แพลนเที่ยว 6 วัน 5 คืน ในแดนมังกรรอบนี้ เราขอพาทุกคนบินตรงไปลงยัง 𝐊𝐮𝐧𝐦𝐢𝐧𝐠 เพื่อดื่มด่ำรูทที่จะมาช่วยฮีลใจเราได้แบบคาดไม่ถึง กับเส้นทางแห่งอารยธรรมยูนนาน-กุ้ยโจว ที่เก็บทุกความว้าวไว้แน่นตลอดเส้นทาง
การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่ คุนหมิง เมืองหลักของยูนนาน ก่อนพาออกเดินทางในรูทที่หลายคนไม่คุ้นตา ข้ามมณฑลสู่โลกใบใหม่ ตะลุยความอลังการของทุ่งดอกไม้ละลานตาและซากุระกว่า 300,000 ต้น ยลน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ชมพื้นที่ขุดค้นฟอสซิลที่เก็บความลับของโลกยุคดึกดำบรรพ์ไว้ใต้ผืนดิน พร้อมพาตะลุยป่ายอดภูผาที่ทอดยาวสุดสายตาจนได้ขึ้นเป็นที่เที่ยวระดับ 4A ปิดท้ายด้วยการสัมผัสวิถีชนเผ่าพื้นเมืองที่ยังคงหายใจไปพร้อมกับผืนป่าอย่างกลมกลืนมานับพันปี ทริปนี้คือการเที่ยวจีนแบบฟีลกู้ดระดับมาสเตอร์พีซ ปิดฤดูใบไม้ผลิปีนี้ได้อย่างมีสไตล์ และกลายเป็นแรงกระเพื่อมให้ใครหลายคนต้องตีตั๋วมาเริ่มรูทในฝันที่คุนหมิงตามรอยกันในปีต่อ ๆ ไปอย่างแน่นอน





ทริปนี้เรามุ่งหน้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่กับ การบินไทย สายการบิน Full Service ที่ให้บริการอยู่เคียงข้างคนไทยมากว่า 65 ปี โดยเส้นทาง กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – คุนหมิง มีบินตรงทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน
ขาไป TG612 > BKK 10:45 – KMG 14:00
ขากลับ TG613 > KMG 15:20 – BKK 16:30
ใช้เครื่องบิน AIRBUS A330-300 ลำใหญ่เบาะกว้างนั่งสบาย บริการครบครันทั้งอาหารร้อน เครื่องดื่ม และสื่อบันเทิงตลอดไฟลต์ เรียกว่า 2 ชั่วโมงบนฟ้าผ่านไปแบบเพลิน ๆ จนแทบไม่อยากให้เครื่องลงเลยทีเดียว




Day 1
01 Kunming Botanical Garden
พิกัดแรกหลังแลนด์ช่วงบ่ายแก่ ๆ เราแวะมาเช็กอินที่ ‘Kunming Botanical Garden (KBG)’ สวนพฤกษศาสตร์เก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 84 ปี ครอบคลุมพื้นที่กว่า 44 เฮกเตอร์ จึงมีทางเข้าหลายด้านรอบสวน เราเลือกเข้าทางฝั่ง East Gate เพื่อชมโซนพืชหายาก บางชนิดใกล้สูญพันธุ์ รวมถึงพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นที่เติบโตเคียงข้างเทือกเขาเหิงตวนและที่ราบสูงยูนนานมาหลายร้อยปี ความหลากหลายทางธรรมชาติทำให้ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันและความงามของพรรณไม้ แถมยังโดดเด่นด้านงานวิจัย โดยจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ได้กว่า 100 ชนิด มีผลงานตีพิมพ์และสิ่งประดิษฐ์ทางพฤกษศาสตร์มากมาย แถมยังเป็นศูนย์ฝึกอบรมระดับสูงด้านการจัดสวนและภูมิทัศน์อีกด้วย แค่พิกัดแรกก็รู้สึกว่าว้าวกว่าที่คิดไว้เยอะเลย



ที่นี่ถูกแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ อย่างเป็นสัดส่วน แต่ไฮไลต์ของฤดูใบไม้ผลิคงหนีไม่พ้นโซน Camellia ดอกไม้เมืองหนาวที่เรียกได้ว่าเป็นราชินีแห่งสวน ด้วยจำนวนกว่า 10,000 ต้น จากหลากหลายสายพันธุ์นับร้อย และยังเป็นโซนที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดของที่นี่อีกด้วย ช่วงที่ดอกคามิเลียเบ่งบานเต็มที่ กลีบดอกซ้อนกันแน่นราวกับกระโปรงเจ้าหญิงพริ้วไหวในเทพนิยาย แค่มองก็รู้สึกนุ่มนวลละมุนไปหมด เสียดายที่เราแวะมาช่วงท้ายซีซัน ดอกเลยร่วงไปพอสมควร ถ้ามาประมาณปลายกุมภาฯ คงได้เห็นสวนทั้งผืนหวานละมุนไปด้วยเฉดชมพูแบบละลายใจแน่นอน นอกจากนี้ยังมีโซนกุหลาบสุดคลาสสิก เรือนกระจกไม้เมืองร้อน โซนไม้เลื้อยในซุ้ม และสวนเฟิร์นร่มรื่น เหมาะกับคนรักต้นไม้สุดหัวใจ อยู่ได้ทั้งวันแบบไม่รู้เบื่อเลยจริง ๆ




Day 2
02 Luoping Canola Flower Fields หรือ Mustard Field Luoping
เช้าวันที่สองเรารีบพุ่งตัวออกมายัง ‘Luoping Canola Flower Fields’ ทุ่งดอกไม้สีเหลืองสดที่ตั้งอยู่ภายใน Luoping Biota National Geopark เมืองฉวี่จิ่ง (Qujing) ห่างจากคุนหมิงประมาณ 240 กิโลเมตร ที่นี่เป็นหนึ่งในอุทยานธรณีวิทยาที่สำคัญของจีน เคยมีการค้นพบฟอสซิลสัตว์ทะเลจากยุคไทรแอสซิกตอนกลางเมื่อราว 18 ปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่างปลาและสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กนับพันตัว ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบถูกใช้เป็นแหล่งเกษตรกรรมดั้งเดิมของต้น Rapeseed พืชในตระกูลเดียวกับ Mustard ซึ่งนิยมนำเมล็ดมาสกัดเป็น Canola Oil หนึ่งในน้ำมันพืชที่ดีต่อสุขภาพที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีไขมันไม่อิ่มตัวสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอล แถมยอดอ่อนยังนำไปประกอบอาหารได้ด้วย และในช่วงกลางกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ทั้งทุ่งจะบานสะพรั่งกลายเป็นผืนสีเหลืองสว่างตัดกับภูเขารอบด้าน งดงามราวกับทะเลดอกไม้ที่เคลื่อนไหวได้ นี่แหละคือเหตุผลที่ใครต่อใคร รวมถึงเราเอง ต่างเลือกมาเยือนและเก็บภาพไว้ในความทรงจำ





ไฮไลต์ของที่นี่คือการนั่งรถรางที่ออกแบบเป็นรถไฟสีแดงทรงคลาสสิกวิ่งวนพาเราดื่มด่ำกับความสวยงามท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย พร้อมภูเขาลูกใหญ่ยืนโดดเด่นกระจัดกระจาย เบื้องล่างถูกอาบไปด้วยดอกคาโนล่าซึ่งคนจีนเรียกว่า ดอกอิ๊วไช่ฮัว ทอดยาวประหนึ่งโลกแห่งดอกไม้ที่ไร้พรมแดน มีทางเดินคดโค้งให้เราไปร่วมเฟรม รอบข้างเต็มไปด้วยความสงบราวกับเวลาถูกสะกดให้หยุดนิ่ง เป็นกิมมิกที่ถ่ายรูปตัดกับความอลังการของทุ่งดอกคาโนล่ารอบด้านได้อย่างน่ารัก นอกจากนั่งรถรางแล้ว เขายังมีรถกอล์ฟให้เรานั่งตามล่าหาสปอตถ่ายรูปได้อย่างอิสระด้วย ชอบแบบไหนเลือกได้เลย






03 Fenglin Buyi Ancient Town
ดูความยิ่งใหญ่แห่งสีสันจากธรรมชาติไปแล้ว เราขอพาทุกคนดำดิ่งสู่มิติของวัฒนธรรมโบราณกันต่อที่‘Fenglin Buyi Ancient Town’ หรือเมืองโบราณเฟิงหลินปู้อี้ ในมณฑลกุ้ยโจว เมืองที่แอบซ่อนตัวเงียบ ๆ อยู่กลางหุบเขา แม้จะถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่กลับสะท้อนกลิ่นอายวิถีชีวิตของชาว ปู้อี้ หนึ่งในชนกลุ่มน้อยที่มีประวัติยาวนานที่สุดในจีนได้อย่างแนบเนียนทุกอณู ไม่ว่าจะเป็นเรือนไม้โบราณหลายร้อยหลังที่เรียงรายล้อมรอบแอ่งน้ำ ตามตำราฮวงจุ้ยโบราณที่เชื่อว่าการตั้งถิ่นฐานแบบนี้จะเกื้อหนุนชีวิตให้มั่นคงและร่มเย็น มีทั้งบ้านเรือนแบบดั้งเดิม เจดีย์ หอชมวิว สะพานหิน บันไดหินกลางน้ำ และถนนคนเดินสุดครึกครื้นที่ไต่ขึ้นไปตามแนวเนินเขา ทุกจุดมีเสน่ห์เฉพาะตัว และยังมีน้ำตกเล็ก ๆ ที่ทำให้เมืองนี้เหมือนหลุดออกมาจากฉากภาพยนตร์ย้อนยุค ที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังมีชีวิต มีจังหวะหายใจของตัวเอง จนเราเผลอใช้เวลากับที่นี่นานกว่าที่คิด




สิ่งที่เห็นแล้วต้องเหลียวหลังแบบไม่ได้นัดหมาย เราขอยกให้กับบรรดาชุดชนเผ่าจีนสุดงดงามที่หาชมได้ยาก โดยเฉพาะร้านเช่าชุดที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเมือง มี พส. คนสวยในชุดประจำเผ่าคอยโบกมือเรียกลูกค้าอย่างเป็นมิตร พร้อมชวนเราก้าวเข้าสู่โลกของสาวชาวปู้อี้แบบเต็มตัว แค่ลองจินตนาการว่าได้สวมชุดชนเผ่าเดินทอดน่องไปบนทางเดินหินโบราณของเมือง แสงแดดสาดผ่านเจดีย์ไม้และม่านไอจากน้ำตกเบื้องหลัง ภาพที่ออกมาจะงดงามแค่ไหนก็พอเดาได้เลย! สำหรับใครที่มองหาของฝาก ของที่นี่ก็ไม่ธรรมดา เพราะมีงานศิลปหัตถกรรมพื้นถิ่นอย่างผ้าบาติก งานสลัก และของประดับที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ส่วนสายคาเฟ่ก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะเขายังมีคาเฟ่สไตล์ Chinese Modern ที่ตกแต่งได้เก๋ไก๋แบบเป๊ะทุกดีเทล ให้เราได้ฮอปปิงกันแบบ non-stop เป็นเมืองที่ผสมความคลาสสิกของวัฒนธรรมเข้ากับกลิ่นอายสมัยใหม่ได้อย่างมีสไตล์และลงตัวสุด ๆ





เอาล่ะ.. มาถึงสปอตถ่ายรูปที่เราเอามาเป็น example ให้ทุกคนได้ชม เหมือนเขาจัดวางความเหลื่อมของอาคาร จัดองศาทุกมุมถนนแบบกวาดกล้องไปทางไหนก็กดชัตเตอร์ถ่ายได้เลยจริง ๆ ไม่ว่าจะเดินอยู่บนอาคาร ถ่ายรูปออกมาก็เจอทางเดินหินเชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งของหมู่บ้าน มีน้ำตกช่วยสร้างมิติให้ภาพดูยิ่งใหญ่ หรือจะสะพานหินวงพระจันทร์ สวยงามทั้งยามกลางวันที่ดูแข็งแรงน่าเกรงขาม และยามกลางคืนที่จะมีไฟสะท้อนเกิดเป็นวงกลมสว่างไสวราวจันทร์เต็มดวง ไหนจะเหล่าปลาคาร์ปที่ว่ายเวียนมาเจ๊าะแจ๊ะขออาหารสร้างสีสันให้เมืองนี้มีชีวิตชีวาอีกหลายร้อยเท่า เที่ยวเพลินจนลืมเวลาไปเลย




เดินลัดเลาะตามอาคารไปสักพักจนพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ลาลับเขาไปแบบไม่รู้ตัว จากนั้นทั้งเมืองก็ถูกอาบไปด้วยความอบอุ่นของไฟส้ม เปล่งประกายดั่งขุมทรัพย์กองพะเนินที่แอบซ่อนอยู่ในหุบเขา สร้างแสงเงาไล่เฉดไปตามผนัง จนเห็นเท็กซ์เจอร์ของพื้นผิว มีภาพสะท้อนน้ำของเมืองที่สั่นไหวอย่างงงดงาม พร้อมบรรยากาศค่ำคืนที่ครึกครื้นอย่างกับว่าที่นี่ไม่เคยหลับใหล เรียกว่าเป็นการแสดงไฟที่ไม่น้อยหน้าหมู่บ้านโบราณไหน ๆ เลย



Day 3
04 Wanfenglin Scenic Area
มาพบกับมหัศจรรย์ธรรมชาติกันต่อที่ ‘Wanfenglin Scenic Area’ ณ เมืองชิงอี๋ มณฑลกุ้ยโจว มีดีกรีความสวยความมั่นด้วยการถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 5 วิวป่ายอดภูผาที่สวยที่สุดในจีน และถือเป็นป่ายอดผูผาที่ใหญ่ที่สุดในจีน ด้วยขนาดพี้นที่ 2,000 ตร.กม. ทัศนียภาพนั้นเต็มไปด้วยภูเขาหินรูปกรวยหลากหลายฟอร์มพร้อมใจกันยืนอวดโฉมถึง 20,000 ยอด เยอะมากที่สุดในโลก จึงเรียกได้ว่าเป็นโลเคชันที่มีแต่ความ ‘ที่สุด!!’ แถมยังเหมาะแก่การท่องเที่ยวตลอดทั้งปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 16-18 องศาเซลเซียส ไม่มีหนาวจัด ร้อนจัด อย่างหน้าร้อนอยู่ที่ 21-26 องศาเซลเซียสเท่านั้น ทำให้ธรรมชาติรอบ ๆ ดูอุดมสมบูรณ์ เขียวสบายตาแทบตลอดเวลา จนได้จัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนานาชาติระดับ AAAA






เรื่องการเที่ยวในอุทยานแห่งนี้บอกเลยว่าง่ายมาก เพราะเขามีรถวนพาเที่ยวรอบ ๆ ชอบสปอตไหนก็ลงไปเดินถ่ายรูปได้ชิล ๆ แล้วค่อยรอรถรอบต่อไปมารับ หรือถ้ามีเวลาหน่อยจะเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ติด เราเริ่มเที่ยวจากเส้นขึ้นเขา ‘Ten Thousand Peaks Forest’ พระเอกประจำถิ่น จุดชมวิวป่าหมื่นยอดที่ตั้งเรียงกันเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นวิวที่สวยรองมาจาก Guilin และ Zhangjiajie อันโด่งดัง ที่นี่เต็มไปด้วยข้อมูลทางธรณีวิทยาสมัยดึกดำบรรพ์ที่สำคัญ ด้วยโครงสร้างแบบคาสต์ (Karst) มีหินของยุคไทรแอสซิก มีถ้ำ หลุมยุบที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและการกัดเซาะของธรรมชาติหลายล้านปี หากมาช่วงเช้า หลังฝนตกยังมีโอกาสได้เจอกับทะเลหมอกที่ปกคลุมยอดเขาด้วย ใครมีแต้มบุญก็ช่วยเอาภาพมาฝากกันหน่อยนะ





ด้านวัฒนธรรมของที่นี่ก็จึ้งไม่แพ้กัน มีประวัติยาวนานกว่า 1,000 ปีของคนชนเผ่า หนึ่งในน้ันคือชาวปู้อี ณ ‘Buyi Villages’ เราได้รับการต้อนรับอย่างดีด้วยภาพลักษณ์หมู่บ้านในอุดมคติ ไม่ว่าจะเป็นบ้านดินหลังคาไม้แสนคลาสสิก ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ดุจเมืองอนุรักษ์ มีวิถีชีวิตดั้งเดิมให้เราได้ชมตั้งแต่เครื่องแต่งกาย การทอผ้า การทำเกษตรกรรมที่มีทั้งนาขั้นบันได ทุ่งดอกคาโนล่า ที่คอยย้อมหมู่บ้านให้สดชื่นไปด้วยสีเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สร้างไวบ์ความสดใสด้วยภาพเพนต์กราฟฟิกสุดคิวต์ตามตึก มีตัวการ์ตูนรูปสัตว์ต่าง ๆ วางตกแต่งอยู่ตามทุ่งดอกไม้ พร้อมเส้นทางขี่จักรยานให้เราขับชมอย่างสบายอารมณ์ ออ แล้วยังแอบมีคาเฟ่ให้เรานั่งจิบด้วยนะ เอาไปเลย 10 10 10






05 Jilong Castle Country Club
พิกัดที่อยู่ดี ๆ ก็ได้วาร์ปจากจีนไปยุโรป ‘Jilong Castle Country Club’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Jilongbao Resort ปราสาทอันโอ่อ่าชูตัวอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ Wanfeng ที่ตั้งโดดเดียวท่ามกลางธรรมชาติเขียวชอุ่ม มีสะพานข้ามจากแผ่นดินใหญ่สู่เกาะ ประหนึ่งหลุดมาจากเทพนิยาย ที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Bavarian Neuschwanstein Castle ของประเทศเยอรมัน ตั้งใจสร้างให้เป็นโรงแรม 4 ดาว มีอายุราว ๆ 14 ปีมาแล้ว ถูกตกแต่งให้ดูลักชูทั้งภายนอกและภายในจนมีสมญานามว่า ‘ปราสาทเทพนิยายแห่งจีน’ แถมยังเป็นปราสาทที่มีความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้พลังงานน้ำในการผลิตไฟฟ้าใช้เอง ใครอยากมีภาพฟีลยุโรปแต่เดินทางไม่กี่ชั่วโมงก็มาเช็กอินที่นี่ได้เลย


เมื่อเดินเข้ามาด้านใน เราถึงกับตาวาวไปกับการตกแต่งที่เขาถอดแบบปราสาททรงตะวันตกมาได้แบบเป๊ะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสาโรมัน ประดับตกแต่งด้วยงานสลักปิดทอง พร้อมภาพวาดโรมันของเหล่าทวยเทพ ไปจนถึงห้องจัดแสดงเสื้อเกราะ อาวุธ ของนักรบสมัยก่อน ให้ฟีลเหมือนเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์หลุดเข้ามาในปราสาทเจ้าชายยังไงอย่างนั้น แล้วถ้าใครคิดว่าที่นี่จะขายห้องแบบราคาเกินเอื้อม.. บอกเลยว่าคิดผิด!! เพราะเขาขายที่ราคาเริ่มต้น 40 USD ต่อคืนเท่านั้นเองจ้ะ




Day 4
06 Huangguoshu National Park
ยังคงอยู่ในมณฑลกุ้ยโจว กับอีกหนึ่ง ‘ที่สุด’ ของจีนที่คุณไม่ควรพลาดที่ ‘Huangguoshu National Park’ อุทยานที่เต็มไปด้วยภูมิประเทศแบบคาสต์ (Karst) ซึ่งเกิดจากการกัดกร่อนหินปูนของน้ำใต้ดินมาอย่างยาวนานจนเกิดหลุมยุบและภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตา ผลลัพธ์ที่ได้คือวิวที่สวยงามราวกับภาพวาดจีนโบราณที่ถ่ายทอดจากธรรมชาติสู่สายตาเรา ในที่นี้ยังมีน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย! ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูงและอากาศบริสุทธิ์ที่หายาก เชื่อเลยว่าที่นี่คือสถานที่ที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนหลุดออกจากโลกปัจจุบันไปสัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีชนเผ่าแม้วและชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่รอบ ๆ อุทยาน ที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและการแต่งกายที่คุณจะได้เห็นเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร บอกเลยว่าถ้ามาที่นี่ คุณจะได้ทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมที่แสนจะหลากหลายอย่างเต็มที่

ไฮไลต์ที่ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต้องไม่พลาดเมื่อมาเยือนคือ ‘น้ำตกหวงกั่วซู่ (Huangguoshu Waterfall)’ ชื่อนี้มาจากต้นหวงกั่ว ต้นส้มสีเหลืองที่ขึ้นรอบ ๆ ซึ่งถือเป็นน้ำตกใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย! ด้วยความกว้างกว่า 101 เมตร และความสูงถึง 77.8 เมตร เมื่อได้เห็นด้วยตาเปล่าจริง ๆ เราจะเข้าใจทันทีว่านี่คือน้ำตกตัวพ่อที่ใคร ๆ ก็ต้องทึ่ง เส้นน้ำที่ไหลบ่ารุนแรงจนเกิดเป็นสายสีขาวนวลเหมือนผิวมุก ประกอบกับละอองน้ำที่โปรยลงมาช่วยเติมความสดชื่นให้กับผู้ชม




ความงดงามของน้ำตกนี้สามารถชมได้จากทุกทิศทาง ทั้งบน ล่าง ซ้าย ขวา ด้านหน้า และที่พิเศษคือด้านหลังที่สามารถเข้าไปชมจากถ้ำหลังม่านน้ำได้เลย รอบ ๆ ยังมีน้ำตกเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจายอยู่ถึง 18 แห่ง ที่ทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา จนได้รับการบันทึกลงใน Guinness World Records ว่าเป็นหมู่น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก!

ถ้ำสุ่ยเหลียน (水帘洞) หรือถ้ำหลังม่านน้ำที่ตั้งอยู่ภายในน้ำตกหวงกั่วซู่ คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และความงดงาม โดยถ้ำนี้มีความยาวถึง 134 เมตร ซึ่งทำให้เราได้สัมผัสความใกล้ชิดกับน้ำตกอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าคุณเป็นแฟนภาพยนตร์ไซอิ๋ว รับรองว่าจะต้องหลงรักที่นี่แน่นอน เพราะเป็นสถานที่ที่ใช้เป็นแรงบันดาลใจในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ดังนั้นหากเดิน ๆ อยู่แล้วเจอรูปปั้นของตัวละครที่ดูสมจริงอย่างไซอิ๋ว, ตือโป๊ยก่าย, ซัวเจ๋ง และพระถังซัมจั๋ง วางกระจายอยู่ทั่วบริเวณน้ำตก ก็ไม่ต้องแปลกใจนะทุกคน




อีกหนึ่งน้ำตกที่เปรียบได้กับ “พระรอง” ของอุทยานแห่งนี้ก็คือ ‘น้ำตกโต่วพัวถัง (Doupotang Waterfall)’ น้ำตกสายงามที่อยู่ห่างจากน้ำตกหวงกั่วซู่เพียงราว 1 กิโลเมตร และเกิดจากแม่น้ำสายเดียวกัน ด้วยความสูง 21 เมตร และความกว้างกว่า 105 เมตร น้ำตกสายนี้จึงทอดตัวเป็นแนวยาว มวลน้ำที่ไหลลงมาอย่างนุ่มนวลสร้างเสียงกระทบหินที่ฟังแล้วชวนให้ใจสงบ มองจากระยะไกลจะเหมือนผ้าม่านสีขาวขนาดใหญ่ที่พลิ้วไหวไม่มีวันหยุด ไฮไลต์อีกจุดคือตัวสะพานไม้พร้อมเส้นทางเดินที่สวยงาม ชวนให้เดินทอดน่อง ถ่ายรูปสวย ๆ ได้อย่างเพลิดเพลินเต็มที่ แนะนำว่าหากวางแผนมาเที่ยวโซนนี้ ควรเผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 1-2 วัน เพื่อจะได้เก็บสปอตท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ครบ ทั้งที่นี่และในแอเรียของ Tianxingqiao Scenic ด้วย


Day 5
07 Yiliang Sakura Valley
ซากุระที่สวยไม่แพ้ชาติใดในโลก คำพูดนี้แทบจะหลุดจากปากเราทันทีเมื่อได้มาเหยียบ ‘Yiliang Sakura Valley’ หุบเขาซากุระหยีเหลียงในมณฑลยูนนาน ซึ่งอยู่ห่างจากคุนหมิงเพียงราว 70 กิโลเมตร ที่นี่คือสวรรค์ของฤดูใบไม้ผลิ เมื่อทั่วทุกอณูของหุบเขาถูกแต่งแต้มไปด้วยเฉดสีชมพูหวานละมุนจากซากุระกว่า 340,000 ต้น มากกว่า 60 สายพันธุ์ ไล่ระดับตั้งแต่ชมพูเข้ม ชมพูอ่อน ไปจนถึงขาวและแดง ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดชมซากุระที่ใหญ่ที่สุดในยูนนาน ความพิเศษอยู่ที่ระยะเวลาบานอันยาวนานถึง 4 เดือนเต็ม โดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ กับสายพันธุ์ที่ออกดอกก่อนอย่างโซเมโยชิโนะสีชมพูอ่อน พอเข้าสู่มีนาคมถึงเมษายน ดอกซากุระก็จะผลิบานพร้อมกันจนเต็มพื้นที่ ราวกับหุบเขาถูกปูทับด้วยพรมดอกไม้ นอกจากนี้ยังมีดอกไม้อื่น ๆ สลับกันเบ่งบาน สร้างทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปตามเวลา แต่ยังคงงดงามในทุกย่างก้าว






ซากุระส่วนใหญ่ที่เราเห็นของที่นี่จะเป็นพันธุ์ Prunus serrulata สีชมพูบานเย็นที่ฟูฟ่องไปด้วยกลีบดอกไม้ถึง 5 กลีบ มีเกสรจำนวนมากอยู่ภายใน มักจะบานในช่วงปลายฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิของประเทศจีน แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นพันธุ์ญี่ปุ่น แต่ซากุระภายใน Yiliang Valley นั้นถูกปลูกในดิน-น้ำที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ทำให้ซากุระมีสีเข้มและสดกว่าที่อื่น ๆ อยู่มาก ช่วงที่เรามาน้อง ๆ เขาก็ร่วงโรยกันไปประมาณหนึ่งแล้วนะ แต่ก็ยังถือว่าแน่นฟูจนย้อมทั้งเฟรมให้หวานหยดเยิ้มไปด้วยสีบานเย็นได้อยู่




ในแง่ของมุมถ่ายรูป ต้องบอกเลยว่าที่นี่ไม่เคยขาดความอลังการในแบบฉบับพี่จีน ไม่ว่าจะเป็น “ทางเดินอิฐ” ที่ทอดยาวขึ้นเนิน โดยสองข้างทางแน่นขนัดไปด้วยต้นซากุระบานสะพรั่งจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า สร้างฉากหลังราวกับภาพในฝัน หรือจะเป็น “ศาลาทรงจีนสุดคลาสสิก” ที่ตั้งอยู่กลางสวนอย่างสง่างาม แฝงความขลังแบบพอดี จึงกลายเป็นแลนด์มาร์กที่ถ่ายมุมไหนก็เป๊ะ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าขายไอศกรีมลายดอกซากุระแสนคิวต์ที่ไม่ควรพลาด หยิบมาถือถ่ายคู่กับวิวหรือจะนั่งปิกนิกใต้ต้นไม้กินไปชมดอกไม้ไปก็ชวนให้ใจละลายได้ง่าย ๆ เลยทีเดีย




08 Golden Horse and Jade Cock Gate
กลับเข้าสู่เมืองคุนหมิง เราเริ่มต้นกันที่หนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง ‘Golden Horse and Jade Cock Gate’ หรือซุ้มประตูม้าทองและไก่มรกต ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนถนนจินปี้ลู่ ถนนที่เก่าแก่ที่สุดในคุนหมิง ชื่อถนนนี้ตั้งตามชื่อของซุ้มประตูทั้งสองจินหม่า (ม้าทอง) และปี้จี (ไก่มรกต) ซึ่งตั้งขนานกันในแนวตะวันออก-ตะวันตก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง มีอายุมากกว่า 400 ปี พร้อมตำนานว่าทุก ๆ 60 ปีจะเกิดปรากฏการณ์เงาของม้าทองและไก่มรกตทับซ้อนกันพอดี จากการบรรจบของแสงจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ที่คนท้องถิ่นเฝ้ารอคอย และแม้จะไม่ได้เห็นปรากฏการณ์นั้นทุกครั้งที่ไปเยือน แต่ในยามค่ำคืนซุ้มประตูทั้งสองก็จะถูกประดับไฟอย่างสวยงาม ชวนให้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้แทบทุกราย





Day 6
09 Yuantong Temple
ปิดทริปแบบอิ่มบุญด้วยการแวะมาไหว้พระที่ ‘Yuantong Temple’ โบราณสถานสำคัญของเมืองคุนหมิง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,200 ปี เป็นวัดศาสนาพุทธที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในยูนนาน ถูกสืบสานมาหลายช่วงสมัยจึงมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิง อีกลักษณะเด่นที่แตกต่างจากวัดทั่วไปคือถูกสร้างไว้บริเวณตีนเขา ซึ่งที่อื่น ๆ จะสร้างไว้ในที่สูง ภายในมีอาคารโบราณหลากหลายรูปแบบให้เราได้เยี่ยมชม แซมด้วยแมกไม้ที่ปลูกห้อมล้อมตัววัด มอบความร่มรื่น พร้อมสีสันแห่งดอกไม้ตามฤดูกาล ที่ทำให้การเที่ยววัดครั้งนี้ฟีลกู้ดขึ้นสิบเท่า


ส่วนสปอตที่โดดเด่นที่สุดคือ Mahavira Hall ที่ตั้งอยู่กลางน้ำ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของ พระศากยมุนี พระอมิตาภะ และพระพุทธโอรส ซึ่งล้วนเป็นรูปปั้นสมัยราชวงศ์หยวน บนผนังมีพระอรหันต์ 500 รูปที่แกะสลักไว้โดยรอบ ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก พร้อมสะพานหินที่สร้างอย่างประณีต ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับส่วนอื่น ๆ และที่ Copper Buddha Hall ยังเป็นที่เก็บหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงถึงมิตรภาพระหว่างไทย-จีน ที่เราได้ส่งเจ้าแม่กวนอิมและพระพุทธชินราชจำลองไว้ให้ทางการของจีนด้วย




ใครเห็นทริปของเราแล้วเริ่มรู้สึกอยากเที่ยวจีน แนะนำให้บินฟิน ๆ กับ การบินไทย ได้เลย เพราะนอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความสะดวกสบายและการบริการระดับพรีเมียมที่ดูแลเราดั่งคนสำคัญตั้งแต่เช็กอินจนถึงปลายทางแล้ว อาหารบนเครื่องก็ยังอร่อยถูกปากแบบไทย ๆ จนรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านตั้งแต่ยังไม่ลงจอด เบาะที่นั่งก็กว้างนั่งสบาย ไม่อึดอัด จะโหลดกระเป๋าก็จุใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้ปวดหัว เส้นทางก็มีครบทุกเมืองฮิต ทั้ง เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เฉิงตู กวางโจว และอีกมากมาย แถมโปรแรงยังมีมาให้กดจองตลอด เรียกว่าทั้งคุ้มทั้งคูล พร้อมแล้วก็คลิกจองตั๋วได้เลยที่: https://www.thaiairways.com/th-th

เรียกว่าเป็นทริปคุนหมิงแบบใหม่แบบสับที่เปิดโลกจีนของเราอีกทริปหนึ่งเลยก็ว่าได้ เห็นสีสันฤดูใบไม้ผลิของแดนมังกรที่แสนจะตระการตา เมืองโบราณกลางหุบเขาที่งดงามดั่งขุมทรัพย์อันเรืองรอง แบบจำลองเมืองย้อนยุคที่ทำได้เหมือนเป๊ะ พร้อมสุดยอดอันซีนน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และความเจริญของเมืองใหญ่ที่ครบครันไปด้วยการเดินทางที่สะดวกสบาย ร้านคาเฟ่สไตล์จีนโมเดิร์นที่ผุดขึ้นไม่หยุดหย่อน เป็นรูทที่ไม่ว่าจะเที่ยวฤดูไหนก็ฟินได้ทุกเวลาจริง ๆ





