รีวิวญี่ปุ่น :: “Nara in Pink” A 2-Day Cherry Blossom Getaway You’ll Never Forget 🇯🇵

2 วัน 1 คืน ในจังหวัด Nara กับช่วงเวลาซากุระบานสระพรั่งชวนใจฟูของฤดูใบไม้ผลิ

ทริปนี้เราจะพาทุกคนไปสัมผัสความงดงามระดับตำนานของจุดชมซากุระที่ขึ้นชื่อว่าสวยติดอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น ณ จังหวัดนารา ดินแดนที่หลายคนคิดว่าเป็นทางผ่าน และมีจุดขายอยู่ที่กวางเพียงอย่างเดียว แต่ครั้งนี้เราขอให้ทุกคนสลัดภาพจำเดิม มาเติมโมเมนต์ใหม่ ๆ บนภูเขาอันยิ่งใหญ่ที่ปกคลุมด้วยต้นซากุระหลายหมื่นต้น อวดโฉมสีชมพูละมุนละไมทั่วทั้งหุบเขา เริงร่าในสวนสนุกบนยอดเขาพร้อมวิวพาโนรามาที่ปังเกินบรรยาย ดื่มด่ำมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมโบราณและสมบัติล้ำค่าที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก และเติมเต็มวันด้วยเมนูอาหารท้องถิ่นสูตรดั้งเดิมที่สะท้อนวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างละเมียดละไม นอกจากแพลนจึ้งแล้ว การเดินทางครั้งนี้ก็ยังสะดวกสบายด้วย Kintetsu Rail Pass บอกเลยว่าฟินสุดคุ้มค่าสุด ๆ แน่นอน 

พอคิดจะวางแพลนเที่ยวคันไซแบบอินไซด์ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเลยก็คือเรื่อง “การเดินทาง” ที่ต้องตอบโจทย์เพื่อน ๆ สายชิล ไม่อยากขับรถเอง ชอบนั่งรถไฟชมวิวไปเรื่อย ๆ และสิ่งที่ Pop-up ขึ้นมาไวที่สุดก็คือ Kintetsu Rail Pass ที่วิ่งครอบคลุมเส้นทางฮิตในคันไซแบบจัดเต็ม เลือกใช้งานได้ตั้งแต่ 1-5 วัน ขึ้นรถไฟในเครือกี่รอบก็ได้ไม่จำกัด! เส้นทางครอบคลุมทั้งโอซาก้า นารา เกียวโต มิเอะ ไปจนถึงนาโกย่าเลยทีเดียว ทริปนี้เราเริ่มใช้ตั้งแต่ตอนข้ามเมืองจากโอซาก้ามานารา แล้วต่อไปเที่ยวภูเขาสุดฮิดเด้นในจังหวัดนาราได้แบบสบาย ๆ ซื้อก็ง่าย จะผ่านเว็บไซต์ Kintetsu โดยตรงหรือผ่านตัวแทนก็ได้ อย่างเราซื้อออนไลน์ก็แค่โชว์ QR Code แสกนเข้า-ออกสถานีได้เลย บอกเลยว่าสะดวก แถมคุ้มจนอยากป้ายยาเพื่อนต่อเลยล่ะ

Day 1

Torimae Station

จากเมืองใหญ่ที่คึกคัก เรานั่งรถไฟยิงยาวออกจาก Osaka Namba Station เพียงไม่นานนัก ภาพความศิวิไลซ์ก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยบ้านเรือนเรียบง่ายและบรรยากาศแสนสงบ ไม่ถึง 20 นาที เราก็มาถึงIkoma Station’ อยู่ระหว่างสวนสาธารณะนาราและนัมบะ ประตูด่านแรกของทริปนาราครั้งนี้ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญสู่ Ikoma Cable Car สุดคิวท์ ที่ด้านหน้าสถานีสดใสด้วยป้ายหลากสีสันชวนให้อารมณ์ดี รถรางเขามีทั้งหมด 6 ขบวน โดยแต่ละขบวนมาพร้อมดีไซน์สุดสร้างสรรค์ ตั้งแต่รถรางรูปเค้กสีชมพูฟรุ้งฟริ้ง เปียโนไม้ที่เหมือนหลุดมาจากเทพนิยาย จนถึงไฮไลต์สุดไวรัลอย่าง Bull พี่หมาใจดี และ Mi-ke คุณแมวขี้เล่น ที่จะสุ่มหมุนเวียนกันรับหน้าที่พาผู้โดยสารขึ้น-ลงสู่ยอดเขา Mt. Ikoma ทุก ๆ 20 นาที เส้นทางสายนี้มีประวัติยาวนานกว่า 97 ปี จึงไม่ได้มีดีแค่น่ารัก แต่ยังแฝงเสน่ห์แบบวินเทจที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจตั้งแต่ยังไม่ถึงปลายทาง

การเดินทาง : ลงสถานี Ikoma Station แล้วเดินต่อไปขึ้น Cable Car ที่สถานี Torimae Station ได้เลย

Ikoma Sanjo Amusement Park

บนยอดเขา Mt. Ikoma แห่งนี้ มีแลนด์มาร์กสำคัญที่เรียกเสียงหัวเราะได้ทุกวัย นั่นคือสวนสนุก ‘Ikoma Sanjo Amusement Park’ โลเคชันที่ให้เราเริงร่าเหมือนเด็กน้อยบนความสูง 642 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภายในอัดแน่นไปด้วยเครื่องเล่นหลากหลายมากกว่า 20 ชนิด มีทั้งแบบเบา ๆ ให้ชิลได้ และแบบหวาดเสียวกำลังดี ให้ฟีเด็ก ๆ ก็เล่นได้ ผู้ใหญ่ก็เล่นเพลิน เพื่อน ๆ สามารถเดินเข้ามาในสวนสนุกแห่งนี้ได้แบบฟรี! ใครอยากเล่นเครื่องเล่นก็สามารถซื้อตั๋วเฉพาะเครื่องได้ตามใจ หรือจะเลือกแบบเหมาทั้งวันก็สนุกไม่สะดุด โดยราคาสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 4,000 เยน, นักเรียนประถม 3,800 เยน, และเด็กเล็กก่อนวัยเรียนอยู่ที่ 2,800 เยน เหมาะมากสำหรับวันดี ๆ ที่อยากเติมพลังใจด้วยรอยยิ้มและลมเย็น ๆ บนยอดเขา

การเดินทาง : ขึ้น Cable Car จากสถานี Torimae Station ได้เลย

เครื่องเล่นที่เราขอปักหมุดว่าไม่ควรพลาดเลยก็คือ “Cycle Monorai” (จักรยานโมโนเรล) โมโนเรลแบบปั่นสุดคิวท์ ที่มาในดีไซน์ตัวการ์ตูนสัตว์แสนน่ารัก สามารถนั่งได้ 2 คนต่อคัน วิ่งไปตามรางยกระดับที่ลัดเลาะไปทั่วสวนสนุก จุดพีคคือระหว่างทางเราสามารถชมวิวเมืองนาราและโอซาก้าได้แบบ 360 องศา มองเห็นภาพของป่าคอนกรีตที่รายล้อมด้วยทิวเขาสีเขียวละมุนตา ขนาดช่วงกลางวันยังสวยจนต้องหยุดหายใจ แล้วลองนึกดูสิ ถ้าได้ขึ้นตอนพระอาทิตย์ตกดิน แสงทองอ่อน ๆ กระทบยอดเขา คงโรแมนติกสุด ๆ แต่ถ้าใครไม่อยากปั่นเขาก็มีรูปแบบกระเช้า หอคอย ฯลฯ ให้เราขึ้นไปชมวิวเช่นกันนะ ทั้งนี้ใครอยากจะดูพระอาทิตย์ตกดิน แนะนำให้เช็คข้อมูลเวลาเปิดให้บริการก่อน เพราะช่วงเวลาเปิด-ปิดของแต่ละฤดูกาลจะไม่ตรงกัน 

Cafe Kotodama

ย่านอาสุกะอยู่ห่างจากโอซาก้า อาเบะโนะบาชิ ประมาณ 40 นาที เมืองชนบทเล็ก ๆ ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ และอบอวลไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์ เป็นถึงอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นที่มีอายุยาวนานกว่า 1,400 ปี จึงเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่รอให้เราค่อย ๆ สำรวจ จุดแรกที่เราเลือกมาเช็กอินก็คือ ‘Cafe Kotodama’ คาเฟ่ที่แค่เห็นจากภายนอกก็สัมผัสได้ถึงเรื่องราวที่อยากให้เราเข้าไปฟัง ตัวร้านดัดแปลงมาจากโรงสาเกเก่าอายุเกือบ 200 ปี และยังคงกลิ่นอายความดั้งเดิมไว้อย่างตั้งใจ ภายในตกแต่งด้วยโต๊ะไม้เนื้อสวยเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละโต๊ะมีแจกันดอกไม้ที่จัดวางอย่างเรียบง่ายในสไตล์มินิมอลแบบญี่ปุ่น มอบความรู้สึกเงียบสงบ เป็นส่วนตัว และเต็มไปด้วยเสน่ห์ของกาลเวลา เรียกได้ว่าเป็นมุมพักใจเล็ก ๆ ที่เหมาะกับการทิ้งตัวเบา ๆ แล้วซึมซับความนิ่งงามของอาสุกะให้เต็มที่

การเดินทาง : ลงสถานี Kashiharajingu-Mae Station แล้วนั่งบัสหมายเลข 18,19 หรือ Taxi

เมนูของร้านจะเน้นอาหารท้องถิ่นหากินยาก และล้วนเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ เสิร์ฟมาในกล่องโลหะสี่เหลี่ยมแสนคลาสสิก ชุดที่เราสั่งเป็นซิกเนเจอร์ ‘ハンバーグランチ (ชุดอาหารกลางวันแฮมเบิร์ก)’ ที่จะมีแฮมเบิร์กเนื้อเป็นจานหลัก ข้าว เครื่องเคียง ซุป นอกจากนี้ยังมีชุด ‘ことだまランチ (ชุดอาหารกลางวันโคโตดามะ)’ ซึ่งจะเป็นเมนูขายดีของร้านที่ต้องจองล่วงหน้า 2-3 วันเชียวล่ะ โดยอาหารนั้นจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล พอได้ลิ้มลองแล้วมันก็สมมงที่คนจะติดใจจริง ๆ เพราะรสชาติแต่ละส่วนรับรู้ถึงความพิถีพิถัน ตัดกันได้่ลงตัวสุด ๆ สลัดที่เป็นเครื่องเคียงนั้นสด กรอบ อร่อยจนอยากขอเพิ่มเลย

พอมงลงเรื่องอาหารแล้ว สายสะพายก็ต้องลงที่ขนมเช่นกัน ตัวเด็ดของร้านยกให้บรรดาพาร์เฟ่ต์ที่เขาจะเปลี่ยนผลไม้ไปตามฤดูกาล เราเลือกสั่งพาร์เฟ่ต์สตรอว์เบอร์รี มีขายช่วงฤดูหนาว-ใบไม้ผลิ ใช้สตรอว์เบอร์รีสดใหม่ เก็บจากฟาร์ม Matsubara ทุกเช้า คัดเฉพาะลูกโต เนื้อกรอบเด้งเป็นเงาสวยงาม รสชาติหวานเปรี้ยวชื่นใจ ถ้าใครมาช่วงซัมเมอร์เขาจะมีเมนูแนะนำเป็นพีช ส่วนใบไม้ร่วงต้องเกาลัดถือเป็นของดีเมืองนาราเลยล่ะ นอกจากนี้เขายังมีบิงซู เค้ก แพนเค้ก โดนัทหน้าตาโฮมเมดวางขายด้วยนะ ครบเครื่องสุด ๆ 

ยังไม่หมดแค่นั้นเขายังมีโซนขายของฝาก ซึ่งจะเน้นงานคราฟต์แสนเนี๊ยบเป็นหลัก กวาดตาดูแล้วจะเห็นงานทำมือของคนในท้องถิ่นและเมืองนารา ไม่ว่าจะเป็น ผ้าทอ เซริมิก อาหารแปรรูป สมุด โปสการ์ดลวดลายกราฟฟิกยุคใหม่ เครื่องเขียน เครื่องประดับ ฯลฯ ทุกอย่างถูกวางไว้อย่างบรรจงในตะกร้าสาน ชั้นวางไม้โบราณ เรียกว่าเป็นร้านที่ผสานความสมัยใหม่และความโบราณได้อย่างกลมกลืน 

Ishibutai Tumulus

จาก Cafe Kotodama เดินลัดเลาะผ่านบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นมาไม่ถึง 10 นาที เราก็มาถึงอีกหนึ่งพิกัดอันซีนของนาราอย่า ‘Ishibutai Tumulus’ สุสานโบราณที่ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดในย่านนี้ ค่าเข้าชมเพียง 300 เยน แต่สิ่งที่ได้สัมผัสกลับเป็นภาพที่สวยราวกับอยู่ในฉากภาพยนตร์ พื้นที่โดยรอบเป็นเนินหญ้ากว้างใหญ่ โอบล้อมด้วยเทือกเขานุ่มละมุนตา ท่ามกลางสายลมอ่อนพัดผ่านต้นซากุระที่กำลังบานสะพรั่ง กลีบดอกสีชมพูอ่อนร่วงหล่นอย่างอ่อนช้อย พร้อมกับทุ่งนาโนฮานะสีเหลืองสดที่ปลูกเรียงรายอยู่ไม่ไกล เสริมให้บรรยากาศยิ่งละมุนละไมและเต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว ฤดูใบไม้ผลิช่วงนี้จึงกลายเป็นช่วงเวลาทองของที่นี่อย่างแท้จริง แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ตราตรึงใจได้ไม่รู้ลืม และเชื่อว่ายามได้กลับมาในฤดูอื่น ๆ ก็คงได้พบกับความงามในรูปแบบใหม่ที่ต่างออกไป แต่ยังคงอบอวลด้วยมนต์เสน่ห์ของ Asuka ไม่เปลี่ยน

การเดินทาง : ลงสถานี Kashiharajingu-Mae Station แล้วนั่งบัสหมายเลข 18,19 หรือ Taxi

ตรงกลางของเนินเราจะเห็นกลุ่มก้อนหินขนาดใหญ่วางซ้อนทับกันอย่างน่าทึ่ง ซึ่งแท้จริงแล้วคือหลุมศพของขุนศึกผู้ทรงอำนาจนามว่า Soga no Umako บุคคลสำคัญในช่วงศตวรรษที่ 6 และเป็นต้นตระกูลของตระกูลโซกะที่มีอิทธิพลในยุคนั้น เขาคือผู้ร่วมวางรากฐานศาสนาพุทธในญี่ปุ่นร่วมกับ เจ้าชาย Shotoku หลุมศพแห่งนี้ถูกเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า “stone stage” เนื่องจากมีแผ่นหินเรียบขนาดใหญ่ปิดอยู่ด้านบนเสมือนเวที เชื่อกันว่าเป็นเวทีสำหรับการแสดงของดวงวิญญาณในโลกหลังความตาย ก้อนหินเหล่านี้มีน้ำหนักรวมกันมากถึง 140 ตัน ซึ่งน่าทึ่งไม่น้อยเมื่อคิดว่าถูกจัดวางไว้โดยปราศจากเครื่องจักรใด ๆ หากลองเดินเข้าไปใกล้ ๆ จะพบกับโพรงขนาดใหญ่ด้านใน ที่ใช้เป็นสถานที่ฝังศพของขุนศึกผู้น่าเกรงขามผู้นี้ ทั้งน่าทึ่งทั้งขลังในเวลาเดียวกัน

Okadera

จาก Ishibutai Tumulus เดินเท้ามาอีกราว 15 นาที เราก็พบกับอีกหนึ่ง Power Spot สำคัญของอาสึกะอย่าง ‘Okadera’ วัดโบราณที่ตั้งอยู่บนเนินเขา อัดแน่นไปด้วยตำนานเก่าแก่ยาวนานกว่า 1,362 ปี เล่าขานกันว่านักบวชผู้ก่อตั้งวัดได้ทำการปราบมังกรร้าย และขังมันไว้ในบ่อน้ำโดยใช้แผ่นหินปิดฝาเอาไว้ ต่อมาเมื่อมังกรสำนึกผิด จึงได้กลายมาเป็นเทพผู้พิทักษ์วัดแห่งนี้ และยังมีเรื่องเล่าว่า แผ่นหินที่ใช้ปิดบ่อจะสั่นไหวเล็กน้อยก่อนฝนตกเสมอ เสมือนเป็นสัญญาณจากธรรมชาติ

การเดินทาง : ลงสถานี Kashiharajingu-Mae Station แล้วนั่งบัสหมายเลข 18,19 หรือ Taxi

※ถ่ายทำโดยได้รับอนุญาตพิเศษ
※ถ่ายทำโดยได้รับอนุญาตพิเศษ

ภายในวัดยังมีจุดน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะงานแกะสลักไม้ใต้ชายคาประตู Nio-Mon ที่เป็นลวดลายของสัตว์ในท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงามอย่างน่าประทับใจ ส่วนองค์ประธานของวัดก็โดดเด่นไม่แพ้กัน คือพระพุทธรูปดินเผาขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นนามว่า ‘Nyoirin Kannon’ ซึ่งใช้ดินจากทั้งญี่ปุ่น จีน และอินเดีย มาปั้นขึ้นอย่างประณีต จนได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ อีกหนึ่งกิมมิกสุดน่ารักที่ห้ามพลาดคือเครื่องรางรูปทรงลูกบอลไม้ขนาดเล็ก ซึ่งเชื่อกันว่าหากตั้งจิตอธิษฐานแล้วจะทำให้คำขอนั้นเป็นจริง ด้วยความเชื่อนี้เองทำให้พระในละแวกแซวกันเล่น ๆ ว่า “โอคาเดระ” คือวัดดราก้อนบอล ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับอนิเมะชื่อดังในตำนานก็ว่าได้

※ถ่ายทำโดยได้รับอนุญาตพิเศษ
※ถ่ายทำโดยได้รับอนุญาตพิเศษ

หนึ่งในสปอตที่ดึงดูดสายตามากที่สุดเมื่อมาเยือนโอคาเดระก็คือ Three-storied Pagoda’ เจดีย์ไม้ทรงญี่ปุ่นที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้สีเขียวขจี ความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ผสานกลมกลืนกับธรรมชาติรอบตัวทำให้รู้สึกสงบและศรัทธาในเวลาเดียวกัน และตรงจุดเดียวกันก็ยังทำหน้าที่เป็นจุดชมวิวที่เปิดออกให้เราได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา พร้อมกับแนวซากุระที่แซมอยู่ทั่วบริเวณราวกับแต้มสีชมพูลงบนภาพวาด

※ถ่ายทำโดยได้รับอนุญาตพิเศษ
※ถ่ายทำโดยได้รับอนุญาตพิเศษ
※ถ่ายทำโดยได้รับอนุญาตพิเศษ
※ถ่ายทำโดยได้รับอนุญาตพิเศษ

Day 2

Yoshino

ฮิดเดนเจมส์ตัวตึงแห่งนาราและเป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมแต่ยังไม่ป็อปมากนักในหมู่คนไทย ‘Yoshino’ เดินทางจากโอซาก้าประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนเสน่ห์เอาไว้มากมาย และได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ด้วยความสำคัญทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ หุบเขาแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 30,000 ต้น ที่พร้อมใจกันผลิบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จนได้รับการยกย่องให้เป็น “สัญลักษณ์ของซากุระในญี่ปุ่น” เลยทีเดียว ความงามไม่เพียงแค่จับตา แต่ยังฝังรากลึกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาเนิ่นนานนับพันปี ปรากฏในบทกวีเก่าแก่ วรรณกรรมโบราณ และบทเพลงพื้นบ้านนับไม่ถ้วน ตลอดเส้นทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยสปอตไฮไลต์ให้เราได้หยุดชมตลอด ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าโบราณที่แฝงกลิ่นอายลึกลับ ถนนเส้นเล็กที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าท้องถิ่น ขายของฝากน่ารัก อาหารพื้นเมืองที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากภูเขาแห่งนี้ และแน่นอนคือจุดชมวิวซากุระระดับตำนานที่บอกเลยว่างดงามเกินบรรยาย

การเดินทาง : ลงสถานี Yoshino Staion

หากใครเป็นสายเดินเขา ชอบลุยไปเรื่อย ๆ แบบสโลว์ไลฟ์ ที่ Yoshino ก็มีเส้นทางให้เดินชมธรรมชาติได้แบบเต็มวัน แต่ถ้าใครอยากเที่ยวแบบชิล ๆ สบาย ๆ เหมือนเรา ขอแนะนำให้เริ่มต้นทริปด้วยการ นั่งแท็กซี่จาก Yoshino Station ตรงขึ้นมายัง ‘Hanayagura Observatory’ จุดชมวิวชื่อดังของภูเขาแห่งนี้ ที่นี่คือมุมมหาชนสำหรับชมทิวเขาที่เรียงตัวซ้อนกันอย่างนุ่มนวล พร้อมแนวบ้านเรือนบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามที่ถูกโอบล้อมด้วยต้นซากุระละลานตา ซึ่งบางต้นเริ่มผลิใบเขียวอ่อนแซมกับดอกสีชมพูอ่อนอย่างกลมกลืน แม้เราจะมาช่วงที่ดอกไม้บางต้นเริ่มร่วงโรย แต่ก็ยังคงเห็นความงดงามและเสน่ห์ของธรรมชาติได้อย่างเต็มเปี่ยม ทำให้สัมผัสได้ทันทีว่า นาราไม่เพียงแต่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมโบราณ แต่ยังอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติในระดับที่เรียกว่าอิ่มตาอิ่มใจแบบแท้จริง

จากจุดชมวิวด้านบน เราค่อย ๆ เดินลัดเลาะลงมาตามแนวเนินเขาที่โอบล้อมด้วยวิวสุดอลังการราวกับภาพวาดสีน้ำที่ละเมียดละไม ต้นซากุระขนาดใหญ่เรียงรายสองข้างทางแผ่กิ่งก้านรับแสงแดดอ่อน สร้างร่มเงาให้เราซึมซับกับบรรยากาศชวนฝันได้อย่างเต็มที่ ลมเย็นบนยอดเขาพัดเอื่อย ๆ พาให้เราเคลิ้มไปกับความสงบงามของธรรมชาติ ตลอดเส้นทางยังมีลานหญ้า ม้านั่งไม้ และจุดปิกนิกเป็นระยะ ๆ ใครที่มีแพลนมาเที่ยวแบบเต็มวัน แนะนำให้แวะซือเบนโต๊ะ ขนม เครื่องดื่มติดตัวมาสักนิด เพราะบรรยากาศเหมาะกับเทศกาลฮานามิ (เทศกาลชมซากุระสไตล์ญี่ปุ่น) เราเห็นคนญี่ปุ่นมานั่งชิลกันเต็มเลย

เดินลงเขามาเรื่อย ๆ ความสงบที่มีแต่ธรรมชาติค่อย ๆ ถูกเพิ่มเติมด้วยบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ก่อนจะครึกครื้นและจอแจด้วยเสียงคุยกันในโทนและสำเนียงพาใจฟู นั่นก็แปลว่าเราเดินมาถึงถนนใจกลางหมู่บ้าน ที่เต็มไปด้วยผู้คนเปี่ยมชีวิตชีวา มีร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ ร้านอาหาร เรียวกังเต็ม 2 ข้างทาง ส่วนใหญ่เป็นร้านของคนท้องถิ่นเอง จึงมีกลิ่นอายของความ Local อยู่มากทีเดียว โดยเฉพาะสตรีทฟู้ดแบบ Traditional เช่น ปล่าย่างถ่าน ซอฟเสิร์ฟเต้าหู้ โมจิที่มีท็อปปิงตามฤดูกาล นิคุมัง(ซาลาเปาแบบญี่ปุ่น) ฯลฯ เรียกว่าเดินไปหิวไปเพราะเขาส่งกลิ่นหอมกันแบบไม่มีใครยอมใครเลย 

สำหรับของหวานตัวเด็ดในซีซันนี้ เราขอยกให้ ‘Sakura Yokan’ หรือโยกังซากุระ ซึ่งเป็นเยลลี่สไตล์ญี่ปุ่นที่ทำจากถั่วแดง ผงวุ้น และน้ำตาล ผ่านกรรมวิธีการทำที่ละเอียดอ่อน จนเกิดเป็นรสชาติหวานละมุนที่มักใช้ทานคู่กับชามานานหลายร้อยปี ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ เมืองนาราจะจัดเสิร์ฟรสชาติซากุระเป็นพิเศษ เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของฤดูกาล ตรงฐานของโยกังจะเป็นวุ้นถั่วแดงเนื้อนุ่มหนึบหนับ ส่วนด้านบนจะเป็นวุ้นสีชมพูอ่อนที่ผสมซากุระดองเอาไว้ ทำให้ได้ทั้งกลิ่นหอมและรสอ่อน ๆ ของซากุระ ซึ่งมีความเค็มเล็กน้อยและหวานกลมกล่อม พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง!

Yoshimizu Shrine

มาต่อกันที่ศาลเจ้าซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับถนนเส้นหลักที่เราเดินเมื่อสักครู่ ‘Yoshimizu Shrine’ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยแมกไม้บนเนินเขา ยืนตระหง่านอยู่บนนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 มีสมบัติของชาติแอบซ่อนอยู่มากมายให้เราได้ค้นหา หากลองมองดี ๆ เราจะรูปปั้นน้องหมาวางอยู่ทั่ว รวมไปถึงป้ายขอพร เครื่องราง และยังเป็น dog-friendly ด้วย นั่นเป็นเพราะตำนานของจักรพรรดิ Go-Daigo ผู้เคยพำนักอยู่ที่นี่มีความผูกพันกับสุนัขมาก โดยเฉพาะในช่วงที่พระองค์ถูกเนรเทศไปยัง Yoshino จึงมีพิธีอวยพรให้สัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศาลเจ้านี้ ซึ่งในวันหยุดผู้คนก็มักจะนำสุนัขของตัวเองมาร่วมพิธีเพื่อให้น้อง ๆ มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข แค่คิดภาพก็น่ารักกจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว

ตรงลานหน้าวัดยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด นั่นคือจุดชมวิวซากุระสุดอลังการที่สวยกระแทกตาแบบจึ้งไม่ไหว กับภาพต้นซากุระที่ทอดตัวเรียงรายไปตามไหล่เขา ยาวติดต่อกันไปยังเขาลูกอื่น ๆ จนกลายเป็นภาพธรรมชาติที่ชวนตะลึงในความงาม เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิอย่างแท้จริง เพราะที่นี่ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่แรก ๆ ที่ดอกซากุระจะเริ่มบานก่อนใคร และยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่า Yoshino คือแหล่งกำเนิดของ ‘เทศกาลฮานามิ (お花見)’ เทศกาลที่ชาวญี่ปุ่นจะพร้อมใจกันเตรียมผ้า ตะกร้าอาหาร และเครื่องดื่ม ยกขบวนเมนูโปรดมานั่งสังสรรค์ใต้ต้นซากุระ ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูงในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบอบอุ่นหัวใจ ใครอยากสัมผัสประสบการณ์ชมซากุระแบบออริจินัลสุด ๆ ต้องรีบจัดทริปมาให้ได้นะ

ไม่เพียงแค่ซากุระที่งามหยดย้อย สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในนี้ก็จึ้งไม่แพ้กัน กับสถาปัตยกรรมแบบ shoin-zukuri ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น มาพร้อมกับประวัติไม่ธรรมดา เพราะเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ Go-Daigo รวมถึงเป็นที่หลบภัย และรับรองแขกบ้านแขกเมืองของบุคคลสำคัญ ทางประวัติศาสตร์อีกหลายคน มากมายจนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หากยอมจ่ายค่าเข้าเพิ่มอีก 600 เยน เราจะได้เข้าชมสมบัติล้ำค่าที่จัดแสดงอยู่ภายใน หนึ่งในไฮไลต์คือภาพวาดญี่ปุ่นโบราณที่บันทึกเทศกาลฮานามิ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่าเทศกาลชมดอกซากุระมีต้นกำเนิดจากที่นี่ นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะติดทองคำภายในห้องจักรพรรดิ, ภาพวาดของศิลปินระดับตำนานอย่าง Kanō Sansetsu และ Katsushika Hokusai รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ และเสื้อผ้าชั้นสูงที่มีความเงางามและประณีตขั้นสุด ชนิดที่หาโอกาสชมได้ยาก เรียกได้ว่ามาโลเคชันเดียว ได้ทั้งธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และศิลปะ ครบจบแบบเกินคุ้ม!

Yakko

เที่ยงนี้เราเลือกฝากท้องที่ร้าน ‘Yakko’ ร้านอาหารท้องถิ่นที่สืบทอดรสชาติและสูตรลับเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 80 ปี ตั้งแต่สมัยไทโซ โดยเน้นวัตถุดิบจากภูเขา ผสานรสสัมผัสและสีสันตามฤดูกาลออกมาได้อย่างกลมกล่อมลงตัวทุกจาน ตัวร้านมาในสไตล์ญี่ปุ่นโบราณแท้ ๆ รายละเอียดเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว แต่ละมุมชวนให้ซึมซับความเรียบง่ายและอบอุ่น โดยที่นั่งตรงเสื่อทาทามิที่เราตกหลุมรักเข้าเต็มเปา เพราะมีวิวของกิ่งซากุระใหญ่ที่ยื่นออกมาอวดดอกสีชมพูพาสเทล บนฉากหลังของผืนป่าสีเขียว ตัดกันเป็นภาพสวยละมุนละไมแบบไม่ต้องแต่งฟิลเตอร์ กินอาหารพื้นเมืองไปชมวิวนี้ไป บอกเลยว่าฟินจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้นเลยจริง ๆ

นอกจากเมนูหลักแล้ว ช่วงซากุระเขายังมีเซตอาหารให้เลือกถึง 3 แบบ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีสีชมพูผสมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเส้นโซบะ คามาโบโกะ ซากุระโมจิ ฯลฯ ส่วนเมนูที่อยากให้ลองเป็น ‘Kakinoha-zushi’ ซูชิใบพลับ อาหารท้องถิ่นอันโอชะของนารา มักกินกันในช่วงซัมเมอร์สมัยกลางเอโดะ ด้วยความที่เมืองนี้อยู่ไกลจากทะเล หากจะหมักปลาด้วยเกลือก็อาจจะทำให้มีรสชาติเค็มเกินไป และใบพลับก็เป็นสิ่งที่หาได้ทั่วไปบนภูเขาแห่งนี้ มีสรรพคุณในเรื่องการถนอมอาหาร เขาจึงน้ำปลาที่ได้มาแร่เป็นชิ้นบาง ๆ ปั้นกับข้าวหุงน้ำส้มสายชู ผสมเกลือเล็กน้อย และห่อด้วยใบพลับ ทำให้ซูชิอยู่ได้นานขึ้น แถมรสชาติยังมีความเค็ม เปรี้ยวอ่อน ๆ กลมกล่อมแบบไม่ต้องจิ้มเพิ่ม มีความหอมจากใบพลับ ไร้กลิ่นคาวปลา เป็นอาหารที่สะท้อนภูมิปัญญาอัญชาญฉลาดของคนสมัยนั้นได้ดีจริง ๆ

ก่อนจะโบกมือลาภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เราไม่ลืมที่จะพาเพื่อน ๆ เดินเล่นรอบ ๆ Yoshino Station กันก่อนสักหน่อย เพราะโซนนี้ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้จุดอื่นเลย โดยเฉพาะใครที่กำลังมองหาของฝากหรือของขวัญจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น Sakura Yokan, Yoshino Zarashi, Hanami Dango แบบย่างสด, Kuzumochi, หรือ Sakuramochi และแน่นอนว่าของหวานที่เรากำลังนั่งกินอยู่ตรงนี้ก็คือ ไอศกรีมซากุระ ท็อปด้วยโมจิที่หนึบหนับพอดีคำ หวานนุ่มละลายในปาก ฟินสุด ๆ ตบท้ายทริปได้ละมุนใจจริง ๆ แถมรอบสถานียังมีมุมถ่ายรูปน่ารักเพียบ โดยเฉพาะ ตู้ไปรษณีย์สีชมพู ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า บอกเลยว่าแค่เห็นก็อารมณ์ดีแล้ว ถ่ายรูปส่งท้ายไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ก่อนขึ้นรถไฟกลับก็ไม่เลวเลยนะ

Kintetsu ‘Blue Symphony’

ขากลับเราเปลี่ยนบรรยากาศให้พิเศษขึ้นด้วยการนั่งรถไฟชมวิวขบวน ‘Blue Symphony’ รถไฟพรีเมียมสุดหล่อที่ทั้งภายนอกและภายในออกแบบมาอย่างหรูหรา ให้ความรู้สึกราวกับนั่งฟังเพลงคลาสสิกท่ามกลางทิวทัศน์ธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่เรียงรายสองข้างทาง โดยจะวิ่งเฉพาะเส้น Osaka Abenobashi Station – Yoshino Station ใช้เวลาราว 90 นาที ที่เราจะได้ดื่มด่ำกับวิวอย่างมีสไตล์ พร้อมเลือกที่นั่งได้ 3 แบบ ได้แก่ Deluxe Seat ที่นั่งเดี่ยวหรูหรานั่งสบาย, Salon Seats โต๊ะกลางพร้อมที่นั่ง 4 คน เหมาะสำหรับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน และ Twin Seats ที่นั่งคู่โรแมนติกสำหรับสายคู่รัก ขบวนนี้ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น โดยสามารถจองผ่านเว็บไซต์ Kintetsu หรือหน้าเคาน์เตอร์ แต่หากมาในช่วง Peak Season อย่างฤดูซากุระหรือใบไม้เปลี่ยนสี แนะนำให้รีบจองไว้ล่วงหน้า เพราะเต็มไวมาก

จุดที่ทำให้เราฟินสะบัดบนรถไฟขบวนนี้คือโบกี้ที่เป็นเลานจ์ ทำออกมาได้งดงามประหนึ่งบาร์อันหรูหราสมัยต้นศตวรรษที่20 มีอาหาร ขนม เครื่องดื่ม เบียร์สด สาเกท้องถิ่น พร้อมการจัดเสิร์ฟที่สวยงาม โดยเมนูจะเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น และหาได้ตามฤดูกาล มีโต๊ะกลมให้นั่งพักผ่อนได้อย่างสบายอารมณ์ และยังมีโซนห้องสมุดเล็ก ๆ สไตล์แอนทีค เป็นมุมสงบให้เราได้อ่านหนังสือด้วย มอบประสบการณ์พรีเมียมที่สุดจะคุ้มเลย

Kneaders Cafe Bar Grill

สิ้นสุดการใช้เวลาบนรถไฟในฝันที่ Osaka Abenobashi Station จากนั้นเรามาจัดมื้อเย็นในร้าน ‘Kneaders Cafe Bar Grill’ ร้านอาหารอันแสนร่มรื่นภายในสวน Tenshiba ใจกลางเมืองโอซาก้า โดดเด่นด้วยการออกแบบสุดเท่ สไตล์ Modern Loft เน้นโทนเทา-ดำ แต่งแต้มด้วยวัสดุไม้ แซมด้วยการวางต้นไม้ตามมุมต่าง ๆ สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง สามารถเลือกโซนนั่งได้ทั้งอินดอร์ เอาท์ดอร์เทควิวซากุระได้ชิล ๆ ที่นี่เขาเน้นขายอาหารตะวันตกไม่ว่าจะเป็น แฮมเบอร์เกอร์ สปาเกตตี สเต็ก ทาปาส ฯลฯ โดยจะใช้เนื้อชั้นดีทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขนม เครื่องดื่มที่มีให้เลือกอีกมากมาย

การเดินทาง : ลงสถานี ŌSAKA-ABENOBASHI Station เดินต่ออีก 550 เมตร

แน่นอนว่าสายเนื้ออย่างเราจะต้องสั่งเป็น ‘Angus Beef Steak with Onion Sauce’ สเต็กเนื้อที่ย่างมาระดับมีเดียมแรร์ เสิร์ฟมาในกระทะร้อนฉ่าส่งกลิ่นหอมตั้งแต่แรกเจอร์ ตัวเนื้อนุ่มจุยส์ มีน้ำเนื้อฉ่ำ ๆ หอม ๆ ซึมออกมาทุกการเคี้ยว กินคู่กับซอสหัวหอมรสออกหวาน เค็ม กลมกล่อม ที่ช่วยชูรสชาติของเนื้อได้อย่างดี ส่วนเครื่องดื่มที่เข้ากับเนื้อมากที่สุดนอกจากไวน์แล้ว ต้องยกให้ Original Lemonade นี่ล่ะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ สดชื่นสุด ๆ

ด้านของหวานก็ไม่น้อยหน้าเขามีให้เลือกฉ่ำ ตัวชูโรงจะเป็นเหล่าแพนเค้กที่มีหลายทอปปิง หลายรสชาติให้เลือก เราสั่งเป็น Chocolate & Banana Pancke แป้งทรงกลมหนานุ่มที่ส่งกลิ่นเนยหอมเย้ายวน ราดด้วยซอสช็อกโกแลตโฮมเมดหวานละมุน กินตัดกับกล้วยและอัลมอนด์แล้วเพลินอย่าบอกใคร ถ้วยข้าง ๆ สำหรับคนรักสุขภาพ Berry & Berry Acai ถ้วยที่เต็มไปด้วยวิตามิน รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ เย็นชื่นใจไม่ทำลายหุ่น ชอบแบบไหนเลือกได้เลย

หวังว่าทริปอันซีน นารา ครั้งนี้จะถูกใจทุกคน โดยเฉพาะสายเที่ยวญี่ปุ่นแบบอินไซด์ที่หลงใหลในความเนิบช้า ดื่มด่ำวัฒนธรรมท้องถิ่น และธรรมชาติอันแสนยูนีก เชื่อเลยว่าใครได้มาเยือนจะได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนเมืองไหน และยิ่งเดินทางง่ายสุด ๆ ด้วย Kintetsu Rail Pass เมื่อซื้อ 2 Days Pass 1 ใบ ก็เที่ยวได้ทั้งโอซาก้า เกียวโต นารา แบบคุ้มจัดเต็ม 2 วัน สะดวกทั้งสายลุยและสายชิล เที่ยวง่าย ครบทุกฟีล เหลือแค่เพื่อน ๆ ต้องมาสัมผัสเองแล้วล่ะ!