แพลนเที่ยว 20 พิกัด 4 วัน 3 คืน ที่จะมาสร้างภาพจำใหม่ให้ Shenzhen ของทุกคนเต็มไปด้วยความโมเดิร์น ล้ำสมัย ราวกับเที่ยวไปในโลกแห่งอนาคต
จากเมืองชายแดนที่เคยขึ้นชื่อเรื่องการค้า วันนี้ “เซินเจิ้น” พลิกลุคกลายเป็นมหานครสุดล้ำราวกับมาจากโลกอนาคต ทุกมุมเต็มไปด้วยความว้าว ไม่ว่าจะเป็นโดรนส่งอาหาร แท็กซี่ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งเต็มเมือง หรือแท่นหินชาร์จไร้สายที่วางมือถือไว้ได้ปุ๊บก็รับไฟฟ้าได้ทันที ทั้งเมืองขับเคลื่อนด้วยระบบไร้เงินสด เสริมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า สถาปัตยกรรมสุดเท่ งานอาร์ต แฟชั่น ไลฟ์สไตล์สำหรับสายชิล คาเฟ่ดีไซน์เก๋ ผสมกลิ่นอายเมืองเก่า และสวนสาธารณะริมอ่าวที่เขียวขจีชวนเดินเล่น เที่ยวรอบนี้เราเลยจัดเต็ม 4 วัน 3 คืน พาทุกคนตะลุยกิน ชอป ตระเวนเช็คอินพิกัดสวย ๆ แบบครบรส รับรองว่าใครได้มาเซินเจิ้นยุคนี้ตามรอยเราจะเซอร์ไพรส์ไม่หยุด แถมเผลอ ๆ จะอยากกลับมาซ้ำอีกโดยไม่รู้ตัว



บินไปจีนยังไงก็ต้องไปกับแอร์เอเชีย (AirAsia) สายการบินโลว์คอสต์เพื่อนรักของเราเท่านั้น เพราะตั้งแต่เดินทางกันมา แทบไม่เคยเจอปัญหาเรื่องไฟลต์ดีเลย์ ราคาก็งาม ยิ่งช่วงที่เจอโปรดี ๆ จ่ายแค่หลักพันต้น ๆ ก็ไปได้เลย แน่นอนว่าไป Shenzhen รอบนี้เราก็ไม่พลาด เพราะเส้นทางนี้เขามีบินตรงจากดอนเมือง (DMK) ไปยังสนามบินนานาชาติเซินเจิ้นเป่าอัน (SZX) วันละ 1 เที่ยวบิน ขาไป FD596 เครื่องออก 18:30 น. ถึงเซินเจิ้น 22:25 น. ใช้เวลาบินราว 3 ชม. นั่งคุยเล่นจอยกับเพื่อนแป๊บ ๆ พอถึงจีนก็พักผ่อนให้เต็มที่ เช้ามาก็เริ่มเที่ยวได้แบบเต็มแมกซ์ ส่วนขากลับ FD595 เครื่องออก 23:55 น. ถึงไทย 03:15 น. ของวันถัดไป เที่ยวฉ่ำได้เต็มวัน ไม่ต้องวิ่งมาสนามบินให้เหนื่อย แถมตอนกลับบ้าน ถนนยังโล่ง ไม่ต้องปวดหัวกับรถติดอีก เรียกว่าเป็นไทม์มิงที่ลงตัวสุด ๆ สำหรับการเที่ยวแบบคุ้ม ๆ ที่สุด


ในบรรดาสายการบินโลว์คอสต์ ความเลิศที่เราชอบมากที่สุดของแอร์เอเชียคือ Value Pack กดซื้อทีเดียวคือคุ้ม ให้มาทั้งน้ำหนักกระเป๋า จองที่นั่ง สั่งของกินล่วงหน้าได้อีก พูดตรง ๆ แบบไม่อวย อาหารของแอร์เอเชียคือถูกปากเรามาก แถมมีรายการให้เลือกเยอะ ขยันออก seasonal menu ทั้งคาว หวาน เครื่องดื่มก็ไม่จำเจ อย่างช่วงที่เราบินได้ลองกิน ‘ส้มตำไก่ย่างข้าวเหนียว’ รสชาติแซ่บจัดจ้านไม่ปรานีใคร กินคู่ไก่ย่างหมักซอสหวาน ๆ เค็ม ๆ และข้าวเหนียวร้อน ๆ ยกให้เป็นมื้อส่งท้ายในไทยที่อร่อยเต็ม 10 เลย อ้อ แล้วถ้ากินกล่องเดียวไม่พอ หรือใครไม่ได้จองล่วงหน้า ก็สามารถ buy-on-board เพิ่มได้เช่นกันนะ

ก่อนจะเริ่มตะลุยแดนมังกรสไตล์คนคูล เราขอให้ทุกคนลบภาพจำของเซินเจิ้นเดิม ๆ ไปก่อน ทำสมองให้โล่ง ๆ แล้วมองว่าที่นี่คือเมืองแห่งอนาคตที่ควรจะเป็น เริ่มจากฐานะทางเศรษฐกิจของเมือง ที่พลิกจากแหล่งค้าส่ง กลายเป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรือง มีนวัตกรรม ทันสมัย จนกลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นสูง พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางขนส่งสาธารณะแสนอัจฉริยะอย่างแท็กซี่ไร้คนขับที่เริ่มวิ่งบนถนนสายหลักแล้ว แท่นชาร์จรถไฟฟ้าที่ฝังอยู่ใต้พื้นดิน แค่จอดก็ชาร์จได้ รถบัส รถไฟ จักรยานสาธารณะล้วนใช้ facial recognition ในการจ่ายเงิน เที่ยววันแรก ๆ เรียกว่าตื่นเต้นตื่นตากับความล้ำไปหมด แถมตึกอาคารใหม่ ๆ ก็ออกแบบให้ดูโมเดิร์นเกินจินตนาการ มีทั้งมิวเซียม ห้างสรรพสินค้า พื้นที่สีเขียว รวมไปถึงวัฒนธรรมโบราณที่ยังคงมีชีวิตในเมืองใหญ่แห่งนี้ ซึ่งแต่ละสถานที่ถูกจัดสัดส่วนไว้อย่างดี สมกับเป็นจุดหมายห้ามพลาดอันดับที่ 31 ของโลกจาก The New York Times เลย




Day 1 ::
01 Shenzhen Museum of Contemporary Art
ประเดิมพิกัดแรกแบบสนองนีดของตัวเองด้วยการแวะมาเสพงานสถาปัตยกรรมในอุดมคติที่ ‘Shenzhen Museum of Contemporary Art (MOCAPE)’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่เปล่งประกายราวกับ ‘เมฆ’ สีเงิน มีทรวดทรงโค้งเว้า ลื่นไหลสบายตา แต่แฝงความแข็งแกร่งด้วยวัสดุหินธรรมชาติ ภายในโถงสูงโปร่งใช้โครงเหล็กและกระจกเปิดรับแสงอาทิตย์ให้ส่องผ่านได้แทบทุกทิศทาง โดยแต่ละส่วนถูกออกแบบมาเพื่อลดการใช้พลังงาน มุ่งเน้นการใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานความร้อนใต้พิภพ พื้นที่ภายในแบ่งฟังก์ชันรองรับกิจกรรมหลากหลาย ทั้งห้องนิทรรศการหลายขนาด ห้องประชุม ห้องสมุด โรงโอเปร่า รวมถึงร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหาร
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 3 หรือ สาย 4 ลงสถานี Children’s Palace ทางออก A2





นิทรรศการส่วนใหญ่นั้นเป็นการจัดแสดงแบบหมุนเวียน เพื่อให้ชาวเมืองได้ชมจินตนาการไม่รู้จบ ไม่ซ้ำ ไม่น่าเบื่อ ซึ่งอยู่ในโซน MOCA ส่วนนิทรรศการถาวรชื่อว่า ‘Shenzhen Planning Exhibition’ จัดในโซน Urban Planning Hall ที่อยู่ภายในอาคารเดียวกัน ออกแบบโดย ATELIER BRÜCKNER สตูดิโอสายสถาปัตยกรรมตัวตึงจากเยอรมนี เจ้าของรางวัลออกแบบระดับนานาชาติมากมาย ในนิทรรศการจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้นหลักตามธีม ได้แก่ ชั้น 1 — City Co‑Existence : แสดงแผนผังของเมือง พร้อมทิวทัศน์และข้อมูลด้านภูมิศาสตร์, ชั้น 2 — City Co-Construction : โชว์แผนแม่บทตั้งแต่ปี 1979 ให้เห็นถึงวิวัฒนาการของเมือง, และชั้น 3 — City Co-Wish : ถ่ายทอดแนวคิด มุมมอง และการพัฒนาในอนาคต โดยแต่ละโซนมีการอัดเทคโนโลยีล้ำ ๆ มาแน่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น AR, หน้าจอ LED ฟีเจอร์ split screen – combined screen, ระบบ 3D, ไปจนถึง live-action ที่สามารถเล่นได้เสมือนจริงแม้มีการเคลื่อนไหวหลายทิศทาง เรียกว่าได้ทั้งความรู้ และยังได้คอนเทนต์ถ่ายรูปเก๋ ๆ กลับบ้านอีกเพียบ




นอกจากเทคโนโลยีจะล้ำแล้ว ความไฮเทคของเมืองนี้ยังเผื่อแผ่มาถึงด้านบริการด้วย เห็นได้ชัดจากคาเฟ่ภายในมิวเซียมนามว่า ‘HOOLOO Coffee’ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณล็อบบี้ของพิพิธภัณฑ์ เดินผ่านแล้วต้องสะดุดกับความล้ำสมัย มีกระจกโปร่งใสสะท้อนภาพภายในร้านที่ทำให้เราตกใจไม่น้อย เพราะบาริสต้าเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นหุ่นยนต์แขนกลยืดยาว กำลังชงกาแฟอย่างขยันขันแข็ง เพื่อให้ตรงกับคอนเซปต์ Transparent Production เขาจึงโชว์ทุกขั้นตอนแบบมืออาชีพ ตั้งแต่บดเมล็ด กด สกัด เราเพียงแค่สแกน QR Code เลือกเมนูที่ต้องการ จ่ายเงิน แล้วไม่เกิน 2 นาทีก็ได้กาแฟสดมาซดเติมพลังทันที เป็นประสบการณ์คาเฟ่ฮอปปิงที่แปลกใหม่สุด ๆ แล้วที่สำคัญคือกาแฟอร่อยด้วยนะ ไอเลิฟเว่อร์!




02 Heili Coffee
หลังจากเดินสำรวจมิวเซียมจนขาร้องขอชีวิต ก็ได้เวลามานั่งชิลที่ ‘Heili Coffee (黑黎咖啡)’ คาเฟ่แนวละมุนละไมสไตล์ Southern‑France vintage ที่อบอวลไปด้วยไฟสีขาวนวล และแสงธรรมชาติที่กรองผ่านผ้าม่านขาวโปร่งแสง แค่ก้าวเข้ามาก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในบ้านของใครสักคนในชนบทฝรั่งเศส เฟอร์นิเจอร์ไม้แบบวินเทจคละแบบถูกจัดวางอย่างไม่เป๊ะเกินไป แต่ดูโฮมมี่ชวนพักผ่อน เหมือนเชื้อเชิญให้นั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือช้า ๆ พร้อมของตกแต่งกระจุกกระจิกแสนคลาสสิก ไม่ว่าจะเป็นกรอบรูปไม้โบราณ ตู้เย็นแบบเก่า ชั้นวางหนังสือ แจกันแห้ง หรือแม้แต่ตู้เค้กที่มีขนมโฮมเมดเรียงรายอยู่ด้านใน ทุกชิ้นล้วนเหมือนผ่านการคัดมาอย่างตั้งใจ และเมื่อรวมกันแล้วกลับกลายเป็นความลงตัวที่ดูละมุนอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอีกจังหวะพักใจที่ต่อเนื่องจากความล้ำของโลกอนาคตก่อนหน้าได้อย่างสวยงาม
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 1 หรือ สาย 11 ลงสถานี Chegongmiao ทางออก D2





กาแฟและขนมของที่ร้านถูกทำออกมาให้ดูอบอุ่นไม่แพ้การตกแต่ง ขนมแต่ละชิ้นหน้าตาแสนโฮมมี่น่าเจี๊ยะ ล้วนเป็นขนมสไตล์ตะวันตกทั้งหมด ส่วนกาแฟเป็นแบบ Specialty ที่เราลองสั่ง Hot Latte ซึ่งบาริสต้าตวัดฟองนมเป็นรูปหงส์สวยงาม กินคู่กับเบเกิลเหนียวนุ่ม และ Madeleine อุ่นร้อนที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ช่วยเพิ่มรสหวานระหว่างวันได้อย่างเนียนนุ่ม แต่ถ้าใครสายหวานอยากจัดหนัก ลอง 3 เมนูแนะนำของเขา ได้แก่ Caramel French Toast, Corn Tart และ Sweet Potato Caramel Pudding ซึ่งแต่ละจานดูใหญ่เต็มอิ่ม เหมาะกับการเติมพลังยามบ่ายสุด ๆ



03 Qianhaishi Park (前海石公园)
รอให้แดดร่มลงสักหน่อย เราก็ปักหมุดไปเดินเล่นต่อที่ ‘Qianhaishi Park’ สวนสาธารณะริมอ่าวใจกลางเมือง บนพื้นที่กว้างกว่า 84,600 ตารางเมตร (ใหญ่ม๊าก) ที่นี่เป็นโอเอซิสของผู้คนที่โหยหาพื้นที่สีเขียว และยังเป็นมุมถ่ายภาพยอดฮิตของ Bay Glory ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สุดจึ้งของเซินเจิ้นสำหรับเรา ไฮไลต์ของสวนนี้ยังมีหินยักษ์แกะสลักชื่อเมือง ‘前海’ สูง 2.8 เมตร กว้าง 2.1 เมตร ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งโดยเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำคนสำคัญของจีนในยุคเริ่มต้นพัฒนาเซินเจิ้น นอกจากนี้ยังมีจุดเช็กอินอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสะพานไม้ยาว สนามหญ้าตัดแต่งสวยงามที่เหมาะแก่การมาปิกนิก และบางฤดูกาลมีการจัดสวนดอกไม้สวย ๆ แม้จะมาช่วงที่ไม่มีก็ได้ไวบ์เขียวสบายตาเลอค่าไม่แพ้กัน ด้วยความที่สร้างด้วยระบบ sponge city เป็นพื้นที่ซึมซับน้ำ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในช่วงหน้าฝนด้วย จึงทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยแมกไม้แทบทุกฤดูกาล
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 5 ลงสถานี Qianwan ทางออก D




04 Qianhaishi Park – Guiwan Section (桂湾段)
เดินฮอปจุดที่น่าสนใจไปเรื่อย ๆ จนมาถึง ‘Qianhaishi Park – Guiwan Section’ อีกสวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 45 เฮกตาร์ ที่เขาออกแบบให้กลืนไปกับธรรมชาติแบบสุดตัว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Qianhai Water City ที่เน้นสร้างความสมดุลระหว่างเมืองกับสิ่งแวดล้อม เท่ตรงที่เขาใช้ระบบจัดการน้ำแบบ Low Impact Development หรือ LID ที่เก็บน้ำฝนไว้ใช้ได้เยอะถึง 90% และลดมลพิษในน้ำได้อีกเพียบ ด้านเทคโนโลยีก็ไม่ธรรมดา มีระบบเช็กสภาพแวดล้อมอัตโนมัติแบบเรียลไทม์จนคว้ารางวัลออกแบบจาก ASLA-NY ปี 2022 แถมยังถูกเสนอชื่อเข้ารอบรางวัล A+Awards ปีถัดมาอีกต่างหาก ส่วนเราไม่ต้องเข้าใจเทคนิคหมดก็ได้ แค่มาเดินเล่นบน S-bridge ที่โค้งไปโค้งมาให้ชมวิวแบบ 360 องศา หรือแวะสูดกลิ่นเขียว ๆ จากป่าโกงกางกับพื้นที่ชุ่มน้ำก็ฟีลดีไม่เบา เป็นอีกจุดที่นั่งเล่น เดินเพลิน และได้พักสายตาจากตึกเมืองแบบเนียน ๆ
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 5 ลงสถานี Guiwan ทางออก E




05 Bao’an Coastal Cultural Park
พอเลยมาอีกหน่อย เราก็จะเจอกับแลนด์มาร์กริมอ่าวที่เหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ตกที่สุด ‘Bao’an Coastal Cultural Park’ หรือชื่อทางการว่า OCT Oh Bay Haibin Culture Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่รวมครบทุกความต้องการของคนเมือง ทั้งพื้นที่สีเขียวให้เดินเล่นสูดอากาศ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ศิลปะการแสดง และโซนเอนเตอร์เทนเมนต์ โดยแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก คือ โซนกิจกรรม โซนวัฒนธรรม และโซนศิลปะ ไฮไลต์คือโชว์น้ำพุอลังการพร้อมแสง สี เสียง และสะพานชมวิวรูปทรงเก๋ที่ได้แรงบันดาลใจจากเปลือกหอย ปะการัง และปลาหมึก คดโค้งไปตามแนวอ่าว เติมเต็มบรรยากาศธรรมชาติผสานกับความโมเดิร์น ส่วนไฮไลต์เด็ดสุดคือ Bay Glory Ferris Wheel ชิงช้าสวรรค์สูง 128 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 113 เมตร ล้อมด้วย 28 กระเช้า ให้ขึ้นไปชมวิวพาโนรามา 360 องศา เห็นทั้งเมือง เห็นทั้งทะเล บรรยากาศโรแมนติกที่ไม่ควรพลาดเลยจริง ๆ
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 5 ลงสถานี Linhai ทางออก B2





เมื่อตะโกนความเป็นเลิศด้านการใช้เทคโนโลยีผสานกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ด้านสถาปัตยกรรม และความบันเทิงก็ไม่น้อยหน้า กับโซนศูนย์การค้า ‘East & West Waterfront Retail Park’ แหล่งชอปปิงที่เล่นใหญ่เล่นโต อัดแน่นไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ลานกิจกรรม ฯลฯ โดดเด่นด้วยหลังคาและผนังที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ให้กลมกลืนไปกับสวน ออกแบบในคอนเซปต์ ‘organic pebble‑shaped volumes’ สร้างอาคารทรงโค้งมนเหมือนก้อนหิน 3 ชั้นวางเยื้องกันจึงมีระเบียงสำหรับชมวิวได้ชิล ๆ พร้อมทำระบบแบบประหยัดพลังงานเน้นใช้แสงและการระบายอากาศตามธรรมชาติ เรียกว่าสปอตเดียวสามารถพรีเซนต์แนวคิดใหม่ที่ต้องการผสานธรรมชาติ สถาปัตยกรรม และชีวิตคนเมืองได้ปังสุด ๆ


06 Zhongshuge (Huanle Harbour Shop)
ที่นี่บอกเลยว่าห้ามพลาด! ‘Zhongshuge (Huanle Harbour Shop)’ ร้านหนังสือสุดแฟนซีที่ใครมาเซินเจิ้นก็ต้องแวะ เพราะดีไซน์มันล้ำเกินต้าน สาขานี้เป็นแห่งแรกของเมือง กว้างขวางถึง 1,300 ตร.ม. เดินเข้ามาก็เจอกับอุโมงค์ชั้นหนังสือสีแดงคดไปคดมาคล้ายก้นหอย น่ารักปนลึกลับ พร้อมชั้นวางหนังสือที่สูงลิบเรียงกันแบบโคตรเท่ แถมมีไฟเส้นเปล่งแสงแทรกอยู่ทุกมุม ดูล้ำเหมือนหลุดมาอีกโลก ซึ่งทั้งหมดนี้เขาตั้งใจออกแบบให้สะท้อนพัฒนาการของเซินเจิ้น จากหมู่บ้านประมงสู่เมืองสายเทคเต็มตัว ข้างในก็มีโซนให้เดินเล่นเพลิน ๆ ทั้งโซนเด็กที่ตกแต่งเป็นเหมือนปราสาทแฟนตาซี มุมคาเฟ่ให้นั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือชิล ๆ หรือมุม quote คำคมเก๋ ๆ บนผนังกระจกที่ใส่กลิ่นอายความเป็นเซินเจิ้นแบบเนียน ๆ คือครบทั้งความรู้ ความถ่ายรูปได้ และความว้าวเลยแหละ
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 5 ลงสถานี Linhai ทางออก B2



สำหรับบรรยากาศการชมพระอาทิตย์ตกริมอ่าว ต้องบอกว่าเป็นโมเมนต์ที่ชวนหยุดหายใจจริง ๆ เราเห็นแสงไฟเมืองค่อย ๆ ตื่นขึ้น ไล่ไปตามเส้นถนน อาคาร ชิงช้าสวรรค์ แล้วสะท้อนลงบนน้ำแบบระยิบระยับ ขณะเดียวกัน ท้องฟ้าก็กำลังเปลี่ยนเฉดจากฟ้าเป็นเหลือง เป็นส้ม เป็นชมพูแบบค่อยเป็นค่อยไป พอหันไปอีกฝั่งก็เจอกับเวิ้งน้ำที่นิ่งและสงบ จนรู้สึกเหมือนได้รีเซ็ตตัวเอง ที่นี่แค่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียว วิวก็ต่างไปหมด เป็นการปิดท้ายวันแรกที่สวยเกินคาด และแอบตื้นตันกับพลังของเมืองเซินเจิ้นอยู่เงียบ ๆ จนแสงสุดท้ายหายไปเลย



Day 2 ::
07 SellCafe
เช้านี้ขอสลัดลุคสตรีท แล้วคีปคูลเป็นคนเท่สักหน่อย เพื่อมาเริ่มต้นวันที่ ‘SellCafe’ คาเฟ่ในตรอกแถว宝安怡华新村6号 ที่ต้องเดินลัดเลาะตามหานิดนึง ด้านหน้าร้านเป็นกระจกใสบานใหญ่ มีโลโก้รูปกระต่ายกำลังกระโดดติดอยู่ คอยดักสายตาไม่ให้เดินเลยไปไหน โทนในร้านเน้นขาว‑ดำเท่ ๆ ตัดความนิ่งด้วยต้นไม้เขียว ๆ และไฟส้มจากโคมกระดาษมินิมอล กับเส้นไฟฝังผนังที่กลมกลืนกับบรรยากาศได้ดี ของใช้ต่าง ๆ ก็เลือกมาแบบมีสไตล์ ทั้งสบู่ล้างมือ Aesop, เทียนหอม Le Labo, เครื่องถ้วยเซรามิกแฮนด์เมดที่เทสต์ดีไม่เบา เป็นร้านที่ดูออกเลยว่าเจ้าของตั้งใจจัดวางทุกดีเทลแบบใส่ใจจริง ๆ เรียบ หรู เท่ แบบมีคลาสสุด
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 5 ลงสถานี Fanshen ทางออก C




กาแฟของที่นี่ต้องบอกว่าครีเอตสุด ๆ ใครที่อยากลองอะไรแปลกใหม่ไม่ซ้ำร้านอื่น เรามี 2 เซตแนะนำ เริ่มจากเซตแรก เป็นกาแฟที่ผสมกลิ่นหอม ๆ อย่างใบกระวานจีน โหระพา และดอกส้มจากเอธิโอเปีย พอรวมกับกลิ่นกาแฟแล้วได้ความหอมสดชื่นแปลกดี มีมิติแบบนุ่มลึก ส่วนอีกเซตที่เราสั่งจะเป็นกาแฟที่เลือกเมล็ดเองได้ เสิร์ฟมา 2 แก้ว เป็นลาเต้กับอเมริกาโน่ เลือกได้เลยว่าจะเอาร้อนหรือเย็น เราลองแบบร้อนแล้วชอบมาก เพราะเขากรองรสกับกลิ่นมาได้เนียนพอดี ไม่มีรสไหม้แรง ๆ หรือจางเกินไป จิบแล้วรู้เลยว่าใส่ใจทุกแก้ว สมกับที่เป็นร้านโปรดของสายกาแฟในเมือง

08 Nantou Ancient City
ชมความปัง ความล้ำ ความเก๋กันไปแล้ว มาเปลี่ยนบรรยากาศเดินบนถนนสไตล์ย้อนยุคกันบ้างที่ ‘Nantou Ancient City’ พื้นที่ประวัติศาสตร์อันเป็นต้นกำเนิดของเมืองเซินเจิ้น มีประวัติยาวนานกว่า 1,700 ปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ้น กลายเป็นเมืองท่าทางการค้าสำคัญช่วงราชวงศ์หมิง กระทั่งมีการสร้างกำแพงเมืองเมื่อ 631 ปีก่อน ในนี้กินพื้นที่มากถึง 24.5 เฮกตาร์ แม้หน้าตาจะเหมือนเมืองจำลอง แต่ความจริงในนี้ยังคงมีสิ่งปลูกสร้างโบราณหลงเหลือให้เราเก็บกลิ่นอายความรุ่งเรืองครั้งก่อนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น South Gate ประตูหินแกะสลักคำว่า 宁南 (ความสงบทางใต้) อันยิ่งใหญ่สูงถึง 4.5 เมตรที่ตั้งอยู่ฝั่งถนน Shennan, ศาลเจ้าเก่าแก่, สำนักงานว่าการที่ปัจจุบันผันเป็นพิพิธภัณฑ์ รวมถึงสถานที่สำคัญอื่น ๆ ที่ยังคงเล่าเรื่องราวของอดีตผ่านดีเทลและโครงสร้างเก่าแก่ได้อย่างน่าประทับใจ
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 12 ลงสถานี Zhongshan Park ทางออก D




แม้ไวป์ภายในอาจจะดูเก่า แต่ที่นี่ก็ยังถูกพัฒนาขึ้นในแบบของตัวเอง โดยยังคงเค้าโครงดั้งเดิมไว้ และเติมเต็มความโมเดิร์นพร้อมแต่งแต้มศิลปะเข้าไปอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของฝาก คาเฟ่สวย ๆ สตรีทฟู้ด ร้านของดีไซน์ แกลเลอรี หรือแม้แต่กิจกรรมอีเวนต์ต่าง ๆ ทุกอย่างล้วนออกแบบมาได้น่ารักจนทำให้คนผ่านไปมาอยากหยุดมอง







และถ้าใครมาเยือนที่นี่ อย่าพลาดลองเค้กโรลหรือสวิสโรลจากร้าน Cheese Uncle ร้านยอดฮิตที่ชาวจีนมาต่อคิวซื้อกันยาว ๆ ขึ้นชื่อเรื่องเค้กเนื้อนุ่มฟูที่หอมละมุน ด้านในเป็นไส้ครีมฉ่ำ ๆ กำลังดี ไม่ว่าจะเป็นรสนมสด ช็อกโกแลต หรือแบล็กโกลด์มัทฉะ แต่ละรสชาติทำออกมาได้อร่อยจนละลายในปากจริง ๆ


09 Baozhengjing Dining Hall
สำหรับมื้อเช้ากึ่งเที่ยง เรามาลงเอยที่ ‘Baozhengjing Dining Hall’ ร้านแสนสบายที่หน้าร้านทาสีเขียวหยกให้ความรู้สึกเย็นตา มีป้ายไฟโลโก้รูปซาลาเปาลูกใหญ่กำลังถือแก้วกาแฟสว่างวาบ กระจกใสร้านสะท้อนแสงไฟส้มจากด้านในออกมาอย่างโดดเด่น ภายในตกแต่งด้วยไอเดียเล็ก ๆ น้อย ๆ เฟอร์นิเจอร์ไม้สวย ๆ วางอย่างเป็นระเบียบ พร้อมของตกแต่งวินเทจและมุมขายของดีไซน์น่ารัก ๆ เมนูที่นี่มีครบทั้งคาวหวานและเครื่องดื่ม อาหารเป็นสไตล์โฮมมี่แบบจีน รสชาติกลมกล่อมเหมือนฝีมือแม่ อย่างข้าวหมูตุ๋นที่เราสั่งมา เสิร์ฟเนื้อหมูแน่น ๆ ซอสกลิ่นเครื่องพะโล้เข้มข้น ตัดกับผักดองและผักต้มได้อย่างลงตัวสุด ๆ
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 12 ลงสถานี Zhongshan Park ทางออก D





10 DIG-IN Coffee (Shekou Branch)
อีกหนึ่งร้านที่อยู่ในลิสต์อยากไปลองคือ ‘DIG-IN Coffee’ เราเคยเห็นผ่านตาในแอป Red Book กับการตกแต่งสไตล์ American Casual ที่เท่และสบายแบบวัยรุ่นอเมริกัน เข้ากับบรรยากาศชิล ๆ ของย่าน Nanshan ที่อยู่ใกล้ทะเลพอดี เจ้าของร้านเป็นคนที่หลงใหลในกาแฟมาก เลยตั้งใจสร้างร้านนี้ขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Dig in life through coffee’ ที่ไม่ได้เป็นแค่ร้านกาแฟ แต่ยังเป็นคอมมูนิตี้เล็ก ๆ ให้คนมาแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจ แชร์ความชอบ และเรียนรู้เรื่องกาแฟร่วมกัน จนกลายเป็นอีกหนึ่งพื้นที่น่าสนใจสำหรับคนรักกาแฟเลยทีเดียว
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 2 หรือ สาย 12 ลงสถานี Sea World ทางออก A




ปรัชญาความรักที่ร้านมีต่อกาแฟฉายแววชัดเจนเมื่อเราได้เห็นเมนูอย่าง The Flavor RPG ที่หยิบคอนเซปต์เกม RPG (Role-Playing Game) มาใช้ได้อย่างเก๋ มีให้เลือก 3 แก้ว โดยแทนรสชาติด้วยสัญลักษณ์ทรงเรขาคณิต ▲ / ◼︎ / ◗ ซึ่งแต่ละแก้วก็มีเทสต์โน้ตที่แตกต่างกันไป แต่ถ้าเลือกไม่ได้ เขาก็มี All in One Set รวมร่างทั้งสามเป็นรูปจรวดเสิร์ฟมาแบบเท่สุด ๆ หน้าตาแต่ละแก้วดูดีมากจนเหมือนค็อกเทลมากกว่ากาแฟเลยทีเดียว ส่วนตัวเราชอบแก้ว ◗ ที่สุด เพราะกลิ่นหอมเย้ายวนจากเมลอน ชาจัสมิน และมะพร้าวเป็นรสที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนจริง ๆ ส่วนใครถูกใจรสชาติหรือคอนเซ็ปต์ของร้านนี้ เขายังมีของที่ระลึกน่ารัก ๆ อย่างแก้วลายเท่ ๆ ถุงผ้า เสื้อ และของใช้ดีไซน์เฉพาะของทางร้านวางขายไว้ให้เก็บติดมือกลับบ้านได้ด้วย


11 Shenzhen Bay Sports Center
มาต่อกันด้วยงานสถาปัตยกรรมสุดจึ้งอีกสักหนึ่ง ‘Shenzhen Bay Sports Center’ ที่ใคร ๆ ก็มักเรียกกันติดปากว่า Spring Cocoon (春茧) หรือ “รังไหมฤดูใบไม้ผลิ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเซินเจิ้นที่สายออกแบบเห็นแล้วต้องหยุดมอง ด้วยดีไซน์โครงเหล็กที่พาดไขว้เป็นลวดลายโปร่งแสง คลี่คลุมตัวอาคารขนาดใหญ่แบบเบา ๆ แต่ทรงพลัง รังไหมนี้ไม่ได้มาแค่สวย แต่ผ่านการออกแบบอย่างรอบด้าน ทั้งการระบายอากาศตามธรรมชาติและการเล่นกับแสงแดดที่ไหลผ่านตัวอาคารได้แบบไม่ร้อนระอุ ด้านในก็จัดเต็ม แบ่งพื้นที่ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งสนามกีฬากลางแจ้ง ยิมเนเซียมในร่ม และสระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิก เรียกว่าออกแบบมาให้รองรับกิจกรรมได้อย่างมีสไตล์ แถมยังคงกลิ่นอายความกลมกลืนระหว่าง “ฟังก์ชัน” กับ “ฟอร์ม” ได้แบบไม่ต้องพยายามเยอะ อารมณ์เหมือนเห็นแล้วไม่ต้องอธิบายเยอะ มันดี มันมีของ
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 2 หรือ สาย 11 ลงสถานี Houhai ทางออก M

แม้จะไม่ใช่สายสปอร์ตหรือหลงใหลในการชมกีฬา แต่ที่นี่กลับเหมาะมากสำหรับสายถ่ายภาพและสายคอนเทนต์ กับมุมของอาคารที่ให้เราครีเอตเฟรมได้แบบไม่รู้จบ เส้นสายของโครงสร้างดูราวกับกำลังเคลื่อนไหวตลอดเวลา ยิ่งอยู่นานยิ่งเห็นเสน่ห์ของแสงเงาที่เปลี่ยนทิศทางไปเรื่อย ๆ พร้อมสะท้อนประกายเทาของเหล็กออกมาอย่างเงียบ ๆ แต่ชวนมอง หากอยากได้เฟรมที่มีทั้งเมืองและพื้นที่สีเขียว แนะนำให้ลองเดินต่อไปยัง Shenzhen Talent Park จะได้เห็นความลงตัวของสองสิ่งนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น รับรองว่าเป็นสปอตที่สายถ่าย Landscape, Street หรือ Portrait จะต้องได้ภาพงาม ๆ ไว้ลงโซเชียลแบบปัง ๆ แน่นอน



12 MixC Shenzhen Bay
มาเอาใจสายชอปกันบ้างที่ ‘MixC Shenzhen Bay’ แหล่งไลฟ์สไตล์ริมอ่าวที่พรีเซนต์ความเป็นแฟชั่นนิสต้าของเซินเจิ้นได้อย่างสมมง ศูนย์การค้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่าน Shenzhen Bay Super Headquarters Base ซึ่งเชื่อมต่อจาก Shenzhen Talent Park ที่เราเพิ่งเดินผ่านเมื่อครู่ การออกแบบยังคงเล่นกับความโค้ง เส้นสายโมเดิร์นล้ำสมัย เพิ่มความโปร่งสบายด้วยผนังกระจกที่ให้แสงธรรมชาติสาดส่องทั่วถึง ภายนอกมีโซน Plaza แบบเอาต์ดอร์ ให้ฟีลเหมือนเดินอยู่ในเมืองแฟชั่นริมทะเล ที่นี่รวบรวมแบรนด์ไฮเอนด์ไว้ครบ ทั้ง Gucci, Dior, Louis Vuitton และอีกมากมาย รวมถึงคาเฟ่ดีไซน์จัดจ้าน ร้านอาหารระดับมิชลิน โซนแฟมิลี่สำหรับครอบครัว ลานกิจกรรม และนิทรรศการที่หมุนเวียนมาเติมสีสันให้ตลอดทั้งปี
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 11 ลงสถานี Houhai ทางออก G ซึ่งเป็นทางเชื่อมตรงเข้าสู่ห้างเลย


โซนที่โดนใจที่สุดที่เราเดินแล้วสนุกมาก ๆ อยู่ตรงด้านข้างของตัวห้าง เป็นสเปซที่มี Pop-Up Store หมุนเวียนมาเปิดไม่ซ้ำในแต่ละช่วง ตอนที่เราไปตรงกับธีม Bay de Pony Party นำทีมโดยโพนี่ตาหวานตัวโตที่นอนอ้อล้ออยู่กลางลาน พร้อมเครื่องประดับชวนให้นึกถึง Material Girl สายซน ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนก็จะเจอเจ้ามาสคอตตัวนี้กระจายตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั้งโพสท่า เซลฟี่ ชูดอกไม้ หรือเดินชอปปิงแบบจึ้ง ๆ ดูมีชีวิตชีวามากจริง ๆ นอกจากนี้ยังมี Pony Market ตลาดเล็ก ๆ ที่รวมของน่ารักไว้เพียบ ทั้งของแต่งบ้าน ชานมไข่มุกจากร้านฮิต รวมกว่า 20 เจ้า แถมมี Photo Booth ให้ถ่ายไว้เป็นที่ระลึกแบบคิวต์ ๆ ด้วย ใครมีแพลนมาเซินเจิ้น แนะนำให้ลองแวะมาเช็กอินดู เผื่อได้เจองานธีมสนุก ๆ แบบนี้อีก









ร้านที่เราขอหยิบยกขึ้นมารีวิวรอบนี้ชื่อว่า Fresh Export ร้านขนมที่ส่งตรงความอร่อยสดใหม่จากฮอกไกโด กับเมนูซิกเนเจอร์ CROQUANT CHOU ZAKUZAKU ครีมพัฟทรงยาวเคลือบ CROQUANT อัลมอนด์แบบดละเอียด ผสมน้ำตาลและไข่ขาว มอบความกรุบกรอบด้านนอก ก่อนจะเจอเนื้อครีมนุ่ม หอมกลิ่นนมฉ่ำปอดอยู่ด้านใน หรือจะกินเป็นซอฟต์เสิร์ฟโรย CROQUANT ก็ได้เนื้อสัมผัสหวานเย็นสดชื่นไม่แพ้กัน พอสั่งมาถ่ายรูปกับหน้าร้านที่ออกแบบเป็นสีน้ำตาล ให้เข้ากับธีมโพนี่แล้วมันแสนจะเก๋ การจัดวางเก้าอี้ใต้เงาไม้ ฉากหลังเป็นกระจกที่ติดสติกเกอร์ตกแต่งดูขี้เล่น ก็สร้างมู้ดสนุก ๆ ให้เราลั่นชัตเตอร์ได้ไม่หยุดเลย



13 Shenzhen Talent Park
เดินเฉียดไปเฉียดมาอยู่หลายรอบกับ ‘Shenzhen Talent Park’ สวนขนาดใหญ่เว่อร์ที่รวมทุกอย่างไว้ครบ ใกล้ติดทะเล เชื่อมต่อกับเมืองและคนได้ดีสุด ๆ ที่นี่เลยกลายเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ ‘เมืองแห่งนวัตกรรม’ ของเซินเจิ้นแบบชัดเจนมาก เขาสร้างขึ้นมาเพื่อยกย่องคนเก่ง ๆ หรือที่เขาเรียกกันว่า Talents ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เซินเจิ้นก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้าน ภายในสวนมีทั้งสระน้ำ ทะเลสาบเทียม สนามเด็กเล่น ลานกีฬา ลู่จักรยาน และทางเดินริมอ่าวที่ให้เราเดินชิลชมวิวเมืองพร้อมน้ำกับต้นไม้ที่จัดเต็ม มุมจัดสวนและผังทางเดินก็ทำให้เดินง่ายสุด ๆ ที่นี่ยังเป็นจุดจัดงานประจำปี คอนเสิร์ต และนิทรรศการอีกเพียบ เรียกได้ว่าเป็นทั้งที่พักใจและที่เที่ยวที่อยากแนะนำเลย
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 11 และ สาย 13 ลงสถานี Houhai ทางออก M



ก่อนจะไปลุยไฮไลต์สปอต อยากให้เพื่อน ๆ เคลียร์เมมโมรีการ์ดให้โล่ง ๆ ไว้ก่อน เพราะที่นี่ถ่ายรูปมันส์มาก เริ่มที่ Hand Heart Sculpture รูปปั้นมือสองข้างสีฟ้า-ชมพูสดใส ง้องุ้มเข้าหากันเป็นรูปหัวใจ มองทะลุไปเห็นเมืองสุดล้ำสมัย สะท้อนความเป็น Urban Playful ให้เราได้ครีเอตภาพสวย ๆ กันแบบไม่ซ้ำ ตามด้วยลานสนามหญ้าขนาดใหญ่ ที่ขอยกให้เป็นสวนมินิมอลที่สุดเท่าที่เจอในจีนเลย คือเป็นลานหญ้าโล่ง ๆ มีเนินสูงต่ำกับต้นไม้ประปราย เหมาะสุด ๆ กับการปูเสื่อมานั่งชิลรับลมเย็น ๆ แล้วก็มีงานศิลปะกลางแจ้งกระจายอยู่ทั่วสวน เป็นรูปหล่อสำริดคนดังในวงการต่าง ๆ ของจีน พร้อมป้ายชื่อบอกไว้ชัดเจน ใครมาเย็น ๆ หรือค่ำ ๆ อย่าพลาดวิวฝั่งตรงข้ามสวน ที่จะเห็น Shenzhen Bay Sports Center อาคารทรงรังไหมกับตึกสูงระฟ้ารายล้อม แสงบ่ายสะท้อนกระจกวาววับ สาย ๆ กลางคืนเปลี่ยนเป็นไฟสีรุ้งสวยงาม บอกเลยว่ามองเพลินจนไม่อยากไปไหนแน่นอน




ระหว่างที่เดินถ่ายรูปเล่นเพลิน ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นคนมายืนมุงกันอยู่เป็นกลุ่ม เลยขอแวะไปดูด้วยความอยากรู้ แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะสิ่งที่เห็นคือการส่งอาหารแบบใหม่แบบสับ แบบที่บ้านเรายังไม่มีมาก่อน ด้วยการใช้โดรนส่งอาหารจากฟากฟ้าฝ่ารถติดใน ชม. เร่งด่วนได้จึ้ง ๆ เป็นระบบของ Meituan UAS ที่ให้เราสั่งอาหารผ่านแอป Meituan หรือ WeChat กับเมนูที่มีให้เลือกเยอะกว่า 90,000 รายการ จากนั้นโดรนจะบินจากศูนย์กลางในเมือง ไปรับอาหารแล้วส่งตรงมายังตู้อัตโนมัติที่ตั้งอยู่ในสวน ใช้เวลาแค่ประมาณ 10–20 นาทีเอง ใครมานั่งชิลแล้วเกิดหิวขึ้นมา ก็แค่เปิดแอป สั่ง แล้วรอรับของกินแบบไม่ต้องขยับตัวไปไหน ถือเป็นนวัตกรรมที่เห็นแล้วต้องร้องว่า “โอ้โห จีนไปไกลมาก!” เหมือนได้ลองของเล่นจากโลกอนาคตที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่โชว์ในนิทรรศการ




Day 3 ::
14 Yunhai Angel Bay
ยังไม่ทันหายว้าวจากสองวันที่ผ่านมา เช้าวันที่สามก็โดนขยี้ต่อแบบไม่พัก กับสปอตสุดน่ารักที่ทำเอาต้องขยี้ตารัว ๆ ว่านี่จีนจริงใช่ไหม หรือหลุดมาปูซานเข้าให้แล้ว กับ ‘Yunhai Angel Bay’ สถานที่พักผ่อนริมคาบสมุทร Dapeng ที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่นาน ไฮไลต์ของที่นี่คือการได้นั่งรถไฟแคปซูลริมหน้าผาขบวนเล็กจิ๋วสีขาว-น้ำเงินที่ตัดกับวิวท้องฟ้า ทะเล และต้นไม้ได้อย่างน่ารักกรุบ ตีตั๋วเพียง 10 หยวน ก็พาตัวเองขึ้นไปอยู่บนรางที่เลียบริมหน้าผาสูงกว่า 10 เมตร ยาวประมาณ 100 เมตร วิ่งช้า ๆ ให้เราได้ซึมซับกับวิวมหาสมุทรที่ไกลสุดสายตา มุ่งหน้าไปยังหาด Glazed Beach ที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำทะเลใสสะอาดแบบเห็นแล้วอยากกระโดดลงทันที แถมยังมีโรงแรมหรูติดดาวกับสารพัดกิจกรรมทางทะเลให้เลือกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Kayak, Wind Surf, SUP Board, Jet Ski และที่สายถ่ายรูปห้ามพลาดคือโซนชิงช้าริมหาดที่ตกแต่งมาอย่างดี พร้อมให้โพสท่ากันแบบฟีลนางเอกเอ็มวี ( พิกัดนี้จะออกนอกเมืองไปไกลหน่อยนะ ระยะวิ่งรถไฟก็ไม่ได้ยาวมาก ถ้ามองว่าไม่คุ้มการเดินทางก็ตัดได้ แต่ถ้าใครสายถ่ายรูปก็อยากแนะนำ )
การเดินทาง : นั่งบัส E11 จาก LiuYibu 2 ไปลง DaPeng ZhongXin 1 เปลี่ยนขึ้นบัส M583 ไปลง Yunhai ShanZhuang หรือจะเรียก Taxi ผ่าน DiDi ก็ได้เช่นกัน



15 OCT-Loft
สูดลมทะเลจนฉ่ำปอดแล้ว เราก็กลับเข้ามาเติมแฟชั่นและเอเนอร์จีชิค ๆ กันที่ ‘OCT-Loft’ ที่นี่เปลี่ยนโกดังเก่า ๆ ไร้ชีวิตชีวาให้กลายเป็นคอมมิวนิตีสุดสร้างสรรค์ เจิดจรัสไปด้วยงานศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย พัฒนาโดยองค์กรศิลปะ OCAT Shenzhen (OCT Contemporary Art Terminal) ที่จะทำให้เราเข้าใจคำว่า Chinese Modern แบบเจน Z ของชาวจีนได้ดีขึ้น พื้นที่แบ่งให้ร้านงานคราฟต์ คาเฟ่ สตรีทอาร์ต และห้องจัดนิทรรศการสำหรับคนรักศิลปะกับศิลปินรุ่นใหม่ได้ปล่อยของ บอกเลยว่า Pop-up Store คิ้วท์มาก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุด ๆ งานเซรามิก งานออกแบบคาแรกเตอร์ก็สุดยูนีค ใครชอบสะสมงานอาร์ตต้องไม่พลาดเลย
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 1 ลงสถานี Qiaocheng East ทางออก A








16 O·POWER Culture & Arts Centre
สูดแรงบันดาลใจจากครีเอทีฟโซนใกล้ ๆ อย่างต่อเนื่องกับ ‘O·POWER Culture & Arts Centre’ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมของเซินเจิ้น ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวาง เดิมทีเป็นโรงไฟฟ้า Huazhong Power Plant สไตล์ยุค 80’s ที่ให้เสน่ห์เฉพาะตัว ผสมผสานความร่วมสมัยผ่านแนวคิด ‘Retention and Intervention’ ที่นี่แบ่งโซนชัดเจน ใครชอบเรียนรู้ไปโซน Performance & Education มีห้อง O‑Space Theater สำหรับจัดแสดงดนตรี ศิลปะ และเวิร์กช็อป ส่วนสายถ่ายรูปแบบเราแนะนำ Blue Playground ที่นำถังน้ำมันและท่อเหล็กเก่ามาแปลงโฉมเป็นเครื่องเล่นสุดยูนีค ทั้งชิงช้า barrel swing, สไลเดอร์ท่อยาว และบันไดวนโลหะ พร้อมมาหมุนสีขาวเด่นท่ามกลางโครงท่อสีฟ้า น่ารักจนอยากอยู่เล่นทั้งวันเลย
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 8 ลงสถานี Qiaocheng North ทางออก B



17 Shan Jie Hot Pot
มื้อเย็นวันนี้ตั้งใจมาแบบเต็มที่ อยากให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความเลิศ ‘Shan Jie Hot Pot’ ชาบูเจ้าดังจากฉงชิ่ง เมืองต้นกำเนิดหม่าล่า ที่มีสาขาอยู่ใน OCT การตกแต่งร้านโดดเด่นด้วยสไตล์ย้อนยุคขี้เล่นที่โดนใจสุด ๆ เพดานสูงโปร่งใช้วัสดุเหล็กและไม้สีเข้มให้ฟีล Industrial เบา ๆ พร้อมโปสเตอร์ ป้ายสัญลักษณ์ และชั้นกระเบื้องครัวสมัยก่อนมาตกแต่ง ให้บรรยากาศร่วมสมัยสุด ๆ เมนูยอดนิยมที่ห้ามพลาดคือ ‘เนื้อวัว 4 แบบ’ ‘บัวลอยมันเทศ’ และ ‘ชุดอาหาร 8 อย่าง’ ที่จัดมาแบบยิ่งใหญ่เป็นเอกลักษณ์ หรือถ้าอยากสั่งเนื้อแยกก็มี Narrow beef, garlic beef, double pepper beef, coriander beef เนื้อนุ่มคุณภาพดี ให้เลือกตามชอบ พร้อมเพิ่มความกรุบกรับด้วย ‘ไส้เป็ด’ และ ‘สะไบนาง’ ที่ล้างอย่างดีไร้กลิ่นสาบ กินคู่กับหม่าล่าเผ็ดชาถึงใจ บอกเลยว่ามื้อนี้คือความคอมพลีทของทริปจีน
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 1 ลงสถานี Qiaocheng East ทางออก A


Day 4 ::
18 Shenzhen SEG Electronics Market
เช้าวันสุดท้ายขอพาทุกคนมาเปิดโลกไอที ในตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ‘Shenzhen SEG Electronics Market’ ที่มีอาคารและศูนย์การค้ามากกว่า 10 แห่งบนย่าน Huaqiangbei อาคารหลักจะมีจุดเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ อาทิ SEG Plaza, Huaqiang Electronics World, Saige Digital Mall หากตีเป็นกลม ๆ แล้วมีร้านค้ามากถึง 15,000 ร้านเลยทีเดียว ด้านสินค้านั้นหลากหลายละลานตาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, หุ่นยนต์ทำงานด้านต่าง, อุปกรณ์เสริม, อะไหล่สำหรับงาน DIY, กล้องมือสองสไตล์เด็กเจน Z ไปจนถึงนวัตกรรมล่าสุด ที่นี่ก็มีวางขายให้เราได้ซื้อไปทดลองใช้ แม้จะไม่ใช่สาย Gadget แต่เราเชื่อว่าใครได้มาเดินจะต้องได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้าน หรือได้ไอเดียไปต่อยอดธุรกิจแน่ ๆ ชี้ช่องทางรวยขนาดนี้ต้องมาตามกันแล้วนะ
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 1 ลงสถานี Huanqiang Rd ทางออก A




19 The MixC World (万象天地)
ตะลุยตลาดไฮเทคจนอิ่มตา ก็ได้เวลาตะลุยแฟชันกันต่อในวันชอปปิงเดย์สุดปังกับ ‘The MixC World’ แหล่งชอปปิงขนาดใหญ่ในอาคาร 10 ชั้น เดินขึ้นจากรถไฟใต้ดินสถานี Hi-Tech Park ก็เจอเลย โครงสร้างที่นี่จะเน้นให้มีทั้งพื้นที่อินดอร์ และเอาท์ดอร์คละเคล้ากันไป ซึ่งเป็นการออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Transit-Oriented Development (TOD)’ เพื่อประสบการณ์การชอปแบบใหม่แบบสับ ทวิตส์อารมณ์ให้เราเดินได้ไม่เบื่อหน่าย เพลิดเพลินกับร้านค้ากว่า 300 ร้าน รวมกว่า 1,000 แบรนด์ รวบตึงทั้งแฟชันแนวสตรีท แคชวล และไฮเอนด์ แบรนด์ไหนของหายากที่นี่มีหมด ละลายทรัพย์ได้เพลิน ๆ หากนอนแถวนี้เขายังมีโซนร้านอาหารที่เปิด 24 ชม. หิวดึกขนาดไหนก็ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป และยังเป็นแหล่งเอนเตอร์เทนเมนต์สุดป็อปของคนเมืองกับลานสเก็ตน้ำแข็งมาตรฐานโอลิมปิก โรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ พร้อมกับงานนิทรรศการที่หมุนเวียนมาสร้างความคึกคักไม่ขาดสาย
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 1 ลงสถานี Hi-Tech Park ทางออก A



ส่วนมุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ ของศูนย์การค้าแห่งนี้ต้องยกให้ ‘Bubblecoat Elephant’ อินสตอลเลชันอาร์ตที่จัดเต็มเรื่องคาแรกเตอร์ กับน้องช้างสีเทาหน้าตาจิ้มลิ้ม เนื้อฟูนุ่มนิ่ม ที่ยืนทำหน้างง ๆ อยู่บนดาดฟ้าตึกอย่างน่าเอ็นดู ผลงานนี้เป็นของศิลปินชาวดัตช์ Florentijn Hofman เจ้าของไวรัลระดับโลกอย่าง Rubber Duck และสนามเด็กเล่น Kraken ที่เคยทำให้เซินเจิ้นเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และคราวนี้น้องช้างก็มาแบบไม่แพ้ผลงานก่อน ๆ ด้วยความสูงกว่า 7.5 เมตร และงวงที่ทอดยาวลงมาราว 24 เมตร แถมยังพ่นละอองน้ำให้คนที่เดินผ่านได้รับความสดชื่นเป็นช่วง ๆ โดยศิลปินตั้งใจให้งานชิ้นนี้เป็นเหมือนรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มอบให้คนเมืองในจังหวะชีวิตที่รีบเร่ง กลายเป็นไอคอนแห่งความสนุกที่ใครเห็นก็ต้องหยุดมองแล้วหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายแน่นอน

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่กลายเป็นกระแสสุดฮิตจนโซเชียลทั้งจีนและต่างชาติพูดถึงไม่หยุด คือ ‘The Mixc Life’ โซนร้านค้าที่เน้นสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นดีไซน์สุดเก๋ จุดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น Pop-up ของ Gentle Monster แบรนด์แว่นสายแฟจากเกาหลีใต้ที่เป็นขวัญใจเซเลบรุ่นใหม่ทั่วโลก ที่นำเสนอ Installation Art ขนาดใหญ่สุดล้ำอย่าง Giant sculptures of sleeping human รูปปั้นมนุษย์ขนาดใหญ่ในท่านั่งคุดคู้ที่ดูเหมือนมีชีวิตจริง ใส่ใจรายละเอียดจนเห็นเส้นเลือดอย่างชัดเจน และ Three Oracles งานศิลป์สามใบหน้าผู้หญิงที่ผมเปียยาวเชื่อมโยงกัน พร้อมการใช้แสงเงาที่สมจริงจนแทบเหมือนมีเลือดเนื้อราวกับมีชีวิต นอกจากนี้ยังมีผลงานศิลปะอีกหลากหลายชิ้นที่เติมเต็มบรรยากาศและสร้างสีสันให้โซนนี้กลายเป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง รอบ ๆ อาคารยังเต็มไปด้วยงานอาร์ตเก๋ ๆ ให้เดินฮอปปิงจนจุใจ เรียกได้ว่าเป็นจุดพบปะที่ผสานแฟชั่นและศิลปะเข้าด้วยกันได้แบบมงลง




20 Dongmen Pedestrian Street
ก่อนจะรับกระเป๋าจากโรงแรมเพื่อเดินทางไปยังสนามบิน เรามาเปย์ตัวเองแบบโลคอลกันก่อนที่ ‘Dongmen Pedestrian Street’ ถนนชอปปิงยาวเกือบ 2 กม. ที่เริ่มจากเมืองประมงเล็ก ๆ จนกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าขายตั้งแต่ปี 50’s สถาปัตยกรรมที่นี่จึงผสมผสานจีนโบราณกับอาคารสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ร้านค้าส่วนใหญ่เน้นทาร์เกตวัยรุ่นและวัยทำงาน มีสินค้าแฟชั่นจับต้องง่าย พร้อมห้างสรรพสินค้าสำหรับชอปแบรนด์โกลบอล ไฮไลต์คือป้าย LED ขนาดใหญ่ที่โค้งตามมุมตึก ฉายภาพ 3D ตื่นตา เห็นน้องแมวเดินยื่นหน้าออกมานอกจอราวมีชีวิตจริง เป็นสปอตที่ใครมาเยือนต้องถ่ายวิดีโออัปลงสตอรีสร้างคอนเทนต์กันไม่หยุด
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 1 ลงสถานี Laojie ทางออก H


นอกจากสินค้าละแวกนี้จะซื้อง่ายขายคล่อง เรายังได้เบิร์นเงินหยวนเพิ่มแคลอรีกับสตรีทฟู้ดหน้าตาจัดจ้านมากมาย ไม่ว่าจะเป็นของเสียบไม้โรยผงหม่าล่าที่เห็นแล้วน้ำลายสอ หรือเมนูท้องถิ่นเด็ดอย่าง 糯米鸡翅 (nuò mǐ jī chì) ปีกไก่ยัดไส้ข้าวเหนียวปรุงรส ย่างจนหนังกรอบ มันไก่ซึมเข้าข้าวเหนียวกลายเป็นกลิ่นรสแสนกลมกล่อม ปิดท้ายด้วยชาผลไม้ปั่นเย็นซ่านจากร้านดัง Hey Tea ร้านชาขวัญใจวัยใส ที่ช่วยล้างปากให้สดชื่น จบทริปได้แบบปังปุริเยเลย




ก่อนออกเดินทางไปจีน นอกจากเตรียมแพลนเที่ยวพร้อมมุมถ่ายรูปสุดปังแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือแอปพลิเคชันจำเป็น ที่จะช่วยให้การเดินทางและการใช้ชีวิตสะดวกขึ้นมาก โดยเฉพาะเรื่องจ่ายเงินที่จีนขึ้นชื่อเรื่องสังคมไร้เงินสด เพราะคนส่วนใหญ่สแกนคิวอาร์โค้ดผ่าน Alipay หรือแอปที่เชื่อมต่อกับ Alipay อย่าง TrueMoney, YouTrip หรือ SCB Planet ได้ทันที ไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยาก
ทั้งนี้ยังมีแอปสัญชาติจีนอีกหลายตัวที่ช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น :
-
Amap / Baidu Map – แผนที่ที่แม่นกว่ากูเกิลแมป แถม Amap ยังมีเวอร์ชันภาษาอังกฤษแล้วด้วย
-
Trip.com – สำหรับจองตั๋วรถไฟ ที่พัก ตั๋วเครื่องบิน
-
DiDi – แอปเรียกรถในจีน ใช้งานคล้าย Uber หรือ Grab
-
WeChat – แอปแชตคู่บ้านคู่เมืองของจีน ตอนนี้นักท่องเที่ยวก็ใช้ WeChat Pay ได้แล้วโดยผูกบัตรไทย
-
Xiaohongshu 小红书 (Little Red Book) – แพลตฟอร์มรีวิวแนวไลฟ์สไตล์ ร้านอาหาร คาเฟ่ ที่พัก
-
MetroMan – วางแผนเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน ใช้ง่ายแม้ไม่รู้ภาษาจีน
-
Google Translate – ผู้ช่วยแปลภาษาที่ช่วยให้การสื่อสารราบรื่นขึ้นเยอะ
แม้แอปจะอำนวยความสะดวกได้มาก แต่การพูดคุยด้วยตัวเองก็ยังช่วยเพิ่มความเป็นกันเองได้เสมอ ลองซ้อมคำง่าย ๆ อย่าง “ขอบคุณ” “อร่อย” หรือ “หิว” ติดตัวไว้สักหน่อย แค่นี้ก็เพิ่มเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวดูเฟรนด์ลี่ขึ้นอีกเพียบ ฟีลเดียวกับเวลาฝรั่งพยายามพูดไทยนั่นแหละ 🙂


อีกเมืองที่พลิกโฉมภาพลักษณ์จีนให้ดูดีขึ้นแบบ x100 ต้องยกให้เซินเจิ้น เมืองที่ไม่เพียงแค่ “พัฒนาเร็ว” แต่คือการ “รีเซต” เมืองใหม่ทั้งระบบ ทั้งการวางผังเมือง การจัดการน้ำ การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีล้ำ ๆ กับพื้นที่สีเขียว ทุกอย่างถูกออกแบบให้สนับสนุนกันอย่างฉลาดลึก เหมาะสุด ๆ สำหรับใครที่ชอบเสพนวัตกรรม ดูงานดีไซน์เจ๋ง ๆ หรือจะเดินสายกินก็อิ่มทั้งปากทั้งตา เที่ยวที่เดียวได้ครบทั้งความไฮเทค กลิ่นอายจีนเก่า และวิถีคนเมืองที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เซินเจิ้นไม่ใช่แค่จุดหมาย แต่เป็นประตูบานใหม่ที่ทำให้เราเข้าใจว่า “จีนยุคใหม่” ล้ำได้ขนาดนี้เลยเหรอ ลองเปิดใจ แล้ว #บินไปติดล้ำ #บินไปติดคอนเทนต์ ที่เซินเจิ้นด้วยกันกับเราเถอะ





