เมื่อพูดถึงฤดูร้อนของญี่ปุ่น หลายคนอาจคุ้นเคยกับบรรยากาศในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความคึกคักของงานเทศกาล แสงพลุริมแม่น้ำ และผู้คนในชุดยูกาตะเดินเล่นตามย่านดัง สำหรับทริปนี้เราอยากชวนทุกคนออกนอกเส้นทางหลัก มุ่งหน้าเข้าสู่ภูมิภาคชูบุ (Chubu) ณ ใจกลางเกาะฮอนชู เพื่อสัมผัสฤดูร้อนในอีกรูปแบบที่สงบ ละมุน เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว ผ่านโร้ดทริป 5 วัน กับ 3 จังหวัดน่าเที่ยว เริ่มจากจังหวัด Aichi ที่ผสมผสานความเป็นสมัยใหม่เข้ากับกลิ่นอายวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว ทั้งเซรามิก งานหัตถกรรม ร้านอาหารเก่าแก่ และพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองที่เหมาะกับการเดินเล่นยามเย็น ต่อด้วย Gifu ที่ทาคายามะยังคงลมหายใจของญี่ปุ่นยุคเก่า ผ่านบ้านไม้โบราณ ตรอกแคบ ๆ ร้านน้ำชา และแผงขนมพื้นเมืองที่คึกคักเมื่อบ่ายคล้อย ก่อนปิดท้ายที่ Nagano สำรวจเส้นทางธรรมชาติบนแนวเขา Japan Alps ในฤดูร้อนอันสดชื่น อากาศเย็นสบาย และดอกไม้ที่บานสะพรั่งตลอดสองข้างทาง
ฤดูร้อนของชูบุอาจไม่เร่งเร้าเหมือนโตเกียว ไม่คึกคักเท่าโอซาก้า แต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของวิถีดั้งเดิม เสียงลำธารเอื่อย ๆ และความเงียบที่พอดีสำหรับใครที่อยากวางใจ พักกายในหมู่บ้านเล็ก ๆ หรือจิบชาญี่ปุ่นพลางมองทิวเขาตรงหน้า






ตลอด 6 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ สู่นาโกยา (Chubu Centrair International Airport) เป็นเวลาที่ทั้งชิลและสบาย เพราะเราเลือกบินกับ Thai Airways สายการบินฟูลเซอร์วิสที่มาพร้อมน้ำหนักโหลด 23 กก. และถือขึ้นเครื่องอีก 7 กก. บนเครื่อง Airbus A350-900 ที่นั่งกว้าง เบาะเอนได้สบาย พร้อมเสิร์ฟอาหารร้อนหนึ่งมื้อและของว่างตลอดไฟลต์ แถมยังมีระบบเอนเตอร์เทนเมนต์จัดเต็มทั้งหนัง เพลง และเกม ตรงตามมาตรฐานสายการบินแห่งชาติแบบครบถ้วน ที่สำคัญเส้นทางกรุงเทพฯ–นาโกยามีบินตรงทุกวัน
ขาไป :: TG644 BKK-NGO :: 00.05 น. – 08.00 น.
ขากลับ :: TG645 NGO-BKK :: 11.00 น. – 15.00 น.
ใครกำลังแพลนเที่ยวจูบุ เข้าไปดูตั๋วได้ที่ https://tinyurl.com/54u5htnd




DAY 1 ::
Tokoname
หากพูดถึงจังหวัดไอจิ หลายคนอาจนึกถึงนาโกยาเป็นอันดับแรก แต่เพียง 40 นาทีจากตัวเมือง ยังมี ทาโคนาเมะ (Tokoname) เมืองเล็กริมอ่าวอิเซะที่เงียบสงบและอบอวลด้วยกลิ่นอายของงานเซรามิกโบราณอายุเกือบพันปี อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน Six Ancient Kilns หรือกลุ่มเตาเผาโบราณสำคัญของญี่ปุ่น ที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ยุคเฮอัน ด้วยทรัพยากรดินเหนียวคุณภาพดีและทำเลติดทะเล ทำให้ทาโคนาเมะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องปั้นดินเผาทั้งของใช้ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงของศักดิ์สิทธิ์และอิฐปล่องไฟอันโด่งดัง ปัจจุบันเมืองนี้ยังคงรักษาเสน่ห์เดิมไว้ พร้อมพัฒนางานเซรามิกร่วมสมัยและของตกแต่งบ้าน และยังเป็นแหล่งผลิตแมวกวัก (Maneki Neko) มากที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งแบบดั้งเดิมและดีไซน์เข้ากับป๊อปคัลเจอร์ยุคใหม่ ทาโคนาเมะจึงเป็นเมืองที่เล่าเรื่องราวของไฟ ดิน และความอดทนของช่างปั้น ผ่านกลิ่นดินไหม้อ่อน ๆ และเสน่ห์เงียบงามที่ไม่เหมือนเมืองท่องเที่ยวทั่วไป





Tokoname Pottery Footpath
เมืองเล็ก ๆ ที่ตรอกซอกซอยบางแห่งถูกปูด้วยเซรามิกสีเข้ม กำแพงบ้านเก่าหลายหลังก็ตกแต่งด้วยเศษกระเบื้องและท่อดินเผานี้ สิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจของการท่องเที่ยวคือ Tokoname Pottery Footpath หรือ Yakimono Sanpomichi เส้นทางชมเมืองที่พาเราเดินลัดเลาะผ่านเรื่องราวของเครื่องปั้นดินเผาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีสองเส้นให้เลือกคือ Course A ระยะประมาณ 1.6 กม. และ Course B ที่ยาวกว่า 4 กม. ตลอดทางจะได้พบปล่องไฟสูงจากเตาเผาโบราณในซอยบ้านไม้ จุดถ่ายรูปกับกำแพงเซรามิกสุดน่ารัก โรงงานเก่า ร้านขายงานคราฟต์ท้องถิ่น แกลเลอรี และคาเฟ่ที่น่าแวะพัก นี่จึงไม่ใช่แค่เส้นทางชมเมืองเก่า แต่คือบทบันทึกของชุมชน ที่ถ่ายทอดผ่านชิ้นงานแต่ละยุค ผ่านร่องรอยแห่งกาลเวลา และเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลอย่างมีชีวิตชีวา



Tokonyan
สำหรับพระเอกของที่นี่ต้องยกให้ Tokonyan แมวกวักเซรามิกขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านบนเนินใกล้สถานี Tokoname Station มาตั้งแต่ปี 2008 เจ้าตัวนี้ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเซรามิกเก่าแก่เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวที่ศรัทธาในโชคลาภและความโชคดีตามคติญี่ปุ่น แค่ได้ยินสตอรี่ เรายังไม่ทันเห็นตัวจริงก็พร้อมพุ่งตัวไปแล้ว พอมาเจอจริง ๆ ก็ยิ่งตื่นตะลึงกับความใหญ่โตและคาวาอี ด้วยความสูงถึง 3.8 เมตร และกว้าง 6.3 เมตร จนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในแมวกวักขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น แม้จะเห็นเพียงหัวและอุ้งมือที่ยกขึ้น แต่ก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาผู้คนได้อย่างอยู่หมัด เชื่อแล้วล่ะว่าแมวกวักมันมีพลังดึงดูดที่สูงมากจริง ๆ

Takoname Manekineko-dori
หลังจากโดนแมวกวักตกอยู่พักใหญ่ เดินต่อมาอีกนิดก็เหมือนโดนตกซ้ำซ้อนเข้าไปอีกที่ Takoname Manekineko-dori เส้นทางสายเล็ก ๆ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายศิลปะและความเชื่อญี่ปุ่น สองข้างทางเรียงรายด้วยตุ๊กตาแมวเซรามิกกว่า 39 ตัว ผลงานของศิลปินท้องถิ่นที่แต่ละตัวมีชื่อเฉพาะและความหมายมงคลแตกต่างกันออกไป เช่น แมวเรียกโชคลาภ แมวขอความรัก หรือแมวเรียกความสำเร็จ บางตัวมีหน้าตาขี้เล่น บางตัวก็นิ่งขรึมตามบุคลิกที่ศิลปินตั้งใจสื่อ โดยในหมู่แมวทั้งหมด ยังมีแมวขนาดเล็ก 11 ตัวที่ถูกซ่อนไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้เราได้ร่วมสนุกค้นหา คล้ายการล่าขุมทรัพย์ขนาดย่อม ที่สร้างสีสันให้การเดินเล่นที่นี่ไม่น่าเบื่อเลย




Sunset Walker Hill
บนเนินเล็ก ๆ ริมอ่าวอิเสะ มีร้านอาหารชื่อว่า Sunset Walker Hill ที่โดดเด่นด้วยบรรยากาศแบบอเมริกันฟาร์มเฮาส์จำลองจากรัฐโอเรกอน สหรัฐฯ ภายในตกแต่งด้วยไม้โทนอุ่น พื้นกระเบื้อง โต๊ะไม้ตัวใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านในชนบทที่อบอุ่นและเป็นกันเอง เจ้าของร้านซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกานานหลายปี อยากถ่ายทอดความรู้สึกของมื้ออาหารแสนอบอุ่นท่ามกลางครอบครัวและเพื่อนฝูง จึงนำแรงบันดาลใจนั้นกลับมาไว้ที่บ้านเกิด พร้อมคอนเซ็ปต์ “อเมริกันฟู้ดแบบญี่ปุ่นใจ” โดยเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล ทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ และข้าว มารังสรรค์เป็นจานเรียบง่ายแต่น่าจดจำ เสิร์ฟท่ามกลางวิวทะเลและอากาศบริสุทธิ์ ราวกับพาเราหลุดเข้าไปอยู่ในชนบทของอเมริกาจริง ๆ




มื้อเที่ยงแบบนี้ เราขอจัดหนักสักหน่อยกับเซ็ต Chita Beef Steak Lunch Course ราคา 3,190 เยน ตัวเลือกที่โดนใจที่สุดของวัน เนื้อวัวชิตะ (Chita) เป็นวัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพสูงจากคาบสมุทรชิตะ ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติกลมกล่อม เนื้อนุ่ม ฉ่ำ และมีชั้นไขมันแทรกอย่างพอเหมาะ สามารถเลือกได้ทั้งแบบฟิเลต์หรือรัมป์ (~225 กรัม) มาพร้อมเครื่องเคียงอย่างสลัดผักตามฤดูกาล ซุป และข้าวหรือขนมปังอย่างใดอย่างหนึ่ง พอเจอเนื้อดี ๆ สุกแบบมีเดียมแรร์ เราเลยขอจัดไวน์เทสติ้งเซ็ตมาคู่กัน ซึ่งทั้งหมดเป็นไวน์ท้องถิ่นจากไร่องุ่นของร้าน เสิร์ฟบนจาน Tokoname-yaki สีไม้ธรรมชาติ ทุกอย่างให้ความรู้สึกถึงความพิถีพิถันตั้งแต่วัตถุดิบ ไปจนถึงภาชนะที่ใช้เสิร์ฟ


Takayama
หลังจากสัมผัสกลิ่นอายชายฝั่งที่โทโคนาเมะ เราออกเดินทางต่อบนเส้นทางโร้ดทริปสู่ Takayama หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า Hida-Takayama เมืองกลางหุบเขาในจังหวัดกิฟุที่ยังคงรักษาเสน่ห์ญี่ปุ่นโบราณไว้ได้อย่างครบถ้วน ท่ามกลางอากาศเย็นสบายของฤดูร้อนที่อุณหภูมิราว 20–28 องศาเซลเซียส ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและป่าไม้เขียวขจี บรรยากาศชวนให้เดินทอดน่องชมเมืองเก่า ลัดเลาะตามลำธารใสที่เกิดจากหิมะละลายบนยอดเขา แม้จะไม่มีหิมะหรือใบไม้เปลี่ยนสีอย่างที่หลายคนคุ้น แต่ทาคายามะในฤดูร้อนกลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่เต็มไปด้วยกลิ่นดิน หญ้า และความสงบที่ทำให้เราอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้นาน ๆ




จุดท่องเที่ยวสำคัญของทาคายามะอยู่บริเวณย่านเมืองเก่า หรือที่หลายคนเรียกว่า Little Tokyo ถนนสายโบราณ Sanmachi Suji ที่มีอายุกว่า 300 ปี ตั้งแต่ยุคเอโดะตอนต้น ย่านนี้ยังคงสภาพอาคารไม้ดั้งเดิมไว้อย่างสมบูรณ์ ราวกับพาเราย้อนเวลาไปในอดีต แบ่งออกเป็น 3 สายหลัก คือ Ichinomachi, Ninomachi และ Sannomachi แต่ละสายเต็มไปด้วยร้านอาหารท้องถิ่น ร้านค้าคราฟต์ แกลเลอรี และโรงกลั่นสาเกดั้งเดิม บรรยากาศที่เงียบสงบอบอุ่น ทำให้ที่นี่ไม่เพียงเป็นแหล่งช้อปปิ้งและกินดื่ม แต่ยังเป็นการสัมผัสวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ

Mitsuha Saryo
ใครที่ตามเพจเราจะรู้ว่าทาคายามะคือเมืองในดวงใจ รอบนี้เลยคัด 3 คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ มาแนะนำ เริ่มที่ Mitsuha Saryo คาเฟ่บ้านไม้โบราณสมัยเอโดะที่รีโนเวตให้ร่วมสมัย ด้วยโต๊ะไม้ เก้าอี้เข้ม และโคมไฟดวงใหญ่ บรรยากาศอบอุ่นน่านั่งทั้งด้านในและริมหน้าต่าง มองเห็นวิวธรรมชาติด้านนอก ร้านนี้เสิร์ฟขนมญี่ปุ่นโบราณและชาเขียวท้องถิ่นจากชิราคาวาเอ็น เมนูที่เราเลือกสั่งในวันนี้คือ Temari Monaka ขนมโมนากะกรอบรูปบอลเทมาริน่ารัก ๆ ยิ่งจับคู่กับมัทฉะคุณภาพเยี่ยมที่ขมหน่อย ๆ และไอศกรีมแบบโฮมเมคยิ่งเข้ากันได้ดี ส่วนใครที่อยากคลายร้อน เราแนะนำให้ลองอีกเมนูเด็ด Matcha Espuma Kakigori น้ำแข็งใสรสมัทฉะที่มีฟองนุ่ม ๆ ยิ่งได้ดื่มหลังเดินเล่นชมเมืองเก่าก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความสดชื่นเข้ากับบรรยากาศแบบสุด ๆ เป็นคาเฟ่ที่เหมาะทั้งจิบชา ถ่ายรูป และพักใจในบ้านเก่าแก่อย่างแท้จริง



Kissako Katsute
อีกหนึ่งร้านที่อบอวลด้วยกลิ่นอายญี่ปุ่นแท้ ๆ คือ Kissako Katsute คาเฟ่ที่รีโนเวตจากบ้านไม้โบราณอายุกว่า 150 ปี เปิดมาตั้งแต่ปี 2014 ภายใต้คอนเซ็ปต์ย้อนเวลากลับไปสัมผัสญี่ปุ่นดั้งเดิมผ่านของหวาน โดยคำว่า Kissako มีความหมายในทางเซนว่า ต้องการรับชาสักถ้วยไหม ภายในจึงตกแต่งเรียบง่ายตามแนวเซน เล่นกับแสงและเงาจากหน้าต่างตารางที่สะท้อนบนโต๊ะไม้และจานขนม กลิ่นชาอุ่น ๆ ช่วยเติมบรรยากาศให้สงบละมุน จะเลือกนั่งริมหน้าต่างมองดูผู้คนและบรรยากาศภายนอก หรือขึ้นไปชั้นสองที่ปูเสื่อทาทามิก็ชวนผ่อนคลาย เมนูแนะนำคือ Matcha & Warabi Mochi วาราบิโมจิเนื้อนุ่มหนึบ โรยคินาโกะ ราดน้ำผึ้งดำ เสิร์ฟคู่มัทฉะรสเข้มละเมียด ทุกอย่างลงตัวพอดีราวกับกำลังพาเราย้อนสู่วิถียุคเอโดะอันรุ่งโรจน์อย่างแผ่วเบา



Cha-No-Me Cafe
ท่ามกลางบรรยากาศโบราณของทาคายามะ Cha-No-Me Cafe คาเฟ่เล็ก ๆ ที่แต่งแต้มสีเขียวสดใสและโลโก้หญิงสาวจิบกาแฟสบาย ๆ โดดเด่นขึ้นมาด้วยเสน่ห์ญี่ปุ่นร่วมสมัย เป็นอีกร้านที่รีโนเวตจากบ้านไม้เก่า ผสมความดั้งเดิมกับกลิ่นอายโมเดิร์นอย่างลงตัว ทั้งกำแพงสีเหลืองอ่อน โต๊ะไม้เข้ม และแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็ก ขนมและเครื่องดื่มทั้งหมดเป็นโฮมเมด สูตรเฉพาะของร้านที่ได้แรงบันดาลใจจากทั้งญี่ปุ่นและตะวันตก โดยจะปรับเปลี่ยนตามฤดูกาลให้ไม่ซ้ำในแต่ละช่วง เมนูแนะนำคือไทยากิขนาดพอดีคำ แป้งบางกรอบคล้ายพาย มีให้เลือกทั้งหมด 5 รสชาติ ได้แก่ช็อกโกแลต ถั่วแดงบด คัสตาร์ด ชีส และไส้กรอกเวียนนา นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูเด่น ๆ อย่างมัทฉะซอฟต์เสิร์ฟหรือชีสเค้กเครมบรูเลที่ทั้งรสชาติดีและหน้าตาสวย ใครกำลังมองหาคาเฟ่ที่มีทั้งกลิ่นอายดั้งเดิมและความสร้างสรรค์ร่วมสมัย ร้านนี้คือคำตอบที่ลงตัว



Hida Kotte Ushi (こって牛)
ร้านนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่เราแวะกินเพียงสองครั้งเท่านั้นนั่นคือครั้งแล้วกับครั้งเล่า แม้จะเรียบง่ายแต่ Hida Kotte Ushi ก็เสิร์ฟเมนูสุดพิเศษที่หลายคนติดใจอย่างไม่น่าเชื่อ ที่นี่มีแค่ 4 เซ็ต (A-C, X) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เสิร์ฟรสชาติแท้จริงของเนื้อฮิดะ” โดยเน้นเมนูนิกิริที่ปรุงน้อยแต่ชูวัตถุดิบได้ดี รอบนี้เราเลือกเซ็ต A (700 เยน) เป็นเนื้อฮิดะแล่บาง ย่างไฟอ่อนแบบ Aburi วางบนข้าวญี่ปุ่นคำพอดี โรยต้นหอม เสิร์ฟบนแผ่นเซมเบ้กรอบ เนื้อนุ่มหอม เคี้ยวแล้วรสเข้มข้นละมุนละไมอย่างน่าประทับใจ ถัดมาเซ็ต B (800 เยน) เป็นกุนกังซูชิ ข้าวห่อสาหร่ายกรอบ วางเนื้อฮิดะสับละเอียดกับไข่แดงดิบ โรยต้นหอม รสชาติกลมกล่อมละมุนลิ้น กินคำเดียวรู้เรื่อง กัดเซมเบ้ตามคือจบ มือไม่เลอะ แถมไม่สร้างขยะ เป็นความพิถีพิถันที่ดูเหมือนเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความใส่ใจ แค่ทานเสร็จก็อยากจะทานอีกต่อทันที


Miyagawa River
และแล้วช่วงเวลาที่เราชอบที่สุดของวันก็มาถึง ลมพัดเอื่อยเฉื่อยนำอากาศเย็นเข้ามาแทนที่ โคมไฟหน้าบ้านหลายดวงเริ่มติดขึ้น ดูรวม ๆ แล้วคล้ายกับแสงหิ่งห้อยในหน้าร้อน เราเดินทอดน่องมาที่แลนด์มาร์คของเมืองทาคายาม่า แม่น้ำมิยากาวะ เส้นเลือดสายหลักที่มีต้นน้ำมาจากเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นตอนเหนือ ไหลผ่านใจกลางเมืองก่อนจะลงไปบรรจบกับแม่น้ำโซกาวะ แม้น้ำค่อนข้างน้อยในฤดูนี้ แต่ทั้งสองฝั่งของสะพานก็ดูเงียบสงบ เรียบง่าย เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าหลงใหล เราเห็นสะพานนากาบาชิทอดข้ามแม่น้ำอย่างเรียบง่าย มีฉากหลังเป็นเทือกเขายาวสลับซับซ้อน และท้องฟ้าที่กำลังไล่เฉดสีอย่างงดงาม ก้อนเมฆก้อนใหญ่สลับเล็กเกาะกลุ่มกันราวกับจงใจให้เราตกหลุมรัก เสียงน้ำไหลราวกับดนตรีธรรมชาติที่ช่วยขับกล่อม ฤดูร้อนริมแม่น้ำงามไม่แพ้ฤดูใด เพราะมันคือภาพของชีวิต ความเคลื่อนไหว และความอบอุ่นที่สัมผัสได้จริง


Aji no YOHEI
เราเชื่อว่าอาหารคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนหลงรักญี่ปุ่น และเนื้อฮิดะก็คือเสน่ห์ที่ทำให้ทาคายาม่าน่าหลงใหลยิ่งขึ้น มื้อเย็นนี้เรามาที่ Aji no YOHEI ร้านอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ดำเนินกิจการร่วมกับโรงกลั่นสาเก Funasaka Sake Brewery มากว่าร้อยปี บรรยากาศอบอุ่นด้วยโครงสร้างไม้และแสงโคมแบบโบราณ มีเมนูเด่นเป็นเนื้อฮิดะคุณภาพเยี่ยมที่แทรกมันสวยละลายในปาก เราเลือกสุกี้ยากี้เนื้อฮิดะพรีเมียม เสิร์ฟพร้อมผักสด เต้าหู้ เส้นชิราบากิ ไข่ดิบ และซอสสูตรเฉพาะของร้าน แค่กลิ่นโชยุผสมน้ำตาลญี่ปุ่นที่ลอยมาเมื่อซุปเริ่มเดือดก็น้ำลายสอ เนื้อสุกกำลังดีจุ่มไข่แล้วกินพร้อมข้าวร้อน ๆ ทุกอย่างเข้ากันจนวางตะเกียบไม่ลง เป็นมื้อค่ำที่ทั้งอร่อยและอบอุ่น ปิดท้ายวันในทาคายาม่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ




Takayama Green Hotel
หนังท้องตึงมาคู่กับหนังตาที่หย่อน เรามาถึง Takayama Green Hotel โรงแรมเก่าแก่ใจกลางเมืองที่ผสานความสะดวกสบายแบบยุคใหม่เข้ากับกลิ่นอายวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Takayama เดินเพียง 6–8 นาที ก็ถึงอาคารไม้สไตล์ญี่ปุ่นที่โอบล้อมด้วยสวนและบ่อน้ำเล็ก ๆ การตกแต่งภายในเน้นโทนไม้สีอ่อนและโคมไฟสีส้มเรืองรอง ให้ความรู้สึกอบอุ่นตั้งแต่ก้าวแรก ห้องพักมีให้เลือกทั้งแบบตะวันตก เสื่อทาทามิ และห้องสำหรับครอบครัว พร้อมวิวสวนหรือเทือกเขาทาคายาม่า มีพื้นที่ส่วนกลางไว้พักผ่อนหรือพบปะกันในบรรยากาศผ่อนคลาย รายล้อมด้วยสะพานโบราณ ตลาดเช้า และย่านเมืองเก่า ใครมองหาที่พักสะดวก โลเคชั่นดี บรรยากาศคลาสสิกญี่ปุ่น เราขอแนะนำที่นี่เลย


DAY 2 ::
Miyagawa Morning Market
แสงแดดลอดผ่านม่านที่เปิดทิ้งไว้ ปลุกให้เราตื่นเช้าอย่างสดชื่น หลังจัดแจงอาบน้ำ ล้างหน้า ทาแป้งกันคนตกใจ เราก็ออกมาเดินเล่นตลาดเช้าแสนมีชีวิตชีวาอย่าง Miyagawa Morning Market ตลาดท้องถิ่นริมแม่น้ำมิยากาวะที่ดำรงวิถีชาวบ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมมาหลายศตวรรษ เต็นท์สีขาวเรียงรายไปตลอดทางราว 300–350 เมตร ระหว่างสะพานกาจิบาชิและยะโยอิบาชิ ท่ามกลางอากาศสดชื่นของยามเช้า พ่อค้าแม่ค้าในชุดเรียบง่ายต้อนรับผู้มาเยือนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง พร้อมผัก ผลไม้ ดอกไม้ และของดองพื้นบ้านที่ปลูกเอง สินค้ายอดนิยมได้แก่ผลผลิตตามฤดูกาล เช่น แตงกวา มะเขือเทศ แอปเปิ้ล ขนมโบราณหายาก และของฝากพื้นถิ่น ทั้งตะเกียบแกะสลัก สร้อยไม้ “อิชิอิ อิตโตะโบริ” และ “ซารุบาโบะ” ตุ๊กตาไร้หน้าที่เชื่อกันว่าช่วยดึงดูดโชคดีและปกป้องครอบครัว ตลาดเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 07:00 – 12:00 น. ในฤดูร้อน และ 08:00 – 12:00 น. ในฤดูหนาว มาเดินช้า ๆ สัมผัสทุกเสียง รอยยิ้ม รสชาติ และเรื่องราวเล็ก ๆ ที่รวมกันเป็นบทเพลงยามเช้าในเมืองเก่าที่ยากจะลืม







Andersen
หนึ่งในจุดแวะที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเดินเล่นตลาดเช้าแห่งนี้คือ Andersen ร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2004 โดยคุณแม่ลูกสองชาวญี่ปุ่น ซึ่งเคยเรียนทำขนมจากเดนมาร์กก่อนกลับมาเริ่มต้นธุรกิจในบ้านเกิด มุมเล็ก ๆ แห่งนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นเนยและแป้งอบสดใหม่ทุกเช้า มีเมนูขึ้นชื่อเป็น ครัวซองต์ไส้ถั่วแดง (Anko Croissant) ที่อบจนผิวนอกกรอบบางกำลังดี ตัดกับไส้หวานละมุนด้านในได้อย่างพอดิบพอดี นอกจากนี้ยังมีของอบอีกหลากหลายตามวัตถุดิบฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นขนมปังลูกเกด ขนมปังชีส หรือแป้งข้าวญี่ปุ่นที่ให้เนื้อสัมผัสนุ่มพิเศษ ที่นี่ไม่มีโต๊ะเก้าอี้หรูหรา แต่เต็มไปด้วยความใส่ใจ และรสชาติอบอุ่นที่ทำให้เช้าธรรมดา ๆ กลายเป็นเช้าที่น่าจดจำ



Kamikochi
กลางหุบเขาสูงของแอลป์ญี่ปุ่นตอนเหนือ มีพื้นที่หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติอันเงียบสงบ นั่นคือ Kamikochi ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางธรรมชาติที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นจุดหมายในฝันของผู้รักภูเขา ลำธาร และป่าไม้เขียวชอุ่ม มันตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Chubu Sangaku จังหวัดนากาโนะ เป็นหุบเขาที่มีความสูงระหว่าง 1,400–1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงใหญ่ ทั้งยอดเขาโฮตากะ ยอดเขายาริงาตาเกะ และขุนเขาอื่น ๆ รอบด้าน พื้นที่แห่งนี้จะปกคลุมด้วยหิมะหนาในฤดูหนาว และเปลี่ยนเป็นสีเขียวชอุ่มในฤดูร้อน พร้อมแม่น้ำอาซุสะที่ไหลผ่านกลางหุบเขายาวกว่า 15 กิโลเมตร มีทั้งทะเลสาบ ป่าไม้ และเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่หลากหลาย เป็นความงามที่ครบเครื่องราวกับหญิงสาวผู้เปล่งประกายทุกมุมมอง เมื่อเดินเข้าสู่เส้นทางธรรมชาติ จะได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ไหว เคล้าเสียงน้ำใสไหลรินตลอดทาง





“คามิโคจิ” สวยงามและน่าค้นหาขนาดนี้ กิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวก็คือการเดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ ซึ่งมีให้เลือกถึง 4 เส้นทาง ตั้งแต่ระดับง่ายไปจนถึงสายลุย ส่วนเราเลือกเส้นทางสุดคลาสสิก Taisho Pond – Tashiro Pond – Kappa Bridge ระยะประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินไม่มาก เริ่มต้นที่บ่อไทโช บ่อน้ำที่เกิดจากตะกอนภูเขาไฟ Yakedake ในปี 1915 แค่เริ่มต้นก็หลงรัก สายน้ำใสไหลนิ่งอย่างไม่แยแสโลก เงียบ เย่อหยิ่ง แต่งดงาม เราเดินทอดน่อง ฟังเสียงแมลง ลูบเปลือกไม้ หยุดแหงนหน้ามองฟ้าเป็นระยะ ฤดูร้อนในป่าแบบนี้ ช่างสดใสและอบอุ่นเกินคาด ไม่ไกลจากนั้นก็มาถึงบ่อทาชิโระ พื้นที่ชุ่มน้ำที่ดูคล้ายทุ่งนา ได้ชื่อว่า “non-freezing pond” เพราะไม่ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหน น้ำในบ่อก็ไม่เคยกลายเป็นน้ำแข็ง อบอุ่นจนอยากเรียกว่าไอ้ต้าวไมโครเวฟเลยทีเดียว




Kappa Bridge
เดินจนลืมเวลาเพราะมัวแต่สนใจธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า ไม่นานเราก็มาถึง กัปปะบาชิ (Kappa Bridge) สะพานแขวนไม้ข้ามแม่น้ำอาซึสะ ณ ใจกลางคามิโคจิ โดยมีต้นหลิวและต้นสนพื้นถิ่นยืนเคียงข้างคอยให้กำลังใจ ในวันที่แดดทอประกายและท้องฟ้าไร้เมฆ เราจะเห็นเทือกเขาฮอตากะและยอดเขาไฟยาเคเนะที่ปากปล่องยังพ่นควันเล็กน้อย บรรยากาศงดงามราวกับนิยายของอากุตากะวะเรื่อง “ดินแดนกับปะ” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสะพานกัปปะ พร้อมเรื่องเล่าความลึกลับของภูตผีแห่งสายน้ำ สะพานไม้สีเข้มนี้สร้างขึ้นในปี 1891 และปรับปรุงครั้งสุดท้ายในปี 1997 จนกลายเป็นจุดชมวิวใจกลางหุบเขาที่รวบรวมทิวทัศน์มหัศจรรย์ไว้ในที่เดียว แถมอยู่ใกล้จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพียงไม่กี่นาที ดังนั้นสะพานแห่งนี้จึงถูกยกให้เป็นหัวใจของคามิโคจิ




ออกจากสะพานเพียงเล็กน้อย เราก็เข้าสู่พื้นที่เงียบสงบของ “ป่าบาชิ” (Bashi Woods) ป่าริมแม่น้ำที่ล้อมรอบด้วยต้นคีโชะยานางิ (วิลโลว์พื้นถิ่น) และต้นลาร์ชญี่ปุ่น ทิวไผ่โน้มตัวพลิ้วตามสายลม แสงแดดตกกระทบผิวน้ำส่องประกายระยิบระยับ สะพานกัปปะตรงหน้าจึงดูราวกับฉากหนึ่งในละครย้อนยุค และเมื่อฉากนั้นชวนให้นั่งนาน เราจึงแวะซื้อของฝาก ขนม เครื่องดื่มง่าย ๆ จากร้านรวงไม่ไกลนัก มานั่งละเลียดช้า ๆ ริมน้ำ ชมวิว ชมผู้คน ก่อนจะย้อนมองตนเองและเพื่อนร่วมทางที่ตัดสินใจออกเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นในฤดูร้อนครั้งนี้ สำหรับใครที่ยังมีแรง ก็สามารถเดินต่อไปยังบ่อน้ำ Myojin Pond ได้อีกประมาณ 3 กิโลเมตรจากจุดนี้ หรือจะสอบถามเส้นทางเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเราขอหยุดเท่านี้ก่อน แล้วไว้โอกาสหน้า ค่อยกลับมาเดินต่อกันใหม่อีกครั้ง





La CASTA Natural Healing Garden
เปลี่ยนบรรยากาศจากเส้นทางธรรมชาติ มาเติมความสงบในสวนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรและดอกไม้ La CASTA Natural Healing Garden สวนพฤกษศาสตร์และศูนย์เรียนรู้ใกล้เทือกเขาแอลป์ตอนเหนือในเมืองโอมาจิ สร้างขึ้นบนพื้นที่เดิมของโรงงานเครื่องสำอาง La CASTA ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1986 ด้วยแนวคิด “พลังแห่งชีวิตและการเยียวยาของพืช” สวนขนาดกว่า 11,000 ตารางเมตรแห่งนี้ถูกแบ่งเป็นหลายโซน ทั้ง Aroma Garden ที่ปลูกดอกไม้และสมุนไพรสำหรับผลิตน้ำมันหอมระเหย, Season Garden ที่สวยงามแตกต่างไปตามฤดูกาล, Water Garden รวมถึง Hidden Garden มุมลับสงบที่รอให้ค้นพบ โดยน้ำทั้งหมดที่ใช้ในการบำบัดสวนมาจากหิมะที่ละลายบนเทือกเขา ทำให้พืชพรรณที่นี่เติบโตงดงามสมบูรณ์ราวกับถูกประคบประหงมอย่างดี สวนเปิดให้เข้าชมช่วงเมษายน–พฤศจิกายน จำกัดผู้เข้าชมเพียงวันละ 100 คน เพื่อรักษาความสงบและความเป็นส่วนตัว ด้านในยังมีคาเฟ่ ร้านขายของ และนิทรรศการกลิ่นจากสมุนไพรให้เดินชมอย่างเพลิดเพลิน แค่เดินผ่านประตูเข้ามา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของพืชพรรณกับเสียงน้ำจากร่องสวนก็ชวนให้รู้สึกเหมือนกำลังอาบป่าด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างแท้จริง







อีกหนึ่งไฮไลต์ที่เราได้ลองและชอบมากคือ Fragrance Workshop เวิร์กชอปปรุงน้ำมันหอมระเหยแบบใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญ ทุกขั้นตอนมีคำแนะนำอย่างละเอียด ตั้งแต่การเลือกกลิ่น การหยดหัวเชื้อ ไปจนถึงการมิกซ์ในสัดส่วนที่ชอบ เราสามารถเลือกทำได้ทั้งสเปรย์ปรับอากาศ หรือซองหอม (Sachet) ถุงผ้าเล็ก ๆ สำหรับเพิ่มความสดชื่น โดยเริ่มจากการเลือกกลิ่นหลัก 4 กลิ่น แล้วค่อย ๆ เติมกลิ่นตามฤดูกาลจนครบ 20 หยด ระหว่างทำจะมีแบบฟอร์มให้จดสูตรกลิ่นที่ชอบไว้ด้วย บรรยากาศคล้ายการทดลองวิทยาศาสตร์เล็ก ๆ ที่ทั้งสนุกและน่าตื่นเต้น ผลลัพธ์คือกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร เป็นกิจกรรมชิค เก๋ และเติมเต็มประสบการณ์ธรรมชาติในแบบที่จับต้องได้จริง ใครที่หลงรักกลิ่นหอมและงานแฮนด์เมดห้ามพลาดเด็ดขาด





Holiday Inn Resort Shinano‑Omachi Kuroyon By IHG
คืนนี้เราเลือกพักอยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขา Northern Alps และแม่น้ำ Takase ที่ Holiday Inn Resort Shinano‑Omachi Kuroyon By IHG โรงแรมแห่งนี้มีห้องพัก 73 ห้อง ได้รับการตกแต่งใหม่อย่างละเอียดลออ ออกแบบโดยมีเส้นทางธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ ภายในกว้างขวาง สบาย และอบอุ่นด้วยเตาผิง หนึ่งในหัวใจของที่นี่คือออนเซ็นธรรมชาติจากน้ำพุร้อนคุสุ (Kuzu Onsen) จะเลือกแช่แบบบ่อรวมหรือเลือกห้องส่วนตัวก็ตามสะดวก แถมยังมีสระว่ายน้ำในร่มที่ยาวถึง 20 เมตร ฟิตเนส และ Kid club ก็จัดเต็ม พ่วงด้วยสิทธิพิเศษสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีที่เข้าพักสามารถรับประทานอาหารฟรี ในโครงการ Kids Eat Free ที่นี่จึงเป็นที่พักที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะครอบครัวเป็นอย่างมาก อาหารที่ให้บริการในโรงแรมจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ มีทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น แม้ตัวเลือกอาจไม่มากนัก แต่การเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่สดใหม่จากแถบอาซูมิโนะก็น่าประทับใจไม่น้อย




DAY 3 ::
Snow Peak Land Station Hakuba
ท่ามกลางอากาศสดชื่นและแสงแดดอ่อนของฮะคุบะ เราเริ่มต้นเช้าวันนี้ที่ Snow Peak Land Station Hakuba บนพื้นที่กว่า 945 ตารางเมตรใจกลางหมู่บ้านฮะคุบะ ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์เอาท์ดอร์สุดเท่ที่ผสานธรรมชาติเข้ากับดีไซน์ได้อย่างลงตัว ที่นี่คือความร่วมมือระหว่าง Snow Peak แบรนด์อุปกรณ์แคมป์ปิ้งระดับพรีเมียมของญี่ปุ่น และ Kengo Kuma สถาปนิกชื่อดังผู้สร้าง Olympic Stadium โตเกียว 2020 ตัวอาคารโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากกิ่งไม้และผลึกหิมะ พร้อมคอนเซปต์ “แม้อยู่ในอาคารแต่รู้สึกเหมือนอยู่กลางแจ้ง” ภายในยังเป็นที่ตั้งของ Flagship Store ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น พื้นที่จัดอีเวนต์ และโซนให้เช่าอุปกรณ์กลางแจ้งแบบครบวงจร ใครเป็นสายแคมป์หรือแฟนดีไซน์ บอกเลยว่าห้ามพลาด



หนึ่งในมุมที่เราประทับใจที่สุดภายในสถานีแห่งนี้คือ Starbucks สาขา Snow Peak Land Station Hakuba สาขาที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุดในญี่ปุ่น ตัวอาคารไม้รูปทรงแหลมซ้อนกันได้แรงบันดาลใจจากแนวเทือกเขา Japanese Alps ผนังกระจกใสบานใหญ่เปิดรับวิวภูเขาได้เต็มตา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของ Snow Peak จัดวางกลมกลืนทั้งภายนอกและภายใน ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในคาเฟ่ของอาร์ตมิวเซียมกลางหุบเขา ในฤดูหนาวฮะคุบะเป็นจุดหมายยอดฮิตของนักสกี ส่วนฤดูร้อนและใบไม้ร่วงก็เหมาะกับการมานั่งพัก จิบกาแฟ ชมวิว และดูพระอาทิตย์ตกแบบสโลว์ไลฟ์ เหมาะกับทั้งสายแคมป์ปิ้งและคนรักธรรมชาติสุด ๆ




Hakuba Mountain Harbor
จิบกาแฟพลางแอบมองภูเขาอยู่ไกล ๆ จนใจสั่นด้วยความตื่นเต้น เราก็พร้อมออกเดินทางไปชมมันให้ใกล้ชิดขึ้นที่ Hakuba Mountain Harbor จุดชมวิวบนยอดเขา Iwatake ซึ่งน่าหลงใหลเป็นพิเศษในฤดูร้อน เมื่อทั่วทั้งหุบเขาเขียวขจีไปด้วยป่าสนและดอกไม้ป่า เราเริ่มต้นด้วยการนั่งกระเช้ากอนโดล่าจากสถานี Iwatake Gondola Lift Sanroku ขึ้นสู่ยอดเขา ระหว่างที่กระเช้าไต่ระดับ วิวตรงหน้าค่อย ๆ เปิดออก ปลายยอดไม้ไหวตามแรงลมเหมือนโบกมือทักทาย ภูเขาสีเขียวทอดตัวกว้างสุดลูกหูลูกตา ราวกับท้องฟ้ากำลังโน้มลงมาต้อนรับ ใช้เวลาเพียง 8 นาที กระเช้าก็พาเราขึ้นไปถึงระเบียงไม้ขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปกลางอากาศ ซึ่งมองเห็นเทือกเขา Japanese Alps แบบพาโนรามา 360 องศา ที่ระดับความสูง 1,289 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล


The City Bakery
หนึ่งในเสน่ห์ของที่นี่คือ The City Bakery ร้านเบเกอรี่ชื่อดังจากนิวยอร์กที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องดื่มและครัวซองต์คุณภาพ ก่อนจะขยายสาขามาเปิดถึงยอดเขาแห่งนี้ เสิร์ฟครัวซองต์อบใหม่หอมกรุ่นคู่กับกาแฟร้อนหรือเย็นที่เข้ากับบรรยากาศสดชื่นสุด ๆ เมนูห้ามพลาดคือ “Pretzel Croissant” ครัวซองต์ลูกผสมที่คนญี่ปุ่นยังตามมากินถึงบนนี้ ส่วนบรรยากาศในช่วงหน้าร้อน โดยเฉพาะบริเวณระเบียงชมวิว จะโอบล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม บางต้นสูงจนแตะหมอกบางกลางท้องฟ้า พื้นหญ้านุ่มเรียบเหมาะกับการนั่งพัก จิบเครื่องดื่ม ก่อนลุกไปถ่ายรูปเล่น ลมเย็นบางวันพัดกลิ่นป่าแผ่ว ๆ มาทักทาย ขณะเสียงนกป่าก็ขับขานไพเราะไม่แพ้เพลงข้างในร้าน ใกล้กันยังมีกิจกรรม Yoo-Hoo! Swing ชิงช้าที่พุ่งออกไปกลางอากาศ ราวกับกำลังบินไปหาเทือกเขาเบื้องหน้า นั่งได้พร้อมกันสองคน หวาดเสียวพอดี ฟิน และได้ภาพสวยเกินบรรยายในทุกฤดู




บอกเลยว่าใครเป็นสายเอาต์ดอร์ ที่นี่ต้องโดนใจแน่นอน เพราะจุดจึ้ง ๆ ยังไม่หมดแค่นี้ เรายังสามารถนั่งสกีลิฟต์แบบเปิดโล่งขึ้นไปยัง Hakuba Hitotoki no Mori โซนพิเศษที่เหมาะมากกับการมาในช่วง “green season” ลองนึกภาพฤดูร้อนที่แสงแดดนุ่ม ๆ สาดลงบนลานสูงกว่า 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จากตรงนั้นสามารถมองเห็นวิวเทือกเขาฮิดะ หมู่บ้านฮะคุบะ และผืนป่าสนรอบด้านแบบ 360 องศา ท่ามกลางอากาศสดใสและลมหายใจที่รู้สึกสะอาดจนอยากสูดให้ลึกที่สุด บรรยากาศแบบนี้แหละที่เราว่าคือเสน่ห์เฉพาะตัว นอกจากนี้ยังมี Chavaty Hakuba คาเฟ่ไม้ทรงคอทเทจแสนอบอุ่น เสิร์ฟชา กาแฟ ขนม พร้อมเมนูซิกเนเจอร์อย่างสโคนอบสดใหม่หลากรส เสิร์ฟคู่แยมกับครีมชีสเนื้อนุ่ม จะเลือกนั่งละเลียดขนมชมวิวธรรมชาติ หรือเดินดูงานอาร์ตกลางแจ้งที่จัดแสดงอยู่ข้าง ๆ ก็เพลินได้หมดทุกทาง




En to En
ห่างจากสถานีกระเช้าเพียง 3 นาที มีที่พักสไตล์ลอฟต์ล็อดจ์รูปร่างคล้ายกระท่อมกลางป่าชื่อว่า En to En Hakuba Lodge ที่นี่ถูกรีโนเวตขึ้นใหม่ในปี 2020 ให้กลายเป็นที่พักที่ผสมผสานความดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นเข้ากับความร่วมสมัยได้อย่างพอดี โอบล้อมด้วยธรรมชาติและบรรยากาศอบอุ่นเป็นมิตร ภายในมีห้องพักหลายแบบ รวมถึงห้องอาหารที่เราจะมาฝากท้องในวันนี้ ใช้ชื่อเดียวกันว่า En to En ที่แปลว่า “จากความสัมพันธ์สู่ความสัมพันธ์” แค่ก้าวเข้ามาก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากการตกแต่ง ไปจนถึงการต้อนรับอย่างใส่ใจของเหล่าสตาฟ อาหารที่นี่อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สัมผัสธรรมชาติผ่านอาหาร” เชฟจะเลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลจากท้องถิ่น นำเสนอในสไตล์โฮมเมดเพื่อดึงรสชาติแท้ ๆ ของแต่ละวัตถุดิบออกมาอย่างตั้งใจ และสิ่งที่ทำให้เราว้าวขึ้นอีกระดับก็คือ น้ำที่ใช้ปรุงอาหารทั้งหมดเป็นน้ำแร่จากบ่อน้ำพุธรรมชาติ มีคุณสมบัติเป็นน้ำ ultra soft ที่ทั้งดีต่อร่างกายและช่วยชูรสอาหารให้ละมุนยิ่งขึ้น


มื้อเที่ยงของเราเป็นแบบ Lunch course ที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด เริ่มต้นด้วยพาสต้าเพนเน่คลุกเคล้าซอสมะเขือเทศโฮมเมด รสละมุน เสิร์ฟพร้อมไส้กรอกอิตาเลียนซาลซิชชาและมะเขือยาว ต่อด้วยสลัดラぺ หรือสลัดผักขูดฝอยแบบฝรั่งเศส ซึ่งให้รสสัมผัสสด กรอบ และหวานธรรมชาติ จากผักท้องถิ่น ปิดท้ายด้วยหมูสันนอกอบเนื้อนุ่ม ราดซอสเมล็ดมัสตาร์ดที่หอมและเข้มข้นอย่างพอดี ก่อนจะตามด้วยของหวานประจำฤดูกาลอย่างชีสเค้กอบเนื้อเนียนนุ่ม เสิร์ฟพร้อมซอสเบอร์รี่รสเปรี้ยวหวาน และกาแฟร้อนหอมกรุ่นที่ทำให้มื้อนี้ยิ่งสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงอิ่มท้อง แต่ยังอิ่มใจ เพราะทุกจานล้วนถ่ายทอดรสชาติของฮะคุบะออกมาได้อย่างนุ่มนวลและกลมกล่อมราวกับธรรมชาติรอบตัวเราเอง




Daio Wasabi Farm
กลางขุนเขาและลำธารใสของเมืองอาซูมิโนะ มีหนึ่งในฟาร์มวาซาบิที่ใหญ่และสวยที่สุดของญี่ปุ่นซ่อนตัวอยู่ Daio Wasabi Farm ฟาร์มแห่งนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1915 บนพื้นที่กว่า 15 เฮกตาร์ เต็มไปด้วยแปลงวาซาบิที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางลำธารธรรมชาติที่ไหลมาจากเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น จุดเด่นคือคุณภาพของน้ำ ซึ่งเป็นหัวใจของการปลูกวาซาบิแท้ เพราะพืชชนิดนี้ต้องการน้ำสะอาด อุณหภูมิคงที่ตลอดปี ณ เมืองอาซูมิโนะก็มีครบทุกคุณสมบัติ เรียกว่าติ๊กถูกทุกข้อไปเลย นักท่องเที่ยวแบบเรา ๆ สามารถเดินชมแปลงวาซาบิที่จัดเป็นขั้นบันได เคียงข้างลำธารใสที่ไหลเอื่อยให้ดูได้ตลอดทั้งปี นอกจากจะได้เห็นแหล่งปลูกวาซาบิคุณภาพ ยังมีโซนขายของฝาก วาซาบิสด และผลิตภัณฑ์แปรรูปให้เลือกชิมเลือกซื้อ แถมยังมีมุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ โดยเฉพาะ “หลอดวาซาบิยักษ์” ที่กลายเป็นไอคอนของที่นี่ไปแล้ว






หนึ่งในไฮไลต์ที่ห้ามพลาดของที่นี่คือ “ซอฟต์เสิร์ฟวาซาบิ” ไอศกรีมโฮมเมดที่ผสมวาซาบิสดจากฟาร์มลงไปอย่างพอเหมาะ ตัวไอศกรีมเนื้อเนียนนุ่ม สีเขียวอ่อนน่ากิน เสิร์ฟในโคนวาฟเฟิลกรุบกรอบ เหมาะจะถือเดินชมแปลงวาซาบิพลางรับความสดชื่นจากอากาศดี ๆ ในวันที่ฟ้าเปิด รสชาติของมันอร่อยเกินคาด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ชอบวาซาบิหรือเคยรู้สึกว่ามันเผ็ดฉุนเกินไป เพราะคำแรกจะสัมผัสได้ถึงความหอมหวานเย็นละมุน ก่อนจะตามมาด้วยกลิ่นเผ็ดบาง ๆ แบบนุ่มนวลที่ปลายลิ้น ไม่มีความแสบหรือจี๊ดขึ้นจมูกเหมือนวาซาบิที่เคยรู้จัก โดยหลัก ๆ มีให้เลือก 2 แบบ คือรสปกติที่ผสมวาซาบิในเนื้อไอศกรีม และแบบพรีเมียมที่มีวาซาบิสดวางโปะอยู่ด้านบนเพื่อเพิ่มความจัดจ้าน ราคาก็เป็นมิตรเว่อร์ เริ่มต้นที่ 450 เยน หรือ 550 เยนสำหรับแบบพรีเมียม ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความคิดสร้างสรรค์แบบญี่ปุ่น ที่ทำให้สิ่งที่ดูไม่น่าจะเข้ากัน กลายเป็นความอร่อยได้อย่างกลมกล่อมและละมุนละไมอย่างน่าทึ่ง




Matsumoto City Museum of Art
พักเบรกจากธรรมชาติมาดื่มด่ำพาทในเมืองกันที่มัตสึโมโตะ โดยเริ่มจาก Matsumoto City Museum of Art พิพิธภัณฑ์ศิลปะประจำเมืองที่รวบรวมผลงานศิลปินท้องถิ่นไว้มากมาย โดยมีไฮไลต์คือผลงานของ ยาโยอิ คุซามะ ศิลปินระดับโลกผู้เป็นเจ้าของสไตล์ลายจุดอันเป็นเอกลักษณ์ และเป็นชาวมัตสึโมโตะโดยกำเนิด แค่เดินมายังไม่ถึงตัวอาคารก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคุณย่าเต็มเปี่ยม เพราะทั้งบริเวณภายนอกถูกตกแต่งด้วยลายจุดสีสดที่กลายเป็นเหมือนงานศิลป์ขนาดใหญ่ที่ต้อนรับคนมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรมดอกไม้ยักษ์สีจัดจ้านที่ตั้งเด่นอยู่กลางลาน หรือหรือเจ้าหมาลายจุดขนาดใหญ่ในโทนสีสดใสที่สะดุดตาบนผนังด้านหน้า ดีงามจนกลายเป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายรูปยอดฮิตของคนที่หลงรักศิลปะและเป็นแฟนคลับย่า





เมื่อเข้าไปด้านใน จะพบกับนิทรรศการถาวรที่จัดแสดงผลงานของคุซามะไว้อย่างครบถ้วน ทั้งภาพวาด ประติมากรรม และงานจัดวางที่ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และพลังสร้างสรรค์อันล้นทะลักของศิลปินหญิงผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการหมุนเวียน และผลงานของศิลปินท้องถิ่นอื่น ๆ ให้ได้ชมอย่างหลากหลาย ภายในตัวอาคารที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายในสไตล์โมเดิร์น รายล้อมด้วยสวนสีเขียวที่เพิ่มความผ่อนคลายให้บรรยากาศโดยรวม ด้านในยังมีคาเฟ่ ร้านของที่ระลึก ห้องสมุดศิลปะ และโซนเวิร์กชอปให้ได้ลองสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง แม้เราจะไม่ได้เข้าใจทุกชิ้นงานแบบลึกซึ้ง แต่ความรู้สึกทึ่งในจินตนาการและพลังที่ถ่ายทอดออกมา ก็ทำให้การมาเยือนที่นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจสำหรับใครที่รักศิลปะ หรือแค่กำลังมองหาพื้นที่เงียบสงบในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้


แม้ลายจุดในผลงานของ ยาโยอิ คุซามะ จะดูสดใสและดึงดูดสายตา แต่แท้จริงแล้วคือภาษาส่วนตัวที่เธอใช้สื่อสารกับโลกเพื่อเยียวยาจิตใจจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เจ็บปวด เธอเคยมีอาการประสาทหลอน เห็นจุดและลายตาข่ายปกคลุมทุกสิ่งรอบตัว จนรู้สึกเหมือนถูกกลืนไปกับจักรวาล และเคยเขียนไว้ว่า “ลายจุดคือวิธีเดียวที่ฉันจะควบคุมโลกที่วุ่นวายในหัวได้” นับแต่นั้น ลายจุดจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แทนความกลัว ความโดดเดี่ยว ความไม่แน่นอนของชีวิต และเส้นแบ่งที่เลือนลางระหว่างตัวตนกับสิ่งรอบข้าง งานของคุณย่ามักละลายขอบเขตของพื้นที่ วัตถุ และสิ่งมีชีวิต เพื่อสะท้อนแนวคิดว่าทุกสิ่งล้วนเท่าเทียมกันในจักรวาลเดียวกัน และยังเป็นการต่อต้านความแข็งกร้าวของโลกยุคใหม่ ผ่านรูปทรงกลมเล็ก ๆ ที่เมื่อรวมกันเป็นพันหมื่น กลับเปี่ยมด้วยพลังจนกลืนกินพื้นที่และความคิดของผู้ชมได้อย่างน่าทึ่ง



Matsumoto Castle
ไปกันต่อกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ชวนหลงใหล Matsumoto Castle ปราสาทไม้โบราณที่ยังคงสภาพดั้งเดิมไว้อย่างสมบูรณ์จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติสำคัญแห่งชาติ ตัวปราสาทสร้างขึ้นปลายศตวรรษที่ 16 ในยุคเซ็งโกคุ โดยขุนศึก อิชิกาวะ คาซูมาสะ และลูกชาย เพื่อใช้เป็นฐานป้องกันเมือง จุดเด่นคือหอคอยสีดำสูง 6 ชั้นกลางคูน้ำ มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น ได้รับสมญานามว่า “ปราสาทอีกา” เพราะสีดำขรึมเหมือนอีกายามกางปีก แค่ยืนมองก็รู้สึกถึงพลังบางอย่าง ยิ่งเห็นเงาสะท้อนในน้ำผ่านสะพานแดงสด ยิ่งน่าจดจำ ด้านโครงสร้างภายในยังคงไม้ดั้งเดิม มีบันไดชัน ช่องยิงธนู ช่องปืนใหญ่ และจุดเทน้ำร้อนต้านข้าศึกรายละเอียดเหล่านี้หาได้ยากในปราสาทญี่ปุ่นที่ผ่านสงคราม หากมีแรงพอ ลองขึ้นไปถึงยอดหอคอย จะเห็นวิวเมืองมัตสึโมโตะกับเทือกเขาแบบพาโนรามา รอบปราสาทยังมีสวน Matsumotojo Park ให้เดินเล่นยามเย็น ถ้ามาเมืองนี้แล้วไม่แวะ ถือว่าพลาดของจริง

Rako Hananoi Hotel
ค่ำคืนนี้เราอยากดื่มด่ำบรรยากาศทะเลสาบสุวะให้เต็มที่ จึงเลือกพักที่ Rako Hananoi Hotel รีสอร์ตสไตล์ญี่ปุ่นที่ผสานความดั้งเดิมเข้ากับความสะดวกสมัยใหม่ จุดเด่นคือออนเซ็นกลางแจ้งที่ให้แช่น้ำร้อนชมวิวทะเลสาบได้แบบไร้สิ่งบดบัง โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตกดินที่ทั้งเงียบสงบและโรแมนติก อีกไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ Konano Terrace ดาดฟ้าชมวิว 180 องศา ที่สามารถมองเห็นทั้งทะเลสาบ เทือกเขา และท้องฟ้าได้ในมุมกว้าง บรรยากาศเรียบง่ายแต่ร่มรื่นด้วยโต๊ะไม้ เตียงนั่งเล่น หมอนอิง และไม้ประดับ เหมาะทั้งกับการจิบกาแฟยามเช้าหรือนั่งดูดาวตอนกลางคืน โดยเฉพาะในฤดูร้อน ที่นี่กลายเป็นจุดชมดอกไม้ไฟจากเทศกาล Suwa Lake Fireworks ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะเห็นพลุเต็มฟ้าโดยไม่ต้องเบียดใคร เปิดให้คนเข้าพักได้ขึ้นไปดื่มด่ำสองช่วงเวลา คือ 6.00–11.00 น. และ 15.00–22.00 น.




มื้อค่ำเราเลือกอาหารไคเซกิแบบญี่ปุ่นเต็มคอร์ส ซึ่งเน้นวัตถุดิบตามฤดูกาล จัดเสิร์ฟอย่างประณีต เริ่มด้วยเหล้าบ๊วยต้อนรับ ตามด้วยเต้าหู้ถั่วลิสงเรียบง่ายแต่สดใหม่ ต่อด้วยเนื้อกวางต้มซีอิ๊ว และปลาวาคาซิงิราดซอสเปรี้ยวหวาน หมึกเค็มคลุกผักก็เป็นรสสัมผัสแปลกใหม่ที่น่าสนใจ เมนูปลาดิบมีทั้งทูน่า แซลมอน กุ้งทะเล และคัมปาจิ โดยเฉพาะ ชินชูแซลมอน จากนากาโนะ ที่ทั้งเนื้อแน่น สีสวย และไขมันต่ำ ส่วนจานร้อนมีปลาย่างห่อกระดาษ มะเขือม่วงย่างราดมิโซะ และเนื้อวัวชินชูซอสมิโซะผสมทาร์ทาร์ เสิร์ฟพร้อมข้าวโคชิฮิคาริ ซุปมิโซะหอย และผักดอง 3 อย่าง ก่อนจะปิดท้ายด้วยเยลลี่ลูกพีชหอมเย็นสดชื่น เป็นการจบคอร์สอย่างละเมียดละไมสมกับความเป็นไคเซกิแท้




DAY 4 ::
Kanten Papa Garden
เริ่มต้นเช้าวันสุดท้ายของทริปกับที่เที่ยวแนวไลฟ์สไตล์เชิงคุณภาพในเมือง Ina (อีนะ) Kanten Papa Garden คือสวนธรรมชาติและพิพิธภัณฑ์แบบเปิด ที่ก่อตั้งโดยบริษัท Ina Food Industry ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตวุ้นและผลิตภัณฑ์จากคันเท็น (เจลลี่สกัดจากสาหร่ายทะเลแห้ง) ภายในมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์คันเท็นหลากหลายรูปแบบ ทั้งเส้น ก้อน ผง รวมถึงของกินเพื่อสุขภาพ คาเฟ่และร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูคันเท็นเป็นส่วนประกอบหลัก พิพิธภัณฑ์ศิลปะพฤกษชาติที่แสดงภาพวาดต้นไม้ ดอกไม้ และยังมีโซนตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้ลองเช็กความดัน สายตา ผิวหนัง หรือแม้แต่สมอง บรรยากาศรอบสวนเต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และทางเดินที่ร่มรื่น ทำให้แม้จะเป็นหน้าร้อน แต่อากาศก็ยังสดชื่น เดินเล่นได้แบบไม่เหนื่อย


ในช่วงฤดูร้อนที่นี่จะเต็มไปด้วยดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) หรือ “อาจิไซ” ในภาษาญี่ปุ่น ที่เบ่งบานเป็นช่อหลากสี ทั้งฟ้า ชมพู ม่วง และขาว เรียงตัวใต้ร่มไม้ใหญ่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้ และบางครั้งยังได้ยินเสียงนกร้องเบา ๆ ลอยมากับลม ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะ เราก็อยากกลายร่างเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ ร้องเพลงเสียงสูงแล้ววิ่งหมุนกระโปรงกลางสวนแบบในหนัง แต่สุดท้ายก็เลือกเดินเข้าคาเฟ่สั่งเครื่องดื่มเย็น ๆ แล้วออกมานั่งชมวิวให้เหมาะกับวัยมากกว่า เพราะไม่ไกลจากแปลงไฮเดรนเยียคือ Ressalong Himawari Tei คาเฟ่เอาท์ดอร์กลางดอกไม้ ที่เสิร์ฟกาแฟ ชา และขนมเบา ๆ เย็นสดชื่น เหมาะสำหรับรีเฟรชทั้งร่างกายและหัวใจในบรรยากาศแบบนี้พอดี





Kōzen-ji Temple
ท่ามกลางกลิ่นอายของเมืองน้ำพุร้อนเก่าแก่ชื่อดังอย่างคุซัตสึ มีวัดโบราณแสนสงบซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ชื่อว่า โคเซ็นจิ (Kōzen-ji Temple) วัดนิกายเทนไดที่ตั้งอยู่คู่เมืองนี้มาหลายร้อยปี ทางเดินขึ้นวัดเป็นบันไดหินทอดผ่านร่มไม้ใหญ่ แซมด้วยกลิ่นน้ำแร่ลอยมากับสายลม บรรยากาศราวกับหลุดเข้าไปในโลกของกวีญี่ปุ่นยุคโบราณ ตัววัดประกอบด้วยศาลาไม้ เจดีย์สามชั้น และซุ้มประตูโบราณเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังความศรัทธา รายล้อมด้วยสวนญี่ปุ่นที่จัดวางอย่างละเมียดละไม มีต้นไม้น้อยใหญ่และพืชหายากอย่างโคไคโคเกะ เพิ่มเสน่ห์ลึกลับให้กับมุมสงบแห่งนี้ ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงที่สามารถมองเห็นเมืองคุซัตสึเบื้องล่าง เส้นทางน้ำร้อนจาก Yubatake สีขุ่นขาวตัดกับหลังคาบ้านเรือน เป็นภาพงดงามเกินจินตนาการ




นอกจากความสงบและสวยงามแล้ว โคเซ็นจิยังเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับตำนานกินใจของ “ฮายาทาโร่” หมาศักดิ์สิทธิ์ผู้กล้าหาญ เรื่องราวเกิดขึ้นในหมู่บ้านมูรามัตสึ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองฮามามัตสึ) ซึ่งเคยตกอยู่ภายใต้ภัยร้ายจากอสูรลิงที่แอบอ้างตนเป็นเทพเจ้า ชาวบ้านจำต้องส่งหญิงสาวบูชายัญปีละคนเพื่อความปลอดภัย จนกระทั่งพระสงฆ์จากโคเซ็นจิผ่านมาและเสนอให้เปลี่ยนหญิงสาวเป็นหมาศักดิ์สิทธิ์ ฮายาทาโร่จึงเข้าต่อสู้อสูรเพียงลำพัง และแม้จะได้รับชัยชนะ สุดท้ายมันก็เสียชีวิตจากบาดแผล ด้วยความกล้าหาญนี้ ชาวบ้านจึงสร้างศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่วัดเพื่อรำลึกถึงความเสียสละของเขา ปัจจุบันยังมีสุสาน รูปปั้น และสินค้าที่ระลึกเกี่ยวกับฮายาทาโร่ภายในวัด และตำนานนี้ก็ยังคงถูกเล่าขานในการเทศกาลและพิธีกรรมของท้องถิ่นจนถึงทุกวันนี้




Chubu Electric Power MIRAI TOWER
หลังจากละทิ้งความสงบจากวัดโบราณในช่วงบ่าย เราก็เดินทางมาถึงใจกลางเมืองนาโกยาในช่วงเย็น แสงสุดท้ายของวันกำลังทอดผ่านยอดตึกระฟ้า ก่อนจะเปล่งประกายสะท้อนกับหอคอยเหล็กสูงสง่าที่ตั้งอยู่กลางสวน Hisaya-Ōdōri Park นั่นคือ Chubu Electric Power MIRAI TOWER หรือที่คุ้นกันในชื่อ Nagoya TV Tower ซึ่งถือเป็นหอคอยกระจายสัญญาณรวมแห่งแรกของญี่ปุ่น สร้างเสร็จในปี 1954 และยังคงยืนหยัดคู่เมืองนี้มากว่า 70 ปี ด้วยความสูงถึง 180 เมตร หอคอยแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นยุคใหม่ในช่วงหลังสงครามโลก และยังคงเปล่งประกายงดงามในฐานะแลนด์มาร์กสำคัญของนาโกยา โดยเฉพาะหลังได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 2020 และเปิดตัวใหม่ในชื่อ MIRAI TOWER เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2021 ทำให้จากที่สวยอยู่แล้ว ก็ยิ่งทรงเสน่ห์ขึ้นไปอีก เพราะมาพร้อมระบบโครงสร้างรองรับแผ่นดินไหวที่ทันสมัย

ด้านบนของหอคอยมีจุดชมวิวให้เลือก 2 ระดับ คือ Sky Deck ที่ระดับ 90 เมตร เป็นห้องกระจกอินดอร์เปิดรับทัศนียภาพกว้างไกลถึงภูเขา Kiso และตัวเมืองนาโกยาที่ทอดตัวไปสุดสายตา ส่วนอีกจุดคือ Sky Balcony ที่ระดับ 100 เมตร เป็นระเบียงแบบเปิดโล่ง จะขึ้นมายามเช้าหรือยามเย็นก็สวยจึ้งไม่แพ้กัน แต่จะยิ่งโรแมนติกสะกดใจขึ้นไปอีกเมื่อถึงเวลากลางคืน เพราะหอคอยแห่งนี้จะเปลี่ยนเป็นหอคอยแห่งแสงไฟ LED ที่พลิ้วไหวตามฤดูกาลและเทศกาลพิเศษให้บรรยากาศลึกลับและอบอุ่นในคราวเดียวกัน ด้านล่างยังมีโรงแรมดีไซน์เก๋ THE TOWER HOTEL NAGOYA ให้ได้พักผ่อนกลางหอคอยแห่งเดียวในญี่ปุ่น พร้อมคาเฟ่และร้านของฝากน่ารัก ๆ อีกมากมาย ดังนั้นไม่ว่าแกจะมาเยือนนาโกยาในฤดูกาลไหน ที่นี่ก็ยังเป็นมุมสุดโปรดของนักเดินทางเสมอ เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวและความทรงจำดี ๆ บนเส้นขอบฟ้าของเมืองนาโกยาแห่งนี้



Marutani Sake
หากต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการเที่ยวญี่ปุ่น แต่ยังคงกลิ่นอายอบอุ่นแบบโบราณในเมืองนาโกยา เราขอแนะนำให้แกรู้จักกับ Marutani Sake Bar (圓谷) ร้านสาเกบาร์สุดพิเศษที่ตั้งอยู่ใจกลางเขต Shikemichi / เอนโดจิ ริมคลอง Horikawa ภายในอาคารเก่ายุคเมจิที่เคยเป็นโกดังเก็บข้าวมากว่า 150 ปี บรรยากาศในร้านผสมผสานกลิ่นอายประวัติศาสตร์เข้ากับความสุนทรีย์ของอาหารและสาเกจากโรงกลั่น Sekiya Brewery ผู้เชี่ยวชาญด้านสาเกคุณภาพชั้นเลิศ ด้านนอกอาจดูเรียบง่ายเหมือนร้านเก่าในยุคก่อน แต่พอเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงความคลาสสิกผสมโมเดิร์น ด้วยผนังดินเก่าและเสาไม้สไตล์โกดังข้าวเดิม ที่แบ่งเป็นโซนบาร์และห้องอาหาร รองรับผู้มาเยือนหลากหลายรูปแบบ แม้จะไม่ใช่คอสาเก ก็เริ่มต้นง่าย ๆ เพราะมีเมนูหลายไซซ์ ตั้งแต่แก้วชิมเล็ก ๆ ไปจนถึงก๊กเต็มที่เอาให้ฟินเลย

อาหารที่นี่มีความหลากหลาย โดยจุดเด่นอยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่จากแถบโอคุมิคาวะมาปรุงสดในร้านอย่างพิถีพิถัน ทุกจานถูกจัดวางอย่างประณีต พร้อมจับคู่กับสาเกจากโรงกลั่น Sekiya Brewery ที่ช่วยเสริมรสชาติให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ก่อนจัดเสิร์ฟเป็นคอร์สเมนู มีให้เลือก 3 ระดับ ได้แก่ คอร์สเริ่มต้น คอร์สกลาง และคอร์สพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นจานย่าง อาหารหลัก ซุป หรือแม้แต่ของหวาน แต่ละคอร์สล้วนได้รับการออกแบบอย่างลงตัว โดยเลือกใช้สาเกทั้งแบบดรายไปจนถึงแบบหอมหวานกลมกล่อม ถ่ายทอดรสชาติและวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านประสบการณ์การกินและดื่มที่ร้อยเรียงเข้ากันอย่างงดงาม แม้จะไม่ใช่คอสาเกก็ไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่คือพื้นที่แห่งการเปิดโลกใหม่แบบไม่ต้องเร่งรีบ และบางทีเราอาจจะเมาหรือไม่ก็ไม่แน่ใจนัก แต่เรารู้ว่าเสียงกระดกแก้วในอาคารไม้เก่าหลังนี้ จะกลายเป็นภาพจำอันอบอุ่นของคืนหนึ่งในนาโกยาที่ไม่มีวันเลือน




Nagoya Marriott Associa Hotel
ถึงแม้เราจะเป็นคนเอาใจยาก แต่ก็ชอบอะไรที่เข้าถึงง่าย คืนสุดท้ายในนาโกยาเราจึงเลือกพักที่ Nagoya Marriott Associa Hotel โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ที่ตั้งอยู่เหนือสถานี JR Nagoya Station แบบแนบสนิท ไม่ต้องออกกลางแดดกลางฝนให้เมื่อย เพราะแค่เดินตรงจากชานชาลาก็ถึงล็อบบี้แล้ว ห้องพักกว้างขวาง สะอาด วิวเมืองแบบพาโนรามา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้ง Wi-Fi เครื่องชงกาแฟ มินิบาร์ ไปจนถึงสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ซาวน่า และสปา ด้านล่างยังรายล้อมด้วยห้างใหญ่ทั้ง Takashimaya Gate Tower, Midland Square และห้างใต้ดิน เดินเชื่อมถึงรถไฟใต้ดินหลายสาย แถมวันกลับก็แค่ลงลิฟต์แล้วลากกระเป๋าขึ้นรถไฟไปสนามบินได้เลย เรียกว่าสะดวกสบาย ปิดทริปแบบสวย เลิศ เลยทีเดียว



μ-SKY Limited Express
การเดินทางระหว่างตัวเมืองนาโกยาและสนามบิน Chubu Centrair มีตัวเลือกมากมายที่ค่อนข้างจะสะดวก และเข้าถึงง่ายสำหรับคนทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสายประหยัดที่สามารถเลือกนั่งรถบัสหรือรถไฟธรรมดา ไปจนถึงสายที่เน้นความสะดวกสบายอย่างเรา เช้าวันเดินทางกลับที่ไม่ต้องการความเร่งรีบ หรือผิดพลาดใด ๆ เลย เราเลือกใช้บริการ Meitetsu Limited Express (名鉄特急) ขบวนพิเศษ μ-SKY Limited Express หรือ “มิว” เป็นขบวนที่เร็วที่สุดในเส้นทางนี้ ใช้เวลาเพียง 28–35 นาที ก็ถึงสนามบินแบบไม่ต้องเปลี่ยนขบวน สำหรับชื่อ “μ (ミュー)” มาจากตัวอักษรกรีก หมายถึงความพรีเมียมและความรวดเร็ว ภายในรถดูใหม่ สะอาด มีพื้นที่วางกระเป๋ากว้างขวาง โดนใจสายชิลอย่างเราสุด ๆ


Chubu Centrair International Airport
ถ้าจะพูดถึงการผสานเอกลักษณ์เข้ากับนวัตกรรมแบบลงตัว ต้องยกให้สนามบิน Chubu Centrair International Airport ที่กล้าหยิบโลกอดีตและอนาคตมารวมไว้ในที่เดียว ภายใต้โครงการ SAMURAI × NINJA AIRPORT ทุกมุมของเทอร์มินอลเต็มไปด้วยรายละเอียดสุดเก๋ อย่างนินจาน้อยแอบไต่ตามโครงเหล็กบนชั้น 3 หรือเงาดาบซามูไรในสวนกลางอาคาร ทำให้ที่นี่ไม่ใช่แค่จุดเริ่มต้นหรือจุดจบของทริป แต่คือประสบการณ์ที่จดจำได้จริง ซึ่งธีมเก๋ไก๋สะดุดตานี้เขาเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2018 ภายใต้แนวคิด Centrair meets the Sengoku Period แถมในวันที่ 22 ของทุกเดือน ยังมีโชว์นินจาและซามูไรให้ได้ถ่ายรูปเช็คอินกันแบบสนุก ๆ แม้จะเต็มไปด้วยกลิ่นไอย้อนยุค แต่ระบบและบริการของสนามบินแห่งนี้กลับทันสมัยระดับโลก พร้อมรองรับนักเดินทางแบบเรา ๆ ได้อย่างลื่นไหล



ปกติแล้วเรามักจะเผื่อเวลามาสนามบินก่อนขึ้นเครื่องเสมอ แต่จะเผื่อให้มากกว่าเดิมนิดหน่อยทุกครั้งเวลาบินกลับจากสนามบินแห่งนี้ นั่นก็เป็นเพราะบนชั้น 4 ของอาคาร SkyTown คือโซนร้านค้าขนาดใหญ่ที่รวมของฝากจากทั่วภูมิภาค ทั้งขนมจากนาโกยา ของดังจากกิฟุ โทยามะ มัตสึโมโตะ และสินค้าลิขสิทธิ์ญี่ปุ่นน่ารัก ๆ ให้เลือกแบบจุก ๆ โดยเฉพาะ Benzaiten Kakuozan Fruit Daifuku ร้านไดฟุกุเจ้าดังจากย่าน Kakuozan ที่เลือกใช้ผลไม้ตามฤดูกาลจากตลาดชั้นนำทั่วญี่ปุ่น มาห่อด้วยกิวฮินุ่ม ๆ และถั่วขาวบดจนกลายเป็นคำหวานละมุนที่อยากลองให้ครบทุกไส้ ตั้งแต่สตรอว์เบอร์รี่ ส้ม ไซมัสคัท ไปจนถึงแตงโม เพราะทุกชิ้นคือคำบอกลาจากนาโกยาที่อร่อยจนยากจะลืม


ลมอุ่น ๆ พัดเอากลิ่นหอมของหญ้าเขียวขจีปนกลิ่นดินที่อาบแดดมาทั้งวัน แสงแดดที่ระยิบระยับบนผิวน้ำ เสียงแมลงร้องประสาน ล้วนสร้างจังหวะฤดูร้อนในภูมิภาคชูบุให้มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร เราหลงรัก ยามเช้าของกิฟุ ที่อากาศอบอุ่นแต่ไม่รุ่มร้อน บรรยากาศจากย่านเมืองเก่าช่วยปลุกให้ตื่นพร้อมกลิ่นขนมโบราณราวกับได้ย้อนยุคไปอีกโลก ยามกลางวันของนากาโนะ ก็สวยงามไม่แพ้กัน แดดจ้าแต่ลมเย็นสดชื่น เสียงน้ำ เสียงใบไม้ขับกล่อมใจให้สงบ ยามเย็นของนาโกยา ก็ชวนฝัน แสงอาทิตย์ค่อย ๆ จาง สีท้องฟ้าแปรเปลี่ยนจากส้มเป็นม่วง หอคอยเริ่มเปิดไฟระยิบระยับ และเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้คนริมทางเสริมให้บรรยากาศละมุนยิ่งขึ้น
3 เมือง 3 ช่วงเวลา 3 อารมณ์ที่ต่างกัน แต่ล้วนร้อยเรียงเป็นบันทึกการเดินทางแห่งฤดูร้อนที่เราไม่อาจเก็บซ่อนไว้ในใจเพียงผู้เดียว แต่ต้องเอามาบอกต่อให้พวกแกได้สัมผัสฤดูร้อนของญี่ปุ่น จนติดใจแบบเราดูบ้าง





