48 ชั่วโมงใน Tokyo กับมินิไกด์สุดเก๋ ที่รวมความคอนทราสต์ระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ไว้อย่างลงตัว
รอบนี้เราขอพาทุกคนเดินทางสู่บ้านหลังที่สอง ‘โตเกียว’ ประเทศญี่ปุ่น สัมผัสไวบ์ที่แตกต่างจากเดิมใน ‘ย่านชิบามาตะ’ อันคลาสสิกราวกับย้อนเวลากลับไปยุคโชวะ ก่อนจะเคลื่อนตัวสู่ ‘อาซากุสะ’ เยือนวัดเก่าแก่ที่รายล้อมด้วยสวนญี่ปุ่นร่มรื่นและป่าคอนกรีตอันน่าตื่นตา แวะถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กชื่อดัง ‘โตเกียวสกายทรี’ เติมเต็มความสุนทรีย์ด้วยการนั่งรถรางวินเทจบนเส้นทางสุดโรแมนติกที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ จากนั้นไปเช็กอินในย่านที่ไม่มีวันหลับใหลอย่าง ‘Shibuya’ ต่อด้วย ‘Harajuku’ และ ‘Omotesando’ ถนนสายชอปปิงที่รวมสไตล์ไว้หลากหลาย ให้ทุกคนเปย์รางวัลชีวิตได้อย่างเต็มที่ พร้อมประสบการณ์เดินทาง Smooth as silk ใช่แล้ว! ครั้งนี้เราเดินทางกับการบินไทยที่กำลังฉลองครบรอบ 65 ปี ที่เขาขนแคมเปญสุดสเปเชียลมาเซอร์ไพรส์เรามากมาย







หากพูดถึงการเดินทางไปญี่ปุ่น โดยเฉพาะ “โตเกียว” การบินไทยมักเป็นตัวเลือกแรกที่นึกถึงเสมอ ปัจจุบันมีเที่ยวบินตรงถึง 4 เที่ยวต่อวัน ครอบคลุมทั้งสนามบินนาริตะและฮาเนดะ รอบนี้เราเดินทางด้วยชั้นธุรกิจ หลังเช็กอินและโหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก็ไม่ลืมแวะพักผ่อนในเลานจ์ของการบินไทยที่คุ้นเคย ซึ่งเพิ่งปรับโฉมใหม่เพื่อต้อนรับการครบรอบ 65 ปี ภายใต้คอนเซปต์ The New Worlds of Tomorrow บรรยากาศโมเดิร์นผสมกลิ่นอายแบรนด์ที่ยังชัดเจน ทั้งสีม่วงอันเป็นเอกลักษณ์และลายดอกกล้วยไม้ที่ถูกนำมาใช้ได้อย่างเรียบหรู พื้นที่ภายในกว้างขวาง มีมุมให้นั่งหลากหลาย รวมถึงห้องส่วนตัว 3 ห้อง (สำรองล่วงหน้าได้) ห้องน้ำทั่วไปและสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ใช้รถเข็น พร้อมจอแสดงข้อมูลเที่ยวบิน ทีวี จุดชาร์จไฟ และ Wi-Fi ให้บริการครบครัน


ที่โดดเด่นเลยต้องยกให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม เพราะนอกจากไลน์บุฟเฟ่ต์ที่มีเมนูให้เลือกกินหลากหลายจนนับไม่ถ้วนแล้ว ยังมีเมนูพิเศษภายใต้คอนเซปต์ “Chef of the Month” ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างเชฟระดับนานาชาติจากครัวการบินไทย และเชฟชื่อดัง (Celebrity Chef) ที่จะมารังสรรค์เมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้บริการผู้โดยสารแบบหมุนเวียนในแต่ละเดือน แน่นอนว่าผู้โดยสารที่เดินทางบ่อยอย่างเราก็แฮปปี้กับรสชาติใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละเดือน เลิฟสุด!



สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง การบินไทยได้เปิดตัว Royal First Lounge โฉมใหม่ ณ Concourse D ชั้น 3 สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมพื้นที่ที่กว้างขวางกว่าเดิม ให้บรรยากาศหรูหราคลาสสิกผสมความโมเดิร์นในแบบฉบับของแบรนด์อย่างลงตัว ภายในแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจน ทั้งโซน Relaxing Area สำหรับการพักผ่อนแบบเป็นส่วนตัว Beverage Bar สำหรับจิบชา กาแฟ และ Dining Area ที่ไม่ควรพลาด เพราะเสิร์ฟเมนู Fine Dining ระดับพรีเมียม ที่รังสรรค์โดยเชฟจาก Thai Catering และเมนู A La Carte ให้เลือกสั่งได้ตามใจ เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 05.00 – 02.00 น. สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งของการบินไทย, สมาชิก Royal Orchid Plus ระดับ Platinum และผู้โดยสาร First Class ของสายการบินในเครือ Star Alliance เท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่แห่งความเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้สมฐานะอย่างแท้จริง




บนเที่ยวบินสู่โตเกียวในชั้น Business Class ของการบินไทย เราได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษตั้งแต่ที่นั่งแบบ Full Flat ที่ปรับเอนนอนได้ 180 องศา ไปจนถึงจอภาพที่เต็มไปด้วยความบันเทิงทั้งหนังไทย-เทศ รายการทีวี และเพลงที่อัปเดตอยู่ตลอด เสริมด้วยนิตยสาร SAWASDEE ที่หวนกลับมาแจกบนเครื่องอีกครั้งหลังห่างหายไปช่วงหนึ่ง ฟีลได้พบเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย และที่ทำให้การเดินทางไม่เงียบเหงาก็คือบริการ Wi-Fi บนเครื่อง ที่ให้เราเชื่อมต่อออนไลน์ได้ตลอดการเดินทาง จะส่งข้อความหรืออัปสตอรี่ก็ทำได้หมด เรียกได้ว่าทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อเติมการเดินทางให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในทุกช่วงเวลา


อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ไฟลต์นี้พิเศษขึ้นแบบสัมผัสได้เลย คือ Amenity Kit รุ่นลิมิเต็ดของการบินไทย ร่วมกับ SIRIVANNAVARI เพื่อฉลอง 65 ปี ออกแบบมา 4 แบบ 2 ลวดลาย ได้แก่ ผ้าบาติกโทนสีน้ำเงิน-ขาว ที่สะท้อนเอกลักษณ์ภาคใต้ พร้อมลายดอกรักราชกัญญา ช้างไทย นกยูง ดอกไอริส และกล้วยไม้ ส่วนอีกลายเป็นโทนชมพู-ม่วงสดใส มีดอกไอริส กล้วยไม้ และกราฟิกเกือกม้าสัญลักษณ์ความโชคดี สลับกับลาย S Monogram ดูสนุก ส่วนด้านในใส่มาแน่น ๆ ทั้งผ้าปิดตาลายเดียวกับกระเป๋า ครีมทามือกลิ่นกุหลาบ ลิปบาล์ม สเปรย์ระงับกลิ่นกาย แปรงสีฟันไม้ไผ่ ยาสีฟัน Marvis และที่อุดหู โดยเซ็ตนี้จะมีแจกเฉพาะ 4 เส้นทาง คือ ปารีส, มิลาน เซี่ยงไฮ้ และโตเกียวนาริตะ(ที่เราบินรอบนี้) ไปจนถึงสิ้นปี 68



บนชั้นธุรกิจของการบินไทย เส้นทางญี่ปุ่นอย่างเที่ยวบินสู่โตเกียว การเสิร์ฟอาหารจะมาในรูปแบบคอร์ส ครบทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย จานหลัก และของหวาน ซึ่งแม้ว่าแต่ละไฟลต์จะมีเมนูแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่คาดหวังได้คือการให้บริการที่เป็นระบบ รู้สึกถึงความใส่ใจตั้งแต่ถาดแรกไปจนถึงจานสุดท้าย ระหว่างไฟลต์ลูกเรือก็จะเดินมาสอบถามอยู่เป็นระยะ ถ้าหิวก็สามารถสั่งของว่างเพิ่มเติมได้ มีของกินเล่นให้เลือกอยู่เรื่อย ๆ จะชาร้อน ขนมเบา ๆ หรือของทานเล่นก็ขอได้ตลอดแบบไม่ต้องเกรงใจ ที่สะดวกมากคือผู้โดยสารสามารถเลือกเมนูล่วงหน้าได้ผ่านระบบ Pre-select meal ช่วยให้ไม่พลาดเมนูที่อยากลองจริง ๆ



สายดื่มต้องถูกใจ เพราะบนไฟลต์เขามีเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ให้เลือกจิบกันเพลิน ๆ อย่าง Butterfly Pea Limeade ที่ได้ความสดชื่นเปรี้ยวหวานจากมะนาวและดอกอัญชันแบบไทย ๆ และ Rose of the Royal Voyage (RRV) แชมเปญผสมน้ำเชื่อมหอมละมุนกลิ่นดอกจุฬาลงกรณ์ เพิ่มเลมอนเล็กน้อยให้รสละมุนขึ้นไปอีก ส่วนใครอยากลองอะไรพิเศษกว่านั้น ช่วงเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปีนี้ การบินไทยจับมือกับ The Bamboo Bar จาก Mandarin Oriental เปิดตัวค็อกเทลลิมิเต็ด “Oriental Dawn” ที่ผสมผสานคอนญัก ตะไคร้ และลิ้นจี่ได้อย่างลงตัว กลิ่นหอมซ่า เสิร์ฟมาในแก้วประดับดอกแพนซี่สีม่วงเฉดเดียวกับแบรนด์ ดูดีและดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นสุด ๆ


Day 1
01 Shibamata
สัมผัสกลิ่นอายโตเกียวยุคเรโทรกันที่ ‘Shibamata’ ย่านสุดวินเทจที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวของชุมชนเศรษฐกิจในสมัยโชวะ อีกทั้งยังเป็นโลเคชันถ่ายทำภาพยนตร์ย้อนยุคระดับตำนาน Otoko wa Tsurai yo (It’s Tough Being a Man) ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่นี่ ปัจจุบันจึงมีทั้งรูปปั้นของเขาหน้าสถานี และ Tora-san Museum ที่ตั้งตามชื่อตัวละครสุดคลาสสิกนี้ สิ่งแรกที่ทำให้เราหลงใหลย่านนี้คือถนนเก่าแก่ที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมแบบโชวะไว้อย่างดี รายล้อมด้วยร้านค้าซึ่งตกแต่งเข้ากันอย่างกลมกลืน ตั้งแต่คาเฟ่สมัยใหม่ที่รีโนเวทภายในให้ดูโมเดิร์น ไปจนถึงร้านค้าในตำนานอายุกว่าร้อยปีที่ยังคงขายสินค้าดั้งเดิม พร้อมใส่กิมมิกใหม่ ๆ เข้ามาอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีจุดแวะเที่ยวให้เดินเล่นเพลิน ๆ ได้เกือบครึ่งวัน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครที่อยากซึมซับเสน่ห์ของโตเกียวยุคเก่าในจังหวะเนิบช้าและอบอวลด้วยเรื่องราว





ไฮไลต์ด่านแรกที่ทุกคนต้องเจอคือชอปปิงสตรีท Taishakuten Sando ถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก ของเล่นพื้นบ้าน เครื่องราง อาหารแปรรูป และขนมโบราณที่บางร้านมีอายุยาวนานกว่าร้อยปี อย่าง Dagashi ร้านขนมที่เราคุ้นตาจากหนังพีเรียดญี่ปุ่น ตั้งเด่นอยู่กลางหัวมุมถนน วางขายขนมตั้งแต่ยุคเก่าจนถึงของกินเล่นสมัยใหม่ เดินดูแล้วให้ฟีลเหมือนได้หลุดเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ขนมญี่ปุ่น และอย่าพลาด Asanoya ร้านขายเซมเบ้ในโหลแก้วสุดคลาสสิกที่ใช้แป้งสูตรเฉพาะ แห้งกรอบ หอมกลิ่นซอสถั่วเหลืองเคลือบบาง ๆ บนแผ่นขนม กินคู่กับชาข้าวคั่วแล้วเพลินจนหยุดไม่ได้





ขนมอีกชนิดที่เรียกว่าเป็นตำนานและยังคงลมหายใจอยู่คือ Kusa Dango ขนมแป้งเหนียวหนึบผสมใบโอะโมะงิ (Japanese mugwort) ที่ให้สีเขียวธรรมชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีทั้งแบบราดซอสถั่วแดงกวนรสหวานละมุน หรือแบบย่างโรยสาหร่ายโนริ สามารถหากินได้ตลอดเส้นถนน โดยเฉพาะร้าน Kameya-Honpo ที่เปิดมานานกว่า 120 ปี ร้านนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์ขนมดั้งเดิมไว้แต่มีการเพิ่มเมนูฟิวชันและรสชาติประจำฤดูกาล เช่น รสซากุระและชาคาเฟ่ต่าง ๆ ที่ถูกใจคนยุคใหม่ ส่วนสายคาวที่อยากจัดเต็มเป็นมื้ออาหาร แนะนำให้ลองแวะร้าน Kawachiya ข้าวหน้าปลาไหลเจ้าดังที่มีประวัติยาวนานกว่า 200 ปี รับรองว่ารสชาติปังไม่แพ้ที่ไหนในโตเกียวแน่นอน

ชอปแล้วชิมแล้ว คราวนี้ได้เวลาแชะกับแลนด์มาร์กสำคัญของย่าน นั่นคือ Shibamata Taishakuten (หรือชื่อจริงว่า Daikyō-ji) วัดนิกาย Nichiren อายุเกิน 390 ปี ด้วยโครงสร้างที่สร้างใหม่ในปี ค.ศ. 1929 แต่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงถือเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงความคลาสสิกเอาไว้ จุดเด่นตื่นตาคืองานแกะสลักไม้(มีค่าเข้าชมเพียง 400 เยน) บอกเล่าเรื่องราวของพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์ผ่านลวดลายที่อ่อนช้อยแสนประณีตของช่างฝีมือสมัยก่อน ด้านหลังวัดมีสวนญี่ปุ่นชื่อว่า Suikeien ล้อมรอบด้วยทางเดินไม้ มีบ่อปลาคาร์ปและเต่ารวมถึงศาลาหลายจุดให้ถ่ายรูปอย่างสงบ ณ จุดนี้ไม่ว่าใครที่มาเยือนก็จะได้สัมผัสบรรยากาศอันร่มรื่นและประณีตแห่งวัดโบราณที่ “มากี่ครั้งก็รู้สึกสบายใจ”





02 Asakusa
โลเคชัน never die ที่ทำให้เราเห็นความคอนทราสต์ของโตเกียวได้อย่างชัดเจนก็คือย่าน ‘Asakusa’ แหล่งเศรษฐกิจรุ่นเก๋าที่คึกคักตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ย่านนี้รวบรวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวไอคอนิกประจำเมือง เช่น วัดเซ็นโซจิที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว อาหารสตรีทฟู้ดระดับเทพ ร้านของฝากเก่าแก่ ศิลปะและวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคเอโดะ เดินต่ออีกนิดก็สามารถเปลี่ยนโหมดไปสู่ป่าคอนกรีต สัมผัสจังหวะชีวิตอันจอแจในแบบโตเกียวสมัยใหม่ได้ทันที ที่สำคัญคือยังได้เห็นวิถีชีวิตเรียล ๆ ของผู้คนอย่างมีมิติ ทั้งแม่ค้าหน้าร้าน หัวหน้าครอบครัว นักเรียน หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวหลากชาติที่หลงเสน่ห์ความหลากหลายของย่านนี้เช่นกัน


เริ่มต้นกันที่ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า อาซากุสะคันนน วัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 628 โดยมีตำนานเล่าว่า ชาวประมงพี่น้องสองคนได้พบรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมทองคำลอยอยู่ในแม่น้ำสุมิดะ แม้จะพยายามนำรูปปั้นกลับลงแม่น้ำหลายครั้ง แต่รูปปั้นก็กลับมาหาทั้งคู่เสมอ พวกเขาจึงตัดสินใจสร้างวัดเล็ก ๆ เพื่อประดิษฐานรูปปั้นนั้นขึ้น และได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา วัดนี้จึงกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวโตเกียวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะถูกทำลายจากระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อย่างงดงาม



พระเอกประจำวัดคงหนีไม่พ้น ประตูคามินาริ (Kaminarimon หรือ Thunder Gate) ซึ่งโดดเด่นด้วย โคมแดงยักษ์ขนาดมหึมา สูง 3.9 เมตร กว้าง 3.3 เมตร หนักราว 700 กก. โคมนี้ผลิตโดยช่างโคมจากเกียวโต และได้รับการบูรณะใหม่ทุก 10 ปี นอกจากนี้ยังมีรูปสลักมังกรที่ฐานโคม แสดงถึงความเชื่อในการปกป้องจากภัยพิบัติ ทั้งสองข้างของประตูเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าชินโต 4 องค์ ได้แก่ ฟูจิน เทพเจ้าแห่งลม และไรจิน เทพเจ้าแห่งสายฟ้า อีกด้านเป็นเทพพุทธเจ้าเทนยะ และคินริว เพื่อคุ้มครองวัดจากภัยธรรมชาติและไฟไหม้ ด้วยเหตุเหล่านี้ ประตูคามินาริและโคมแดงยักษ์จึงกลายเป็นจุดถ่ายรูปสุดไอคอนิกที่ใครมาโตเกียวครั้งแรกไม่ควรพลาด

นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ยังร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นสูงแข่งกับตึกยักษ์ของเมืองโตเกียว เจดีย์ 5 ชั้นสไตล์ญี่ปุ่น และชอปปิงสตรีท Nakamise ที่ทอดยาวอยู่ด้านหน้าวัด แม้จะมีระยะทางเพียง 250 เมตร แต่ก็อัดแน่นไปด้วยร้านค้าเต็มสองข้างทางเกือบ 100 ร้าน โดยแต่ละร้านจัดวางขายของที่ระลึกของโตเกียว งานหัตถกรรมขึ้นชื่อ ขนมแพ็กเกจจิงน่ารัก ๆ ชวนละลายทรัพย์มากมาย หรือใครชอบสตรีทฟู้ดก็สามารถลองข้าวปั้นหน้าปลาไหล ผลไม้เชื่อมจูเซียน โดรายากิ เมลอนปังที่ขายมานานตั้งแต่สมัยโชวะ ฯลฯ ได้เช่นกัน




ส่วนทางเราก็กินฉ่ำกับร้านโปรดที่กินซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่เคยเบื่อ เริ่มกันที่ร้าน Asakusa Unana เมนูข้าวปั้นหน้าปลาไหลชิ้นโต หนานุ่ม หอมกลิ่นถ่านย่าง นัวมากับข้าวปั้นร้อน ๆ คลุกซอสรสชาติหวานเค็ม ต่อมาคือข้าวหน้าเทมปุระของร้าน Daikokuya Tempura เปิดมานานกว่า 100 ปี ที่มีความยูนีคกว่าร้านทั่วไปตั้งแต่รูปลักษณ์ กับแป้งที่มีสีน้ำตาลเข้ม แป้งไม่ฟูดูหนาแต่กรอบละมุน พร้อมซอสราดที่มอบความกลมกล่อม สุดท้ายคือ Asakusa Menchi โคร๊อกเกะเนื้อชุบแป้งทอด กรอบนอกฉ่ำใน รับรสชาติของเนื้อจุยซ์ ๆ หวาน ๆ ชิ้นพอดีมือ กินได้อย่างเต็มปากเต็มคำ



เดินออกมานอกบริเวณวัดไม่กี่ก้าว ก็จะพบกับทิวทัศน์ของเมืองสมัยใหม่พร้อมชอปปิงสตรีทอย่าง Shin-Nakamise Shopping Street ที่เต็มไปด้วยร้านค้าหลากหลายและบริการ Tax Free ให้ชอปกันอย่างสบายใจ หรือถ้าอยากแวะถ่ายรูป แนะนำให้ไปที่ Azumabashi สะพานสุดโดดเด่นที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำสุมิดะ พร้อมฉากหลังเป็นตึกสูงอย่าง TOKYO SKYTREE และ Asahi Beer Tower ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ สำหรับใครที่มีเวลามากหน่อย สามารถล่องเรือแม่น้ำสุมิดะเพื่อดื่มด่ำโตเกียวในมุมที่ต่างออกไป และในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วง แนะนำให้นั่งปิกนิกพักผ่อนที่ Sumida Park สวนสาธารณะเลียบริมน้ำที่เต็มไปด้วยบรรยากาศร่มรื่นและวิวสวยงาม




03 Odaiba
เมื่อแสงเย็นเริ่มทาบทับฟ้า เราก็มาถึง ‘Odaiba’ เมืองใหม่ริมอ่าวโตเกียว ที่นี่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสุดล้ำตาและเรื่องราวน่าทึ่ง เพราะผืนดินแห่งนี้ถูกถมขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ในปี 1850 เพื่อป้องกันการโจมตีทางทะเล ก่อนจะเปลี่ยนโฉมเป็นศูนย์กลางความบันเทิงครบวงจร มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ กันดั้มยักษ์ที่ใครก็ต้องมาถ่ายรูป สะพานสายรุ้งที่งดงามจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของโตเกียว รวมถึงรูปปั้นเทพีเสรีภาพที่สง่างาม นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ สวนสนุกในร่ม สวนสาธารณะ และกิจกรรมล่องเรือชมวิวอ่าวโตเกียว และไฮไลต์สำคัญอย่าง TeamLab งานศิลปะดิจิทัลระดับโลกก็ตั้งอยู่ที่นี่เช่นกัน


เรียกว่าเป็นการทวิสต์เมืองเก่าเข้าสู่เมืองใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กับความงามริมอ่าว ให้เราเดินทอดน่องเท้าสัมผัสผืนทรายพร้อมแดดอุ่น ๆ ที่กำลังทอส่องประกายอยู่บนผิวน้ำ เห็นคู่รักเดินจูงมือ เด็ก ๆ วิ่งเล่นโดยมีแม่เดินตามหลัง พร้อมท้องฟ้าสดใสกำลังเปลี่ยนสีอย่างมหัศจรรย์ ตั้งแต่สีเหลืองทอง ส้ม ชมพู ม่วง เรียกว่าเป็น Magic Hour ที่มากี่ครั้งเราก็ตกหลุมรักไม่หยุด ถือเป็นโลเคชันที่เหมาะกับคนทุกเพศวัย ทุกกลุ่ม ทุกความชอบที่แท้จริง




04 Shinjuku
เมื่อฟ้าเริ่มมืด เราก็ตรงดิ่งเข้าสู่ย่านที่ไม่เคยหลับใหลอย่าง ‘Shinjuku’ ตื่นตาตื่นใจกับแสงสีเสียงและความคึกคักที่เป็นตัวแท้ของโตเกียวที่นี่แบ่งออกเป็นสองฝั่งชัดเจน ฝั่งตะวันออกเป็นแหล่งร้านค้าที่เราโปรดปราน มีทั้งร้านอิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น เครื่องสำอาง ร้านมือสอง และย่านคาบุกิโจ ซึ่งเป็นแหล่งกินดื่มยามค่ำคืนของคนเมือง ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยตึกสูงและออฟฟิศจำนวนมาก รวมถึง Tokyo Metropolitan Government อาคารศูนย์กลางการบริหารของเมืองหลวงแห่งนี้


อีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำชินจูกุที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่นก็คือ Cross Shinjuku Vision ป้ายโฆษณาสุดล้ำที่เปิดตัวในปี 2021 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเจ้าแรก ๆ ที่นำเสนอภาพแบบ 3D บนจอโค้งขนาดใหญ่ได้อย่างสมจริง และกลายเป็นที่รู้จักในทันทีเพราะมี “น้องแมวสามสี” พรีเซนเตอร์ประจำจอ ที่มักออกมาโชว์อิริยาบถชวนตกหลุมรัก ไม่ว่าจะลุก เดิน หาว หรืออ้อน จนคนที่ผ่านไปมาต้องหยุดดูแทบทุกคน ความคมชัดระดับ 4K ก็ยิ่งทำให้ทุกการขยับดูเหมือนทะลุจอออกมาได้จริง ๆ สามารถแวะมาชมได้ง่าย ๆ จากทางออกฝั่งตะวันออกของสถานีชินจูกุเลยนะฮะ

Day 2
05 Toden Arakawa Line
เริ่มต้นวันที่สองด้วยพิกัดอันซีนที่อยากให้ทุกคนลองสัมผัส กับการนั่งรถรางสายเก่า Toden Arakawa Line รถรางยุคโชวะสุดวินเทจสายสุดท้ายของโตเกียว ที่วิ่งทอดตัวอย่างเนิบช้าจาก Minowabashi Station (ใกล้ Ueno) ไปสุดสายที่ Waseda Station รวมระยะทางราว 12 กิโลเมตร ค่าโดยสารไม่กี่ร้อยเยนแต่เต็มไปด้วยบรรยากาศเรียลโลคอล จุดแวะชมที่ไม่ควรพลาดคือสถานี Arakawa Nichome ซึ่งมีสวนดอกกุหลาบจัดแต่งไว้อย่างน่ารัก โดยเฉพาะเมื่อรถรางสีสดอย่างแดง เหลือง หรือชมพูวิ่งผ่านตัดกับฉากหลังที่สดใส กุหลาบจะบานสวยที่สุดในช่วงพฤษภาคมและตุลาคมของทุกปี ถือเป็นรูทลับที่พาเราย้อนเวลาและเปิดมุมใหม่ของโตเกียวได้อย่างเต็มตา



แล้วกุหลาบที่เราเห็นตลอดทางนี้เขามีมากถึง 13,000 ดอก ที่เมืองตั้งใจปลูกไว้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและเติมสีสันให้แต่ละฤดูกาล โดยรวมมีมากกว่า 500 สายพันธุ์ แต่ที่เห็นเด่น ๆ ได้แก่ Maria Callas ที่ตั้งชื่อตามนักร้องโอเปร่าระดับตำนาน, Rose Urara กุหลาบที่นิยมนำไปทำเกลือหอม ซึ่งสองพันธุ์นี้จะออกดอกตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังมีกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์อย่าง Ginsekai, สีแดงกำมะหยี่เข้ม Lavaglut, และชมพูอ่อนหวาน Queen Elizabeth ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสายพันธุ์กุหลาบที่โด่งดังที่สุดในโลก เห็นความละมุนนี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะหยิบแฮนด์ครีมกลิ่นกุหลาบใน Amenity Kit จากการบินไทยขึ้นมาทา เพราะกลิ่นที่ให้มาเป็นกลิ่นกุหลาบเหมือนกัน ให้ไวบ์เข้ากับสถานที่เว่อร์




06 Tokyo Tower ( Shiba Park )
หนึ่งในซีรีส์ที่ทำให้เราอยากมาญี่ปุ่นและหลงใหลในกลิ่นอายของยุคโชวะมากที่สุดคือ Always: Sunset on Third Street เรื่องราวอบอุ่นของผู้คนในชุมชนเล็ก ๆ รอบโตเกียวทาวเวอร์ช่วงที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ถ่ายทอดทั้งความผูกพัน ความหวัง และความงามของโตเกียวทาวเวอร์ได้อย่างงดงาม จนกลายเป็นภาพฝังใจเรามาตลอด การได้มาเห็นโตเกียวทาวเวอร์ของจริงจากมุมสงบ ๆ อย่าง Shiba Park ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในฉากนั้นจริง ๆ สวนแห่งนี้มีอายุกว่า 152 ปี เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา จุดที่เราชอบที่สุดคือบริเวณลานหญ้ากว้าง ที่มองเห็นโตเกียวทาวเวอร์ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง สลับกับพุ่มดอกไม้ที่บานกระจายอยู่รอบ ๆ ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและโรแมนติกแบบที่แม้ไม่พูดอะไรเลยก็รู้สึกได้เต็มหัวใจ


เอาจริง ๆ บรรยากาศที่นี่เหมาะกับการกางเสื่อปิกนิกแบบสุด ๆ จะมานั่งเล่นเงียบ ๆ อ่านหนังสือ หรือชวนครอบครัวมาทำกิจกรรมกลางแจ้งก็เข้าท่าไปหมด ลองเดินเล่นบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติขนาดย่อมในหุบเขาที่มนุษย์สร้างขึ้นเองชื่อว่า Momiji-dani ซึ่งมีทั้งต้นไม้ร่มรื่นและเสียงนกร้องเบา ๆ ประกอบฉาก หรือจะแวะขอพรที่ศาลเจ้าภายในสวนเพื่อเสริมความสบายใจก็ได้เช่นกัน และถ้าอยากได้วิวของโตเกียวทาวเวอร์จากมุมที่ปังไม่แพ้กัน แนะนำให้เดินต่อไปที่วัด Zojoji ที่อยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้นจะมีบันไดทอดยาวสู่ตัวอาคารวัดขนาดใหญ่ที่ดูขลังด้วยสถาปัตยกรรมโบราณอายุกว่า 632 ปี ถ่ายภาพจากมุมด้านหน้า จะเห็นวัดอยู่ตรงกลาง มีโตเกียวทาวเวอร์เยื้องอยู่ด้านขวา เป็นองค์ประกอบที่ลงตัวจนแทบไม่ต้องแต่งภาพเพิ่มเลย



07 Omotesando
ก่อนจะโบกมือลาโตเกียวในทริปนี้ เราขอพามาทิ้งเวลาอย่างมีสไตล์ที่ Omotesando ถนนสายเนินที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดสายหนึ่งของเมือง เรียงรายไปด้วยร้านแฟชั่นตั้งแต่แบรนด์เนมระดับโลกไปจนถึงสตรีทแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า หรือร้านของเล่นดีไซน์จัดจ้าน แต่ละร้านก็จัดเต็มเรื่องสถาปัตยกรรมและไอเดียการตกแต่งจนกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะของย่านนี้ ใครสายแฟ สายถ่ายภาพ หรือชื่นชอบงานออกแบบ ต้องไม่พลาด Tokyu Plaza Harajuku ห้างดังที่มีซุ้มบันไดเลื่อนล้อมด้วยกระจกเหลี่ยมสะท้อนแสงระยิบระยับ กลายเป็นแลนด์มาร์กสุดฟุ้งฟิ้งที่เจิดจรัสไปทั่วโซเชียล แค่ได้แวะมาสัมผัสบรรยากาศ เดินชิลใต้ร่มไม้สองข้างทางก็รู้สึกเหมือนกำลังปิดท้ายทริปด้วยความงดงามที่กลมกล่อมพอดี


แต่ถ้าใครไม่อินกับของแบรนด์เนม อยากเปลี่ยนบรรยากาศมาสัมผัสความสตรีทในฟีลวัยรุ่นเจนวายที่กำลังอินกัน เราขอแนะนำ Cat Street ซอยเล็กสุดชิคยาวราว 800 เมตร ที่เชื่อมระหว่าง Omotesando กับ Shibuya จุดกำเนิดชื่อเก๋ ๆ นี้มาจากอดีตที่มีประชากรแมวจรจัดอาศัยอยู่มาก แต่ปัจจุบันความครึกครื้นได้แทรกซึมเข้ามาแทน จนกลายเป็นแหล่งแฟชั่นแบบฮิป ๆ เต็มตัว ที่นี่เราจะได้เห็นวัยรุ่นญี่ปุ่นเดินกันขวักไขว่ ท่ามกลางร้านมือสองคัดพิเศษ กิฟต์ช็อปน่ารัก ๆ ผลงานดีไซน์จากศิลปินท้องถิ่น คาเฟ่บรรยากาศดี ไปจนถึงสตรีทฟู้ดกิมมิกเก๋ เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เราเองก็ชอบมาเดินชิลที่สุดเหมือนกัน



มาญี่ปุ่นแล้วเดินไม่ถึงหมื่นก้าวคงนอนไม่หลับ เราเดินต่อมาเรื่อย ๆ จนถึง Takeshita Street ในย่านฮาราจูกุ ถนนเล็ก ๆ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้พรีเซนต์ตัวตนแบบไร้กรอบ ไร้กฎ แฮปปี้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เห็นซุ้มประตูคัลเลอร์ฟูลเปลี่ยนหน้าตาไปตามเทศกาล ตลอดระยะทาง 350 เมตร เราเพลิดเพลินกับแฟชั่นหลากแนว ทั้งคาวาอี้ พังก์ ร็อก โบฮีเมียน โลลิตา โกธิก ฯลฯ มีทั้งชุด เครื่องประดับ รองเท้า ให้เลือกสนุกไม่รู้จบ ที่ขาดไม่ได้คือเครปเย็นสไตล์ญี่ปุ่นสุดคลาสสิกที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ทำให้ของหวานนี้ฮิตไปทั่วโลก ใครมาต้องจัดให้ได้นะ!




อีกเหตุผลที่เราชอบเลือกบินกลับจากโตเกียว ก็คือมีไฟลต์ให้เลือกเยอะ ไม่ว่าจะกลับเช้าหรือค่ำก็วางแผนได้สบาย สนามบินก็เข้าออกง่ายทั้งนาริตะและฮาเนดะ ยิ่งถ้าเลือกบินกับการบินไทย ต่อให้นั่งชั้นประหยัดก็ยังรู้สึกดี เพราะพนักงานต้อนรับน่ารักเป็นกันเอง มีเมนูอาหารไทยให้กินตั้งแต่บนเครื่อง หนัง เพลง ก็มีให้เลือกเพียบ ฟีลเหมือนได้กลับเมืองไทยตั้งแต่ก้าวขึ้นเครื่องเลยทีเดียว


ความสนุกของทริปนี้เรายกให้เป็นเรื่องสีสันที่แตกต่างของโตเกียว เมืองที่กลมกล่อมไปด้วยเมืองเก่าและเมืองใหม่ ทุกสถานที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นใหม่หรือแสร้งให้เป็น เหมือนเราได้ย้อนไปพบเจอวิถีชีวิตสมัยโชวะที่แท้จริง นั่งรถออกมาหน่อยก็เจอกับความวุ่นวายแฝงไปด้วยความสนุกสนานสไตล์เมืองหลวง สัมผัสความเป็นสุดยอดไฮเทคของญี่ปุ่น ณ เมืองริมอ่าวแสนงดงาม เรียกว่าเป็นอะไรใหม่ ๆ ที่พรีเซนต์ความเป็นโตเกียวได้สุดปังไปเลย เอาเป็นว่าใครมีเวลาในโตเกียวไม่มากลองปักหมุด 7 พิกัดที่เราแนะนำดู รับรองว่าฟินแน่นอน


