พอนึกถึงดินแดนแห่งศิลปะหลากสไตล์ คาเฟ่ที่หอมกรุ่นบนถนนเส้นลึกแต่ไม่ลับ เสียงดนตรีจากศิลปินข้างทาง รวมถึงธรรมชาติที่เข้าถึงได้ง่ายดาย Melbourne ประเทศออสเตรเลีย จะเป็นหนึ่งในเมืองที่ผุดขึ้นมาในหัวเสมอ
ถ้าหากเปรียบเมลเบิร์นเป็นเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง โร้ดทริป 5 วันครั้งนี้ เราก็อยากชวนทุกคนเปิดอ่านไปทีละหน้า สัมผัสไปทีละประสบการณ์ ลิ้มไปทีละรส แล้วชื่นชมไปทีละกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นการแกล้งเดินหลงในเมืองที่มีรถรางคลาสสิกวิ่งผ่านราวกับฉากในหนังเรื่องเก่า โผล่ไปถ่ายรูปตามตึกรามบ้านช่อง และสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย นั่งจิบกาแฟในคาเฟ่ที่สวยเหมือนอยู่ในความฝันใครบางคน หรือออกนอกเมืองไปชมความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ พร้อมสะสมความทรงจำที่ไม่ได้มีแค่คำว่าสวย แต่มันคือคำว่างดงาม งามแบบที่ทำให้เราเงียบได้เป็นนาทีเพื่อซึมซับ และน่าประทับจนฝังลึกลงไปในความทรงจำ
ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม จะมีอะไรรออยู่บ้างที่เมลเบิร์น เชิญอ่านบันทึกเล่มนี้ที่เพื่อน ๆ อาจจะไม่อยากให้จบไปพร้อมกัน ๆ กันได้เลย





ถ้าเส้นทางไหนที่การบินไทยไปถึง… แน่นอนว่ามันจะเป็นสายการบินแรกที่เราเลือกทุกครั้ง อย่างทริปนี้ เส้นทางกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ สู่เมลเบิร์น Thai Airways มีให้เลือกบินถึง 2 เที่ยวต่อวัน ทั้งช่วงเช้าและช่วงค่ำ ใช้เครื่องบินลำใหญ่ Airbus A350-900 ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกบินชั้น Economy หรือ Business Class ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความอึดอัด ส่วนใครที่เลือกบินชั้นธุรกิจ หรือเป็นสมาชิกบัตรทอง ก็อย่าลืมใช้สิทธิพิเศษเข้าใช้บริการที่เลานจ์การบินไทยด้วยล่ะ ช่วงนี้เขามีคอนเซปต์พิเศษต้อนรับปี ’65 ปรับโฉมใหม่ภายใต้ธีม The New Worlds of Tomorrow มาพร้อมแนวคิด Chef of the Month ที่จะสลับเปลี่ยนเชฟมารังสรรค์เมนูพิเศษในแต่ละเดือนแบบไม่ซ้ำ เอาใจเก่งขนาดนี้ มี 10 ก็ต้องให้ 10 ไปเลย
รายละเอียดเที่ยวบินเพิ่มเติม ::
ขาไป Suvarnabhumi Airport (BKK) – Melbourne Airport Tullamarine (MEL)
TG461 : 08:10 – 20:00
TG465 : 19:40 – 07:30 (+1)
ขากลับ Melbourne Airport Tullamarine (MEL) – Suvarnabhumi Airport (BKK)
TG466 : 13:30 – 20:00
TG462 : 23:30 – 06:00 (+1)


ทริปนี้เราเลือกบินกับ TG465 ในเวลาสุดเพอร์เฟกต์ เทคออฟ 19.40 น. และแลนด์ดิ้งสวย ๆ ตอน 7.30 น. ของเช้าวันถัดไป เป็นไฟลต์บินตรง 9 ชั่วโมงที่สะดวกสุด ๆ โดยที่นั่งในชั้นโดยสารแบบ Economy จะแบ่งเป็น 3-3-3 นั่งสบาย ไม่อึดอัด พร้อมบริการเสิร์ฟอาหารถึง 2 มื้อด้วยกัน คือหลังเครื่องออกเป็นอาหารเย็น และก่อนเครื่องลงเป็นอาหารเช้า และระหว่างเดินทาง ถ้าใครอยากจะรีเควสต์ขนมและเครื่องดื่มก็สามารถทำได้ตลอดเวลา ดื่มด่ำสำราญจนอิ่มท้องแล้วคล้าย ๆ อยากดูหนัง เค้าก็มี Playlist ให้เลือกแบบจุใจ และสำหรับใครที่คิดถึงนิตยสาร Sawasdee ก็ต้องบอกว่าขอยินดีด้วย เขากลับมาอีกครั้งแล้ว ส่วนใครที่เป็นสาย life is always connected เขาก็มีไวไฟบนเครื่องให้เชื่อมต่อได้ตลอดการเดินทาง ผลอแป๊บเดียวเราก็พร้อมรับรถที่สนามบิน และออกเที่ยวได้แบบชิล ๆ ในทันที


DAY 1 ::
The Great Ocean Road
บางเส้นทางไม่ได้พาเราแค่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แต่มันพาเรา “เดินทาง” ดำดิ่งสู่ความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น The Great Ocean Road คือหนึ่งในนั้น ถนนเลียบทะเลอันโด่งดังแห่งรัฐวิกตอเรียที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรม ท่ามกลางคลื่นลม หน้าผาสูงชัน และทางโค้งคดเคี้ยว ล้วนซ่อนเรื่องราวแห่งการฟื้นฟู ความสูญเสีย และการเริ่มต้นใหม่ ที่ทหารผ่านศึกกว่า 3,000 คนร่วมแรงสร้างขึ้นด้วยมือเปล่าระหว่างปี 1919 ถึง 1932 เพื่อเชื่อมเมืองอันห่างไกลเข้าด้วยกัน แค่ได้ฟังก็เหลือเชื่อ ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งงดงามจนไม่อาจละสายตา ก้อนหินทุกก้อน ทางโค้งทุกช่วง เหมือนมีเสียงกระซิบจากอดีตซ่อนอยู่ ทำให้หัวใจเราแอบสั่นไหวอย่างประหลาด แม้เรื่องราวเหล่านั้นจะไม่ใช่ของเราโดยตรง แต่มันกลับแตะลึกถึงใจได้อย่างน่าอัศจรรย์

Split Point Lighthouse
ถ้า The Great Ocean Road คือหนังสือเล่มโต Split Point Lighthouse ก็คงเป็นบทแรกที่เปิดเรื่องด้วยแสงสว่าง ประภาคารแห่งนี้ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อ Aireys Inlet มันไม่ได้ทำหน้าที่แค่ส่องทางให้เรือเดินสมุทรในวันที่หมอกลงเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนสัญญาณเริ่มต้นสำหรับนักเดินทางที่กำลังออกผจญภัยบนถนนสายฝัน ลมทะเลที่พัดแรงพอให้เส้นผมปลิวราวกับฉากในนิยาย ท้องฟ้าสีฟ้าจัดตัดกับตัวประภาคารสีขาวสวมหมวกแดง ราวกับภาพสีน้ำที่มีชีวิต รวมถึงเสียงคลื่นกระทบโขดหินเบื้องล่าง ทั้งหมดนี้ทำให้ที่นี่ไม่ใช่แค่ “จุดแวะ” แต่คือ “จุดเริ่มต้น” ที่น่าจดจำ และยังเป็นประภาคารในความทรงจำของใครหลายคนจากซีรีส์ออสเตรเลียสุดคลาสสิก Round the Twist ที่ถ่ายทำ ณ ที่แห่งนี้




หลังจากเดินสำรวจมาแบบเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ เราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเสาหินบะซอลต์สีส้มก้อนใหญ่ สูงตระหง่านโดดเด่นและแปลกประหลาดที่เกิดจากภูเขาไฟโบราณเมื่อหลายล้านปีก่อน บริเวณนี้ไม่ใช่แค่สำหรับชมวิว แต่มันถูกประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ทางทะเลตั้งแต่ปี 2002 ภายใต้ชื่อ Eagle Rock Marine Sanctuary เพื่อคุ้มครองสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่และธรรมชาติโดยรอบ ที่นี่จึงไม่มีเสียงเรือยนต์คอยรบกวน ไม่มีการจับปลา ไม่มีการขุดค้น มีเพียงคลื่น ลม และนักเดินทางผู้เงียบงัน สายลมพัดแรงตีหน้าจนเราต้องหลับตาลง ในขณะที่หัวใจของเราค่อย ๆ ตื่นขึ้น แม้มันไม่ใช่สถานที่ที่หวือหวา แต่มันก็ถือเป็นสถานที่แรกที่สร้างความประทับใจให้กับพวกเรามาก ๆ


Eastern View
เมื่อขับตามถนนมาทางตะวันตกของ Aireys Inlet เราจะมาถึง Eastern View ที่นี่มี Great Ocean Road Arch ประตูไม้หินที่ถูกสร้างในปี 1939 เพื่อเชิดชูผู้สร้างถนนสายนี้ Memorial Arch ที่ทอดตัวข้ามถนน Great Ocean Road ราวกับแขนสองข้างที่ยื่นออกต้อนรับนักเดินทาง มันไม่ใช่แค่ซุ้มประตูธรรมดา แต่มันคือเครื่องหมายบอกว่า เรากำลังยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของถนนที่ถูกสร้างจากสองมือและหัวใจของผู้คนที่มากที่สุดสายหนึ่งในโลก เพราะประตูแห่งนี้คือเกียรติยศที่สร้างเพื่อสดุดีเหล่าทหารผ่านศึกที่กลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 กว่าสามพันคน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประตูไม้แห่งนี้ถูกเปลี่ยนซ่อมหลายครั้ง จากไฟป่า พายุ ลมแรง แต่ไม่ว่ากี่ครั้ง มันก็กลับมายืนแข็งแรงตระหง่านอยู่ตรงนั้น เราจึงเห็นนักเดินทางมากมายหยุดเพื่อเก็บภาพความทรงจำก่อนผ่านบริเวณนี้ไปเสมอ


Teddy’s Lookout
ยามที่เราเลี้ยวรถจากเมือง Lorne ขึ้นไปตามถนน George Street เส้นทางคดเคี้ยวไต่ระดับจนได้ยินเสียงกระซิบของลม นั่นแหละ … เรากำลังเข้าใกล้ Teddy’s Lookout หลังจากจอดรถแล้วเดินผ่านเนินเขาอันเงียบสงบที่ล้อมรอบด้วยพุ่มไม้พื้นเมือง และกลิ่นหอมของยูคานิคตัส จุดชมวิวสีเทาอ่อนที่ปลายทางก็เผยให้เราเห็นเส้นโค้งของถนน Great Ocean Road ที่ลากผ่านความเขียวครึมของภูเขา และแม่น้ำ St. George ซึ่งทอดตัวเลี้ยวลดคดเคี้ยว ก่อนจะโอบตัวเข้าหาทะเลสีฟ้าสดของ Southern Ocean คลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟองคลื่นสีขาวส่งเสียงซู่ซ่า เป็นความเรียบง่ายอันน่าเบื่อหน่ายที่เราไม่เคยเบื่อเลย


ยืนอยู่สักพักก็ยังไม่เห็นหมีสักตัวแถมป้ายเตือนเรื่องหมีก็ไม่มีซักแผ่น ต่อมความอยากรู้เรื่องชื่อ Teddy ว่าเป็นมาอย่างไร ก็ทำให้เราได้พบข้อมูลที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า ในช่วงที่กำลังก่อสร้างถนนเส้นนี้ Ted Babington คือชายผู้ทำหน้าที่ขนไม้จากโรงเลื่อยริมแม่น้ำ St. George มาพร้อมกับสองเพื่อนร่วมทาง Ted Hogan และ Ted Bolger ทั้งสามลำเลียงไม้ขึ้นทางลาดชันด้วยแรงม้า แต่เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขาก็เลือกใช้มันเป็นจุดแวะพัก อีกทั้งยังเอาไว้คอยซุ่มมองว่ามีใครตามหลังพวกเขามาหรือไม่ ดังนั้นเมื่อ 3 Ted มาเจอกัน ที่นี่จึงถูกขนานนามไว้ว่า Teddy’s Lookout ตามชื่อของทั้ง 3 คน


Twelve Apostles
ในบางครั้งการเดินทางของเรา ก็มักมีหมุดหมายทซ่อนอยู่ในหมุดหมายหนึ่ง และที่นี่ก็เป็นเช่นนั้น ไอ้ต้าวความรักที่เห็นผ่านตาตามเว็บไซต์ บิลบอร์ด และนิตยสารต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มหัดเที่ยว นี่คือครั้งแรกที่เราจะได้พบกับ Twelve Apostles เสาหินปูนขนาดมหึมา ตั้งเรียงกันอยู่กลางทะเลราวกับใครสักคนวางมันไวด้วยมือเปล่า เสาหินเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเวทมนตร์ แต่เกิดจากมือของธรรมชาติที่ขยันและอดทน เพื่อจัดแสดงผลงานปฎิมากรรมทางธรรมชาติมาตั้งแต่ 15 ล้านปีก่อน แต่เดิมมันถูกกัดเซาะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ก่อนถูกกันกร่อนจนเพดานถล่มลงมาเหลือเพียงเสาหินปูนรูปทรงประหลาด 9 ต้น ที่สูงถึง 45 เมตร และทรุดตัวกลับคืนสู้ท้องทะเลอีกครั้งในปี 2005 กลายเป็น 8 ต้นเท่านั้น จากนี้คงไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจะถูกเรียกกลับคืนสู่อ้อมกอดแห่งท้องทะเลอีกเมื่อใด ดังนั้นหากมีโอกาสเราก็อยากให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาสักครั้ง


เริ่มต้นด้วยเสาหิน 9 ต้น แล้วชื่ออันแสนศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้หลายคนคิดว่าพวกมันต้องมี 12 ต้นจริง ๆ นั้น มันมาได้อย่างไร? แม้ว่าทุกคนอาจไม่สงสัย แต่เราจะเล่าให้ฟัง พวกมันเคยมีชื่อที่ฟังแล้วแอบขำปนน่าเอ็นดูว่า Sow and Piglets หรือแปลไทยได้ว่า “แม่หมูกับลูกหมู” บางคนว่าเพราะรูปร่างเสาหินบางก้อนดูมน ๆ ตุ้ย ๆ แต่บางคนก็ว่าชื่อนี้มาจากวิถีชาวประมงที่ตั้งขึ้นแบบขำ ๆ เมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มหลั่งไหล กล้องเริ่มจ้อง ฟิล์มเริ่มจับภาพ ก็เลยมีคนคิดว่าเรียกแม่หมูกับลูกหมูต่อไปคงไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ จึงตั้งชื่อใหม่ว่า Twelve Apostles ที่ฟังดูศักดิ์สิทธิ์ ลึกลับ และทรงพลัง แม้ว่าตอนตั้งชื่อจะมีหินให้เห็นแค่ 9 ก้อนก็ตามที นี่แหละคือความชิลแบบชาวออสซี่แท้ ๆ


เมื่อแสงสีทองสาดสะท้อนเต็มผืนฟ้า สัญญานที่บอกกับเราว่าการแสดงองค์สุดท้ายของวันกำลังมาถึง ท้องฟ้า ผืนทะเล ก้อนหิน และทิวเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้าทำงานประสานกันราวกับวงออร์เคสตร้ากำลังบรรเลงเพลงในช่วงไคล์แมกซ์ แค่จะกระพริบตาเรายังแทบไม่กล้า เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันเกินกว่าจะหาคำบรรยาย ท้องฟ้าค่อย ๆ หยอดสีเทาจนเกือบดำโปรยปรายจากสุดสายตาเข้าสู่กลางฝ่ามือ บทเพลงท่อนฟินาเล่ก็เดินทางมายังโน๊ตตัวสุดท้าย คอนดั๊กเตอร์หุบมือเก็บไม้ แต่เป็นพวกเราฝ่ายผู้ชมที่ลุกขึ้นปรบมือ ก้มโค้งให้กับการบรรเลงอันยอดเยี่ยมนี้ แม้แต่ยามที่อากาศเย็น ๆ สัมผัสกับใบหน้า กลิ่นอายของภูเขาและทะเล เสียงของสายลมและเกลียวคลื่น แม้เราจะกลับมาแล้ว แต่ก็ยังจดจำบทบรรเลงนั้นได้อย่างชัดเจน



DAY 2 ::
Glass Roots Daily Café
แสงเช้ารินผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ พาดทับไอน้ำร้อนที่ลอยอ้อยอิ่งจากถ้วยกาแฟสีขาวบนโต๊ะไม้เรียบแห่ง Glass Roots Daily Café คาเฟ่เล็ก ๆ ไม่ไกลจากชายฝั่ง Port Campbell ทุกอย่างในร้านดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความตั้งใจ คาเฟ่แห่งนี้เน้นใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลจากท้องถิ่น เมนูมีตั้งแต่แซนด์วิช พิซซ่า ไปจนถึงเบอร์เกอร์ ส่วนสายมังสวิรัติหรือวีแกนก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบ สำหรับเราขอเลือกคาปูชิโน่พร้อมลาเต้อาร์ตสุดคลาสสิก คู่กับจานขนมปังย่างวางไข่ดาวสองฟอง โรยเกลือเล็กน้อย เติมพริกไทยอีกหน่อย แค่นี้ก็พร้อมเริ่มต้นวันใหม่บนเส้นทาง Great Ocean Road ต่อแล้ว และถ้าใครกำลังมองหาของฝากหรือสินค้าโฮมเมดดี ๆ ติดไม้ติดมือ ที่นี่ก็มีให้เลือกไม่น้อยเลยทีเดียว
The Grotto
วันนี้เราจะเริ่มเช็คอินที่เที่ยวจากจุดที่ไกลที่สุด ก่อนค่อย ๆ วิ่งย้อนเข้าสู่เมืองเมลเบิร์น จุดแรกคือ The Grotto โพรงหินธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของลม คลื่น และน้ำเหนือพื้นผิวที่ซึมผ่านเสาหินปูนเมื่อกว่า 20 ล้านปีที่แล้ว ผ่านการเคี่ยวกร่อนจนก่อตัวเป็นร่องน้ำลึก และค่อย ๆ พังถล่มกลายเป็น sinkhole ราวกับหน้าต่างที่เปิดโล่งสู่ท้องทะเล ที่นี่จะมีบันไดไม้สีเทาพาดตัวยาวพาเราไปยัง rock pools สระหินขนาดเล็กที่น้ำสีฟ้าใสกริ๊บ นิ่งสงบจนสะท้อนภาพของท้องฟ้า ราวกับมีผืนฟ้าอีกผืนอยู่ในนั้น กรอบรูปทางธรรมชาตินี้มีความพิเศษตรงที่ภาพตรงกลางจะเปลี่ยนแปลงไปทุกช่วงเวลา ทุกฤดูกาล ทุก ๆ ปี นี่ล่ะมั้ง…เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของธรรมชาติที่คอยดึงดูดเราอยู่เสมอ




London Bridge
London Bridge ที่ตอนนี้มองยังไงก็ไม่เหมือนสะพานสักนิดเดียว นั่นก็เพราะแต่เดิมมันเคยเชื่อมเข้าด้วยกัน ผู้มาเยือนสามารถเดินข้ามไปชมวิวอันกว้างไกลที่ปลายสุดของสะพานได้ แต่ในเช้าวันหนึ่งของเดือนมกราคม 1990 แผ่นหินปูนขนาดใหญ่ตรงกลางก็พังถล่มลงอย่างไม่ทันตั้งตัว จนทำให้นักท่องเที่ยวถึง 2 คนถูกตัดขาดอยู่ปลายสะพาน แม้ตอนนี้บางส่วนจะขาดหายไป แต่เสน่ห์ของธรรมชาติก็ยังคงตั้งตระหง่านอวดโฉมได้อย่างไม่อายใคร พร้อมกับเรื่องราวที่กลายเป็นกิมมิกสำคัญเสริมเสน่ห์ให้สถานที่ สิ่งที่ไม่อาจคาดเดา เรื่องราวที่ไม่อาจคาดการณ์ และความประทับใจที่ยากจะบรรยาย การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกปี ทุกสิบปี หรือแม้แต่ทุกร้อยปี สิ่งที่เราได้เห็นในวันนี้ไม่มีวันเหมือนเดิมแม้แต่วันเดียว คิดแบบนี้ทีไร หัวใจก็ยิ่งตื่นเต้นทุกครั้งที่ออกเดินทางท่องเที่ยวธรรมชาติ



Loch Ard Gorge
อีกหนึ่งความอลังการที่บอกได้เลยว่าอลังการอย่างที่สุด ทั้งภาพที่เห็นและเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างล้วนเป็นระดับตำนาน Loch Ard Gorge คือช่องเขาหินปูนสีทองที่โอบล้อมหาดเล็ก ๆ สวยงามราวกับซ่อนอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง และที่สำคัญ ที่นี่คือสถานที่จริงของ “เรื่องราวสองผู้รอดชีวิต” จากเหตุการณ์เรือ Loch Ard อับปางในปี 1878 เรือจากอังกฤษลำนี้บรรทุกผู้โดยสารถึง 54 คน แต่กลับต้องชนหินใต้น้ำบริเวณ Mutton Bird Island ใกล้ Loch Ard Gorge ก่อนจะถึงฝั่ง เหลือไว้เพียง Tom Pearce และ Eva Carmichael สองผู้กล้าที่สามารถรอดชีวิตและขึ้นฝั่งที่หาด Loch Ard Gorge จนกลายเป็นตำนานที่ถูกจารึกไว้ ณ ที่แห่งนี้


นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นส่วนหนึ่งของ Shipwreck Coast ชายฝั่งยาวประมาณ 130 กิโลเมตร ระหว่างเมือง Cape Otway ถึง Port Fairy ซึ่งเคยมีเรือจมมากถึง 700 ลำในศตวรรษที่ 19 จากแรงลม คลื่น และแนวหินใต้น้ำ แม้เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสะพรึงกลัว แต่ที่นี่ก็ยังมีจุดท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินลงไปสัมผัสบรรยากาศที่ Loch Ard Beach ที่ Tom และ Eva เคยยืน ก่อนจะขึ้นไปชมวิวที่ Tom and Eva Lookout จุดชมวิวสำคัญที่เป็นเสมือนแสงสว่างช่วยชีวิตทั้งสอง แวะชมเสาหิน Razorback และ Blowhole ที่ธรรมชาติแกะสลักอย่างงดงาม ก่อนปิดท้ายที่ Tomb of the Loch Ard ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวและบทเรียนมากมาย หากมีเวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เราขอแนะนำให้ไปครบทุกจุด เพื่อสัมผัสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างแท้จริง


Twelve Apostles
ขับรถมาอีกประมาณ 5 นาที เรากลับมาที่ Twelve Apostles อีกครั้ง หลังจากได้ชมความงามและแสงสีส้มยามเย็นที่ตราตรึงใจ เราจึงอยากเก็บภาพความทรงจำในช่วงเวลาอื่นบ้าง และครั้งนี้ก็ยังคงทำให้เราประทับใจจนอยากปรบมือ หากเมื่อวานคือเดทแรก วันนี้คือเดทที่สอง หญิงสาวตรงหน้าก็ยังคงสวยสง่าและชวนฝันเหมือนเดิม เราใช้เวลาสำรวจหินแต่ละก้อน พิจารณารูปทรงและความสึกกร่อนที่งดงาม คลื่นทะเลซัดโขดหินซ้ำ ๆ เปลี่ยนความแข็งกระด้างให้กลายเป็นเส้นโค้งอ่อนโยนดุจบทกวี ธรรมชาติออสเตรเลียพาเราย้อนไปในประวัติศาสตร์หลายล้านปี เป็นประติมากรรมที่ถูกบรรจงสร้างความประทับเข้าไปในหัวใจและความทรงจำของเราครั้งแล้วครั้งเล่า





Apollo Bay Fishermen’s Co-op
มื้อเที่ยงวันนี้เราปักหมุดมาฝากท้องกันที่ร้าน Apollo Bay Fishermen’s Co-op ตั้งอยู่ติดท่าเรือ ให้บรรยากาศโอเพ่นแอร์ ลมทะเลเย็น ๆ เหมาะกับการทาน seafood สด ๆ เป็นที่สุด และเมื่อได้ข้อมูลมาว่าร้านนี้ถูกเปิดมานานกว่า 75 ปี โดยชาวประมงที่ต้องการหาตลาดไว้รองรับสินค้าทะเลสด ๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Southern Rock Lobster, scallops, snapper, flake (gummy shark), octopus, calamari ก็ล้วนถูกส่งตรงจากเรือสู่ร้านอาหารและถูกปรุงอย่างพิถีพิถันก่อนเสิร์ฟย่ิงพลาดไม่ได้ เราสั่งหนึ่งในเมนูสุดโปรดของตัวเอง Fish ’n’ Chips เนื้อปลาชุ่มฉ่ำชิ้นโตที่ถูกห่อหุ้มด้วยแป้งบางกรอบ หน้าตาของมันไม่ได้แตกต่างจากร้านอื่นทั่ว ๆ ไป แต่ความสดของมันต่างหากที่ทำให้เรากินจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ไม่แปลกใจเลยที่เมนูนี้คือเมนูชื่อดังที่ชนะรางวัล Best Fish and Chips ในรัฐวิคตอเรีย ยิ่งได้ที่นั่งเอาต์ดอร์มองวิวอ่าว Apollo Bay ฟังเสียงนกนางนวลที่วนเวียนเล็งปลาของเรา ก็ยิ่งทำให้เราเจริญอาหารมากยิ่งขึ้นไปอีก





Dooley’s Premium Ice Cream
คาวนำหวานตาม ถึงจะเรียกว่าปิดมื้อเที่ยงได้สมบูรณ์แบบ เราแวะมาที่ Dooley’s Premium Ice Cream ร้านไอศกรีมสีสันสดใส โดดเด่นด้วยไฟนีออนและชื่อเสียงระดับท็อปของย่าน เปิดตัวครั้งแรกที่ Apollo Bay ในปี 2000 ด้วยเป้าหมายสร้างไอศกรีมเกรดพรีเมียมจากวัตถุดิบท้องถิ่น และเพิ่งขยายสาขามาที่ Torquay ในปี 2024 พร้อมรางวัลการันตีกว่า 540 รายการ รวมถึง Australian Grand Dairy Champion สำหรับ Chocolate (2016) และ Vanilla (2015) ผนังร้านจึงเต็มไปด้วยป้ายรางวัลละลานตา พอเดินเข้ามาเจอตู้ไอศกรีมกว่า 40 รสชาติ ทั้งแบบนม เจลาโต และซอร์เบต์ เด็กน้อยในตัวเราก็เกือบจะปาดตู้แล้วสั่งอย่างละหนึ่ง แต่สุดท้ายเลือกเป็นรสราสป์เบอร์รี และแค่คำแรกก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงคว้ารางวัลได้มากขนาดนี้ ส่วนเพื่อน ๆ เราที่เลือกรสอื่นก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยจริง ดังนั้นถ้าใครแวะมาแถว Apollo Bay อย่าลืมเผื่อท้องไว้สำหรับไอศกรีมร้านนี้ด้วยล่ะ



บนเส้นทางกว่า 664 กิโลเมตรบนถนนเส้นนี้ มันไม่ใช่แค่เพียงเส้นทางที่พาเราไปให้ถึงจุดหมาย แต่กลับเป็นเส้นทางที่จะประทับอยู่ในความทรงจำของเราไปตลอดกาล หนึ่งในเส้นทางที่เราใช้คำว่าสวยได้อย่างสิ้นเปลืองมากที่สุดเส้นหนึ่ง หนึ่งในเส้นทางที่เหมือนงานประติมากรรมชิ้นเอกระดับโลก หนึ่งในเส้นทางที่เราหลงรัก เพราะนี่คือเส้นทางเลียบชายฝั่งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังมีอีกหลายสิ่งรอให้เราค้นพบ ดังนั้นเมื่อเราขับผ่านเส้นทางนี้ จึงไม่มีคำว่าลาก่อน มีแต่คำว่า “แล้วพบกันใหม่” เท่านั้นเอง


DAY 3 ::
Brighton Beach
เช้าวันที่สามของการเดินทาง เราจะพาทุกคนไปเช็คอินที่ชายหาดไอคอนิกของเมลเบิร์นอย่าง Brighton Beach ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าว Port Phillip Bay ห่างจากตัวเมืองเพียง 12 กม. เป็นหนึ่งในพื้นที่หาดที่ราคาแพงที่สุดในเมือง ความยาวหาดประมาณ 1 กม. ตั้งแต่ New Street groyne ทางเหนือ ถึง Green Point ทางใต้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักคือ Upper Brighton Beach, Middle Brighton Beach และ Dendy Street Beach จุดเด่นของที่นี่คือ Bathing Boxes กระท่อมไม้สีสันสดใสเรียงรายเกือบ 100 หลัง ที่ใช้เป็นที่พักผ่อน เปลี่ยนเสื้อผ้า และเก็บของระหว่างเล่นน้ำ โดยไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปา




Bathing Boxes ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปลายศตวรรษที่ 19 ตามแบบ Victorian bathing machine สะท้อนวัฒนธรรมมารยาทในการอาบน้ำทะเล โดยเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้หญิง ปัจจุบันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการคุ้มครองโดย Bayside Council แต่ละหลังตกแต่งเฉพาะตัวตามสไตล์เจ้าของ ราคากล่องเคยถูกขายสูงถึง $650,000 AUD ในปี 2022 โดยมีกฎสำคัญคือห้ามค้างคืน และไม่อนุญาตให้ปรับปรุงโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงทำให้ Bathing Boxes กลายเป็นสัญลักษณ์และภาพโปรโมตสำคัญของเมืองเมลเบิร์นเสมอมา



Beach House Brighton
ถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอ เราก็มาฝากท้องกันต่อที่ Beach House Brighton ร้านอาหารริมชายหาด Dendy Street ที่มาพร้อมบรรยากาศอบอุ่นแบบ casual waterfront dining ตัวร้านตกแต่งด้วยไม้ธรรมชาติ ผนังกระจกใสเปิดรับแสงธรรมชาติ เฟอร์นิเจอร์โทนสว่างที่กลมกลืนกับสีของชายหาด มีทั้งโซนห้องแอร์เย็นสบายและโซนโอเพ่นแอร์ให้นั่งรับลมทะเลแบบเต็มที่ ภายในแบ่งเป็นโซนคาเฟ่และ kiosk ที่ให้บริการครบทั้งอาหารเช้า อาหารกลางวัน กาแฟ และไอศกรีม พร้อมตัวเลือกหลากหลายทั้ง gluten-free, dairy-free และ vegan เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย อันที่จริงแทบทุกร้านในออสเตรเลียจะมีตัวเลือกเหล่านี้อยู่เสมอ


เมนูที่เราเลือกคือ Beef Brisket Benedict เนื้อบิสเก็ตตุ๋นจนนุ่ม มีกลิ่นควันอ่อน ๆ เสิร์ฟพร้อมไข่ลวกแบบ poached ราดด้วยซอสฮอลแลนเดสโฮมเมดที่ผสมสโมกปาปริก้า และวางบล็อกโคลี่ย่างไว้ด้านข้าง เราค่อย ๆ ชิมแต่ละองค์ประกอบแยกกันก่อนจะรวมรสทั้งหมดในคำเดียว บอกเลยว่าอร่อยมงลง ผสมผสานความละเมียดได้อย่างลงตัว อีกจานที่อยากแนะนำไม่แพ้กันคือ smash avocado on toast ขนมปังโฮลเกรนหรือซาวโดย่างร้อน ท็อปด้วยอะโวคาโดบดปรุงรสน้ำมันมะกอก เกลือ พริกไทย และเลม่อนเล็กน้อย วางไข่ poached ไว้ด้านบน และเสริมด้วยแซลมอนย่าง เพิ่มโปรตีนให้จานนี้กลายเป็นเมนูเรียบง่ายแต่สมบูรณ์แบบ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นอาหารเช้าขวัญใจชาวออสซี่ ยิ่งได้จับคู่กับกาแฟดี ๆ สไตล์เมลเบิร์น ก็กลายเป็นเช้าที่น่าจดจำอีกวันเลยทีเดียว


Phillip Island
ท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่ Phillip Island เกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเมลเบิร์นประมาณสองชั่วโมง ด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ชายฝั่งทะเลทอดยาว และความหลากหลายของสัตว์ป่า ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวและชาวออสซี่ ไฮไลต์กิจกรรมเด่น ๆ ได้แก่ การชมขบวนเพนกวินกลับรัง, เดินชมวิวที่ Nobbies Centre, เยี่ยมชมเกาะประวัติศาสตร์ Churchill Island และสำรวจสัตว์พื้นเมืองที่ Phillip Island Wildlife Park หากไม่ได้เช่ารถก็มีทัวร์แบบวันเดย์ทริปให้เลือกมากมาย แต่เราเลือกขับรถเที่ยวเอง เพราะที่นี่ขับรถฝั่งเดียวกับไทย แค่ทำความเข้าใจกฎจราจรที่เข้มงวด การเดินทางก็ง่ายขึ้นเยอะ แถมยังเลือกแวะพักตามใจได้ตลอดทางอีกด้วย



ในแง่ภูมิทัศน์ ต้องบอกเลยว่า Phillip Island สวยจับใจ ทั้งท้องฟ้า คลื่นทะเล และลมเย็น ๆ ระหว่างทางก็ทำให้เราแทบไม่อยากเปิดวิทยุ เพราะธรรมชาติรอบตัวเป็นเสียงประกอบที่ดีที่สุด ระหว่างขับรถยังมีโอกาสได้เห็นสัตว์ป่าอย่างวัลลาบีหรือนกสีสันแปลกตาอีกด้วย จุดชมวิวที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ The Nobbies Centre พร้อมบอร์ดวอล์กริมหน้าผาและนิทรรศการ Antarctic Journey, South Point Lookout ที่ปลายแหลมของ Cape Woolamai กับมุมมอง 270 องศา, Pinnacles Lookout ที่เผยให้เห็นแนวหินแหลมคมริมทะเล พร้อมวิว Cape Woolamai และหาด Woolamai Beach นอกจากนี้ยังมี Summerlands Lookout ที่อาจได้เห็นเพนกวินเดินขึ้นหาด และ Sunset Lookout ที่มองเห็นวิวพาโนราม่าของมหาสมุทร สุดท้ายคือ Forrest Caves Lookout จุดสำรวจชายฝั่งที่มีถ้ำหินทรายริมทะเลและชายหาดสีทอง เหมาะกับสายลุยผู้รักการเดินชายหาดเป็นพิเศษ





Penguin Parade
ไม่ว่าเราจะใช้เวลาทั้งวันทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน แต่เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ทุกคนมักจะมุ่งหน้ามารวมตัวกันที่ Penguin Parade Visitor Centre จุดชมเพนกวินสายพันธุ์เล็กที่สุดในโลกที่มีความสูงเพียง 30 เซนติเมตร ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งนี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1998 และได้รับการปรับปรุงใหม่ในปี 2019 โดยเน้นแนวคิดการออกแบบอย่างยั่งยืนและกลมกลืนกับธรรมชาติ ภายในอาคารมีนิทรรศการแบบอินเทอร์แอคทีฟให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศของเกาะและสัตว์ป่าท้องถิ่น โดยเฉพาะเจ้า Little Penguin ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของที่นี่ พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ ลักษณะรัง และโครงการอนุรักษ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ของที่ระลึก และโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กครบครัน





ขบวนพาเหรดของเหล่า Little Penguins จะเริ่มขึ้นทุกค่ำหลังพระอาทิตย์ตก โดยในฤดูร้อนมักเริ่มราว 20:30 – 21:00 น. และในฤดูหนาวจะเร็วขึ้นประมาณ 17:00 – 18:00 น. วิธีที่ดีที่สุดคือเช็กเวลาพระอาทิตย์ตกล่วงหน้า และแนะนำให้จองตั๋วออนไลน์ไปก่อนเพื่อความสะดวกและไม่พลาดการเข้าชม เราเลือกไปตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อได้ที่นั่งด้านหน้าใกล้กับจุดที่เพนกวินเดินขึ้นฝั่ง ทันทีที่แสงสุดท้ายของวันลับขอบฟ้า ฝูงเพนกวินตัวจิ๋วก็เริ่มทยอยขึ้นฝั่ง ราวกับมีใครปล่อยสัญญาณให้เริ่มเดินขบวน ขาเล็ก ๆ กับปีกสั้นปุ๊กปิ๊ก และท่าทางเก้งก้างเพราะพุงน้อย ๆ ทำให้พวกมันดูน่าทะนุถนอมเป็นพิเศษ มองแล้วก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในความพยายามของธรรมชาติ และน้ำใจของมนุษย์ที่ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้ไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ออสเตรเลียจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ในโลกที่ธรรมชาติ สัตว์ป่า และผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน จากสายตาที่เราคำนวนคร่าว ๆ ในคืนนี้ จำนวนเพนกวินน่าจะมีจำนวนหลายร้อยตัว แต่ในบางฤดูกาลก็อาจมากถึงพันตัวเลยทีเดียว แม้ว่าจะน่ารักจนอยากเก็บภาพไว้แค่ไหน แต่ที่นี่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพหลังพระอาทิตย์ตก เพื่อไม่รบกวนสายตาและพฤติกรรมตามธรรมชาติของเพนกวิน อย่าลืมเคารพกฎเพื่อช่วยกันดูแลธรรมชาติน่ารัก ๆ เหล่านี้ให้อยู่กับเราไปนาน ๆ นะ

DAY 4 ::
Flametrees Bar & Restaurant
เริ่มต้นมื้อเช้าที่ Flametrees Bar & Restaurant ห้องอาหารของ Ramada Resort by Wyndham Phillip Island ที่ตกแต่งภายใต้คอนเซ็ปต์ธรรมชาติและร่วมสมัย ผนังและพื้นเลือกใช้เฉดไม้เข้มและอ่อนสลับกันอย่างลงตัว เสริมด้วยกระจกบานใหญ่รอบด้าน เปิดรับแสงธรรมชาติแบบเต็มที่ โต๊ะและเฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำตาลอบอุ่น ผสมผสานงานไม้และโลหะที่ช่วยเติมกลิ่นอายความเรียบหรูให้บรรยากาศ มองออกไปเห็นพื้นที่สีเขียวสบายตา จะเลือกนั่งในโซนอินดอร์ โซนเตาผิง หรือออกไปสูดอากาศสดชื่นตรงระเบียงก็ชิลไม่แพ้กัน เมนูอาหารเน้นโมเดิร์นออสเตรเลียน มีทั้งเนื้อ ซีฟู้ด สลัด พาสต้า และพิซซ่าเตาถ่านให้เลือกหลากหลาย แต่เช้านี้เราเริ่มเบา ๆ ด้วย eggs & bacon on toast จับคู่กับกาแฟดำร้อน ๆ สักแก้ว เรียบง่ายแต่เติมพลังได้ดีไม่น้อย





Koala Conservation Reserve
มาถึงดินแดนของโคอาล่าทั้งที ถ้าไม่ได้แวะไปเยี่ยม Koala Conservation Reserve ก็คงน่าเสียดายไม่น้อย เพราะที่นี่คือศูนย์อนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรโคอาล่าโดยเฉพาะ ด้านในมีทั้งโซนนิทรรศการเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องประวัติของโคอาล่าในออสเตรเลีย รวมถึงร้านขายของที่ระลึก ขนม และเครื่องดื่มไว้บริการนักท่องเที่ยว โซนหลักที่ไม่ควรพลาดมีอยู่สองส่วน คือ Tree Top Koala Boardwalks เส้นทางไม้ยกระดับที่ออกแบบมาให้เราได้ชมโคอาล่าในระดับสายตาแบบใกล้ชิด จุดนี้น่ารักมากจริง ๆ เพราะเหมือนเราได้เดินเข้าไปในป่าแล้วเจอพวกมันแบบไม่ตั้งใจ โดยในโซนเพาะเลี้ยงนี้จะมีโคอาล่าเพียง 5 ตัว แบ่งเป็นตัวผู้ 1 ตัว และตัวเมีย 4 ตัว เพื่อควบคุมประชากรอย่างเหมาะสม อีกโซนคือ Woodland Trails เส้นทางธรรมชาติเรียบพื้นดินที่ทอดลึกเข้าไปในป่าพื้นเมือง ซึ่งเป็นบริเวณที่โคอาล่าอาศัยอยู่ตามธรรมชาติมากกว่า 10 ตัว พร้อมด้วยสัตว์ป่าและนกพันธุ์ท้องถิ่นหลากหลายตลอดสองข้างทาง ทั้งสองเส้นทางนี้ถูกออกแบบอย่างกลมกลืนกับระบบนิเวศ เพื่อให้รบกวนสิ่งมีชีวิตน้อยที่สุดและยังคงความเป็นธรรมชาติไว้ได้อย่างแท้จริง



เกล็ดน่ารักของเจ้าตัวน้อย แม้จะเรียกกันติดปากว่า “หมีโคอาล่า” แต่จริง ๆ แล้วเจ้าโคอาล่าไม่ได้เป็นญาติกับหมีเลย เพราะมันอยู่ในกลุ่มสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง เช่นเดียวกับจิงโจ้และวัลลาบี อาหารหลักของมันคือใบยูคาลิปตัส ซึ่งมีทั้งสารพิษอ่อน ๆ และพลังงานต่ำ พวกมันจึงต้องใช้ชีวิตแบบประหยัดพลังงาน โดยนอนหลับเฉลี่ยถึงวันละ 18–20 ชั่วโมง แต่แม้จะเป็นสัตว์ขี้เซา โคอาล่ากลับมีสัญชาตญาณเฉียบไวและปรับตัวเก่งอย่างน่าทึ่ง จมูกของมันไม่เพียงใช้ดมใบไม้เพื่อเลือกกิน แต่ตัวผู้ยังใช้ดมกลิ่นหาคู่หรือตรวจจับตัวผู้ตัวอื่นในฤดูผสมพันธุ์ได้ด้วย เท้าของมันก็มีนิ้วที่ 2 กับ 3 เชื่อมติดกันเหมือนหวีไว้สำหรับแปรงขน และมือก็ยังมีนิ้วโป้งถึง 2 นิ้ว ช่วยให้ปีนต้นไม้ได้อย่างมั่นคง กรงเล็บที่แหลมคมและการตอบสนองที่ว่องไว ทำให้พวกมันแทบไม่เคยตกจากต้นไม้เลย เจ้าโคอาล่าจึงไม่ได้แค่น่ารักขี้เกียจเท่านั้น แต่ยังซ่อนความแกร่งและความเก่งไว้อย่างน่าทึ่งอีกด้วย



Churchill Island
ไปกันต่อที่ Churchill Island เกาะเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เชื่อมกับ Phillip Island ด้วยสะพานขนาดเล็ก เดิมทีเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่า Bunurong ชนพื้นเมืองดั้งเดิม ก่อนที่ Lieutenant James Grant จะเข้ามาในปี 1801 และปลูกพืชผลทางการเกษตรแบบยุโรปเป็นครั้งแรกในรัฐวิกตอเรียที่นี่ ต่อมาพื้นที่นี้ตกเป็นของ Samuel Amess อดีตนายกเทศมนตรีเมลเบิร์น ซึ่งสร้างบ้านพักและพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นฟาร์ม ก่อนจะกลายมาเป็น Churchill Island Heritage Farm ฟาร์มอนุรักษ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมบ้านเก่าแก่จากยุค 1860s – 1870s พร้อมสวนสไตล์ยุโรป และกิจกรรมสาธิตในฟาร์มมากมาย เช่น รีดนมวัว, ตัดขนแกะ, ใช้สุนัขต้อนสัตว์, การตีเหล็ก, การตีแส้ ไปจนถึงนั่งรถม้า หากไปวันเสาร์สุดท้ายของเดือนก็ยังมีตลาดเกษตรกรให้เดินเล่น ชิม และเลือกซื้อผลผลิตจากฟาร์มโดยตรง และสำหรับสายธรรมชาติยังมีเส้นทางเดินชมวิวหลายเส้นทาง รวมถึงจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ Western Port Bay ซึ่งรายล้อมไปด้วยต้น Moonah เก่าแก่และศาลาให้นั่งชมวิวเหล่านกน้ำอย่างสงบ




บรรยากาศการเดินเล่นในฟาร์มเกินคาดมาก หญ้าเขียวสด ลมพัดอ่อน ๆ ท้องฟ้าสีฟ้าครามเต็มไปด้วยพืชพันธุ์และสัตว์เลี้ยงแปลกตาที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นสุด ๆ โดยเฉพาะเจ้าวัวขนปุยสีน้ำตาลตัวโตที่ดูนุ่มนิ่มเหมือนเท็ดดี้แบร์ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่เมื่อถามคนแถวนั้นก็ได้รู้ว่านี่คือวัวพันธุ์ Highland Cattle ซึ่งเป็นตัวแทนเรื่องราวของชาวสกอตแลนด์ที่ถูกถ่ายทอดมายังผืนแผ่นดินวิกตอเรีย ย้อนกลับไปปี 1872 Samuel Amess ช่างก่อสร้างชื่อดังและอดีตนายกเทศมนตรีเมืองเมลเบิร์นได้นำเข้าวัวไฮแลนด์จาก Isle of Skye ประเทศสกอตแลนด์จำนวน 4 ตัวเพื่อรำลึกถึงบ้านเกิด และในปี 1986 วัวพันธุ์นี้ได้รับการฟื้นฟูโดยกลุ่ม Friends of Churchill Island Society (FOCIS) ร่วมกับ Phillip Island Nature Park และอาสาสมัคร มันจึงถูกเลี้ยงอย่างยั่งยืนในโซนเชิงอนุรักษ์ และกลายมาเป็นหนึ่งในจุดแลนด์มาร์คของเกาะแห่งนี้


Moonlit Sanctuary Wildlife Conservation Park
สิ่งหนึ่งที่เราชื่นชมออสเตรเลียมากคือ ไม่ว่าจะไปเมืองไหน ก็มักจะเห็นว่าพวกเขามีพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติอยู่เสมอ ทำให้สัมผัสได้ถึงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ดังนั้นก่อนจะเข้าไปเที่ยวในตัวเมือง เราขอทิ้งท้ายพาร์ทธรรมชาติแบบน่ารัก ๆ กันอีกสักหนึ่งที่ที่ Moonlit Sanctuary Wildlife Conservation Park ที่นี่ไม่ใช่แค่สวนสัตว์ธรรมดา แต่เป็นศูนย์อนุรักษ์ที่ก่อตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจตั้งแต่ปี 1998 โดย Michael Johnson เพื่อฟื้นฟูและดูแลสัตว์ป่าพื้นเมืองของออสเตรเลียอย่างจริงจัง พื้นที่ขนาดใหญ่เทียบเท่าสนามฟุตบอลถึง 37 สนามถูกรังสรรค์ให้กลายเป็นแหล่งอยู่อาศัยที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด มีทั้งศูนย์ต้อนรับนักท่องเที่ยว แหล่งน้ำจืด กรงสัตว์กว่า 30 จุด และการปลูกพืชพื้นเมืองนานาชนิด เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2001 ปัจจุบันมีสัตว์กว่า 400 ตัว จากกว่า 60 สายพันธุ์ อาศัยอยู่ใน 4 โซนหลัก ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำ, โซนสัตว์กลางวัน, โซนสัตว์กลางคืน และศูนย์เยี่ยมชม แม้จำนวนสัตว์จะไม่ได้มากเมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ แต่มันก็สะท้อนให้เราเห็นว่าเขาต้องการให้พวกมัน อยู่อย่างอิสระอย่างแท้จริง การเดินเล่นของเราจึงเป็นการเหมือนการเดินเข้าไปในป่าแต่มีความปลอดภัยมากกว่า แล้วมั่นใจได้ว่าเราจะเห็นสัตว์หลากหลายชนิด


ที่นี่มีกิจกรรมให้เราได้ใกล้ชิดกับสัตว์ป่าพื้นเมืองแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่นเลย ไม่แปลกที่ใครมาเที่ยวสวนสัตว์ในออสเตรเลียก็มักจะมีภาพคู่กับเจ้าจิงโจ้ เพราะที่นี่เราสามารถให้อาหารจิงโจ้และวัลลาบีที่เดินเล่นอย่างอิสระได้แบบปลอดภัยสุด ๆ ซึ่งบอกเลยว่าทั้งตื่นเต้นและสนุกมาก โดยเฉพาะตอนยื่นมือไปให้เจ้าจิงโจ้ตัวโตที่แอบมีซิกแพ็คเบา ๆ กับกล้ามอกแน่น ๆ หล่อบาดใจอย่างกับนายแบบ! บางตัวก็มีความขี้อ้อนแบบน่าหยิก ส่วนเจ้าวัลลาบีก็น่ารักเกินต้าน จนเผลอหลุดเสียงสองตลอดเวลาเลย และไฮไลต์ที่ห้ามพลาดก็คือการได้อุ้มโคอาล่าตัวเป็น ๆ ถ่ายรูปคู่แบบแนบชิด บอกเลยว่าเราหลงรักสุด ๆ เพราะน้องตัวนุ่มนิ่ม ยอมทิ้งตัวซบอกเราอย่างเต็มใจ มือเล็ก ๆ ของน้องที่พยายามเกาะก็ชวนใจละลายไม่ไหว ที่สำคัญคือที่นี่เขาใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์มาก เจ้าหน้าที่จะคอยดูแลว่าน้องพร้อมไหม ถ้าไม่ไหวก็จะสลับตัวใหม่มาแบบนุ่มนวล เพื่อให้ทั้งสัตว์และคนได้มีประสบการณ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด





Maker LT Bourke
ยิ้มจนแก้มแทบแตก ก็ได้เวลาตรงดิ่งเข้าเมือง! สิ่งแรกที่ร่างกายต้องการอย่างเร่งด่วนก็คือคาเฟอีน เราเลยขอปักหมุดที่ Maker LT Bourke คาเฟ่เล็ก ๆ ในย่านไชน่าทาวน์ของเมลเบิร์นที่ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟพรีเมียม บรรยากาศเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น-สแกนดิเนเวียน เคาน์เตอร์ไม้ท็อปสีเทาและกระจกบานใหญ่ให้ฟีลอบอุ่นแต่เท่ มีที่นั่งทั้งในร้านและริมทางเท้าให้เลือกตามชอบ จริง ๆ แล้วร้านนี้มีหลายสาขาทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็น South Yarra, Prahran หรือในโซน CBD อย่าง Little Collins และ Little Bourke ซึ่งไม่ว่าสาขาไหนก็รักษามาตรฐานได้ดีไม่แพ้กัน การันตีด้วยการติดลิสต์ Best Coffee in Melbourne จากสื่อท้องถิ่นดังทั้ง Broadsheet และ Time Out มาแล้ว



หากพูดถึงเรื่องกาแฟ หนึ่งในชาติที่จริงจังที่สุดคงหนีไม่พ้นออสเตรเลีย โดยเฉพาะที่เมลเบิร์น ที่นี่เราจะเห็นคาเฟ่ดีๆ เต็มไปหมด และ Maker ก็เป็นหนึ่งในร้านที่โดดเด่นเรื่องการเลือกใช้เมล็ดคุณภาพสูงจากแหล่งคั่วเฉพาะ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมล็ดจะหมุนเวียนตามฤดูกาล และที่นี่จะเสิร์ฟเฉพาะแบบ single origin ไม่มีการเบลนด์ เพื่อให้ได้รสชาติตามธรรมชาติของแต่ละแหล่งอย่างชัดเจน เมนูก็จะแบ่งเป็น espresso base กับ filter coffee พร้อมมีการ์ดบอกข้อมูลเมล็ด เช่น แหล่งปลูก รสชาติหลักอย่างฟลอรัล ฟรุตตี้ หรือนัตตี้ ให้เลือกตามความชอบ ใครเป็นสายฟิลเตอร์แนะนำลองเมนู pour over ที่บาริสต้าจะชงให้แบบพิถีพิถัน ส่วนสายเอสเปรสโซก็มี house blend ที่บาลานซ์ทั้ง body และ acidity จะดื่มแบบดำหรือใส่นมก็อร่อย นอกจากนี้ยังมีเมนู non-coffee ให้เลือกด้วยแบบเรียบง่ายแต่รสชาติดี เรียกได้ว่าเป็นร้านที่คอกาแฟตัวจริงไม่ควรพลาดถ้ามาเยือนเมลเบิร์น


State Library Victoria
ส่งท้ายวันกันที่แลนด์มาร์กสำคัญของเมลเบิร์นอย่าง State Library Victoria ห้องสมุดสุดอลังที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1856 และถือเป็นหนึ่งในห้องสมุดสาธารณะฟรีแห่งแรกของโลก ที่นี่ไม่ใช่แค่ที่อ่านหนังสือ แต่เหมือนเป็น “มหาวิทยาลัยของประชาชน” ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ตัวอาคารหลักเป็นสไตล์ Victorian Academic Classical โดยเฉพาะโถง Queen’s Hall ที่มีเสา Ionic ขนาดใหญ่และภาพจิตรกรรมฝาผนังสุดอลังอย่าง War ของ Harold Septimus Power และ Peace after Victory ของ Napier Waller ส่วนไฮไลต์ที่ห้ามพลาดคือ La Trobe Reading Room ห้องอ่านหนังสือโดมทรงแปดเหลี่ยมสูง 6 ชั้น ซึ่งเคยเป็นโดมคอนกรีตเสริมเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น ปัจจุบันห้องสมุดมีการรีโนเวตให้เข้ากับยุคใหม่ ทั้งโซนต้อนรับ คาเฟ่ ร้านหนังสือ พื้นที่ทำกิจกรรม StartSpace นิทรรศการ รวมถึงโซนค้นคว้าดิจิทัลต่าง ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงมีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับ 3 ของโลก และยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในอาคารมรดกโลกทางสถาปัตยกรรมตั้งแต่ปี 1982 อีกด้วย




DAY 5 ::
Lune Croissanterie
ถ้าพูดถึงร้านเบเกอรี่ชื่อดังในออสเตรเลีย ต้องไม่พลาด Lune Croissanterie ร้านครัวซองต์ระดับไอคอนที่ก่อตั้งโดย Dr. Kate Reid อดีตวิศวกรแอร์โรไดนามิกของ Formula 1 ตั้งแต่ปี 2012 นี่คือร้านที่ใช้ศาสตร์วิศวกรรมมาผสมผสานกับการทำขนมจนได้รับคำชมจาก New York Times ว่าเป็นหนึ่งในร้านครัวซองต์ที่ดีที่สุดในโลกนอกปารีส เมนูมีให้เลือกเยอะ แม้บางสาขาจะไม่มีที่นั่ง แต่ก็มีคนต่อคิวยาวแทบทุกช่วงเวลา หลังลองชิม เราต้องบอกเลยว่าอร่อยแบบว้าวจริง ๆ แม้จะเมนูดูเรียบง่ายแต่รสชาติลึกซึ้งสุด สาขา CBD ที่เราแวะมาถือว่าปังเลย เขาตกแต่งมินิมอล โมเดิร์น โทนสีดำเทาและไม้ ให้บรรยากาศนิ่ง ขรึม พร้อมกลิ่นอายความเป็นเมืองสุด ๆ เหมาะสำหรับการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ใจกลางเมลเบิร์นสุด ๆ




ตั้งใจทำขนมเป๊ะขนาดนี้ กาแฟที่เสิร์ฟในร้าน Lune ก็ไม่ธรรมดา เพราะถูกออกแบบมาให้เสริมรสชาติของครัวซองต์โดยเฉพาะ ดังนั้นกาแฟของที่นี่จึงเน้นเสิร์ฟเมนูเบสิกอย่าง Espresso, Flat White, Latte และ Long Black แต่ก็ยังมีทางเลือกของนมที่หลากหลาย และมีเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟให้เลือกด้วย วันนั้นเราสั่ง Almond Croissant ครัวซองต์สีน้ำตาลเข้มอบจนผิวกรอบหอม ด้านในซ่อนซอสอัลมอนด์เนื้อเนียนนุ่ม รสหวานกำลังดี ส่วนอีกชิ้นคือ Kouign-amann ขนมฝรั่งเศสสไตล์เบรอตาญที่มีเลเยอร์แน่น ๆ ผิวนอกกรอบเคลือบน้ำตาลคาราเมลพอกรุบ ๆ จับคู่กับลาเต้ง่าย ๆ หนึ่งแก้ว แล้วก็เข้าใจเลยว่าเมนูน้อย ๆ แต่พอดี มันช่วยดันรสชาติของขนมให้เด่นขึ้นยังไง กินวันนั้น…อร่อยจนวันนี้ ยังจำได้เลยอะ



Hosier Ln
สุนทรียรสแล้วก็ถึงเวลาสุนทรียภาพ เดินต่อมาอีกนิดก็จะเจอกับ Hosier Lane ตรอกสุดอาร์ตกลางเมืองเมลเบิร์นที่เต็มไปด้วยกราฟิตี้และสตรีทอาร์ตพ่นแน่นไปทั่วทั้งผนัง ตรอกเล็ก ๆ นี้ซ่อนตัวอยู่ระหว่าง Flinders Street กับ Flinders Lane เดิมเคยเป็นซอยโรงงานธรรมดา ก่อนจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแลนด์มาร์กศิลปะในช่วงปลายยุค 90s ภายใต้โครงการ City Lights Initiative ที่ผลักดันให้ศิลปะสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมือง




จุดเด่นของที่นี่คือการเป็นพื้นที่ free-to-paint เปิดให้ทั้งศิลปินระดับโลกและโลคัลได้มารังสรรค์ผลงานอย่างเสรีโดยไม่ต้องขออนุญาต เราจะเห็นได้ว่าผลงานแต่ละชิ้นมีสไตล์ที่ต่างกัน ทั้งแนว graffiti, stencil, mural ที่สะท้อนประเด็นทางการเมือง วัฒนธรรม หรือป๊อปคัลเจอร์ตามแต่ยุคสมัย งานศิลปะที่นี่เปลี่ยนหน้าอยู่เสมอ ถูกพ่น ทับ และสร้างใหม่อย่างต่อเนื่อง มีผลงานของศิลปินดังอย่าง Banksy, Shepard Fairey, Rone, Adnate, และ D*FACE มาแล้ว ที่นี่จึงไม่ใช่แค่ตรอกธรรมดา แต่คือแกลเลอรีกลางแจ้งมีชีวิต ชวนให้แต่งตัวชิค ๆ มาแอ็กท่าถ่ายรูปแบบไม่ต้องหามุมเยอะ เพราะทุกมุมคือฉากถ่ายรูปได้หมด




St Paul’s Cathedral
กลางใจเมืองเมลเบิร์น มีอาคารหลังหนึ่งที่สง่างามเหนือเส้นขอบฟ้าและเต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ นั่นคือ St Paul’s Cathedral มหาวิหารแองกลิกันประจำรัฐวิกตอเรีย โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Neo-Gothic Transitional ที่ได้แรงบันดาลใจจากยุคกลางอังกฤษ ออกแบบโดย William Butterfield สถาปนิกชาวอังกฤษชื่อดัง เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1880 และเปิดใช้งานในปี 1891 แม้ยังไร้ยอดหอคอยในตอนนั้น) จนกระทั่งปี 1933 จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ ตัวอาคารใช้หิน Barrabool sandstone สีเหลืองน้ำตาล และหินปูนจาก Waurn Ponds ให้โทนอบอุ่นตัดกับเส้นสายโกธิคอย่างลงตัว โดยเฉพาะหอคอย Moorhouse Spire ที่สูงถึง 95 เมตร ถือเป็นหนึ่งในหอคอยโบสถ์ที่สูงที่สุดในเครือแองกลิกันทั่วโลก

เมื่อก้าวเข้าสู่ภายใน ความวิจิตรของศิลปะศาสนาจะโอบล้อมทันที ทั้งกระจกสี (stained glass) ที่บอกเล่าเรื่องราวของนักบุญเปาโล ภาพโมเสกแบบ Venetian ที่ประดับทั้งพื้นและผนัง แท่นสวดมนต์ไม้แกะสลักฝีมือเยี่ยม ไปจนถึงออร์แกน T.C. Lewis ที่ส่งเสียงกังวานศักดิ์สิทธิ์ทั่วโบสถ์ ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา แต่ยังเป็นงานศิลปะขนาดยักษ์ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมลเบิร์น ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมจนถึงปัจจุบัน ทุกองค์ประกอบล้วนสะท้อนศรัทธา ความประณีต และชั้นเชิงแห่งยุคสมัย รู้แบบนี้แล้ว จะไม่แวะเข้าไปชมได้ไงล่ะ?




Flinders Street Station
สถานีรถไฟแห่งแรกของประเทศ อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของเมลเบิร์นที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนต้องแวะ อาคารสไตล์ Edwardian Baroque หลังนี้กลายเป็นภาพจำของเมืองจากโดมทรงกลมสีทองอร่ามสูง 30 เมตร ซึ่งสร้างเสร็จในปี 1910 แม้ตัวสถานีจะเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 1854 แล้วก็ตาม Flinders Street Station ไม่ได้เป็นแค่ศูนย์กลางการเดินทาง แต่ยังเป็นจุดนัดพบสุดคลาสสิกของชาวเมลเบิร์น ถ้าใครบอกว่า “เจอกันใต้ Main Clock” ทุกคนจะนึกถึงที่นี่ทันที เพราะมันตั้งอยู่กลางเมือง และมีผู้ใช้บริการมากถึงวันละกว่าแสนคน รถไฟสายหลักทั่วรัฐล้วนวิ่งผ่านที่นี่ สถานีแห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมากมาย ทั้งของคนที่เดินทาง คนที่เฝ้ารอ หรือคนที่แค่อยากหยุดมองมันอย่างเงียบ ๆ เหมือนเราวันนั้น ที่เดินวนดูทีละมุม ค่อย ๆ เก็บรายละเอียด และถ่ายภาพทีละใบอย่างตั้งใจ


Dukes Coffee Roasters
เบื้องหลังทุกเมล็ดของ Dukes Coffee Roasters คือเรื่องราวของความตั้งใจ เพราะที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่คือการผสมผสานศิลปะ กาแฟ ความยั่งยืน และการแบ่งปันเข้าด้วยกันอย่างอ่อนโยน สาขาที่เราแวะมาคือ Dukes at Ross House คาเฟ่เล็ก ๆ ใจกลางเมือง ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่ที่เป็นมรดกชุมชน เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2013 โดย Peter Frangoulis ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dukes มาตั้งแต่ปี 2008 จุดเด่นคือกาแฟระดับ Specialty ที่คัดสรรเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงมาจากหลากหลายแหล่งปลูก พร้อมกระบวนการชงที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด เสิร์ฟในบรรยากาศเรียบง่าย อบอุ่น และเป็นกันเอง ด้วยการออกแบบที่ใช้ไม้รีไซเคิล กระเบื้องเก่า และมุมนั่งที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือเปิดบทสนทนากับบาริสต้าได้อย่างไม่เคอะเขิน



สิ่งที่ทำให้ Dukes มีเอกลักษณ์ คือการนำเสนอ single origin coffees ที่ดึงรสชาติแท้จริงของแต่ละแหล่งปลูกออกมาอย่างซื่อสัตย์ ผ่านวิธีชงแบบ manual brew หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น V60, AeroPress หรือ Chemex โดยบาริสต้าจะเลือกวิธีสกัดที่เหมาะสมกับโปรไฟล์ของเมล็ดแต่ละตัว ต่างจากร้านทั่วไปที่เน้น house blend เป็นหลัก ที่นี่ใส่ใจแม้รายละเอียดเล็ก ๆ อย่างการบด การควบคุมอุณหภูมิน้ำ และเวลาการสกัด เพื่อให้ได้รสชาติที่สมบูรณ์ที่สุด และแม้เบื้องหลังจะซับซ้อน แต่รสชาติที่สื่อออกมากลับเข้าใจง่ายและชัดเจน ดื่มแล้วเหมือนกาแฟพูดกับเราอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนั้นยังมีขนมอบให้เลือกสั่งมาทานคู่กัน ช่วยเติมเต็มประสบการณ์แห่งความสุขในทุกช่วงเวลาที่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น


National Gallery of Victoria (NGV)
อีกครั้งและอีกครั้งที่เรามีโอกาสเข้าชมงานศิลปะล้ำค่าแบบฟรี ๆ จนอยากคารวะให้ประเทศนี้ที่ส่งเสริมแหล่งจินตนาการและการเรียนรู้ได้อย่างน่าประทับใจ เรากำลังยืนอยู่หน้า National Gallery of Victoria (NGV) หัวใจแห่งศิลปะของเมลเบิร์น ที่รวบรวมเรื่องราวของโลกไว้อย่างสง่างาม ก่อตั้งในปี 1861 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำหน้าที่ทั้งบันทึกอดีต สะท้อนปัจจุบัน และจุดประกายแรงบันดาลใจสู่อนาคต ด้วยผลงานศิลป์กว่า 76,000 ชิ้น ตั้งแต่โบราณคดี ศิลปะเอเชีย ไปจนถึงงานร่วมสมัย ตัวอาคารออกแบบโดย Sir Roy Grounds ในสไตล์ Brutalist ที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและเรียบง่าย ก่อนจะได้รับการปรับโฉมโดย Mario Bellini ในปี 2003 เติมองค์ประกอบล้ำยุคอย่างโถงน้ำตก หลังคากระจกสี และลานประติมากรรมที่ขับเน้นพลังของศิลปะและสถาปัตยกรรมอย่างมีมิติ จุดนี้คือที่หมายที่คนรักศิลปะไม่ควรพลาดทุกครั้งที่มาเยือนเมลเบิร์น





ภายในตัวอาคารแบ่งเป็น 3 ชั้น พร้อมชั้นลอย โดยมีห้องจัดแสดงถาวรกว่า 30 ห้อง ครอบคลุมตั้งแต่ประติมากรรมอียิปต์ จีน ญี่ปุ่น จนถึงศิลปะยุโรปและร่วมสมัย รวมถึงพื้นที่จัดนิทรรศการหมุนเวียน แต่เพราะเวลาจำกัด เราจึงมุ่งตรงไปยังโซนที่สนใจเป็นพิเศษบนชั้น 2 กับนิทรรศการ International Collection : 19th–20th Century Decorative Arts Passage ที่รวบรวมผลงานยุค Impressionism และ Post-Impressionism ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ทั้งในด้านเทคนิคและแนวคิดใหม่ ๆ ที่ยังคงส่งอิทธิพลมาจนถึงทุกวันนี้ ที่นี่มีผลงานของศิลปินระดับตำนานอย่าง Claude Monet, Edgar Degas, Pierre-Auguste Renoir, Pablo Picasso และ Vincent van Gogh ให้ชมอย่างใกล้ชิด ากใครมาถึงเมลเบิร์นแล้วยังไม่แวะที่ NGV แห่งนี้ ก็เท่ากับว่าพลาดชมสถานที่ที่หลอมรวมเรื่องราวของโลกไว้ในที่เดียว ที่เข้าได้แบบฟรี ๆ ไปเลยนะ





Royal Botanic Gardens Victoria
เมื่อก้าวเข้าสู่ Royal Botanic Gardens Victoria ในย่าน South Yarra เราก็สัมผัสได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่สวนสาธารณะสีเขียว แต่คือผืนผ้าใบของเวลาและชีวิตที่เริ่มรังสรรค์มาตั้งแต่ปี 1846 บนพื้นที่กว่า 38 เฮกตาร์ริมแม่น้ำยารา สวนแห่งนี้รวบรวมพันธุ์ไม้กว่า 8,500 ชนิด ตั้งแต่ปาล์ม เฟิร์น กล้วยไม้ ไปจนถึงพืชทะเลทรายและพันธุ์หายาก เป็นทั้งแหล่งธรรมชาติและคลังพืชมีชีวิตที่ได้รับรางวัลระดับประเทศ รวมถึงขึ้นทะเบียนเป็นสวนพฤกษศาสตร์หลวงของออสเตรเลีย เกิดจากแรงบันดาลใจของ Charles La Trobe และได้รับการพัฒนาโดย Ferdinand von Mueller ในปี 1853 ปัจจุบันยังมีกิจกรรมอย่าง Forest Therapy, Aboriginal Heritage Walk และ ClimateWatch Walk ที่ชวนให้เราใกล้ชิดธรรมชาติ เรียนรู้ร่องรอยของชนพื้นเมือง และเข้าใจบทบาทของพืชต่อโลกยุคใหม่ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้เป็นจุดเดินเล่นพักผ่อนปิดท้ายวันแบบชิล ๆ ก่อนกลับเข้าสู่โหมดในเมืองอย่างเบาใจ



DAY 6 ::
Seven Seeds
เดินผ่านประตูสีน้ำเงินเข้มของ Seven Seeds สาขา Carlton คุณจะได้พบกับห้องคั่วและร้านกาแฟที่ผสมผสานเสน่ห์ความเป็นโรงงานยุคใหม่เข้ากับสไตล์ลอฟดิบเท่ ผสมผสานเหล็กและไม้ได้อย่างกลมกลืน ร้านนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 โดย Mark Dundon และ Bridget Amor ในโกดังเก่าแถบ Carlton ถือเป็นหนึ่งในต้นตำรับที่จุดประกายวัฒนธรรมกาแฟคุณภาพสูงในเมือง ที่เน้นการคัดสรรเมล็ดกาแฟแบบ single origin ที่หลากหลายและมีคุณภาพ จนได้รับรางวัลมากมายทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศการคั่ว และต้องการชิมกาแฟสดใหม่จากแหล่งกำเนิดร้านนี้ตอบโจทย์แน่นอน




ในแง่ของคอนเซ็ปต์ Seven Seeds คือห้องทดลองด้านกาแฟที่ครอบคลุมตั้งแต่เมล็ดจนถึงถ้วยกาแฟ พิถีพิถันในทุกกระบวนการ รักษามาตรฐานสูงสุด ผ่านเบลนด์ชื่อดังอย่าง Espresso Blend และ Golden Gate Blend รวมถึง single-origin และ micro-lot สุดพิเศษ นอกจากนี้ยังมี tasting sessions และ cupping ให้ผู้คนเข้าร่วมเพื่อเรียนรู้เบื้องลึกของกาแฟ มีบริการตั้งแต่กาแฟ specialty ไปจนถึงเมนูอาหารเช้า-บรันช์ เช่น French toast และ Eggs Benedict ที่นี่จึงเปรียบเสมือนสถานที่แห่งการเดินทางของรสชาติและจิตวิญญาณของเมล็ดกาแฟ หนึ่งในหัวใจของกาแฟเมลเบิร์น ที่หว่านเมล็ดคุณภาพและผลิบานเป็นแรงบันดาลใจให้คนรักกาแฟทุกคน



Café Tomi
แผ่นป้ายเจ้าเหมียวสีขาวกอดแผ่นไวนิล แค่เห็นทาสแมวอย่างเราก็พุ่งเข้าร้านแบบไม่ลังเล นี่คือ Café Tomi คาเฟ่สไตล์โตเกียวใจกลาง North Melbourne บนถนน 11 Wreckyn Street, North Melbourne VIC 3051 มันเป็นร้านกาแฟที่แค่เปิดประตู ก็เหมือนหลุดเข้าไปในไลฟ์สไตล์แบบโตเกียว ห้องโปร่งเพดานสูง แสงธรรมชาติล่องลอย และเสียงเพลงจากแผ่นไวนิลบรรเลงเคล้าคลอ พร้อมกลิ่นหอมของกาแฟ นี่เป็นคาเฟ่ใหม่ที่เปิดโดย Sean Then เมื่อต้นปี 2025 นี่เอง เขาได้เติมเต็มความฝันด้วยการสร้างคาเฟ่ที่ผสมผสานกาแฟรสนุ่มกับการดื่มด่ำทางดนตรี จนกลายเป็น community hub สำหรับคนรักเสียงเพลงด้วย



เมนูที่นี่ไม่ได้มีแค่กาแฟ แต่ยังมีเครื่องดื่มทดลองใหม่ ๆ เสิร์ฟควบคู่กับขนมและของหวานโฮมเมด เช่น Tomi‑misu พานนาคอตต้า เอสเพรสโซคาราเมล มัทฉะพานนาคอตต้า และเมนูอื่น ๆ อีกหลากหลาย ส่วนเมนูกาแฟจะเน้นเมล็ดคุณภาพสูงที่ให้รสชาตินุ่มละมุน แตกต่างจากร้านกาแฟทั่วไปในเมลเบิร์นที่มักเน้นรสชาติเข้มข้นและชัดเจน กาแฟที่นี่จึงเหมือนสไตล์ญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับสมดุลและความนุ่มนวลของรสชาติ คาเฟ่โทมิจึงเป็นบทสนทนานุ่ม ๆ ของกาแฟที่มีเสียงจากแผ่นไวนิลเป็นตัวประสาน


Melbourne Tullamarine Airport
ความประทับใจตลอดทริปเริ่มต้นตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวสุดท้ายที่ Melbourne Tullamarine Airport สนามบินหลักของเมลเบิร์น ซึ่งเป็นประตูสู่มหานครศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติอันรุ่มรวย อาคารออกแบบในสไตล์ Modern Minimalist โทนอุ่นด้วยสีขาว เทา น้ำตาลไม้ และเขียวหม่น ผสมผสานงานศิลปะชนพื้นเมือง Wurundjeri Woi-wurrung อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกโปร่ง สะอาด และแฝงกลิ่นอายวัฒนธรรมท้องถิ่น บริการครบครันสำหรับนักเดินทางทุกประเภท มี Wi‑Fi ฟรีทั่วอาคาร จุดชาร์จแบตและ USB Port ติดตั้งในหลายจุด โดยเฉพาะสิ่งที่ว้าวคือ “ห้องอาบน้ำฟรี” ที่สะอาดพร้อมใช้งาน ห้องละหมาด 2 จุด และโซนครอบครัวที่มีพื้นที่เด็กเล่น ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อม และห้องพักแยกเป็นสัดส่วน ด้านอาหารก็ไม่แพ้ใคร มีฟาสต์ฟู้ด 24 ชั่วโมง คาเฟ่ท้องถิ่นอย่าง just.Ali Coffee, Proud Mary และ Brunetti ที่เป็นตัวแทนวัฒนธรรม third wave coffee รวมถึงร้านค้าปลีกและ Duty Free ให้เลือกช้อปจุใจ สนามบินแห่งนี้จึงไม่ใช่แค่จุดเริ่มต้นหรือปลายทาง แต่เป็นประสบการณ์เดินทางที่ใส่ใจและอบอุ่นอย่างแท้จริง


การเดินทางบนเส้นทาง Great Ocean Road มาจนถึงเมลเบิร์นเปรียบเสมือนบทกวีที่ถักทอด้วยธรรมชาติ ศิลปะ และผู้คน เมืองนี้ไม่เพียงต้อนรับด้วยต้นไม้ใหญ่และอากาศแปรเปลี่ยน แต่ยังเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้และแบ่งปันอย่างเสมอภาค ทั้งห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ และสวนสัตว์ต่างสะท้อนหัวใจของเมืองที่ให้คุณค่ากับความรู้และความหลากหลาย เราประทับใจไม่เพียงเพราะบ้านลูกกวาดริมหาดหรือเจ้าโคอาล่า แต่เพราะทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยไมตรี รอยยิ้ม และบทสนทนาเล็ก ๆ ที่ทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งอย่างแท้จริง เมลเบิร์นไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยว แต่คือเมืองที่มีหัวใจ มีพื้นที่ให้คุณอยู่ มอง และซึมซับ และเมื่อมองย้อนกลับไป เมืองนี้ยังคงอ้อยอิ่งในความทรงจำ และจะอยู่ในบทสนทนาในใจอีกนาน หากวันหนึ่งเพื่อน ๆ ได้มาเยือน อย่าลืมเดินช้าลง มองกว้างขึ้น และสัมผัสด้วยหัวใจของตัวเอง





