ถ้าหัวใจของเพื่อน ๆ โหยหาการเดินทางที่เกินกว่าคำว่า “ธรรมดา” เตรียมเข็มทิศให้พร้อม เพราะปลายทางของเราวันนี้ชี้ไปที่ Norway
โดยแพลนคือเราจะเริ่มต้นโร้ดทริปจาก Tromsø สู่ Lofoten ดินแดนที่ธรรมชาติย่ิงใหญ่จนต้องอ้าปากค้าง ถนนทุกสายเปรียบเสมือนพรมแดงที่ปูทางสู่ความสวยอลังการราวกับภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ ฟยอร์ดที่ทอดตัวยาวราวกับมังกรเฝ้าสมบัติในเทพนิยาย พร้อมม่านแสงเหนือที่พริ้วไหวเหนือท้องฟ้าราวกับงานเต้นรำที่กำลังเชิญชวนให้เราออกไล่ล่า ก่อนจะกลับมาสโลว์ไลฟ์ใน Oslo เมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งสะสมไวป์ดี ๆ ให้ได้อิ่มเอมแบบชิล ๆ
ค่อย ๆ เลื่อนอ่านเนื้อหาที่เราตั้งใจร้อยเรียงมาเสิร์ฟพร้อมภาพสวยจึ้งตั้งแต่ต้นจนจบ เชื่อว่า 8 วันต่อจากนี้ จะต้องเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้กับคนที่อยากไปเที่ยวนอร์เวย์สักครั้งได้อย่างแน่นอน





ทริปนี้เราเดินทางกับ Thai Airways ซึ่งบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่ออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์แบบสบาย ๆ ในช่วงเวลาที่ดีสุด ๆ แถมรูทนี้ทางสายการบินยังเลือกใช้ Airbus A350-900 เครื่องบินลำใหญ่ กว้างขวาง นั่งสบายทั้ง Economy Class และ Business Class พร้อมบริการครบครัน ยิ่งใครที่เลือกบินชั้นธุรกิจ หรือเป็นสมาชิกบัตรทอง ยังสามารถเข้าใช้บริการก่อนบินได้ที่เลาจ์การบินไทยก็ยิ่งคุ้มสุด
รายละเอียดเที่ยวบิน ไป-กลับ ::
BKK – OSL / TG954 / 00:05 – 07:25
OSL – BKK / TG955 / 13:45 – 06:15(+1)


เราบินในชั้น Business Class ที่นั่งเป็นแบบ 1-2-1 เลือกนั่งชิดติดหน้าต่างสุดไพรเวท ขึ้นเครื่องมาปุ๊ป ก็มีเวลคัมดริ้งก์มาเสิร์ฟให้สดชื่นก่อนหนึ่งกรุบ ส่วนการเสิร์ฟอาหารเค้าจัดชุดใหญ่ให้ถึง 2 มื้อด้วยกัน คือหลังเครื่องออกเป็น dinner มีคาเวียร์เม็ดเล็ก ๆ แวววาวมาด้วย และก่อนเครื่องลงเป็น breakfast ขณะเดินทางเราก็สามารถเพลิดเพลินกับหนัง เพลย์ลิสต์ ที่เขามีมาให้มากมาย แถมรีเควสขนมเครื่องดื่มได้ตลอดเที่ยวบิน ด้าน Amenity Kit ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ชอบมาก น้องมาในคอนเซ็ปต์รักษ์โลกที่ออกแบบโดยจิม ทอมป์สัน จากวัสดุย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เรื่องการดูแลไม่ต้องพูดถึง เหล่าพี่แอร์ใส่ใจดีมาก สร้างความประทับใจให้ตั้งแต่เริ่มทริปสมมาตราฐานระดับการบินไทย แฮปปี้!!!!





หลังจากเดินออกจากเครื่องบิน จุดแรกที่ทำให้เราประทับใจก็คือสนามบินออสโล สนามบินขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศหลักของประเทศนอร์เวย์ ภายในตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ แต่ก็จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร เหมาะสำหรับนักเดินทางทุกไลฟ์สไตล์ แถมการเดินทางจากสนามบินสู่ตัวเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ก็ง่ายดาย และมีหลากหลายตัวเลือกไว้คอยบริการ เราจึงไม่แปลกใจที่ได้รู้ว่าสนามบินแห่งนี้ได้รับรางวัลสนามบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากใช้พลังงานสะอาด และมีการออกแบบที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่นี่จึงไม่ใช่แค่จุดเริ่มต้นของการเดินทาง แต่มันคือประตูสู่ธรรมชาติสุดอลังการของนอร์เวย์

Day 1
Tromsø
จากกรุงออสโลว์เราบินต่อภายในมาเริ่มต้นโร้ดทริปล่าแสงเหนือ ณ เมือง Tromsø ที่นี่ไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยว แต่นี่คือเมืองที่เหล่านักสำรวจผู้กล้าหาญใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ขั้วโลกเหนือ ส่วนปัจจุบันเมืองนี้ยังคงเป็นที่รวมตัวของผู้ที่หลงใหลในโลกอาร์กติก สถานที่ ๆ มีทั้งพระอาทิตย์เที่ยงคืน และม่านแสงเหนือ เมืองหลวงที่จะทำให้หัวใจของคผู้มาเยือนเต้นแรงจนเกือบลืมหายใจ



Kaffebønna Stortorget
เช่ารถออกจากสนามบินช่วงบ่าย ๆ เราก็เริ่มสำรวจเมืองนี้แบบสโลไลฟ์กันที่ Kaffebønna Stortorget ร้านกาแฟยอดนิยมของเมือง กับบรรยากาศที่คึกคัก ดูเป็นแหล่งรวมของคนทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน ครอบครัว คนท้องถิ่น ไปจนถึงนักท่องเที่ยว แค่ก้าวแรกหลังจากเปิดประตูเข้าไป ความหนาวด้านนอกก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง บรรยากาศภายในร้านอบอวลไปด้วยไออุ่นจากแสงไฟสีทองนวล วัสดุไม้ที่ใช้ในการตกแต่งช่วยให้ร้านดูอบอุ่นเหมือนบ้านในฤดูหนาว โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้ม เก้าอี้บุผ้านุ่ม ๆ และกลิ่นกาแฟคั่วสดที่ลอยมาต้อนรับ เสียงพูดคุยจอแจในสำเนียงที่ไม่ค่อยคุ้นเคย กับภาษาถิ่นที่ค่อนข้างแปลกหู ยิ่งตอกย้ำว่าเราได้มาถึงแล้ว
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/779dryFZiAwibxYMA



ที่นี่คือพื้นที่ของคนรักกาแฟตัวจริง เมล็ดกาแฟคั่วสดแบบพรีเมียมถูกนำมาใช้ในเมนูหลากหลายตั้งแต่ลาเต้เนียนนุ่ม อเมริกาโน่เข้มข้น ไปจนถึงมอคค่าที่ละมุนละไม เสิร์ฟพร้อมขนมอบสดใหม่ที่ให้รสสัมผัสพอดีกับความหอมของกาแฟ การันตีความอร่อยได้จากการที่มันถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1998 ใน Bjorn Helberg ที่ Strandtorget บนพื้นที่เพียง 35 ตารางเมตร แต่ในปัจจุบันนอกจากสาขา Stortorget แล้ว Kaffebønna ยังมีสาขาที่ Strandtorget, Kirkegata 1 และ Jekta Storsenter ด้วย ใครมาเยือนที่นี่อย่าลืมแวะมาดื่มกาแฟ นั่งซึมซับบรรยากาศ และปล่อยให้ช่วงเวลานี้กลายเป็นหนึ่งในความทรงจำด้วยนะ



Storgata
ถ้าจะมีถนนเส้นไหนที่เป็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ Tromsø ได้ในเวลาเดียวกัน Storgata คือถนนเส้นนั้น! มันคือแกนกลางของเมืองที่หลอมรวมทุกอย่างไว้ในเส้นทางเดียว ทันทีที่เดินเข้ามาก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคนอร์เวย์โบราณ อาคารไม้สีสันสดใสที่เรียงรายสองข้างทาง คือเอกลักษณ์ที่มีมาเป็นร้อยปี บางตึกยังคงกลิ่นอายของยุคศตวรรษที่ 19 บางส่วนก็ถูกเติมแต่งด้วยร้านค้าสมัยใหม่อย่างลงตัว ที่นี่ยังมี 3 อาคารหลักที่ควรแวะชม ได้แก่ Perspektivet Museum อาคารเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1838 ที่เก็บรวบรวมเรื่องราวของ Tromsø ตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบัน, Verdensteatret โรงภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในนอร์เวย์ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1916 และยังคงฉายหนังจนถึงทุกวันนี้ และ Storgata 99 ที่ตั้งของ Graff Brygghus โรงเบียร์ท้องถิ่น รวมถึงร้านบูทีคส์เล็ก ๆ แต่เก๋ไก๋อีกมากมาย ส่วนช่วงเทศกาลต่าง ๆ ถนนสายนี้ก็จะถูกตกแต่งและประดับประดาให้เข้ากับเทศกาลนั้น ๆ ด้วย
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/2tS4nB8HFyE781VQ8



Raketten Bar & Pølse
หากใครที่อยากลิ้มลอง traditional street food บนถนนเส้นนี้จะมีร้านดังอย่าง Raketten Bar & Pølse ร้านขายฮอทดอกและบาร์ขนาดเล็กที่สุดในโลกที่เป็นตำนานมากว่า 100 ปี มันอยู่มาตั้งแต่ปี 1911 รอดพ้นทั้งสงครามและไฟไหม้ใหญ่จนกลายมาเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของเมือง แรกเร่ิมใช้ชื่อว่า Lokkekiosken แต่ได้รับฉายาว่า Rakketten เนื่องจากรูปลักษณ์ที่คล้ายจรวดของมัน ในส่วนฮอทดอกเขาจะเสิร์ฟแบบนอร์เวย์สไตล์ เน้นหอมเจียวกรอบ ๆ ซอสรสเข้มข้นในปริมาณพอดี และขนมปังที่ปิ้งจนหอมละมุน มีตัวเลือกตั้งแต่ไส้กรอกกวางเรนเดียร์ รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นเนื้อ, ไส้กรอกเนื้อวัวชิ้นโต กรอบนอก นุ่มใน ไปจนถึงไส้กรอกวีแกนสำหรับสาย Plant-Based ที่อยากลองอะไรใหม่ ๆ และแน่นอนที่นี่คือบาร์ดังนั้น เครื่องดื่ม ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กัน มีทั้งเบียร์คราฟต์ ค็อกเทล และไวน์อุ่น ๆ ที่ช่วยให้ทนลมหนาวของ Tromsø ได้แบบสบาย ๆ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/Ps4cot7Lf7abPPog9


Sweet Heart Tromsø
บนถนนเส้นหลักนี้ก็ยังเป็นที่ตั้งของ Sweet Heart Tromsø ร้านขนมที่เปิดมายาวนานตั้งแต่ ปี 1984 โดย Arthur และ Synnøve Mack ด้วยแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปทั่วยุโรป พวกเขาต้องการสร้างร้านขนมแบบบริการตนเองแห่งแรกของ Tromsø และมันก็กลายเป็นที่รักของชาวเมืองมาตลอดหลายสิบปี บรรยากาศที่หวานตั้งแต่หน้าร้านไปจนถึงกลิ่นขนมที่หอมฟุ้งภายในร้านช่วยกระตุ้นความสุขของเราได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะช็อกโกแลต โกโก้ ลูกกวาดหลากสีสัน ขนมปราศจากน้ำตาลและวีแกน รวมถึงไอศกรีม ทุกส่ิงพอผสานกับแสงไฟอุ่น ๆ และชั้นวางขนมที่เรียงรายจนแทบเลือกไม่ถูก มันก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนเป็นเด็กที่ได้เดินเข้าร้านขนมในฝันสุด ๆ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/EHEmsfm6dXMtjNQY6


Tromsø Cathedra
เดินลัดเลาะตามทางชมนู่นดูนั่นมาเรื่อย ๆ เราก็จะพบกับ Tromsø Cathedra มหาวิหารไม้สีเหลืองอ่อนตัดขอบขาวตั้งตระหง่าน สัญลักษณ์ของความเชื่อ ศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ ศิลปะ และจิตวิญญาณของเมือง ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาวิหารไม้ที่อยู่เหนือสุดในโลก และเป็นหนึ่งในไม่กี่โบสถ์ไม้ที่ยังคงยืนหยัดผ่านกาลเวลามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 มันมีสถาปัตยกรรมแบบ Gothic Revival งดงามแต่เรียบง่าย ออกแบบโดย Christian Heinrich Grosch สถาปนิกชื่อดังของนอร์เวย์ เขาเลือกใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก มีหน้าต่างกระจกสีที่ส่องประกายเมื่อแสงอาทิตย์กระทบประกอบรอบวิหาร มีเพดานไม้สูงโปร่งทำให้ภายในรู้สึกกว้างขวางและสงบ มีหอระฆังสูงที่มองเห็นได้จากทุกมุมของเมือง เป็นจุดนำสายตาที่ทำให้เมืองนี้มีชีวิตชีวาขึ้นอีก
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/R8q5jTNjto6bqh1E7


Tromsø Havn
ช่วงเย็น ๆ แวะมาเดินเล่นกันที่ Tromsø Havn ท่าเรือที่เป็นศูนย์กลางของชีวิต การเดินทาง และการสำรวจ มานานกว่าศตวรรษ จากหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ สู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของนอร์เวย์เหนือ Tromsø Havn ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1827 ยุคแรกเริ่มมันเป็นเพียงศูนย์กลางของอุตสาหกรรมประมง พอเข้าศตวรรษที่ 20 มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจสำรวจขั้วโลกที่ซึ่ง Roald Amundsen ใช้ที่นี่เป็นฐานออกเดินทาง ส่วนในปัจจุบันมันถูกใช้เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารมากกว่าล้านคนต่อปี เป็นจุดจอดเรือสำราญกว่า 129 ลำ เชื่อมโยง Tromsø เข้ากับโลกกว้าง
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/kvUbyMHUXVraxkhXA




ภายในประกอบด้วย 3 โซน ได้แก่ Prostneset ศูนย์กลางการเดินทางของผู้โดยสารทั่วไป, Breivika โซนอุตสาหกรรมและการขนส่งสินค้า, Grøtsund เป็นโซนท่าเรือที่กำลังได้รับการพัฒนาใหม่ ถ้าแกเดินอยู่แถวท่าเรือนี้ ลองมองออกไปที่ขอบฟ้า แล้วแกจะเห็นว่านี่คือประตูสู่ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และเรื่องราวที่ไม่มีวันจบ พระอาทิตย์ตกตรงนี้โรแมนติกม๊ากกกกก

Seaview Studio w/Terrace & Parking
หากเพื่อน ๆ กำลังมองหาที่พักใน Tromsø ที่มีทั้งวิวทะเล ระเบียงส่วนตัว และความสะดวกสบาย ที่นี่แหละใช่เลย Seaview Studio w/Terrace & Parking สตูดิโอเล็ก ๆ ที่ครบครัน ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่นพร้อมทีวีจอแบน กับครัวครบชุด ชั้นบนมีโซนนั่งเล่น ห้องน้ำ รวมถึงห้องพักถึง 3 ห้องนอน ตกแต่งฟีลโมเดิร์น มีกลิ่นอายชวนอบอุ่น ผ่อนคลาย มีที่จอดรถฟรี มี Wi-Fi ฟรี โลเคชั่นคือดี ใกล้เมืองประมาณ 6 กิโลเมตร แต่ได้ความสงบ ไร้แสงจากตัวเมืองมารบกวน และเมื่อค่ำคืนมาถึงโชคก็เข้าข้างเราจริง ๆ แสงเหนือมาเสิร์ฟให้ฟินตั้งแต่คืนแรก ม่านแสงสีเขียวพริ้วไหวอยู่เหนือฟยอร์ด สวยงาม จนเผลอลืมหนาวไปชั่วขณะ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่คืนนี้ของเราและผองเพื่อนก็มั่นใจได้แล้วว่าทริปนี้ไม่เฟลแน่นอน
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/pzDoLa28PC4sJfF37



Day 2
Sommarøy
เช้านี้เราเลยเริ่มต้นชิล ๆ ในช่วงเวลาสาย สู่พิกัดที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติชื่อว่า Sommarøy เกาะเล็ก ๆ ห่างจาก Tromsø ราว 1 ชั่วโมง ที่นี่คือหมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบ มีเพียงบ้านไม้เล็ก ๆ สีสดที่ตั้งกระจายอยู่ริมชายฝั่งท่ามกลางธรรมชาติและท้องฟ้าที่เปิดกว้าง นั่นแปลว่าเมื่อเข้าสู่หน้าหนาว ท้องฟ้าของที่นี่มืดสนิท พร้อมให้แสงเหนือแสดงตัวแบบเต็มที่ในทุกคืนหากฟ้าเป็นใจ กลับกันหากเป็นฤดูร้อนท้องฟ้าก็จะไม่เคยมืดลง ส่วนสิ่งที่ดึงดูดให้เรามาเยือนครั้งนี้ก็คือ 3 Little Traditional Houses กระท่อมน้อยสีเหลืองที่ถูกขนาบด้วยกระท่อมสีแดงอีกสองหลัง มีฉากหลังเป็นภูเขาน้ำแข็งสลับซับซ้อน โอ้โห นอร์เวย์ชีเสิร์ฟแรงมาก สวยแบบภาพวาด สวยแบบขึ้นปก สวยแบบส่งเสริมกันและกันแบบถูกต้องที่สุด เป็นอีกจุดแวะที่ได้มาแชะแล้วดีต่อใจ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/8XWsSxTpV1DCZTfn6

Mefjord Brygge
จากกระท่อมน้อยเราเลือกเอารถขึ้น ferry รอบเที่ยงตรง ออกจากท่าเรือ Brensholmen ferjekai ไปยัง Botnhamn smabathavn บนเกาะ Senja ซึ่งถือว่าเป็นการลดระยะทางได้เยอะมาก … ผ่านไป 45 นาที เราก็ขับรถออกจากเรือมุ่งหน้าสู่ Mefjordvær หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวในอ้อมกอดของฟยอร์ด ณ สุดทางถนนบนชายฝั่งตะวันตก ที่ตั้งของ Mefjord Brygge ที่พักเราในค่ำคืนนี้นั่นเอง ที่นี่ถูกออกแบบมาในสไตล์สแกนดิเนเวียนที่เรียบง่ายและอบอุ่น พร้อมหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับวิวทะเลและฟยอร์ด ที่นี่รองรับนักเดินทางได้มากถึง 141 เตียง มีร้านอาหารชื่อว่า Salteriet Restaurant จะมาคนเดียว มาเป็นคู่ หรือมาแบบหมู่คณะ เค้าก็พร้อมบริการ นอกจากมานอนรอชมแสงเหนือในวันที่ฟ้าเป็นใจแล้วแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังเป็นจุดหมายที่ตอบโจทย์คนชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งที่น่าตื่นเต้นอีกด้วย
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/PbmxzY6oRrDTxD6D9


Day 3
Tungeneset
ก่อนยิ่งยาวออกจาก Senja สู่ Lofoten เราขอแวะเช็คอินกับอีกหนึ่งไฮไลท์ที่สวยงามราวกับภาพวาด Tungeneset ที่นี่มีทางเดินที่สร้างจากไม้สนไซบีเรีย (Siberian larch) มันถูกออกแบบโดย Code arkitektur เพื่อเชื่อมมนุษย์เข้ากับธรรมชาติ เป็นเส้นทางที่จะนำเราไปสู่จุดที่สามารถมองเห็นทะเลนอร์เวย์ทางทิศตะวันตก และเทือกเขาโอคโชฮอร์น (Okshornan) ที่มียอดแหลมคมหรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อหินปากฉลามทางทิศเหนือ จุดนี้เป็นอีกจุดที่แนะนำสำหรับการถ่ายภาพแสงเหนือ และในวันที่ฟ้าเปิดพื้นผิวของทะเลสงบนิ่งจนสะท้อนเงาของภูเขาได้อย่างชัดเจน ส่วนในวันที่พายุเข้าคลื่นซัดกระแทกกับโขดหินเกิดเป็นฟองสีขาวกระจายไปทั่วราวกับมีชีวิต Tungeneset จึงเป็นสถานที่ที่เปลี่ยนไปทุกวินาที ตามอารมณ์ของท้องฟ้าและมหาสมุทร
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/rZ85835uixbRhbVY8




Bergsbotn Utsiktsplattform
และแล้วเราก็กำลังมุ่งสู่หัวใจของทริป ณ หมู่เกาะ Lofoten รถค่อย ๆ เคลื่อนผ่านภูเขาสูงสลับกับแนวชายฝั่งฟยอร์ดที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในฤดูหนาว กระจกหน้ารถเต็มไปด้วยวิวที่สวยเกินจะละสายตา เราเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปทุกโค้ง ขับไป ฟังเพลงไป และแวะถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งมาถึง Bergsbotn Utsiktsplattform จุดชมวิวที่มีทางเดินทอดยาวออกไปเหนือขอบหน้าผา เส้นเหล็กสีดำของทางเดินตัดกับวิวสีขาวของหิมะด้านล่าง ราวกับว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อให้เรายืนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบไร้ขอบเขต ด้านล่างคือทะเลสาบสีฟ้าเข้มที่ไหลเลียบแนวเขา ไกลออกไปคือฟยอร์ดที่ทอดยาวจนสุดสายตา ท้องฟ้าสีเทา ๆ เหนือหัว ลมพัดผ่านกระทบเสื้อกันลม เสียงของธรรมชาติดังกระหึ่มจนใจเต้นแรง หลังจากดื่มด่ำกับเส้นทางถนนอาร์กติกที่สวยจนน่าทึ่ง เราก็เดินทางเข้าสู่ Svolvær เมืองเล็ก ๆ ที่เป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/S4V2uudh3FooZHg29




Lofoten
หากพูดถึงหนึ่งในสถานที่ที่สวยของนอร์เวย์ เราเชื่อว่า Lofoten คงเป็นชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคน ที่นี่ไม่ใช่แค่หมู่เกาะธรรมดา แต่เป็นดินแดนที่ทุกองค์ประกอบถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว ภูเขาหินแกรนิตแหลมคมตัดกับฟยอร์ดที่มีละอองฟุ้งละมุน น้ำทะเลสีฟ้าครามสะท้อนแสงเหนือในฤดูหนาว และพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่สาดแสงลงมาบนบ้านไม้สีแดงในฤดูร้อน ทุกอย่างดูราวกับหลุดออกมาจากนิทานของชาวไวกิ้ง แม้โลโฟเทนจะเป็นหมู่เกาะที่ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่นับร้อย แต่หัวใจสำคัญของดินแดนนี้คือ 5 เกาะหลัก ได้แก่ Austvågøya, Gimsøya, Vestvågøya, Flakstadøya และ Moskenesøya เชื่อมต่อกันด้วยสะพานและถนนสาย E10 Lofoten Scenic Route ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยที่สุดในโลก


เมื่อเดินทางไปตามเกาะต่าง ๆ ในโลโฟเทน เราจะพบกับหมู่บ้านชาวประมงที่เหมือนหลุดออกมาจากโปสการ์ด บ้านไม้สีแดงที่เรียงรายอยู่ตามแนวชายฝั่งเป็นที่พักแบบ “Rorbu” กระท่อมชาวประมงดั้งเดิมที่ได้รับการดัดแปลงให้เป็นที่พักสำหรับนักเดินทาง ย้อนกลับไปกว่า 6,000 ปีก่อน ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางสำคัญของอาณาจักรไวกิ้งในยุคกลาง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีการค้นพบซากปรักหักพังของบ้านไวกิ้งที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์บนเกาะ Vestvågøya หลังจากยุคไวกิ้ง โลโฟเทนได้กลายเป็นศูนย์กลางการประมงที่สำคัญ โดยเฉพาะการจับปลาค็อดและปลาแซลมอน

Day 4
Vågan Church
เช้าวันแรกบนเกาะ Loften เราปักหมุดจุดหมายแรกไปที่ Vågan Church โบสถ์ซึ่งตั้งอยู่เงียบ ๆ ในหมู่บ้าน Kabelvåg ล้อมรอบด้วยทิวเขาและท้องฟ้าที่เปิดกว้าง อาคารไม้สีเหลืองอ่อนตั้งตระหง่านท่ามกลางฉากหลังของหมู่บ้านชาวประมง และความสงบของทะเลฟยอร์ด ทุกอย่างที่นี่ดูละมุนและเต็มไปด้วยความอบอุ่น โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1898 ยุคที่อุตสาหกรรมประมงในโลโฟเทนกำลังเฟื่องฟู ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอกอธิค และใช้วัสดุที่ทำจากไม้ทั้งหลัง มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อความโอ่อ่า หากแต่เพื่อเป็นศูนย์รวมของหัวใจของชุมชนชาวประมง ที่นี่จึงเป็นที่ที่ผู้คนมาขอบคุณสำหรับทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และภาวนาให้ลูกหลานที่ออกเรือปลอดภัย โบสถ์นี้รองรับผู้คนได้ถึง 1,200 คน น่าเสียดายที่ตอนเราไปโบสถ์ปิดอยู่ เราจึงได้เห็นแต่เพียงด้านนอกเท่านั้น
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/WE8Wd3DHWgF331fSA




Henningsvær
ขับต่ออีกสักหน่อยก็มาถึง Henningsvær หมู่บ้านเจ้าของฉายา “เวนิสแห่งโลโฟเทน” ไม่ใช่เพียงแค่มันตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ หลายแห่งที่ถูกเชื่อมต่อกันด้วยสะพาน แต่เพราะมันมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง บ้านไม้สีแดง สีเหลือง และสีขาวเรียงตัวอยู่ริมฝั่งน้ำ ล้อแสงอาทิตย์ที่ทอดลงมาตามแนวฟยอร์ด ท่าเรือเต็มไปด้วยเรือประมงที่ยังคงออกล่าปลาค็อดทุกเช้า แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่วิถีชีวิตกลับไม่เคยถูกกลืนหายไปกับความทันสมัย อีกทั้งยังคงเงียบสงบจนสามารถได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ ที่นี่เป็นหมู่บ้านซึ่งอยู่ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เป็นจุดยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมประมงในโลโฟเทนมานานนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ครั้งหนึ่งหมู่บ้านแห่งนี้สามารถเข้าถึงได้เพียงทางทะเล ต้องอาศัยเรือเป็นพาหนะหลัก แต่เมื่อสะพาน Henningsvær Bridge ถูกสร้างขึ้นในปี 1981 มันก็ได้กลายเป็นอีกจุดหมายที่นักเดินทางสามารถเข้าถึงได้ง่าย
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/JBtPPwbGw5zN8j7H9





Henningsvær Stadium
นอกจากความสวยงามแล้วอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ดึงดูดคนจากทุกมุมโลกให้มาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ Henningsvær Stadium สนามฟุตบอลกลางทะเลที่ไม่มีที่ไหนเหมือน ด้วยโลเคชั่นที่คล้ายถูกจัดฉากมาอย่างตั้งใจ รอบสนามไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ มีเพียงโขดหินและทางเดินเล็ก ๆ ที่เชื่อมไปยังหมู่บ้าน ยิ่งมองจากมุมสูง สนามแห่งนี้ก็ยิ่งโดดเด่น ดังนั้นเมื่อถูกเผยแพร่สู้สายตาชาวโลกผ่านแคมเปญวีดีโอ #playanywhere ของยูฟ่า ที่เลือกสนามแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่เตะฟุตบอล 13 แห่งที่ไม่เหมือนใคร เพื่อโปรโมทการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก มันจึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งในแลนด์มาร์กของเกาะที่นักท่องเที่ยวต่างแวะมาเช็คอินไปโดยปริยาย
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/mkSDALG4mVvLjBsB6


Henningsvær Lysstøperi & Café
คาเฟ่ใจกลางหมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ สำหรับ Henningsvær Lysstøperi & Café หน้าตาภายนอกเป็นอาคารไม้สีเหลืองนวนสไตล์นอร์ดิกฟีลบ้านในฝัน ภายในตกแต่งด้วยโคมไฟสีอุ่น งานไม้ และเทียนแฮนด์เมดที่เรียงรายอยู่ทุกมุมร้าน ทุกเล่มเป็นผลงานที่ถูกหล่อหลอมขึ้นที่นี่ ใช่แล้ว!!!! มันเป็นทั้งคาเฟ่และโรงหล่อเทียน ถ้าแสงเทียนทำให้หัวใจอุ่น กาแฟของที่นี่ก็ทำให้ร่างกายอบอุ่นไม่แพ้กัน เมล็ดกาแฟที่คั่วสดใหม่ถูกชงออกมาเป็นลาเต้หอม ๆ ที่เข้ากับขนมอบที่เพิ่งออกจากเตา ซินนามอนโรลเนื้อนุ่ม พิซซ่าโฮมเมด และแซนด์วิชที่เสิร์ฟมาบนจานเซรามิกสไตล์นอร์เวย์ เป็นเมนูง่าย ๆ แต่พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/CW4ME81Fs9Scgi6D7






Uttakleiv Beach
โลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นอย่างไร้กฎเกณฑ์ บางครั้งก็ดูเหมือนศิลปินผู้บ้าคลั่งปล่อยให้จินตนาการโลดแล่นไปอย่างอิสระ และบางครั้งก็ดูเหมือนช่างฝีมือที่ละเอียดลออจนทุกสิ่งถูกจัดวางไว้อย่างสมบูรณ์แบบ Uttakleiv Beach คือสถานที่ที่รวมเอาทั้งสองสิ่งนั้นไว้ด้วยกัน แม้วันที่เราไปฟ้าจะหม่น ทะเลดูหมองมัว แต่ความงามของหาดแห่งนี้ก็ยังคงเฉิดฉายราวกับนิทรรศการกลางแจ้งของธรรมชาติ น้ำทะเลซัดเข้าหาฝั่งในจังหวะที่พอดีและเวลาถูกต้อง สลักเสลาจนเกิดลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง “หัวใจสีดำ” หินรูปหัวใจสีดำที่ดูคล้ายถูกนำมาวางไว้โดยเจตนา ไม่ไกลจากก้อนหินรูปหัวใจเราก็จะเจอกับโขดหินที่ทอดตัวอยู่ริมชายฝั่ง ชวนสะดุดตาด้วยแอ่งน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโอบอุ้มหินกลมตรงกลางที่เหมือนกับ “ดวงตามังกร (Dragon’s Eye )” ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่เงียบสงบ ดังนั้นใครที่มาพักแถว ๆ นี้ กลางคืนวันฟ้าเปิดก็มีโอกาสถ่ายแสงเหนือได้แน่นอน ส่วนเราฟ้าปิดจึงยังไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเช่นเคย
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/5ZqUXUGSR6dKoTYMA




Day 5
Ronnys Rorbu i Lofoten
หากที่พักแต่ละแห่งสามารถเล่าเรื่องราวได้ Rorbu ในโลโฟเทนก็คงเป็นหนังสือเล่มเก่าที่เปิดออกแล้วมีกลิ่นอายของแสงแดดและลมทะเลโชยออกมาจากทุกหน้า ในอดีต Rorbu เป็นบ้านพักของชาวประมงที่ต้องการที่หลบลมหนาวหลังออกเรือไปจับปลาค็อดจากทะเลแอตแลนติก กระท่อมเหล่านี้สร้างคร่อมลงไปในน้ำเพื่อให้เรือสามารถเทียบท่าได้โดยตรง ความเรียบง่ายของมันสะท้อนถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ Ronnys Rorbu i Lofoten ที่เราเลือกพักยังคงรักษาเสน่ห์แบบดั้งเดิมไว้ แต่เพิ่มความอบอุ่นของความเป็นบ้าน ตัวกระท่อมกว้างขวาง 65 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน พร้อมครัวที่มีอุปกรณ์ครบครัน เปิดประตูออกไปก็เจอกับระเบียงไม้ที่ทอดยาวออกไปริมทะเล เมื่อคืนเรามาถึงค่อนข้างค่ำ บวกกับฟ้าปิด เราจึงไม่ทันได้เห็นอะไรมากนัก เช้านี้ยามพระอาทิตย์ส่องแสงปลุก พวกเราเลยใช้เวลายามเช้าเดินเล่น ถ่ายรูปชิว ๆ ก่อนออกเดินทางกันต่อ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/WnoYBFdFEB2VaNSs8



Nusfjord
หลังขับรถผ่านช่องทางแคบ ๆ ในโค้งสุดท้าย ภาพเบื้องหน้าก็เผยให้เห็นหมู่บ้านชาวประมงที่เหมือนฉากในเทพนิยาย บ้านไม้สีแดงสลับเหลืองสดตั้งเรียงรายอยู่ริมฟยอร์ด น้ำทะเลใสจนสะท้อนท้องฟ้า และยอดเขาสูงตระหง่านที่ล้อมรอบเหมือนเป็นปราการปกป้องความงดงามของสถานที่แห่งนี้ Nusfjord เป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่บนเกาะ Flakstadøya ยูเนสโกเลือกที่นี่ให้เป็นโครงการนำร่องสำหรับการอนุรักษ์กระท่อมรอร์บุ (Rorbuer) ที่นี่ไม่ได้มีแค่ภาพของอดีตที่ถูกอนุรักษ์ไว้ มันคือสถานที่ที่แกสามารถออกไปเดินป่าท่ามกลางภูเขา พายคายัคในฟยอร์ด และถ้าแกอยากรู้ว่าโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็นอย่างไร โรงงานผลิตน้ำมันตับปลาที่นี่จะพาแกย้อนเวลากลับไป หรือถ้าแกอยากจะแค่จิบกาแฟริมระเบียงกระท่อมพร้อมมองเรือประมงลำเล็กที่ยังคงออกทะเลทุกเช้าก็สุดแสนจะคุ้มค่ากับค่าเข้าชม 100 NOK ต่อคน
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/pQk26sizH5BodpzW7




Landhandleriet Café
ในหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้จะมีสถานที่หนึ่งที่ผสมผสานเสน่ห์ของอดีตเข้ากับความอบอุ่นของปัจจุบันได้อย่างลงตัวนั่นคือ Landhandleriet Café มันตั้งอยู่ภายในอาคารที่เคยเป็นร้านขายของชำและที่ทำการไปรษณีย์ของหมู่บ้านที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1907 เราจึงรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต สีเหลืองที่โดดเด่นสดใส แม้ในยามที่ท้องฟ้าเป็นสีขาวโพลน แค่เปิดประตูเข้ามาเพื่อหลบลมหนาว ก็ราวกับถูกโอบกอดด้วยไออุ่น ภายในคาเฟ่ยังคงรักษาการตกแต่งแบบดั้งเดิม เพียงแต่ชั้นวางของที่เคยเต็มไปด้วยข่าวสาร อุปกรณ์ทำประมง และจดหมายจากนักเดินเรือ วันนี้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมของกาแฟ และขนมอบร้อน ๆ จากเตา
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/8U1n3y3HDEos3B2k7





ในบรรดาเมนูคาวหวานมากมาย เราเลือกสั่งเป็นอเมริกาโน่ร้อนมาทานคู่กับชินาม่อนโรล หรือที่รู้จักในชื่อ “Kanelboller” ในภาษานอร์เวย์ เป็นขนมอบที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในนอร์เวย์ ความนิยมนี้สามารถสืบย้อนไปถึงอิทธิพลจากประเทศเพื่อนบ้านในแถบสแกนดิเนเวียโดยเฉพาะสวีเดน ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของชาวนอร์เวย์ไปด้วย นอกจากนี้ส่วนผสมหลักของชินนามอนโรล เช่น อบเชยและน้ำตาล ให้รสชาติที่หอมหวานและอบอุ่น ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศหนาวเย็นของนอร์เวย์ ซึ่งแน่นอนว่าขนมปังเนื้อนุ่มที่อบสดใหม่ช่วยสร้างความรู้สึกสบายและอบอุ่นให้กับเราในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี



Skagsanden Beach
ขับรถกินลมชมวิวเปลี่ยนโลเคชั่นแบบเพลิน ๆ พิกัดสุดท้ายก่อนเข้าที่พักของวันนี้คือ Skagsanden Beach หาดทรายขาวที่มีความยาว 800 เมตร ริมถนน E10 บนเกาะ Flakstadøya ที่นี่เกิดจากการกัดเซาะของทะเลเป็นเวลาหลายพันปี มีลักษณะเด่นทางธรณีวิทยา ได้แก่ หินตะกอนและตะกอนธารน้ำแข็ง สีของทรายจึงมีทั้งสีเหลืองนวลอย่างปกติและสีดำนิลปนอยู่พอผนวกเข้ากับแลนด์สเคปที่สวยงาม ทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักเดินทางนิยมมาถ่ายรูปแสงเหนือยามเมื่อค่ำคืน นอกจากนี้มันยังเป็นสวรรค์ของเหล่าผู้ชื่นชอบการโต้คลื่น เพราะนี่คือหนึ่งในไม่กี่แห่งในโลกที่ผู้คนสามารถโต้คลื่นได้แม้ในฤดูหนาว ด้วยกระแสน้ำอุ่น Gulf Stream ทำให้น้ำทะเลที่นี่ไม่เย็นจัดเท่าที่ควร แม้ว่าหิมะจะปกคลุมชายฝั่ง นักเซิร์ฟในชุดเวทสูทยังคงโต้คลื่นไปกับคลื่นน้ำแข็ง สร้างภาพที่ดูขัดแย้งแต่ทรงพลังในแบบที่ไม่มีที่ไหนเหมือน
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/9zJE8HwyUvdnDUDf7


Lofoten Cabins – Kakern
สองคืนสุดท้ายเราปักหลักกันที่ Lofoten Cabins – Kakern บ้านชาวประมงสีแดงสด ที่เมื่อเรามาถึงก็เป็นตอนที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เราจัดของเข้าห้อง ก่อนพักต่ออีกนิดหน่อย เปิดแอปเพื่อเช็คเส้นทางและความแรงของแสงเหนือ แล้วบุ๊งงงงงง!!!!! ม่านสีเขียวของแสงเหนือก็ส่ายสะบัดร่ายรำอวดลำตัวทอดยาวอยู่เหนือท้องฟ้า แสงเหนือ (Aurora Borealis) หนึ่งในปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นตาที่สุดของโลก โดยสีของแสงเหนือมีทั้งเขียว, แดง, ม่วง/น้ำเงิน เหลือง และชมพู ปรากฏตัวอวดโฉมให้เห็นแค่ช่วงฤดูนาวในบางพื้นที่แถบขั้วโลกเหนือเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกทริป ทุกที่ที่เราจะพบกับแสงเหนือ เราจึงมักเรียกการออกเดินทางเพื่อการณ์นี้ว่า “การล่า” เพราะมันขึ้นตรงไหนก็ต้องรีบขับไปที่ตรงนั้น แต่วันนี้น้องมาเซฮายถึงที่บ้านพัก ก็เลยชิล ๆ ไม่ต้องออกไปหา
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/g5T2mzfzaeEUAerZ7


Day 6
ตื่นเช้ามาในบ้านพักหลังสีแดงเลือดหมูที่ชื่อ Lofoten Cabins – Kåkern ที่นี่ยังคงเป็นที่พักสไตล์ Rorbu กระท่อมไม้ที่เคยเป็นบ้านของชาวประมงในอดีต วันนี้มันถูกปรับปรุงใหม่ แต่ยังคงรักษาเสน่ห์แบบดั้งเดิมไว้ ผนังไม้เก่าที่เคยสัมผัสลมหนาวของโลโฟเทนมาหลายทศวรรษ ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่อบอุ่นที่ทำให้การพักผ่อนเงียบสงบและเป็นส่วนตัวที่สุด บ้านพักมีทั้งหมด 7 หลัง แต่ละหลังถูกออกแบบให้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ภายในมีห้องครัวที่ครบครัน พร้อมโต๊ะอาหารเล็ก ๆ ที่สามารถนั่งจิบกาแฟไปพร้อมกับวิวที่ไม่มีใครเหมือน ห้องนั่งเล่นที่มองออกไปเห็นทะเล เหมาะสำหรับการนั่งเงียบ ๆ พร้อมผ้าห่มและหนังสือดี ๆ สักเล่ม เครื่องซัก-อบผ้า รวมถึงไวไฟ ก็มีพร้อม ระเบียงด้านหน้าของกระท่อม เปิดออกไปเห็นท้องทะเล ยามค่ำมีแสงเหนือ ยามเช้ามีเงาภูเขาสะท้อนน้ำ สวยจนไม่อยากเชื่อว่ามีอยู่จริง


Å
วันนี้เราจะพาทุกคนเริ่มต้นกันที่ Å หมู่บ้านที่เป็นจุดหมายสุดท้ายของถนน E10 และมีชื่อที่สั้นที่สุดในโลก เพราะมีเพียงแค่ตัวอักษรเดียว “Å” (อ่านว่า ออ) แต่แม้ชื่อจะสั้น เรื่องราวของหมู่บ้านนี้กลับยาวไกลกว่าที่คิด หมู่บ้าน Å เป็น จุดสิ้นสุดของถนนสาย King Olav V (E10) เส้นทางสายหลักที่พานักเดินทางข้ามผ่านโลโฟเทนมาจนถึงจุดที่ถนนไปต่อไม่ได้อีกแล้ว จากที่นี่เป็นต้นไปมีเพียงมหาสมุทรอาร์กติก และเกาะเล็กเกาะน้อยที่โผล่ขึ้นจากน้ำ Å ไม่ใช่หมู่บ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นจุดท่องเที่ยว แต่มันคือหมู่บ้านชาวประมงที่ยังดำเนินชีวิตตามจังหวะของทะเล ที่นี่เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมปลาคอดแห้ง (Stockfish) ที่มีมานานกว่าหลายร้อยปี นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/23dU2cRchHaNHXgc7




ผ่านมาจนเกือบจะจบทริปเชื่อว่าหลายคนคงจะสังเกตุกันบ้างแล้วว่า ทำไมหมู่บ้านชาวประมงส่วนมากต้องเป็นสีแดงสด?? นั่นเพราะเป็นสีที่มาจากแร่เหล็กออกไซด์ (Iron Oxide) ตามธรรมชาติ ถูกนำมาบดและผสมเข้ากับน้ำมันปลาก่อนทาลงไป มันจึงช่วยปกป้องบ้านจากความชื้นและสภาพอากาศที่รุนแรง อีกทั้งแร่เหล็กยังมีคุณสมบัติป้องกันเชื้อราและช่วยให้ไม้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น อีกประการคือในช่วงศตวรรษที่ 17-19 สีทาบ้านถือเป็นของใช้ที่มีราคาแพง สีขาวที่ทำจากตะกั่วและสีเหลืองจากแร่สังกะสีราคาจึงสูงไปสำหรับชาวประมง นอกจากความทนทานและราคาไม่แพงสีแดงยังช่วยให้บ้านมองเห็นได้ง่ายจากทะเล โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่หมอกลงจัด ทำให้ชาวเรือสามารถมองเห็นชายฝั่งได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการนำเรือเข้าฝั่งในสภาพอากาศเลวร้าย เมื่อเวลาผ่านไปบ้านไม้สีแดงไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกด้านต้นทุนและประโยชน์ใช้สอย แต่มันกลายเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านชาวประมงในนอร์เวย์ที่ดึงดูดนักเดินทางให้มาเยือน


Museumskafé
ในหมู่บ้าน Å ที่ตั้งอยู่ปลายสุดของหมู่เกาะโลโฟเทน เราสามารถพาตัวเองหลบลมหนาวไปนั่งชิลได้ใน Museumskafé คาเฟ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Norwegian Fishing Village Museum เรานั่งลงที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่ง กลิ่นขนมปังอบหอมกรุ่นจากเตาลอยอ้อยอิ่งในอากาศ และแทบไม่ต้องลังเลกับการสั่คาปูชิโน่ร้อนหนึ่งแก้วมาละเลียดคู่บลูเบอร์รี่ชีสพายชิ้นหนาที่ดูชุ่มฉ่ำเกินกว่าจะปฏิเสธ ฟองนมเนียนนุ่มตัดกับเอสเพรสโซ่รสเข้มให้ความขมแบบพอดี ความอบอุ่นที่ซึมลึกไปถึงปลายนิ้ว ส่วนเค้กฐานแป้งกรุบกรอบ ครีมชีสละมุน และความเปรี้ยวของบลูเบอร์รี่สดที่ช่วยตัดรสหวานเป็นรสชาติที่เข้ากับโลโฟเทนอย่างไม่น่าเชื่อ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/23BCdzb8P9jps97R7





Sakrisøya
หากหมู่บ้านชาวประมงในโลโฟเทนมักถูกจดจำด้วยภาพของบ้านไม้สีแดงที่เรียงรายริมฟยอร์ด Sakrisøya กลับแตกต่างออกไป หมู่บ้านเล็ก ๆ บนเกาะแห่งนี้เลือกที่จะโดดเด่นด้วยบ้านไม้สีเหลืองสด ท่ามกลางฉากหลังของภูเขาสูงชันและน้ำทะเลสีฟ้าเข้มของอาร์กติก โดยยสีเหลืองสดใสได้มาจากแร่ Ochre ผสมกับน้ำมันปลาค็อด ซึ่งจะมีราคาที่สูงกว่า ทำให้การเลือกใช้สีนี้ในอดีตจึงเป็นสัญลักษณ์ของฐานะที่มั่นคง ด้วยที่นี่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการประมงปลาค็อดแห้ง (Stockfish) ที่สำคัญของโลโฟเทนมาแต่อดีต ทำให้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาค็อดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น Stockfish, Klippfisk และปลารมควัน ที่เหมาะแก่การซื้อเป็นของฝากด้วย
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/NfpHiCb5cb2dNvFq9






Anitas Seafood
กลางหมู่บ้าน Sakrisøya ที่รายล้อมไปด้วยฟยอร์ดสูงตระหง่านและน้ำทะเลสีฟ้า มีร้านอาหารที่ได้กลายเป็นตำนานของโลโฟเทน Anitas Seafood คือที่ที่รสชาติของมหาสมุทรอาร์กติกถูกเสิร์ฟลงจาน สด ใหม่ และเต็มไปด้วยเรื่องราวของคนที่อาศัยอยู่กับทะเลมาทั้งชีวิต กลิ่นหอมของปลาแอตแลนติกที่ถูกปรุงอย่างพิถีพิถันลอยอ่อน ๆ จนท้องชักจะร้องหิว บรรยากาศภายในร้านเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ โต๊ะไม้เก่าถูกขัดจนเรียบเนียนสะท้อนแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างใหญ่ แสงที่ตกกระทบโต๊ะไม้ทำให้ที่นี่ดูเหมือนโปสการ์ดที่มีชีวิต ที่นั่งริมหน้าต่างมองออกไปเห็นท่าเรือชาวประมง คลื่นที่กระทบกับพื้นไม้เก่า ๆ ของสะพานทอดยาวออกไปในน้ำ เสียงจานที่กระทบกันเบา ๆ เสียงเครื่องบดกาแฟ และเสียงหัวเราะของนักเดินทางที่พึ่งลิ้มรสปลาสด ๆ เป็นบรรยากาศที่แสนจะละมุนละไม นอกจากอาหารคาว ที่นี่ยังเสิร์ฟเบเกอรรี กาแฟ และของฝาก เรียกว่าครบจบในที่เดียว
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/eJxB6eNqZgUKZMbj6



ทุกเมนูคือการเลือกสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากทะเลรอบ ๆ หมู่บ้าน เมนูเด่น ๆ ได้แก่ เบอร์เกอร์ปลา เมนูที่คนเดินทางข้ามโลกมาตามหา ขนมปังบันที่กรอบนอกนุ่มในประกบเข้ากับเนื้อแซลมอลและกุ้งที่สดจนเหมือนยังว่ายอยู่ ท็อปด้วยซอสโฮมเมดที่ทำจากเครื่องเทศท้องถิ่น กัดเข้าไปคำแรกนี่คือรสชาติของทะเลโลโฟเทนจริง ๆ เมนูเด่นถัดมาคือซุปปลา น้ำซุปที่เคี่ยวจนข้น เต็มไปด้วยรสชาติของปลาแอตแลนติกและผักท้องถิ่น เสิร์ฟร้อน ๆ พร้อมขนมปังที่อบใหม่ และซาซิมิแซลมอล ที่ได้มาจากน่านน้ำเย็นของโลโฟเทน มันชุ่มฉ่ำ รสชาติเข้มข้น สดใหม่ และละลายในปาก เป็นเมนูที่ยากที่จะปฎิเสธ ยังไม่พอพวกเบเกอรีกับกาแฟก็อร่อยสุดยอดไม่แพ้กัน จบคาว หวานตาม กาแฟล้างปาก โลเคชั่นดี อาหารอร่อย ไม่แปลกใจทำไมที่นี่จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักเดินทางและชาวท้องถิ่น




Sakrisøy Rorbuer
ท้องอิ่มก็ขอเดินย่อยอีกสักหน่อย เพราะจากร้านอาหารเพียงไม่กี่ก้าวเราก็พบกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่เห็นค่อยข้างบ่อยบนโปสการ์ดโปรโมทการท่องเที่ยว ที่นี่คือ Sakrisøy Rorbuer บ้านไม้สีเหลืองสดใสที่ยืนหยัดมานานกว่าร้อยปี บ้านพักหลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1874 เพื่อเป็นกระท่อมชาวประมง ซึ่งตอนนี้เป็นที่พักนักเดินทาง อีกสิ่งที่ทำให้บ้านพักแห่งนี้สวยโดดเด่นกว่าใครเพื่อนนั่นก็คือ ภูเขาหิมะสามเหลี่ยมยอดแหลมที่เป็นหนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงมากที่สุดในหมู่เหาะโลโฟเทนอย่าง Olstinden ตั้งตระหง่านอยู่หลังบ้านพักสีเหลือง มีท้องฟ้าและหมู่เมฆเป็นตัวสนับสนุนอีกแรง งานนี้แม้แต่ลิฟท์ก็เอาเค้าไม่ลงจริง ๆ สวยม๊ากกกกก
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/hKiwxVP55jwEE3ni8

Hamnøy
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงมุมมหาชน มุมถ่ายภาพที่เสมือนภาพจำของหมู่เกาะ Lofoten หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทะเลที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินแกรนิตสูงตระหง่าน และบ้านไม้สีแดงสด Hamnøy หมู่บ้านชาวประมงที่เก่าแก่ที่สุดในโลโฟเทน มันถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ยุคไวกิ้ง และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการประมงปลาค็อดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังหมู่บ้าน คือภูเขา Festhæltinden หนึ่งในสัญลักษณ์ของโลโฟเทน เมื่อแสงแดดยามเช้าตกกระทบ หมู่บ้านดูเหมือนถูกเคลือบด้วยทองคำบาง ๆ และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน น้ำทะเลที่เคยเป็นสีฟ้ากลายเป็นเงาดำสนิท สะท้อนไฟจากบ้านเรือนเหมือนประกายระยิบระยับบนผืนน้ำ และมุมชวนจึ้งนี้เราเก็บภาพจากบนสะพาน Hamnøy Bridge (Hamnoy Bru, E10 road) และนี่คือหนึ่งในจุดที่เราไม่อยากให้พวกแกพลาดจริง ๆ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/mUaibouiPXK56Yay5


ท้องฟ้ามืดแล้ว แสงดาวก็เลือนราง เป็นสัญญานก่อนการเปิดม่านแสดงสุดอลังการของแสงเหนือ ความคอมพลีตในคอมพลีตของในคืนนี้ คือแสงเหนือที่แผ่ขยายทอดยาว เริงระบำ แรงกล้าเต็มตลอดฟากฟ้าเหนือหัวของเรา แถมมีขึ้นตรงภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน Hamnoy ไปอี๊ก แม้จะไม่แรงเท่ามุมอื่น ๆ แต่ก็ทำเอาพวกเราตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ พูดได้เต็มปากเลยว่าการออกล่าของพวกเราในครั้งนี้ มันสุดจะเลิศ สุดจะปังจริง ๆ และอย่างที่บอกไปว่าการเจอแสงเหนือมันยากที่จะคาดเดา ไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้ แต่มันก็มีตัวช่วยที่จะทำให้เรามีโอกาสมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือแอปพลิเคชันบนมือถือ

เราขอแนะนำ 2 แอปหลักที่ควรโหลดติดเครื่องไว้ นั่นก็คือ 1 Aurora แอปที่จะช่วยบอกค่า KP หรือความเข้มข้นในแต่ละคืน รวมถึงพิกัดที่มีคนเจอแสงเหนือ ไว้ใช้เวลาที่เรารอคอยการปรากฎตัวของมัน พอมีคนปักหมุดปุ้บ เราก็รีบขับไปตรงนั้น รวมถึงการประมาณการ์ณว่าตรงไหนจะมีโอกาสเจอมากที่สุดอีกด้วย แอปต่อมาคือ Windy แอปที่จะบอกความหนาของเมฆในแถบที่เราอยู่ เพราะนอกจากค่า KP จะต้องชัดแล้ว ท้องฟ้าก็ต้องเคลียด้วยถึงจะเห็นแสงเหนือ ดังนั้นก่อนออกเดินทางก็อย่าลืมศึกษาวิธีการดูไปแต่เนิ่น ๆ ด้วย ส่วนใครอยากได้ภาพแจ่ม ๆ เราแนะนำว่าขาตั้งกล้องคือสิ่งจำเป็นมาก ๆ เลนส์ควรจะเป็นเลนส์วาย F ตั้งแต่ 2.8 ลงไปจะเพอร์เฟกสุด



Day 7
วันสุดท้ายของการโร้ดทริป วันนี้ถือเป็นวันเก็บตกที่เราตั้งใจเผื่อไว้สำหรับการเจอแสงเหนือที่โลโฟเทน และเผื่อไว้สำหรับที่เที่ยวอื่น ๆ แบบไม่ได้ปักหมุด เพราะช่วงที่เรามากลางวันค่อนข้างจะสั้นพอสมควร หากวันไหนฝนตกคือเฟลแน่นอน ไม่เป็นอันได้ดูหรือทำอะไร วันนี้เราเลยเลือกตื่นสาย ๆ มาทำกับข้าวโดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น ทำไป พูดคุยกับเพื่อนในทริปถึงเรื่องราวเฟล ๆ ขำ ๆ จึ้ง ๆ ในกระท่อมชาวประมงสีแดงสดที่อยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะ นี่คงเป็นวงเม้าท์มอยที่สวยที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาแล้ว พอฤกษ์งามยามดีเราก็เช็คเอ้าท์ เพื่อไป Island Hopping แบบชิล ๆ ชอบอันนั้นก็แวะอันนั้น หิวก็กิน กระหายก็ดื่ม ปล่อยจอยไปกับบรรยากาศอย่างเต็มที่ จนถึงเวลาที่จะต้องคืนรถที่สนามบิน นับเป็นวันเรื่อยเปื่อยที่เปี่ยมสุขมาก ๆ

The Red Hut
ส่งท้ายกับพิกัดสุดท้ายกับหนึ่งในโลเคชันที่เป็นภาพจำของช่างภาพทั่วโลก The Red Hut หรือกระท่อมแดงแห่งหาดรามเบิร์ก หาดรามเบิร์กเป็นชายหาดสีขาวละเอียดซึ่งหาได้ยากในนอร์เวย์ มันทอดตัวยาวตัดกับสีน้ำเงินเข้มของมหาสมุทรอาร์กติก ด้านหลังคือแนวเทือกเขาสูงตระหง่าน ในฤดูร้อนหาดทรายขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ น้ำทะเลส่องประกายสีฟ้าอมเขียว กระท่อมสีแดงโดนเดี่ยวตัดกับพื้นหลังที่สดใสกลายเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์เที่ยงคืน ส่วนฤดูหนาวเช่นนี้กระท่อมสีแดงเล็ก ๆ ก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะราวกับเคลือบไว้ด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ทั้งหวาน ทั้งชวนฝัน ละมุนถึงขั้วหัวใจ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/7gL4hJgs7oH88p4X6

Day 8
วาร์ปมาวันสุดท้ายของทริป ณ กรุงออสโล เปิดพิกัดแรกยามเช้าตรู่กันที่ Vigeland Park สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ที่เป็นเหมือนศูนย์รวมผลงานการถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ผ่านหินและทองสัมฤทธิ์ สวนแห่งนี้เป็นผลงานของ กุสตาฟ วิกเกอร์แลนด์ (Gustav Vigeland) ศิลปินผู้ทุ่มเทชีวิตให้กับการสร้างสรรค์ประติมากรรมที่สะท้อนอารมณ์ ความสัมพันธ์ และวัฏจักรของชีวิตมนุษย์ บนพื้นที่ 80 เอเคอร์ มีประติมากรรมกว่า 200 ชิ้น ทุกชิ้นเป็นเรื่องราว ทุกอิริยาบถคือบทสนทนาระหว่างศิลปะและผู้ชม สวนแห่งนี้ไร้คำบรรยาย ไม่มีป้ายแนะนำ ไม่มีคำบอกกล่าว แต่กลับเต็มไปด้วยเสียงจากความคิดของผู้มาเยือนที่พยายามทำความเข้าใจกับความหมายของรูปปั้นเหล่านี้ บางคนเห็นความรัก บางคนเห็นความทุกข์ และบางคนเห็นตัวเองในประติมากรรมเหล่านั้น แม้จะเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญ สวนประติมากรรมวิกเกอร์แลนด์ก็ยังคงความสงบเงียบ เหมาะสำหรับการเดินเล่น ปิคนิค และซึมซับความหมายของชีวิตท่ามกลางงานศิลป์ ที่นี่เปิดเข้าฟรี 24 ชั่วโมงทุกวัน
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/tFEDQoEzWAxs6p6d6






จากผลงานหลายร้อยชิ้น ผลงานเด่น ๆ จึงมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสะพานประติมากรรม (The Bridge) สะพานที่ทอดยาวถึง 100 เมตร ตกแต่งด้วยประติมากรรมทองสัมฤทธิ์ 58 ชิ้น แสดงอารมณ์มนุษย์ตั้งแต่ความรัก ความเศร้า ความโกรธ ไปจนถึงความอ่อนโยนของเด็กและผู้สูงวัย, น้ำพุแห่งชีวิต (The Fountain) รูปปั้น 6 ชิ้นที่แบกอ่างน้ำพุขนาดใหญ่สื่อถึงมนุษย์ที่แบกภาระชีวิต ส่วนต้นไม้รอบ ๆ เปรียบดังวัฏจักรของเวลา, เสาโมโนลิธ (The Monolith) เสาสีเทาที่สูงถึง 14 เมตร แกะสลักจากหินแกรนิตแท่งเดียว เป็นภาพของร่างมนุษย์กว่า 100 คน ที่ตะเกียกตะกายขึ้นไปเสมือนการแสวงหาความหมายของชีวิต, วงล้อแห่งชีวิต (The Wheel of Life) ประติมากรรมรูปวงกลมที่แสดงถึงความไม่มีที่สิ้นสุดของการเกิด เติบโต ตาย และเกิดใหม่, เด็กชายขี้โมโห (Angry Boy) หนึ่งในรูปปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดในสวน เด็กชายตัวเล็กที่กำลังขมวดคิ้ว กำหมัดแน่น และกระทืบเท้าอย่างโกรธเคือง ภาพแทนของอารมณ์ที่ไม่ถูกยับยั้ง จะตีความตามนี้หรือจะเห็นต่างก็แล้วแต่จินตนาการได้เลย




The Royal Palace
ณ ใจกลางเมือง The Royal Palace ยังคงตั้งตระหง่านท่ามกลางความหนาวเย็น พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งนอร์เวย์ สร้างในศตวรรษที่ 19 ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอคลาสสิกแบบเรียบง่ายบนเนินเขาปลายถนนคาร์ล โยฮันส์ เกต (Karl Johans Gate) ถนนสายหลักของออสโลที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา แม้ว่าภายในพระราชวัง จะปิดให้เข้าชมในช่วงฤดูหนาว แต่การได้เดินรอบ ๆ ก็เพียงพอให้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ และความเงียบสงบ มีเพียงเสียงหิมะกรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าเท่านั้นที่ช่วยขับไล่ความเงียบงัน ล้อมรอบพระราชวังคือ สล็อตส์พาร์เก้น (Slottsparken) สวนขนาดใหญ่ที่เปรียบเสมือนลมหายใจของเมือง สวนแห่งนี้มีต้นไม้เก่าแก่สูงใหญ่ที่ในฤดูร้อนเขียวชอุ่ม แต่ในฤดูหนาวกลับกลายเป็นกิ่งไม้เปลือยเปล่าโอบล้อมกันในความเงียบสงัด เย็นเยียบแต่สวยงาม
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/pi74CXYCxBLpwJkg6






Karl Johans Gate
หากมองจากพระราชวังลงมาจะเห็นเส้นทางสายหลักที่คึกคักอย่าง Karl Johans Gate ถนนที่รวบรวมสถานที่สำคัญราวกับเป็นเส้นเลือดใหญ่ของออสโล ไม่ว่าจะเป็น พระราชวังหลวง (Det Kongelige Slott), อาคารรัฐสภา (Stortinget), โรงละครแห่งชาติ (Nationaltheatret) สถานที่ที่เคยเป็นเวทีของ Henrik Ibsen นักเขียนบทละครชื่อดังของโลก, มหาวิทยาลัยออสโล (Universitetet i Oslo) มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของนอร์เวย์ และสวนสาธารณะ Spikersuppa นอกจากนี้ยังมีถนนช้อปปิ้งอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้และเชื่อมต่อกับที่นี่ด้วย เช่น ถนน Bogstadveien ถนนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบแบรนด์ระดับไฮเอนด์และร้านบูทีคต่าง ๆ , ถนน Grensen สายนี้ขึ้นชื่อเรื่องร้านรองเท้าและแฟชั่น, ถนน Akersgata ที่มีทั้งร้านดังระดับโลกและร้านเสื้อผ้าจากดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียง จะมาช้อปปิ้งจริงจัง หรือมาเพื่อเดินเล่นเก็บบรรยากาศก็เพลินสุด ๆ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/oih8UidCddF43zWy7


Oslo City Hall
พิกัดถัดไปขอพอมาแถวริมอ่าวฟยอร์ดที่เงียบสงบ ที่ตั้งของอาคารหลังหนึ่งที่โดดเด่นไม่ใช่เพียงเพราะขนาดหรือสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ แต่มันเป็นหัวใจของเมือง Oslo City Hall หรือ Rådhuset ที่นี่คือศูนย์กลางของการปกครอง ศิลปะ และประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ที่สะท้อนจิตวิญญาณของนอร์เวย์อย่างแท้จริง มันถูกออกแบบโดยสองสถาปนิกชื่อดังของประเทศอย่าง Arnstein Arneberg และ Magnus Poulsson เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 1931 แต่ต้องหยุดชะงักเพราะสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี 1950 มีรูปแบบเป็นอาคารคู่สองฝั่ง สูง 66 เมตร ปกคลุมด้วยอิฐสีแดงกว่า 450,000 ก้อน หน้าศาลาว่าการเต็มไปด้วย ประติมากรรมและสัญลักษณ์ของเทพเจ้านอร์สโบราณ เช่น Yggdrasil ต้นไม้แห่งโลก และ Odin เทพเจ้าแห่งปัญญา ด้านซ้ายของอาคารคือหอนาฬิกา ตรงกลางมีรูปปั้นของ Harald Hardråde กษัตริย์นักรบแห่งนอร์เวย์ยืนคอยต้อนรับผู้มาเยือน รอบอาคารมีภาพสลักบอกเล่าตำนานของประเทศ และวิถีชีวิตของชาวไวกิ้ง
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/sH8VqsBB82tYVgBKA


ด้านในห้องโถงใหญ่ (The Main Hall) เป็นหัวใจของอาคารแห่งนี้ นี่คือสถานที่ที่ใช้จัดพิธีมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในทุกวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี ผู้ได้รับรางวัล เช่น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, เนลสัน แมนเดลา, มาลาลา ยูซาฟไซ และองค์ดาไลลามะ ล้วนเคยยืนกล่าวสุนทรพจน์ ณ ที่แห่งนี้ เพราะนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ของการเป็นกลางและสนับสนุนสันติภาพมาโดยตลอด


หากมองไปยังผนังตะวันออกเราจะได้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เต็มไปด้วยสีสันและพลัง บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านของนอร์เวย์จากสังคมชนบทสู่ประเทศที่เข้มแข็งและพัฒนา, ผลงานของ Henrik Sørensen ถ่ายทอดความมีชีวิตชีวาของประชาชน และผลงานของ Alf Rolfsen ที่แฝงไปด้วยความเศร้าและความแข็งแกร่ง เพราะเขาคือผู้สูญเสียลูกชายจากสงครามโลกครั้งที่สอง ผนังฝั่งตะวันตกบอกเล่าชีวิตประจำวันของประชาชน ทั้งชาวประมงในฟยอร์ด ชาวไร่และชาวนา, เดินไปเรื่อยๆจะเจอกับห้อง Munch (Munch Room) ห้องนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Edvard Munch ศิลปินผู้ให้กำเนิดภาพวาด “The Scream” ที่โด่งดังไปทั่วโลก ภายในห้องจัดแสดงภาพวาดขนาดใหญ่ชื่อ “Life” ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานที่สะท้อนแก่นแท้ของมนุษย์ ที่มีหลากหลายความรู้สึกไม่ว่าจะเป็นความรัก ความสูญเสีย และความเป็นนิรันดร์ และห้องที่น่าสนใจอีกมากมาย ใครสายงานศิลป์แกปักหมุดที่นี่ไว้ได้เลย



The National Museum
ติด ๆ กันจะเป็นที่ตั้งของ The National Museum ขุมทรัพย์แห่งศิลปะของนอร์เวย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดคลาสสิก สถาปัตยกรรมร่วมสมัย ไปจนถึงงานดีไซน์ระดับโลก ทุกห้อง ทุกโถงนิทรรศการ คือประตูที่เปิดสู่จิตวิญญาณของศิลปินและวัฒนธรรมนอร์ดิก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นผลลัพธ์ของการรวมตัวของพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายแห่งในนอร์เวย์ เพื่อสร้างศูนย์กลางแห่งศิลปะและการออกแบบที่ครบวงจรที่สุด ที่นี่ออกแบบโดย Kleihues และ Schuwerk บริษัทสถาปัตยกรรมชื่อดัง เริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2022 จัดแสดงผลงานทั้งแบบถาวรและหมุนเวียน มีผลงานหลายยุคหลายสมัย หลากหลายรูปแบบทั้งงานวาด งานปั้น อีกทั้งยังรวบรวมงานจากศิลปินผู้โด่งดังมากมาย ไปจนถึงนิทรรศการอินเตอร์แอคทีฟที่ผู้ชมสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับศิลปะผ่านเทคโนโลยี AR และ VR มีเวิร์กช็อปสำหรับนักเรียนและนักศึกษา มีห้องสมุดและพื้นที่เรียนรู้สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะเชิงลึก
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/PTWC5qohVNP7VanU9





แน่นอนว่านี่คือบ้านเกิดของ Edvard Munch ดังนั้นที่นี่จึงมีห้องแยกสำหรับผลงานของเค้าโดยเฉพาะ “The Scream” ไม่ใช่แค่ภาพวาด แต่เป็นเสียงกรีดร้องของยุคสมัย นี่เป็นหนึ่งในเวอร์ชันของ The Scream (1893) เป็น 1 ใน 4 ภาพ ต้นฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุด และถูกจัดแสดงอย่างโดดเด่นภายในพิพิธภัณฑ์ เมื่อเราได้เห็นภาพแห่งนี้กลับรู้สึกว่าห้องทั้งห้องเงียบลง ราวกับถูกความกังวลของภาพดึงดูดให้จ้องมอง หลงใหล และนึกถึงตัวตนของตัวเองขึ้นมา เนี่ยที่มาของคำว่าสวยตะโกน





Akershus Fortress
เดินลัดเลาะริมน้ำไปพร้อม ๆ กับดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำลง ท้องฟ้าค่อย ๆ มีสีอ่อนจาง แสงสุดท้ายของวันทอดตัวลงบนกำแพงหินโบราณของป้อมปราการ อาเคอร์ชูส (Akershus Fortress) ราวกับว่ามันกำลังปลุกเรื่องราวจากศตวรรษก่อนให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง นี่คือป้อมปราการที่เคยเป็นแนวป้องกันเมืองจากการรุกรานมาตั้งแต่ 700 กว่าปีที่ ต่อมาในศตวรรษที่ 16 และ 17 มันถูกขยายและเสริมความแข็งแกร่งจนกลายเป็นทั้งพระราชวังและฐานทัพที่ทรงพลัง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สาธาระณะ,หน่วยงานราชการ และศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ชาติและจากทำเลที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชันซึ่งปราศจากการรุกราน มันจึงกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตสำหรับการชมวิวที่สวยงามมาก ๆ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/nUcNiWYGbSvVEeWW6





Oslo Opera House
ดื่มด่ำบรรยากาศเพลิน ๆ จนแทบจะลืมเวลาไปอีกสักพักเราก็มาถึง Oslo Opera House ที่ออกแบบโดย Snøhetta สตูดิโอสถาปัตยกรรมชั้นนำของนอร์เวย์ โครงสร้างหลักเป็นหินอ่อนสีขาวจาก Carrara ประเทศอิตาลี อาคารรูปร่างแปลกตา เป็นทรงเลขาคณิต ทำให้มันดูล้ำสมัยและโดดเด่น ที่นี่ไม่ได้มีแค่การแสดงโอเปร่า แต่เป็นพื้นที่สาธารณะที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้ไม่ว่าจะแค่มาหามุมถ่ายรูปสวย ๆ พร้อมจิบกาแฟชมวิว หรืออยากลองเดินเล่นบนหลังคาอาคารชมวิวทะเลสาปในช่วงเวลาต่าง ๆ ก็ได้ไวป์ดีไปแบบจุก ๆ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/m42xastDGhjpP19e7






Fuglen
แน่นอนว่าจะเที่ยวไปไหน นอกจากที่เที่ยวปัง ๆ แล้ว คาเฟ่สับ ๆ ก็ไม่เคยพร่องเช่นกัน สำหรับใครที่เป็นคอกาแฟย่อมคุ้นเคยกับสัญลักษณ์รูปนกสีแดงนี้อย่างแน่นอน เพราะ Fuglen Coffee Roasters คือศูนย์กลางของวัฒนธรรมกาแฟนอร์ดิกที่ส่งต่อเอกลักษณ์จากออสโลสู่โตเกียว และขยายอิทธิพลสู่เมืองใหญ่ทั่วโลก ด้วยแนวคิดที่ไม่เพียงแค่เสิร์ฟกาแฟดีๆ แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับศิลปะ งานออกแบบ และสไตล์ชีวิตแบบสแกนดิเนเวียน ร้านแห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1963 โดยเริ่มจากร้านกาแฟเล็ก ๆ ในนอร์เวย์ ชื่อ “Kaffefuglen” เมื่อจริงจังมากขึ้นจึงเริ่มเปิดโรงคั่วของตัวเองในปี 2018 ที่ Gamlebyen, Oslo ใช้การคั่วแบบ Nordic Light Roast ซึ่งให้รสชาติที่โปร่งใส มีความเป็นกรดสูง และดึงเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟออกมาได้ดีที่สุด สาขาที่เรามาตัวร้านเป็นสีเหลืองนวล ตัดกับโลโก้สีแดงสด ด้านในเน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้ตัวใหญ่ หนักแน่น แต่อบอุ่น ลาเต้ฟองนุ่มละมุนตรงหน้า แค่จิบเบา ๆ ก็รับรู้ได้ถึงคุณภาพที่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงมาโด่งดังถึงโตเกียว และยังมีแพลนจะเปิดเพิ่มในเอเซียอีกเรื่อย ๆ
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/S9B4cuD9vhsaWvFG6






Munch
ปิดจบทริปแบบฟินเนเล่กับพิกัดที่เราตั้งตารอคอยพอ ๆ กับแสงเหนือ Munch พิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับศิลปินผู้สร้าง “The Scream” ที่นี่เปิดครั้งแรกเมื่อปี 1963 ในย่าน Tøyen ก่อนจะย้ายมาในโลเคชั่นปัจจุบัน ซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวสเปน มี 11 ห้องจัดแสดงนิทรรศการในตัวอาคารสูงถึง 13 ชั้น ที่โน้มเอียงไปทางฟยอร์ดราวกับมันกำลังโน้มตัวเข้าหาผืนน้ำ ที่นี่รวบรวมผลงานที่ เอ็ดวาร์ด มุนช์ ยกให้กว่า 26,000 ชิ้น นอกจากนี้มีห้องสมุดศิลปะที่รวบรวมเอกสารสำคัญเกี่ยวกับ Munch สำหรับ Edvard Munch เป็นหนึ่งในศิลปินลัทธิสัญลักษณ์นิยม มีความเชี่ยวชาญในการถ่ายทอดอารมณ์และประสบการณ์ชีวิตผ่านผลงานศิลปะ โดยเขามักสะท้อนความทุกข์ยาก ความขัดแย้ง และความวิตกกังวลของมนุษย์ เน้นสีสันและรูปทรงที่บิดเบี้ยวเพื่อสื่อถึงสภาวะทางจิตใจ เรียกได้ว่าเป็นศิลปินที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการศิลปะทั้งเยอรมันนีและยุโรปกลางในยุคสมัยใหม่
พิกัด :: https://maps.app.goo.gl/kvzkRpGEF3SUz3bR6


แทบไม่ยากเชื่อว่าในข่วงชีวิตของคน ๆ เดียวจะสามารถสร้างผลงานและทิ้งไว้เป็นคุณค่าให้กับโลกได้มากมายขนาดนี้ เราเดินชมแต่ละชิ้นงานอย่างเพลิดเพลินจนแทบจะลืมเวลา ยิ่งผลงานเด่น ๆ ที่เลื่องชื่อ พอได้เห็นกับตาตัวเองก็ยิ่งเข้าใจได้ดีเลยว่าทำไมแต่ละชิ้นยังคงถูกกล่าวขานถึงมาจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพ Madonna (1894-1895) ภาพเขียนสีน้ำมันของหญิงสาวในลักษณะเอนตัวเล็กน้อย ดวงตาปิด ร่างกายมีแสงเรืองรอง ให้ความรู้สึกไร้เดียงสาและความเย้ายวน, ภาพ The Dance of Life (1899-1900) หนึ่งในภาพสำคัญของชุด “The Frieze of Life” ที่แสดงวงจรชีวิตของมนุษย์ เป็นภาพชายหญิงที่เต้นรำกันตรงกลางภาพเบื้องหลังคือทะเลยามค่ำคืน สีส้นหลากหลายทั้งสีสดและหม่นหมอง กลมกลืนแต่แปลกแยก, ภาพ The Vampire (1893-1894) ที่เดิมถูกเรียกว่า “Love and Pain” เป็นภาพของผู้หญิงที่โอบกอดชายที่ก้มศีรษะลงกับร่างของเธอ เส้นสายของภาพให้ความรู้สึกถึงความใกล้ชิดและความรุนแรงในความสัมพันธ์, ภาพ The Girl on the Bridge, Anxiety, Death and the Chid และอีกมากมายที่ชวนมองไปหมด





ส่วนผลงานที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยต้องเป็น “The Scream” ภาพที่สะท้อนความวิตกกังวลและความทุกข์ของมนุษย์ Munch ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อเขาเดินเล่นกับเพื่อน ๆ และรู้สึกถึง “เสียงกรีดร้องผ่านธรรมชาติ” ซึ่งผลงานมาสเตอพีซชิ้นนี้เป็นภาพมนุษย์ที่ไม่ระบุเพศกำลังยืนอยู่บนสะพาน อ้าปากกว้างราวกับกำลังกรีดร้อง และใช้มือทั้งสองข้างปิดหู ท่ามกลามบรรยากาศท้องฟ้าวิปริตสีแดงเพลิง ซึ่งใบหน้าของมนุษย์คนนั้นบิดเบี้ยวไม่ต่างจากท้องฟ้า รอบตัวของเขามีคนสองคนที่กำลังเดินอยู่ห่าง ๆ ออกไป และไม่รับรู้ในสิ่งที่มนุษย์คนนั้นกำลังเผชิญอยู่เลยแม้แต่น้อย โดย “The Scream” จะมีทั้งหมด 4 เวอร์ชั่น แต่จัดแสดงอยู่มิวเซียมแห่งนี้เพียง 3 เวอร์ชั่น โดยทางมิวเซียมจัดโชว์ภาพนี้แค่เพียงครั้งละหนึ่งเวอร์ชั่น ก่อนจะเปลี่ยนทุก ๆ 30 นาที ดังนั้นใครอยากเห็นครบทุกเวอร์ชั่นก็ต้องมีอย่างน้อยชั่วโมงครึ่ง




อิ่มเอมกับนอร์เวย์ทั้งที่เป็นพาทธรรมชาติและพาทในเมือง เวลาที่ต้องเดินทางกลับก็มาถึง และเช่นเคยเราเลือกบินกลับกับสายการบินไทย สายการบินที่มอบประสบการ์ณสุดพิเศษให้กับเราเสมอมา ส่วนใครที่วางแผนเที่ยวประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย อย่างโคเปนเฮเกน สต็อกโฮล์ม หรือประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรป ก็สามารถจองตั๋วได้ง่าย ๆ ที่ thaiairways.com หรือติดต่อสำนักงานขายการบินไทย, ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือTHAI Contact Center โทร 0-2356-1111 (ตลอด24ชั่วโมง)


นอร์เวย์คือจุดหมายที่เราเคยรู้จักแค่ผ่านหนังสือ หน้าจอ และคำบอกเล่าของคนอื่น แต่วันนี้การได้มาเห็นสถานที่จริงของภาพถ่ายที่เราได้แต่เฝ้าเซฟซ้ำแล้วซ้ำเล่าในโทรศัพท์ด้วยตาตัวเอง ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันงดงามไม่รู้จบ ได้สัมผัสลมหายใจของประวัติศาสตร์ ได้เดินอยู่ท่ามกลางเมืองที่อบอวลไปด้วยศิลปะ แลได้รอคอยแสงเหนือที่เปลี่ยนคืนธรรมดาให้กลายเป็นราตรีสุดพิเศษ ทริปแห่งความหนาวแสนประทับใจนี้คงอยู่ในความทรงจำไปเราตลอดไป แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ พร้อมที่จะออกเดินทางมาเห็นด้วยตัวเองหรือยัง?




