหลักอย่างโดราเอมอนและผองเพื่อน วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานรอให้เราเข้าไปร่วมเฟรมอีก และรอบ ๆ ยังมีพื้นที่สีเขียว แหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ-ระบบนิเวศที่สามารถเดินชมอีกเพียบ เรียกว่าเป็นทั้งแหล่งพักกายของชาวเมือง และแหล่งพักใจของสาวกโดราเอมอนอย่างเราก็ว่าได้

Sakanaya-san & Sushi Academy

ร้านซูชิตัวตึงที่มีฝีมือระดับปรมาจารย์ ‘Sakanaya-san & Sushi Academy’ คำโปรยนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะนอกจากที่นี่จะเป็นร้านขายอาหารทะเลแล้ว ยังเป็นโรงเรียนสอนทำซูชิระดับปรมาจารย์ที่ผสมผสานความอร่อยเข้ากับการเรียนรู้ได้อย่างลงตัว ตัวร้านตั้งอยู่ในอาคารกึ่งโบราณที่มีบรรยากาศโลคอลอบอุ่น ดูเผิน ๆ คล้ายบ้านญี่ปุ่นมากกว่าร้านอาหาร ด้านในตกแต่งแบบดั้งเดิม ให้ความรู้สึกย้อนยุคเปี่ยมเสน่ห์ที่หาได้ยากในร้านสมัยใหม่ ความโดดเด่นอีกอย่างคือข้าวกล่องเบนโตะที่ถูกจัดเรียงอย่างพิถีพิถันหลายสิบกล่อง รอส่งมอบให้กับลูกค้าประจำในพื้นที่ ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของร้านนี้ในชุมชนอย่างชัดเจน เป็นจุดหมายที่เหมาะสำหรับคนรักซูชิและวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่แท้จริง

ยิ่งกว่าความอร่อยคือการได้ตื่นตาตื่นใจกับครั้งแรกในการปั้นซูชิกินเอง ให้มันรู้กันไปเลยว่าที่นี่เป็น Sushi Academy ของแท้ คอร์สนี้มีขึ้นเพื่อให้ผู้คนได้รู้ถึงวัฒนธรรมซูชิ ภายใต้บรรยากาศที่สนุกสนาน โดยเราต้องใส่เสื้อคลุมแบบเชฟญี่ปุ่น แล้วมายืนปั้นข้าง ๆ อาจารย์เลย  ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไปตามจำนวนชิ้น คือ 8 คำ, 10 คำ และ 12 คำ คละหน้ากันไป แต่บอกเลยว่าของทะเลสด เด้ง หวาน คุณภาพดี สมกับที่ชาวเมืองเคลมไว้ว่าซูชิ Toyama เขาดังที่สุดในญี่ปุ่นจริง ๆ 

Uchikawa

สปอตนี้เราขอยกให้เป็นเมืองประมงที่มีวิวจึ้งที่สุดในญี่ปุ่น ‘Uchikawa’ เมืองน่ารักมีคลองคดเคี้ยวผ่ากลาง พร้อมแบ็กกราวนด์เป็นเทือกเขาหิมะขนาดใหญ่ งดงามราวกับหลุดมาจากอนิเมะ เราเริ่มชอบตั้งแต่บรรยากาศที่แสนเงียบสงบของหมู่บ้าน ตามด้วยรูปแบบอาคารที่คละเคล้ากันอย่างลงตัว แสงแดดทอดตัวกระทบผิวน้ำ สะท้อนสู่เรือประมงดูระยิบนะยับมีชีวิตชีวา เรียกว่าเป็นความคลาสสิกที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่ง เป็นญี่ปุ่นเวอร์ชันที่เราชอบที่สุด 

Teashop Moon and Rabbit

หลังจากเดินชมบรรยากาศจนเต็มอิ่ม ก็ได้เวลาพักหายใจที่ ‘Teashop Moon and Rabbit’ คาเฟ่ลึกลับที่แฝงตัวอย่างกลมกลืนอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เสน่ห์ของร้านนี้คือการตกแต่งในโทนเข้มเคร่งขรึม แฝงด้วยความอบอุ่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ชื่อร้านที่มีคำว่า “กระต่าย” มาจากความหมายลึกซึ้งถึงลูกสาวและหลานสาวเจ้าของร้านที่เกิดในปีเถาะ พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับความเชื่อของญี่ปุ่นที่ว่ากระต่ายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี ตัวร้านให้บรรยากาศสงบและเรียบง่ายเหมาะกับการดื่มด่ำชาเขียวคุณภาพเยี่ยมที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ชาเขียวของที่นี่เป็น อูจิมัทฉะเกรดพรีเมียม ส่งตรงจากเกียวโต ซึ่งมีรสชาติกลมกล่อมและหอมละมุน เมื่อจับคู่กับเมนูของหวาน เช่น แพนเค้กเนื้อนุ่มฟู ที่หวานกำลังดี หรือจะลองเป็นพุดดิ้งเนื้อเนียนละลายในปาก ก็เข้ากันอย่างลงตัว

Amaharashi Coast (Noto Peninsula Quasi-National Park)

พิกัดทิ้งท้ายก่อนเข้าที่พักวันนี้… เรียกว่าเป็นที่สุดของ Toyama เลยก็ว่าได้กับวิวโปรโมตเมืองอันโด่งดัง ‘Amaharashi Coast’ ภาพเกาะหินขนาดเล็กตั้งโดดเด่นอยู่กลางทะเล พร้อมต้นสนใหญ่ที่หยั่งรากอย่างมั่นคง ฉากหลังเป็นเทือกเขาหิมะสูงกว่า 3,000 เมตร ทอดยาวแบบพาโนรามา เกลียวคลื่นด้านล่างซัดกระเซ็นเป็นเครื่องยืนยันว่านี่คือของจริงมิใช่ภาพวาด เรียกว่าเป็นมุมสุดป็อปที่มีแฟนคลับเป็นเหล่านักกวีและนักเขียนมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 โด่งดังมาตั้งแต่สมัยโบราณเลยทีเดียว

Imigre

คืนสุดท้ายของทริป เรามาอยู่ที่ ‘Imigre’ ในเมือง Himi กับที่พักรูปแบบ Auberge ซึ่งผสมผสานความสะดวกบายแบบโรงแรมเข้ากับความเรียบง่ายของชนบทได้อย่างลงตัว เพียงแรกเห็นโครงสร้างของอาคารที่มาในสไตล์บ้าน ๆ สีเทาเรียบหรู ตั้งอยู่ริมทะเล ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความเฟรนด์ลี่ที่แฝงอยู่ในบรรยากาศ ภายในถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน มีห้องพักเพียง 8 ห้อง ที่แบ่งเป็นสไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตก เน้นใช้โทนสีขาว ดำ และงานไม้เป็นหลัก ทุกห้องมาพร้อมวิวทะเลสุดพิเศษ ให้เราได้ทอดสายตามองอ่าวโทยามะ (Toyama Bay) ในมุมที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะยามเช้าที่แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ไล้ผ่านผิวน้ำ หรือยามเย็นที่ฟ้าค่อยเปลี่ยนสีเป็นเฉดส้มและชมพู เป็นบรรยากาศที่ทำให้หัวใจสงบและปล่อยวางจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวันได้ดีม๊ากมาก

อีกอย่างที่เขาโดดเด่นไม่แพ้กันคือร้านอาหาร กิมมิกอยู่ที่การจัดวางโต๊ะที่จะเป็นแนวยาว ทุกที่นั่งหันออกไปนอกหน้าต่างไล่ระดับ 3 ชั้น เหมือนในโรงหนัง เพื่อให้ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารและทิวทัศน์ของทะเลตรงหน้า โดยมื้อเย็นเขาจะจัดเสิร์ฟเป็นคอร์สมีทั้งหมด 7 เมนู ทำจากวัตถุดิบท้องถิ่น ตกแต่งอย่างหรูหรา ผสมผสานรสชาติญี่ปุ่นและตะวันตกเข้ากันได้อย่างลงตัว ใครอยากสร้างโมเมนต์พิเศษสวีตกับแฟน หรืออยากให้รางวัลตัวเองแบบติดแกรม ก็มาใช้บริการกันได้

Da𝐃𝐚𝐲 𝟔 : Himi City and Toyama City

Himi Fishing Port

นกที่ตื่นเช้าคือนกที่ได้กินปลาชั้นเลิศ และเราก็เป็นหนึ่งในนกเหล่านั้น เมื่อมา ‘Himi Fishing Port’ แหล่งซื้อขายพันธุ์ปลาชั้นดีโดยเฉพาะเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์เป็นช่วงที่ Himi Kanburi หรือปลาหางเหลืองจะอพยพมาจากฮอกไกโดลัดเลาะมาตามเกาะฮอนชู ทำให้เนื้อปลาที่จับได้ช่วงนี้มีเนื้อและไขมันที่แน่นที่สุด เคลมได้เลยว่า Himi Kanburi ของท่าเรือนี้คือ No.1 แถมบรรยากาศของตลาดเต็มไปด้วยความครึกครื้นสไตล์โลคอล ชาวประมงคุยกันอย่างออกรส กองปลาถูกจับใส่ลังกันสด ๆ มีร้านค้ามายืนเลือกซื้ออย่างสนุกสนาน พร้อมนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่มาถ่ายรูปกับกองปลาขนาดมหึมาอย่างร่าเริง รวมแล้วเป็นบรรยากาศยามเช้าที่สดใสสุด ๆ

ณ ท่าเรือแห่งนี้จะมีร้านอาหารอยู่เพียงหนึ่งร้านเท่านั้นคือ ‘Himi Fishing Port 2F Fish Market Restaurant’ ใครที่ตั้งใจจะมาฝากท้องที่นี่แนะนำให้รีบกดบัตรคิวรอไว้ได้เลย เพราะถ้าเผลอแป๊บ ๆ อาจจะต้องรอยืดยาวเป็นชั่วโมง ส่วนข้าวที่เราสั่งเป็นดังหน้า Himi Kanburi แน่นอนว่าเขาใช้ปลาที่จับมาได้สด ๆ ส่งตรงจากท่าเรือแล้วนำมาล้าง แร่ให้เรากินทันที ทำให้ในเนื้อปลายังมีกลิ่นอายของทะเลหลงเหลืออยู่ รสชาติเค็ม หวาน จนแทบไม่ต้องจิ้มโชยุ แล้วเท็กซ์เจอร์ความจุยช์ของมันปลาชนิดนี้ทำเราแทบลอยขึ้นจากโต๊ะ เป็นถ้วยที่คู่ควรแก่การข้ามน้ำข้ามทะเลมาจริง ๆ 

Belle Montagne et Mer

อีกกิจกรรมที่เราไม่อยากให้พลาดเด็ดขาดเมื่อมา Toyama คือการได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติและวิถีชีวิตผู้คนบนรถไฟหรูหราแสนคลาสสิก Belle Montagne et Mer เรียกง่าย ๆ ว่า เบลมอนต้า หมายถึง ‘ภูเขาและทะเลที่สวยงาม’ จากวิวอ่าวโทยามะบนเส้นทาง Shin-Takaoka Station – Him Station และวิวเทือกเขา Tateyama บนเส้นทาง Takaoka Station – Jōhana Station ที่เราเลือกมาครั้งนี้นั่นเอง โดยรถไฟจะวิ่งเฉพาะเสาร์-อาทิตย์  ไป-กลับ 2 รอบต่อวันและต้องทำการจองล่างหน้าเท่านั้น

นอกจากนี้ภายในขบวนรถไฟยังเป็นเหมือนห้องจัดแสดงขนาดย่อมให้เราเห็นงานแกะสลัก งานฝีมือ ห่วงจับที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของเมือง พร้อมที่นั่งหันออกกระจกเพื่อชมภาพเทือกเขาหิมะสุดอลังการ สลับหมู่บ้านชนบทน่ารัก ๆ และที่พลาดไม่ได้คือการลิ้มลองซูชิที่ปั้นสดใหม่บนรถไฟ เน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น กินกับสาเกแล้วเพลินเจริญหูเจริญตาเจริญอาหารมาก

Kansui Park

ช่วงบ่ายแก่ ๆ เราโยกย้ายตัวกลับเข้ามาในตัวเมือง Toyama เพื่อมาเช็คอินหนึ่งในมุมที่เรียกแขกของเมืองกับสวน ‘Kansui Park’ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีทะเลสาบอยู่ตรงกลาง พร้อมสถาปัตยกรรมเก๋ ๆ อย่าง Tenmonkyo Bridge เมื่อเดินขึ้นไปบนสะพานแล้วมองลงมาจะเห็นภาพสวนมุมกว้างอยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่อง พร้อมเทือกเขา Tateyama ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง กลายเป็นหนึ่งในวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นไปโดยปริยาย แต่ถ้าอยากชมวิวเมืองจากมุมสูงลองเรียกแท็กซี่ขึ้นไปบน Kurehayama Park Observatory บอกเลยว่าจะได้วิวเทือกเขาและเมืองใหญ่ที่จึ้งตาที่สุดแน่นอน 

Toyama Prefectural Museum of Art and Design

เดินลัดเลาะจากสวนมาอีกหน่อยเราก็จะได้เสพศิลปะในมิวเซียมประจำเมือง ‘Toyama Prefectural Museum of Art and Design’ ที่เปิดมานานกว่า 44 ปีในนาม ‘Museum of Modern Art’ ถูกปรับเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ จนเมื่อ 8 ปีก่อน ก็ลงตัวกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สีขาวคูลอย่างที่เห็น เน้นใช้กระจกใสเพื่อความโปร่งสบาย และชมวิวภายนอกได้ตลอดเวลา ด้วยดีไซน์ไร้กาลเวลา เรียบสะอาดไม่ตกยุคจึงทำให้ที่นี่ดูโมเดิร์นอยู่เสมอ ภายในมีทั้งหมด 3 ชั้น ถูกแบ่งห้องจัดแสดงอย่างเป็นระเบียบ มีผลงานให้ชมแทบทุกรูปแบบทั้งนิทรรศการหมุนเวียนและถาวร แน่นอนว่ามีผลงานจากศิลปินระดับโลกให้เราเชยชมด้วยเช่นกัน

ทีเด็ดสุดของที่นี่คือบนชั้นดาดฟ้าของมิวเซียมจะเป็นลานสนามเด็กเล่นพร้อมวิวเมืองแบบ 360 องศา ให้เห็นกันจะจะว่าเมืองนี้ถูกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน และเขายังมีมาสคอตประจำตัวเป็นพี่หมีขาวทำจากไม้ ผลงานของ Atsuhiko Misawa ศิลปินแกะสลักไม้ชื่อดังของญี่ปุ่น ซึ่งหมีตัวนี้เป็นหนึ่งในคอลเลกชัน ‘ANIMALS’ ที่เขาได้ตระเวนจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง โดยปูสตอรีว่า เหล่าหมีที่กระจายอยู่นี้ออกมาจากป่าเพื่อมาเดินเล่น จนมาเจอความโคซี่ของพิพิธภัณฑ์ก็ชอบจนไม่ยอมออกไปไหน จึงยืนรอทักทายเราอยู่ตามมุมต่าง ๆ นั่นเอง

HIMI Gyu-Ya

หลังจากที่กินของทะเลฉ่ำ ๆ มาหลายวัน วันนี้เราขอเทิร์นโปรตีนเนื้อขาว มาเป็นเนื้อแดงกันบ้างที่ร้าน ‘HIMI Gyu-Ya’ ร้านเนื้อพรีเมียมที่ให้เราลิ้มรสเนื้อฮิมิที่แท้จริง ตั้งอยู่ในสถานี JR ด้วยคอนเซปต์แสนเบสิก ‘เนื้อร่อย x อิ่มท้อง = ความสุข’ ที่ทำให้เหล่าลูกค้าจากไปด้วยรอยยิ้มแทบทุกคน ความพิเศษของเนื้อชนิดนี้คือไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อปริมาณมาก และเป็นไขมันคุณภาพดี ซึ่งถือเป็นเนื้อระดับสูงกว่า A4 ขึ้นไป ที่ไม่ได้หาทานได้ง่าย ๆ พอเอาเข้าปากปุ๊บ เราจะได้ทั้งกลิ่น รสชาติ ความจุยซ์ของเนื้อแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย บางชิ้นนี่แทบละลายในปาก ทุกชิ้นแทบไม่ต้องจิ้มอะไรเพิ่ม เพราะตัวเนื้อมีความเค็มหวานที่กลมกล่อมอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว

สำหรับนักชอปของฝากที่ชอบเที่ยวไปชอปไป เราแนะนำให้แวะเลือกซื้อกันที่สถานี JR หลักของแต่ละจังหวัดได้เลย เพราะเขามักจะมีร้านค้ามากมายรวมตัวกันให้เราได้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ มีทั้งแบรนด์ขนมดัง ๆ ร้านที่รวมของดีในเมือง รวมของดีระดับภูมิภาค หรือใครใคร่หาเบนโตะไปกินบนรถไฟก็มีให้เลือกมากหน้าหลายตา เรียกได้ว่า JR เป็นสายรถไฟหลักของชาติที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกประเภททั้งการเดินทางและการชอปของฝากได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริง ๆ

อีกคัมภีร์เที่ยวญี่ปุ่นที่เรามั่นใจว่าใครได้มาตามรอยจะได้รู้จักญี่ปุ่นแบบอินไซด์ได้อีกหนึ่งสเตป และเราเชื่อว่ามันยังต้องมีมุมสวยงามอลังการอีกมากมายที่ยังไม่มีใครได้เห็น เพราะ 3 จังหวัด Fukui – Isikawa – Toyama ที่ไปมาก็จะมีจุดขายแตกต่างกัน ไม่เหมือนเมืองแมส ๆ ที่เคยไปมาเลยสักนิด แต่พอเที่ยวเป็นรูทเดียวกันแล้ว กลายเป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบ ทำให้เราอยากกลับมาเที่ยวซ้ำอีกหลาย ๆ รอบในหลาย ๆ ฤดูเลยทีเดียว