รีวิวญี่ปุ่น :: Visit The Best Cherry Blossom Spot in NARA, Japan! – Mt. Yoshino 🇯🇵

วันเดย์ทริปกับการนั่งรถไฟจาก Osaka ไปดื่มด่ำซากุระบนภูเขาโยชิโนะ จุดเริ่มต้นของเทศกาลฮานามิในจังหวัด Nara

ถ้าถามถึงหนึ่งในเส้นทางรถไฟสายที่พาใจไปไกลกว่าปลายทาง เราจะนึกถึง Blue Symphony จาก Kintetsu เป็นอันดับแรก ๆ ขบวนพิเศษนี้ไม่ได้เพียงแค่เสิร์ฟวิวระหว่างทางงดงามชวนฝันเท่านั้น แต่ยังพาเราย้อนเวลาไปยังจุดเริ่มต้นของเทศกาลฮานามิที่ภูเขาโยชิโนะ — ที่นี่นอกจากเราจะได้อิ่มเอมกับซากุระเป็นหมื่น ๆ ต้นที่พร้อมใจกันบานสะพรั่งปกคลุมทั้งภูเขาแล้ว ยังได้ดื่มด่ำเสน่ห์ของวิถีชาวบ้านที่ผสานความเชื่อดั้งเดิมอย่างลงตัว ได้ลิ้มลองเมนูท้องถิ่นอย่าง Sakura Yokan เยลลี่สไตล์ญี่ปุ่นที่แฝงกลิ่นซากุระบางเบาราวกับฤดูใบไม้ผลิกำลังละลายในปาก และได้รับรู้เรื่องเล่าเก่าแก่กว่า 1,300 ปี ที่ทำให้ซากุระไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘ดอกไม้สวย’ แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ชั่วขณะ และการเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิของชาวญี่ปุ่น

เดย์ทริปครั้งนี้เราเลือกนั่งรถไฟเพื่อการท่องเที่ยว ‘Blue Symphony’ จาก Kintetsu รถไฟพรีเมียมสุดหล่อที่ทั้งภายนอกและภายในออกแบบมาอย่างหรูหรา ให้ความรู้สึกราวกับนั่งฟังเพลงคลาสสิกท่ามกลางทิวทัศน์ธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่เรียงรายสองข้างทาง โดยจะวิ่งเฉพาะเส้น Osaka Abenobashi Station – Yoshino Station ใช้เวลาราว 90 นาที ที่เราจะได้ดื่มด่ำกับวิวอย่างมีสไตล์ พร้อมเลือกที่นั่งได้ 3 แบบ ได้แก่ Deluxe Seat ที่นั่งเดี่ยวหรูหรานั่งสบาย, Salon Seats โต๊ะกลางพร้อมที่นั่ง 4 คน เหมาะสำหรับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน และ Twin Seats ที่นั่งคู่โรแมนติกสำหรับสายคู่รัก ขบวนนี้ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น โดยสามารถจองผ่านเว็บไซต์ Kintetsu หรือหน้าเคาน์เตอร์ แต่หากมาในช่วง Peak Season อย่างฤดูซากุระหรือใบไม้เปลี่ยนสี แนะนำให้รีบจองไว้เลย เพราะเต็มไวมาก รายละเอียดเพิ่มเติม :: https://www.kintetsu.co.jp/foreign/english/blue_symphony/

จุดที่ทำให้เราฟินสะบัดบนรถไฟขบวนนี้คือโบกี้ที่เป็นเลานจ์ ทำออกมาได้งดงามประหนึ่งบาร์อันหรูหราสมัยต้นศตวรรษที่20 มีอาหาร ขนม เครื่องดื่ม เบียร์สด สาเกท้องถิ่น พร้อมการจัดเสิร์ฟที่สวยงาม โดยเมนูจะเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น และหาได้ตามฤดูกาล มีโต๊ะกลมให้นั่งพักผ่อนได้อย่างสบายอารมณ์ และยังมีโซนห้องสมุดเล็ก ๆ สไตล์แอนทีค เป็นมุมสงบให้เราได้อ่านหนังสือด้วย มอบประสบการณ์พรีเมียมที่สุดจะคุ้มเลย

Yoshino

‘Yoshino’ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนเสน่ห์เอาไว้มากมาย และได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ด้วยความสำคัญทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ หุบเขาแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 30,000 ต้น ที่พร้อมใจกันผลิบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จนได้รับการยกย่องให้เป็น “สัญลักษณ์ของซากุระในญี่ปุ่น” เลยทีเดียว ความงามไม่เพียงแค่จับตา แต่ยังฝังรากลึกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาเนิ่นนานนับพันปี ปรากฏในบทกวีเก่าแก่ วรรณกรรมโบราณ และบทเพลงพื้นบ้านนับไม่ถ้วน ตลอดเส้นทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยสปอตไฮไลต์ให้เราได้หยุดชมตลอด ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าโบราณที่แฝงกลิ่นอายลึกลับ ถนนเส้นเล็กที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าท้องถิ่น ขายของฝากน่ารัก อาหารพื้นเมืองที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากภูเขาแห่งนี้ และแน่นอนคือจุดชมวิวซากุระระดับตำนานที่บอกเลยว่างดงามเกินบรรยาย

Hanayagura Observatory

หากใครเป็นสายเดินเขา ชอบลุยไปเรื่อย ๆ แบบสโลว์ไลฟ์ ที่นี่ก็มีเส้นทางให้เดินชมธรรมชาติได้แบบเต็มวัน แต่ถ้าใครอยากเที่ยวแบบชิล ๆ สบาย ๆ เหมือนเรา ขอแนะนำให้เริ่มต้นทริปด้วยการ นั่งแท็กซี่จาก Yoshino Station ตรงขึ้นมายัง ‘Hanayagura Observatory’ จุดชมวิวชื่อดังของภูเขาแห่งนี้ ที่นี่คือมุมมหาชนสำหรับชมทิวเขาที่เรียงตัวซ้อนกันอย่างนุ่มนวล พร้อมแนวบ้านเรือนบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามที่ถูกโอบล้อมด้วยต้นซากุระละลานตา ซึ่งบางต้นเริ่มผลิใบเขียวอ่อนแซมกับดอกสีชมพูอ่อนอย่างกลมกลืน แม้เราจะมาช่วงที่ดอกไม้บางต้นเริ่มร่วงโรย แต่ก็ยังคงเห็นความงดงามและเสน่ห์ของธรรมชาติได้อย่างเต็มเปี่ยม ทำให้สัมผัสได้ทันทีว่า นาราไม่เพียงแต่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมโบราณ แต่ยังอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติในระดับที่เรียกว่าอิ่มตาอิ่มใจแบบแท้จริง

จากจุดชมวิวด้านบน เราค่อย ๆ เดินลัดเลาะลงมาตามแนวเนินเขาที่โอบล้อมด้วยวิวสุดอลังการราวกับภาพวาดสีน้ำที่ละเมียดละไม ต้นซากุระขนาดใหญ่เรียงรายสองข้างทางแผ่กิ่งก้านรับแสงแดดอ่อน สร้างร่มเงาให้เราซึมซับกับบรรยากาศชวนฝันได้อย่างเต็มที่ ลมเย็นบนยอดเขาพัดเอื่อย ๆ พาให้เราเคลิ้มไปกับความสงบงามของธรรมชาติ ตลอดเส้นทางยังมีลานหญ้า ม้านั่งไม้ และจุดปิกนิกเป็นระยะ ๆ ใครที่มีแพลนมาเที่ยวแบบเต็มวัน แนะนำให้แวะซือเบนโต๊ะ ขนม เครื่องดื่มติดตัวมาสักนิด เพราะบรรยากาศเหมาะกับเทศกาลฮานามิ (เทศกาลชมซากุระสไตล์ญี่ปุ่น) เราเห็นคนญี่ปุ่นมานั่งชิลกันเต็มเลย

เดินลงเขามาเรื่อย ๆ ความสงบที่มีแต่ธรรมชาติค่อย ๆ ถูกเพิ่มเติมด้วยบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ก่อนจะครึกครื้นและจอแจด้วยเสียงคุยกันในโทนและสำเนียงพาใจฟู นั่นก็แปลว่าเราเดินมาถึงถนนใจกลางหมู่บ้าน ที่เต็มไปด้วยผู้คนเปี่ยมชีวิตชีวา มีร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ ร้านอาหาร เรียวกังเต็ม 2 ข้างทาง ส่วนใหญ่เป็นร้านของคนท้องถิ่นเอง จึงมีกลิ่นอายของความ Local อยู่มากทีเดียว โดยเฉพาะสตรีทฟู้ดแบบ Traditional เช่น ปล่าย่างถ่าน ซอฟเสิร์ฟเต้าหู้ โมจิที่มีท็อปปิงตามฤดูกาล นิคุมัง(ซาลาเปาแบบญี่ปุ่น) ฯลฯ เรียกว่าเดินไปหิวไปเพราะเขาส่งกลิ่นหอมกันแบบไม่มีใครยอมใครเลย 

สำหรับของหวานตัวเด็ดในซีซันนี้ เราขอยกให้ ‘Sakura Yokan’ หรือโยกังซากุระ ซึ่งเป็นเยลลี่สไตล์ญี่ปุ่นที่ทำจากถั่วแดง ผงวุ้น และน้ำตาล ผ่านกรรมวิธีการทำที่ละเอียดอ่อน จนเกิดเป็นรสชาติหวานละมุนที่มักใช้ทานคู่กับชามานานหลายร้อยปี ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ เมืองนาราจะจัดเสิร์ฟรสชาติซากุระเป็นพิเศษ เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของฤดูกาล ตรงฐานของโยกังจะเป็นวุ้นถั่วแดงเนื้อนุ่มหนึบหนับ ส่วนด้านบนจะเป็นวุ้นสีชมพูอ่อนที่ผสมซากุระดองเอาไว้ ทำให้ได้ทั้งกลิ่นหอมและรสอ่อน ๆ ของซากุระ ซึ่งมีความเค็มเล็กน้อยและหวานกลมกล่อม พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง!

Yoshimizu Shrine

มาต่อกันที่ศาลเจ้าซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับถนนเส้นหลักที่เราเดินเมื่อสักครู่ ‘Yoshimizu Shrine’ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยแมกไม้บนเนินเขา ยืนตระหง่านอยู่บนนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 มีสมบัติของชาติแอบซ่อนอยู่มากมายให้เราได้ค้นหา หากลองมองดี ๆ เราจะรูปปั้นน้องหมาวางอยู่ทั่ว รวมไปถึงป้ายขอพร เครื่องราง และยังเป็น dog-friendly ด้วย นั่นเป็นเพราะตำนานของจักรพรรดิ Go-Daigo ผู้เคยพำนักอยู่ที่นี่มีความผูกพันกับสุนัขมาก โดยเฉพาะในช่วงที่พระองค์ถูกเนรเทศไปยัง Yoshino จึงมีพิธีอวยพรให้สัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศาลเจ้านี้ ซึ่งในวันหยุดผู้คนก็มักจะนำสุนัขของตัวเองมาร่วมพิธีเพื่อให้น้อง ๆ มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข แค่คิดภาพก็น่ารักกจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว

ตรงลานหน้าวัดยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด นั่นคือจุดชมวิวซากุระสุดอลังการที่สวยกระแทกตาแบบจึ้งไม่ไหว กับภาพต้นซากุระที่ทอดตัวเรียงรายไปตามไหล่เขา ยาวติดต่อกันไปยังเขาลูกอื่น ๆ จนกลายเป็นภาพธรรมชาติที่ชวนตะลึงในความงาม เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิอย่างแท้จริง เพราะที่นี่ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่แรก ๆ ที่ดอกซากุระจะเริ่มบานก่อนใคร และยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่า Yoshino คือแหล่งกำเนิดของ ‘เทศกาลฮานามิ (お花見)’ เทศกาลที่ชาวญี่ปุ่นจะพร้อมใจกันเตรียมผ้า ตะกร้าอาหาร และเครื่องดื่ม ยกขบวนเมนูโปรดมานั่งสังสรรค์ใต้ต้นซากุระ ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูงในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบอบอุ่นหัวใจ ใครอยากสัมผัสประสบการณ์ชมซากุระแบบออริจินัลสุด ๆ ต้องรีบจัดทริปมาให้ได้นะ

ไม่เพียงแค่ซากุระที่งามหยดย้อย  สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในนี้ก็จึ้งไม่แพ้กัน กับสถาปัตยกรรมแบบ shoin-zukuri ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น มาพร้อมกับประวัติไม่ธรรมดา เพราะเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ Go-Daigo รวมถึงเป็นที่หลบภัย และรับรองแขกบ้านแขกเมืองของบุคคลสำคัญ ทางประวัติศาสตร์อีกหลายคน มากมายจนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หากยอมจ่ายค่าเข้าเพิ่มอีก 600 เยน เราจะได้เข้าชมสมบัติล้ำค่าที่จัดแสดงอยู่ภายใน หนึ่งในไฮไลต์คือภาพวาดญี่ปุ่นโบราณที่บันทึกเทศกาลฮานามิ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่าเทศกาลชมดอกซากุระมีต้นกำเนิดจากที่นี่ นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะติดทองคำภายในห้องจักรพรรดิ, ภาพวาดของศิลปินระดับตำนานอย่าง Kanō Sansetsu และ Katsushika Hokusai รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ และเสื้อผ้าชั้นสูงที่มีความเงางามและประณีตขั้นสุด ชนิดที่หาโอกาสชมได้ยาก เรียกได้ว่ามาโลเคชันเดียว ได้ทั้งธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และศิลปะ ครบจบแบบเกินคุ้ม!

Yakko

เราฝากท้องก่อนกลับโอซาก้าที่ ‘Yakko’ ร้านอาหารท้องถิ่นที่สืบทอดรสชาติและสูตรลับเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 80 ปี ตั้งแต่สมัยไทโซ โดยเน้นวัตถุดิบจากภูเขา ผสานรสสัมผัสและสีสันตามฤดูกาลออกมาได้อย่างกลมกล่อมลงตัวทุกจาน ตัวร้านมาในสไตล์ญี่ปุ่นโบราณแท้ ๆ รายละเอียดเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว แต่ละมุมชวนให้ซึมซับความเรียบง่ายและอบอุ่น โดยที่นั่งตรงเสื่อทาทามิที่เราตกหลุมรักเข้าเต็มเปา เพราะมีวิวของกิ่งซากุระใหญ่ที่ยื่นออกมาอวดดอกสีชมพูพาสเทล บนฉากหลังของผืนป่าสีเขียว ตัดกันเป็นภาพสวยละมุนละไมแบบไม่ต้องแต่งฟิลเตอร์ กินอาหารพื้นเมืองไปชมวิวนี้ไป บอกเลยว่าฟินจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้นเลยจริง ๆ

นอกจากเมนูหลักแล้ว ช่วงซากุระเขายังมีเซตอาหารให้เลือกถึง 3 แบบ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีสีชมพูผสมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเส้นโซบะ คามาโบโกะ ซากุระโมจิ ฯลฯ ส่วนเมนูที่อยากให้ลองเป็น ‘Kakinoha-zushi’ ซูชิใบพลับ อาหารท้องถิ่นอันโอชะของนารา มักกินกันในช่วงซัมเมอร์สมัยกลางเอโดะ ด้วยความที่เมืองนี้อยู่ไกลจากทะเล หากจะหมักปลาด้วยเกลือก็อาจจะทำให้มีรสชาติเค็มเกินไป และใบพลับก็เป็นสิ่งที่หาได้ทั่วไปบนภูเขาแห่งนี้ มีสรรพคุณในเรื่องการถนอมอาหาร เขาจึงน้ำปลาที่ได้มาแร่เป็นชิ้นบาง ๆ ปั้นกับข้าวหุงน้ำส้มสายชู ผสมเกลือเล็กน้อย และห่อด้วยใบพลับ ทำให้ซูชิอยู่ได้นานขึ้น แถมรสชาติยังมีความเค็ม เปรี้ยวอ่อน ๆ กลมกล่อมแบบไม่ต้องจิ้มเพิ่ม มีความหอมจากใบพลับ ไร้กลิ่นคาวปลา เป็นอาหารที่สะท้อนภูมิปัญญาอัญชาญฉลาดของคนสมัยนั้นได้ดีจริง ๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความประทับใจในเดย์ทริปสุดยูนีกจากภูเขาโยชิโนะ จังหวัดนารา สถานที่ที่มอบมุมสงบแสนอบอุ่นของญี่ปุ่นได้อย่างน่าจดจำ ทั้งเรื่องเล่า วัฒนธรรม และธรรมชาติอันงดงาม ตั้งแต่ซากุระบานละลานตา ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์กลางหุบเขา ไปจนถึงอาหารท้องถิ่นรสละมุนพร้อมวิวแสนละไม เหมาะสำหรับใครที่อยากพักใจจากโอซาก้า มาสัมผัสญี่ปุ่นอีกด้านที่เรียบง่ายแต่น่าหลงรักไม่แพ้ที่ไหนเลย