รีวิวญี่ปุ่น :: A Cool Summer Escape in Japan “Hokkaido”: 4 days of nature, food, and scenic beauty 🇯🇵

ฮิดเดนเจมส์ของ Hokkaido คราวนี้ ไม่ใช่สถานที่ ไม่ใช่ร้านอาหารหรือคาเฟ่ แต่คือฤดูกาล “ฤดูร้อน” ที่หลายคนมองข้าม

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อนรอบนี้ เราขอพาทุกคนเข้าสู่ดินแดนแสนอุดมสมบูรณ์ทางภาคเหนือ ที่ใคร ๆ มักจดจำภาพเมืองขาวโพลนใต้หิมะ แต่แท้จริงแล้วหน้าร้อนที่นี่มากล้นเสน่ห์ชวนหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าใสปิ๊ง ธรรมชาติเบ่งบาน หมู่ดอกไม้พากันเต้นระบำอย่างเริงร่า ยิ่งได้เที่ยวแบบเช่ารถขับเองยิ่งฟิน เหมือนทริป 4 วัน 4 คืนของเรา ที่เช็กอินตั้งแต่จุดชมวิวริมทะเลสีชาโคตันบลูสุดอลังการ เข้าฟาร์มเก็บเชอร์รี่หวานกรอบกินจากต้น แวะชมคลองสุดคลาสสิกคลาคล่ำเรื่องราวและกลิ่นอายอดีต ลิ้มรสไข่หอยเม่น ปูยักษ์ และซาชิมิหวานฉ่ำจากทะเลฮอกไกโด พักในที่พักพรีเมียมห้าดาว กินหรูอยู่สบายกับวัตถุดิบพิเศษเฉพาะฤดู รวมถึงแช่ออนเซ็นอุ่น ๆ พร้อมวิวพาโนรามา ก่อนจะเข้าเมืองไปถ่ายรูปกับแลนด์มาร์ค ฮอปปิงคาเฟ่ แล้วส่งท้ายทริปแบบฉ่ำใจด้วยการชอปปิง บอกเลยว่าทุกที่ที่แวะ เติมพลังให้เราแบบเต็มแมกซ์ จนคาดไม่ถึงว่าซัมเมอร์ญี่ปุ่นจะว้าวและฟินได้ขนาดนี้

เริ่มต้นความสมูทของทริปตั้งแต่การเดินทางไปยังแดนอาทิตย์อุทัย ด้วยการบินกับ Thai Airways สายการบินแห่งชาติ ที่พาเราสู่ภาคเหนือของญี่ปุ่นด้วยเครื่อง Boeing 787-8 ลำใหญ่ ที่แม้จะเป็น Economy Class ก็ถือว่ากว้าง นั่งสบาย พร้อมจอส่วนตัว ใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมง 45 นาที สำหรับเส้นทาง กรุงเพทฯ (Suvarnabhumi Airport) – ซัปโปโร (New Chitose Airport) จะมีบินตรงทุกวัน

✈️ ขาไป :: TG670 BKK–CTS : 23.45 น. – 08.30 น. (+1)
✈️ ขากลับ :: TG671 CTS–BKK : 10.00 น. – 15.00 น.

คลิกจองเพียงครั้งเดียวก็ได้ครบแบบ Full-service เลือกที่นั่งได้ มีอาหารและเครื่องดื่มเสิร์ฟระหว่างบิน พร้อมน้ำหนักโหลด 23 กก. และถือขึ้นเครื่องอีก 7 กก.

บรรยากาศภายในเครื่องนั่งสบายจนแทบเรียกได้ว่าเป็นเซฟโซนของเราเลยทีเดียว พี่ ๆ พนักงานน่ารักและบริการด้วยรอยยิ้ม คอยดูแลเรื่องอาหารและเครื่องดื่มอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไทม์มิงการเสิร์ฟอาหารก็ตรงกับมื้อเช้าพอดี ภายในเซตครบครัน ทั้งจานหลัก ขนมปัง ผลไม้ และชา กาแฟ ใครเบื่อก็เปิดจอส่วนตัวดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมเพลิน ๆ เป็นการเดินทางที่เหมือนได้พักผ่อนไปในตัว ลงจากเครื่องก็พร้อมเที่ยวต่อได้ทันที 

Day 1 :

おたる夢市場食堂

มาถึงเมืองแห่งปลาดิบก็ขอประเดิมเที่ยงวันแรกด้วยการรับประทานอาหารที่ร้าน ‘おたる夢市場食堂’ (Otaru Yumeichiba Shokudo) ในเมืองโอตารุ เป็นร้านเปิดใหม่เมื่อปลายปี 2024 โดยกลุ่มคนขายปลาที่แท้จริง แม้กระทั่งชาวเมืองเองก็ยังไว้วางใจในความสดของไคเซ็นด้งร้านนี้ ซึ่งมีเมนูข้าวหน้าให้เลือกถึง 18 แบบ ไม่ว่าจะเป็นแซลมอน ทูน่า ปลาเนื้อขาว ไข่ปลา กุ้ง ปลาหมึก โฮตาเตะ ปูอลาสก้า ไข่หอยเม่น และอื่น ๆ แต่ถ้าตัดสินใจไม่ได้ แนะนำให้สั่งเป็นหน้า ‘Yumeichiba’ รวมของเด็ดประจำร้าน ที่มอบความหวาน มัน เด้งสด แค่คำแรกก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นชายหาดหน้าร้อนของฮอกไกโด ราคาอยู่ที่ราว ๆ 3,200 เยน เมื่อเทียบกับความสด ถือว่าราคาดีมาก และเมนูที่ไม่ควรพลาด ‘Otaru Seafood Ankake Yakisoba’ ยากิโซบะที่คลุกมากับน้ำซุปข้นหนืดคล้ายราดหน้า เป็นเมนูขายดีที่ขายหมดก่อนเที่ยงเป็นประจำ นอกจากนี้ยังเอาใจคนงบน้อยด้วยการจัด weekly lunch set ราคา 950 เยนด้วย ดีต่อใจสุด ๆ 

Otaru Canal

หลังจากอิ่มท้องกับอาหารทะเลสดใหม่แล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง ‘Otaru Canal’ ที่เราเคยสัมผัสในฤดูหนาว คราวนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศเป็นซัมเมอร์ที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน คลองแห่งนี้ถือเป็นแลนด์มาร์กประจำเมือง มีมุมมหาชนที่ทุกคนต้องแวะถ่ายรูปตรงทางเดินริมคลอง ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ตั้งของโกดังอิฐโบราณขนาดใหญ่ ซึ่งประดับด้วยป้ายชื่อภาษาญี่ปุ่นคลาสสิกสีขาว ตัดกับหลังคาสีฟ้าน้ำทะเลกลมกลืนกับท้องฟ้าสดใส ด้วยความที่เป็นเมืองติดทะเล ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ที่นี่จึงเคยเป็นเมืองท่าค้าขายที่เจริญรุ่งเรือง สินค้าจะถูกลงเรือขนส่งขนาดใหญ่ ก่อนกระจายเข้าสู่เมืองผ่านคลองสายต่าง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและการคมนาคมก้าวหน้า โกดังเก่าเหล่านี้จึงถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานศิลปะมากมาย กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา

เราสามารถเดินทอดน่องได้ตลอดความยาว 1,140 เมตร พร้อมปล่อยใจจอยกับการมองวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของผู้คน จะมีช่วงหนึ่งที่เป็นย่านร้านค้าก็จะคึกคักเป็นพิเศษ เห็นคนหลากหลายสัญชาติเดินซื้อของ กินสตรีทฟู้ด มีนักดนตรีเปิดหมวกมาสร้างความสนุกสนาน เลยมาหน่อยก็พบเจอความสงบ ชาวบ้านที่พาน้องหมามาเดินเล่น คู่รักที่เดินจูงมืออย่างสนิทสนม คนปั่นจักรยานไปมา เด็กนักเรียนคุยเล่นกันอย่างน่ารัก ศิลปินมานั่งวาดรูปในมุมสงบ เคล้าสายลมอุ่น ๆ โชยเอื่อยมาให้รู้สึกอ้อยอิ่ง มองเรือนำเที่ยวค่อย ๆ ล่องพานักท่องเที่ยวชมวิวริมทางอย่างเอื่อยเฉื่อย ไวบ์ดีจนอยากซื้อกาแฟมาสักแก้วแล้วนั่งดื่มด่ำกับหน้าร้อนของโอตารุไปนาน ๆ เลย

Sakaimachi Dori

รับบทสายชิลกันเต็มที่แล้ว ก็ถึงเวลาปลุกวิญญาณนักชอปเข้าประทับร่าง แล้วเดินสับ ๆ ไปที่ ‘Sakaimachi Dori’ ชอปปิงสตรีทเก่าแก่กว่า 200 ปี ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นย่านค้าขายคึกคักในสมัยท่าเรือรุ่งเรือง สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จึงได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก แต่ก็ยังมีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นผสมอยู่เช่นกัน ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรีศิลปะ ร้านของฝาก ร้านขนม และร้านค้าให้เราได้เดินฮอปกันตลอดเส้นถนน จะบอกว่าเราเพลิดเพลินกับบรรยากาศย้อนยุคมาก แถมน่ารักตรงที่เขาชอบมีตัวมาสคอตหรือตัวการ์ตูนดัง ๆ มาแอบยืนจ๊ะเอ๋กันเต็มเลย ส่วนคาเฟ่ของวัยรุ่นก็แต่งได้เก๋กรุบ เหมาะนั่งจิบน้ำผลไม้เคล้าเลมอนเย็นเจี๊ยบหวานฉ่ำท้าอากาศ หรือจะซื้อซอฟต์เสิร์ฟมาเดินกินก็ฟินใช้ได้เลย

Otaru Steam Clock

เดินมาเรื่อย ๆ ทุกคนจะต้องสะดุดตากับ ‘Otaru Steam Clock’ หอนาฬิกาที่ตั้งอยู่หัวมุมถนน Sakaimachi Dori หรือเรียกว่า Meruhen Intersection มุมที่ตัดระหว่างถนนหลักกับถนนทางทิศใต้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งไอคอนประจำเมืองที่ยังคงทำหน้าที่บอกเวลามานานกว่า 31 ปี หอนี้มีความสูงอยู่ที่ 5.5 เมตร ภายในใช้กลไกการทำงานที่ไม่ธรรมดา เพราะถือเป็นหอนาฬิกาไอน้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เราจะได้ยินเสียงหวีดร้องเป็นเมโลดี้ 5 โน้ตเพลง พร้อมไอน้ำพ่นออกมาจากนาฬิกาทุก 15 นาที โดยผู้สร้างคือ Raymond Saunders ช่างทำนาฬิกาไอน้ำชื่อดังจากแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่ออกแบบได้ประณีตมีความคราฟต์อยู่เต็มขั้น ตัวฐานเป็นไม้สีโอ๊กเข้มน่าเกรงขาม ส่วนตัวเรือน พื้นหลังหน้าปัดทำเป็นสีขาว มีดอกไม้ประดับทั้ง 4 มุม ดูน่ารักสมกับสถานที่มากทีเดียว

Yu Kiroro

ได้เวลาออกจากเมืองท่า เดินทางขึ้นเขาสู่ที่พักที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์บนดินของนักสกี ‘Yu Kiroro’ แม้จะไร้หิมะก็ยังมอบไวบ์การพักผ่อนได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ภายนอกถูกโอบล้อมด้วยภูเขาเขียวชอุ่ม แซมด้วยดอกไม้บานรับซัมเมอร์จนใจละลาย มีสวนหินเท่ ๆ คุมโทนเข้ากับตัวอาคารสีเทา-น้ำตาลอย่างลงตัว ด้วยคอนเซปต์การออกแบบตั้งใจให้ผู้เข้าพักรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบตัว จึงหยิบแรงบันดาลใจจากเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่นมาผสมผสานกับความโมเดิร์นในแบบสกีรีสอร์ต ใช้วัสดุไม้และหินเป็นหลักเพื่อสร้างความอบอุ่นและหนักแน่น เมื่อก้าวเข้าสู่ล็อบบี้ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดธรรมชาติ ผ่านการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นเส้นสายเรียบง่าย โทนสีกลมกลืนกับภูเขา และกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานที่เปิดวิวพาโนรามาของเทือกเขามาเป็นฉากหลังให้ทุกการพักผ่อน

ห้องพักของที่นี่หรูหราสมศักดิ์ศรีเบอร์ต้น ๆ ของสกีรีสอร์ทแห่งฮอกไกโด เพราะยูให้ความรู้สึกส่วนตัวและเป็น “บ้านพักตากอากาศ” มากกว่าห้องโรงแรมทั่วไป มีให้เลือกหลัก ๆ 5 แบบ ตั้งแต่ห้องสตูดิโอ, ห้องแบบ 1–2 ห้องนอนที่มาพร้อมห้องนั่งเล่นและโต๊ะกินข้าว ไปจนถึงเพนต์เฮาส์ขนาดใหญ่สำหรับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว ขนาดเริ่มตั้งแต่ 47–267 ตร.ม. รองรับได้ตั้งแต่ 2–8 คน ทุกห้องตกแต่งด้วยโทนโมเดิร์นอบอุ่น ใช้วัสดุและเฟอร์นิเจอร์พรีเมียมที่สัมผัสแล้วรู้สึกได้ถึงคุณภาพ รายละเอียดเล็ก ๆ อย่างหมอนนุ่มฟู ผ้าห่มอุ่นกำลังดี และเตียงที่นอนสบายขั้น Deep Sleep ทำให้ตื่นมาแล้วสดชื่นเต็มร้อย เหมือนฮีลร่างให้พร้อมลุยทริปต่อทันทีในทุก ๆ เช้า

BBQ Diner

เหนื่อยมาทั้งวันจากการเดินทาง ไหนจะขับรถ เดินตะลอนเที่ยว เย็นนี้เราก็ต้องจัดหนักกันหน่อยกับเซตบาร์บีคิวท่ามกลางลมเย็นจากภูเขา แม้จะเป็นฤดูร้อนแต่บนเขาแห่งนี้กลับมีอากาศเย็นสบาย เหมาะกับการกินข้าวเอาต์ดอร์สุด ๆ โดยเซตที่เห็นนี้คือ ‘Summer BBQ’ มีให้เลือกทั้งแบบ Standard BBQ (5,000 เยน) และ Premium BBQ (9,000 เยน) ซึ่งแน่นอนว่าเราเลือกแบบหลัง วัตถุดิบเน้นท้องถิ่นคุณภาพสูง เช่น สันในวากิวฮอกไกโด, ปลาไข่ชิซาโมะ, เนื้อกวางฮอกไกโดหมักไวน์แดง พร้อมจานเคียงอย่างบุยยาเบสรสกลมกล่อม และชีสกามองแบร์ฟองดูที่เพิ่มความละมุนใจ เป็นมื้อที่อุดมด้วยโปรตีนและรสชาติครบถ้วน เหมาะสำหรับเติมพลังให้ร่างกายหลังวันอันหนักหน่วง นอกจากนี้ยังมีบริการเครื่องดื่มค็อกเทลและไวน์ท้องถิ่นให้เลือกดื่มคู่กับมื้ออาหาร เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

Day 2 :

อากาศฤดูร้อนทำให้แดดยามเช้าส่องแสงไวกว่าฤดูอื่น ๆ เมื่อเราเห็นแสงอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านกรองแสง ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวลงมารับมื้อเช้าทันที บรรยากาศของห้องอาหารยังคงเป็นโทนโมเดิร์นโคซี่เน้นงานไม้ เล่นแสงไฟฉายเข้าผนังดูนุ่มนวล เราเลือกนั่งโต๊ะวิวดีริมหน้าต่าง พร้อมเมนูหลักที่เขาจะจัดเสิร์ฟสลับกันทุกเช้าให้ไม่รู้สึกจำเจ ทั้งแบบญี่ปุ่นสไตล์ และ อเมริกันเบรกฟาสต์ โดยมีไลน์บุฟเฟต์ให้เลือกตักมากินเพิ่มเติม กับสารพัดอาหารคาวหวานแบบจัดเต็ม ไม่ว่าเป็นเป็นไส้กรอก ขนมปัง ชีส ผลไม้สดตามฤดูการ สลัดบาร์ และที่พลาดไม่ได้คืออิกุระฉ่ำ ๆ ให้เราตักมาราดบนข้าวญี่ปุ่นร้อน ๆ ด้วยตัวเองตามใจชอบ จะบอกว่าดีงามสุด ๆ ความสดเค็มนัวไร้คาวสมกับที่เป็นเมืองลูกหลานทะเลจริง ๆ

Ebisu Rock & Daikoku Rock

ปรอทความฟินค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ จากมื้อเช้า จนเรามาถึงถนนเลียบชายฝั่งของ Shakotan Peninsula ซึ่งเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมทางทะเลที่สวยงามและโดดเด่นที่สุดในหน้าร้อน ทะเลที่นี่มีสีฟ้าโทแพซระยิบระยับเหมือนอัญมณี มีจุดท่องเที่ยวหลากหลายให้เราได้ตามเช็กอิน จุดแรกที่มาเยี่ยมชมคือ ‘Ebisu Rock & Daikoku Rock’ หินสองก้อนขนาดใหญ่ตั้งเรียงเคียงคู่กันอย่างโดดเด่น Ebisu Rock มีรูปร่างคล้ายเทพเจ้าแห่งประมง Ebisu ที่กำลังถือเบ็ดบนฐานทรงกรวย ซึ่งเป็นเทพผู้คุ้มครองชาวประมงและความโชคดี ขณะที่ Daikoku Rock มีเสาโทริอิบนยอดหิน เป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง Daikokuten ตามตำนานเล่าว่าเทพทั้งสององค์นี้ปกปักษ์รักษาความอุดมสมบูรณ์ของทะเลและชาวประมงในพื้นที่ โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาที่ตั้งยอดแหลมทอดยาวไปจนสุดปลายคาบสมุทร ภาพนี้จึงดูสมบูรณ์และงดงามยิ่งขึ้น หากได้มาในช่วงพระอาทิตย์ตกดินที่ฟ้าสีส้มแดงระเบิดตัวทิวทัศน์คงจะอลังการและตราตรึงใจมากแน่ ๆ

Furubira Tarako Museum

ตากแดดรับวิตามินได้สักพัก เราก็หลบเข้าร่มมาแช่แอร์เย็น ๆ ที่ ‘Furubira Tarako Museum’ ที่เพิ่งเปิดเมื่อเดือนเมษายน 2025 ถือเป็นสถานีพักรถริมทางแห่งแรกที่มีธีมหลักเป็น ‘ทาราโกะ’ ไข่ปลาค็อดหมักเกลือ (แตกต่างกับเมนไทโกะ ที่เป็นไข่ปลาค็อดหมักเกลือและพริก) นำเราไปสู่โลกของไข่ปลาโดยครีเอตมาสคอตออกมาเป็นเรื่องเป็นราว ด้านนอกบุอาคารด้วยแผ่นไม้ลายกระ ส่วนด้านในคุมโทนสีไข่ปลาเป็นชมพูพาสเทลทั้งร้าน ทำให้ดูน่ารักน่าเข้าหา มีสินค้า อาหารแปรรูป ของฝากกระจุกกระจิกดีไซน์เก๋เข้ากับยุคสมัยมากมาย และยังมีอาหารจานเด็ดที่ทำจากทาราโกะจัดเสิร์ฟ นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง ‘Tarako Time Machine’ นิทรรศการบอกเล่าประวัติ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์การหมักเกลืออีกด้วย

Restaurant Rinko

ขับมาเรื่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเขามานิดหน่อยใกล้ ๆ กับจุดชมวิว Shakotan Peninsula เราจะเจอกับ ‘Restaurant Rinko’ ร้านอาหารในอาคาร 2 ชั้น ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายและเป็นระเบียบ สไตล์ร้านชนบทในญี่ปุ่น ส่วนอาหารนั้นหน้าตาฉูดฉาดแตกต่างกับตัวร้านโดยสิ้นเชิง ที่นี่เขาจัดเสิร์ฟของทะเลสด ๆ ที่หาได้ตามฤดูกาล อย่างหน้าร้อนแบบนี้จะเป็นช่วงของ Uni หรือหอยเม่น เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ลิ้มรสข้าวหน้าหอยเม่นคุณภาพดีในราคาเพียง 3,800 เยน ที่เนื้อสัมผัสมีความเนียนละมุน รสชาติหวาน กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ กลมกล่อมเข้มข้นเข้ากับข้าวสวยร้อน ๆ ได้อย่างเหมาะเจาะ และยังมี Uni Ramen เมนูเส้นที่ผสมหอยเม่นเข้าไปในซุป มอบรสชาติของทะเลได้อย่างล้ำลึก แต่ถ้าเพื่อน ๆ ยากลองอย่างอื่น เขาก็มีข้าวหน้าปลา ปู กุ้ง ให้เลือกเช่นกัน

Shakotan Observation Deck

ใครที่มองข้ามการเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูร้อนอาจพลาดภาพงดงามของฮอกไกโดที่ ‘Shakotan Observation Deck’ จุดชมวิวสุดอลังการที่เราเดินขึ้นเนินจากร้านอาหาร ผ่านอุโมงค์สั้นที่ชาวบ้านตั้งชื่อให้ว่า Shimamui Tunnel ทะลุออกมาเราจะพบกับจุดชมวิวริมหน้าผาสูงที่เบื้องล่างเป็นทะเลสีฟ้าคราม เวิ้งทะเลอันไพศาลจากมุมสูงทำให้เราเห็นหินรูปร่างแปลกตา ยามแดดส่องความใสของน้ำจะกลายเป็นสีฟ้าใสจนเห็นหินภูเขาที่จมอยู่ตรงฐานด้านล่างเลยทีเดียว นี่คงเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของ ‘Shakotan Blue’ ที่ใคร ๆ ต่างหลงใหล และอีกความน่ารักของหน้าร้อนคือเราจะเห็นดอกไม้ริมทางขึ้นฟูฟ่องอยู่ตามผนังและริมทางอย่างเป็นธรรมชาติ อากาศก็ยังเย็นสบาย ไม่อบอ้าวเท่าเมืองทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ไม่แปลกใจเลยที่ที่นี่ติดอันดับ ‘100 ชายฝั่งที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น’ เป็นสปอตที่อยากจะหยุดเวลาแล้วนั่งชิลยาว ๆ ไปเลย

Cape Kamui

ถ้าคิดว่าวิวที่เห็นเมื่อครู่สวยแล้ว ลองพุ่งตรงมาที่ ‘Cape Kamui’ กันเสียก่อน ที่นี่เป็นแหลมแห่งคาบสมุทรชาโคตัน ถ้าให้อินอีกหน่อย เราอยากให้เพื่อน ๆ ได้รับรู้ตำนานของที่นี่ก่อน เรื่องคำสาปของ Charenka หญิงสาวชาวไอนุที่ตกหลุมรัก Yoshitsune ขุนพลตระกูลดังในปลายยุคเฮอันที่เคยมาอาศัยอยู่กับ Biratori ผู้นำเผ่าซึ่งเป็นพ่อของหญิงสาว จนวันหนึ่งที่ขุนพลจะต้องออกไปทำภารกิจล่องเรือสู่ทะเล หญิงสาวออกตามหาทุกแห่งจนมาถึงแหลมคามุอิก็พบเรือของขุนพลจนได้ แต่ด้วยลมทะเลที่รุนแรงทำให้พวกเขาไม่ได้ยินเสียงเรียกของเธอและออกเรือไป ทำให้หญิงสาวเศร้าและแค้นใจเป็นอย่างยิ่งจึงสาปแช่งว่า เรือลำไหนที่มีผู้หญิงอยู่บนเรือแล้วแล่นผ่านมาจุดนี้ ขอให้เรือนั้นจมลงสิ้น จากนั้นก็กระโดดลงทะเลตาย และกลายเป็นหินคามุอิที่มีรูปร่างคล้ายหญิงสาวตรงปลายแหลมนั่นเอง 

แม้จะเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้า แต่พอเราเดินผ่านประตูด้านหน้าเข้าไป ตาเราก็เป็นประกายกับภาพเบื้องหน้าทันที กับทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวไปตามสันเขาโดยมีพุ่มหญ้าขึ้นสูงอยู่สองข้างทางเรียกว่า Charenka’s Path มีความยาวกว่า 770 เมตร ชมวิวทะเลรอบ 360 องศาได้อย่างสบายอารมณ์ ถือเป็นอีกแหลมที่ยื่นไปนอกทะเลที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น ขนาดวันที่เรามา ฟ้าออกจะครึ้มนิดหน่อย แต่ลมทะเลที่พากลิ่นหอมของดิน และหญ้าก็โชยเข้าจมูกมาแบบฉ่ำ ๆ พาใจพองโตไปหมด แถมมาเที่ยวช่วงนี้คนยังน้อย เดินถ่ายรูปได้สบายอารมณ์สุด ๆ ก่อนกลับอย่าลืมแวะจุดบริการนักท่องเที่ยวซื้อ Shakotan Blue Soft Serve (積丹ブルーソフトクリーム) สีฟ้าอ่อนพรีเซนต์ความเป็น Shakotan Blue พร้อมรสชาติสดชื่นออกมิ้นต์ผสมโยเกิร์ตหวานเบา ๆ กินแล้วตะโกนความเป็นซัมเมอร์ได้ดีมาก

Nikka Whisky Museum

แม้เราจะไม่ใช่นักดื่มนักดริงก์ตัวยง แต่เมื่อมีโอกาสผ่านมาในเมืองโยอิจิ (Yoichi) จะต้องขอแวะเช็กอิน ‘Nikka Whisky Museum’ สักหน่อย ที่นี่ถือเป็นแหล่งกำเนิดวิสกี้ชั้นดีสัญชาติญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียง ก่อตั้งมานานกว่า 91 ปีโดย Taketsuru Masataka ผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นวิสกี้ที่ไปศึกษาไกลถึงสก็อตแลนด์ และสิ่งที่ผลักดันให้วิสกี้ของเขาโดดเด่นจนได้รางวัลมากมายก็คือโลเคชันของการผลิตที่มีทั้งน้ำใสสะอาด ถ่านหินอุดมสมบูรณ์ อากาศหนาวเย็น และมีความชื้นบริสุทธิ์ ทั้งยังอุดมไปด้วยข้าวบาร์เลย์และพีท ทำให้ได้วิสกี้มอลต์ที่เข้มข้น ซึ่งเราสามารถเยี่ยมชมนิทรรศการประวัติศาสตร์ และดูขั้นตอนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบได้ มีเซตวิสกี้ให้ลิ้มลองถึงความแตกต่าง หรือจะแวะซื้อแค่ของฝากเป็นขวด ๆ ให้เจ้านาย ผู้ใหญ่แบบเราก็เลิศไม่เบา

Yamamoto Orchard

โลเคชันสุดท้ายของวันก่อนกลับที่พัก ขอเปลี่ยนบทมาเป็นสาวชาวสวนชั่วคราวที่ ‘Yamamoto Orchard’ ฟาร์มผลไม้แบบบุฟเฟต์ที่ขึ้นชื่อของภูมิภาคนี้ โดยที่นี่เปิดให้เก็บผลไม้สดใหม่ได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ไฮไลท์อยู่ที่ผลไม้ตระกูลเบอร์รีที่ออกผลกันต่อเนื่องในหน้าร้อน ช่วงกรกฎาคมจะเป็นเวลาพีคของเชอร์รีสดหวานฉ่ำ ก่อนจะต่อด้วยบลูเบอร์รี พลัม ลูกพีช พรุน องุ่น แอปเปิล เกาลัด และสาลี่ในลำดับถัดไป คอร์สบุฟเฟต์เก็บกินได้ไม่จำกัดเวลาราคาเพียง 1,500 เยน ที่สำคัญฟาร์มนี้ปลูกแบบออร์แกนิกไม่ใช้สารเคมี จึงมั่นใจได้ทั้งความปลอดภัยและรสชาติสดใหม่ของผลไม้ทุกชิ้น เพิ่มเติมคือที่นี่มีพื้นที่กว้างขวางและบรรยากาศร่มรื่น เหมาะแก่การพาครอบครัวและเด็ก ๆ มาเรียนรู้และสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดด้วยกันอย่างเต็มอิ่ม

เรามาตรงกับกลางเดือนกรกฎาคม ทำให้ฟินขั้นสุดกับเหล่าเชอร์รีสีแดงที่สุกฉ่ำกำลังน่าอีส ที่นี่เขาปลูกมากกว่า 10 สายพันธุ์ โดยมีไฮไลท์อย่าง Beni-Shuho เชอร์รีระดับพรีเมียมของญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องความกรุบกรอบและรสหวานกลมกล่อม, Summit เชอร์รีสีม่วงอมแดงที่ผสมผสานความหวานกับเปรี้ยวอย่างลงตัว และ Nanyo Cherry ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น King of Cherries ด้วยขนาดใหญ่ เมล็ดเล็ก และรสชาติหวานละมุนพร้อมกลิ่นหอมเฉพาะตัว เราสามารถเดินชิมเปรียบเทียบแต่ละสายพันธุ์ได้อย่างเพลิดเพลิน นอกจากนี้ยังมีมุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ ที่ให้ฟีลสาวชาวไร่ญี่ปุ่นสุด ๆ ใครอยากได้ภาพสวย ๆ แนะนำให้เตรียมชุดคิวต์ ๆ ไม่ว่าจะเดรสหรือยีนส์ก็เข้ากับบรรยากาศได้ดีมาก

ปรอทความฟินไต่ขึ้นเต็ม 100% ปิดท้ายวันด้วย Dinner Course ของโรงแรมที่ยังคงเลือกใช้วัตถุดิบพรีเมียมท้องถิ่นอย่างพิถีพิถัน เสิร์ฟเป็นคอร์สอาหารตะวันตก 4 จาน เริ่มจากจานเรียกน้ำย่อยที่ช่วยปลุกประสาทรับรสด้วยความเค็ม เปรี้ยว และหวาน ตามด้วยซุป ‘Chilled Cauliflower’ ซุปกระหล่ำดอกเนื้อข้นที่กลับซดได้คล่องคอด้วยความหวานจากธรรมชาติ ต่อด้วยคาร์บหนัก ๆ กับ ‘Lasagna Eggplant and Wagyu Bolognese Sauce’ แผ่นแป้งบางสลับชั้นกับซอสวากิวเข้มข้น ผสมผสานรสชาติได้อย่างกลมกล่อม ส่วนจานหลักเป็น ‘Hokkaido Pork Simmered in Dark Beer’ สเต๊กหมูที่ผ่านการเคี่ยวนุ่มละมุนกับเบียร์ดำ ช่วยดึงรสหมูให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น ก่อนจะปิดท้ายด้วย ‘Matcha Tiramisu’ ครีมมัทฉะพรีเมียมเนื้อเบานุ่ม ให้รสหวานอ่อน ๆ พร้อมกลิ่นอูมามิปลายลิ้น เป็นการส่งท้ายมื้อค่ำที่ฟินสุด ๆ สำหรับใครที่มาพักที่นี่ รับรองต้องตาวาวกับความหลากหลายของเมนูที่ไม่ซ้ำซากแน่นอน

Day 3 :

Niseko Ostrich Farm

ตบมื้อเช้าเข้าท้องแบบฟิน ๆ แล้วเราก็สตาร์ทเดย์ทรีด้วยการไปแถบนิเซโกะ เริ่มเช็กอินแรกที่ ‘Niseko Ostrich Farm’ ฟาร์มวิวจึ้งให้เรายืนจังก้ากับ Mt.Yōtei หรือที่ชาวบ้านเรีบกวา Ezo Fuji ฟูจิแห่งฮอกไกโด ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามเป็นฉากหลังของลานหญ้ากว้างใหญ่จนแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด ถูกดูแลอย่างดีจนฉาบทั่วทั้งพื้นที่เป็นสีเขียวสะกดทุกสายตา พร้อมพนักงานต้อนรับเป็นฝูงนกกระจอกเทศหลายสิบตัว มีหลากหลายสายพันธุ์ เดินกรูมารอเซย์ไฮเราที่ริมรั้ว ใครอยากถ่ายรูปเล่นกับน้อง ๆ อย่างใกล้ชิด ลองซื้ออาหารเลี้ยง รับรองว่าน้องเดินตามมาร่วมเฟรมกันเป็นพรวน แล้วยังมีคาเฟ่ที่ทำขนมจากผลผลิตของนกกระจอกเทศด้วยนะ อาทิ โดรายากิ พุดดิ้งที่ทำจากไข่นกกระจอกเทศที่จะมีรสชาติเข้มข้นกว่าไข่ทั่วไป ไม่เชื่อก็มาลิ้มลองกันได้เลย

Teuchi-Soba Ichimura

เล่นกับสัตว์โลกน่ารักเสร็จ เราก็มาเติมมื้อเที่ยงกันที่ ‘Teuchi-Soba Ichimura’ ร้านโซบะโฮมเมดชื่อดังแห่งนิเซโกะ ที่ทำเส้นจากแป้งบักวีตคุณภาพสูงของเกษตรกรใน Kuromatsunai โดยจะนำมาบดใหม่ทุกเช้าเพื่อให้ได้เส้นโซบะสดที่มีกลิ่นหอมและรสชาติของบักวีตเต็ม ๆ ส่วนน้ำซุปดาชิผสมด้วยปลาแห้ง 5 ชนิด จึงได้กลิ่นที่หอมเย้ายวน ที่สำคัญน้ำที่ใช้ประกอบอาหารนั้นยังมาจากแหล่งน้ำบริสุทธิ์ของนิเซโกะอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ วัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องเคียง ยังใช้ผักและเห็ดของท้องถิ่น เนื้อเป็ดรับจากทากิคาวะ และกุ้งก็ยังคัดสรรอย่างพิถีพิถันเช่นกัน เราสั่ง ‘Tempura Seiro’ โซบะจานโตมาพร้อมเทมปุระหลายชนิด จะบอกว่าทุกคำที่กินนั้นรับรู้ได้ถึงความคราฟต์ ไม่ว่าจะเป็นเส้นที่มีเนื้อแน่นละเอียด อุ้มซุปที่มีรสชาติเข้มข้นคอยบาลานซ์รสชาติกันและกัน ตัวเทมปุระแป้งมีความกรอบ แตกละมุนฟัน กัดไปเจอกุ้งเนื้อแน่นเด้งรสหวาน ๆ ส่วนผักก็กรอบสดหวานไม่แพ้กัน แล้วเป็นร้านที่ตอนกลางวันคนเยอะมาก ของหมดไวด้วย ลองแพลนเวลากันดี ๆ นะจ๊ะ

Niseko Sanroku Parlor

คาวนำไปแล้วก็ต้องคาเฟ่ตามบ้าง มาเช็กอินต่อที่ ‘Niseko Sanroku Parlor’ ร้านกาแฟในตู้คอนเทนเนอร์เล็กกะทัดรัด ปรับแต่งด้านหน้าทางเข้าด้วยการติดประตูไม้และกระจกสร้างกิมมิกให้น่ามอง ภายในฉาบผนังเป็นสีขาว จัดวางเฟอร์นิเจอร์ไม้ แซมกับต้นไม้ที่ห้อยตกแต่ง ดูโฮมมี่น่ารักจนลืมคราบความเป็นตู้คอนเทนเนอร์ไปเลย ส่วนเมนูของที่ร้านอัดมาแน่น ๆ ทั้งแซนด์วิช เบอร์เกอร์ ซุป ชีสเค้ก เจลาโต ล้วนเป็นเมนูโฮมเมดเพื่อสุขภาพ ไม่ว่าจะแฮม เบคอน มายองเนส และซอสต่าง ๆ ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นทั้งหมด ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งกาแฟ ชา แอลกอฮอล์ให้เลือกจิบได้ไม่ซ้ำ ซึ่งกาแฟดำของที่นี่ถือว่าใช้ได้เลย ช่วยคอมพลีตปลุกสัญญาณชีพเราให้ตื่นพร้อมลุยต่อในช่วงบ่าย

Niseko Takahashi Dairy Farm 

มาเดินดื่มด่ำกับความเขียวชอุ่มของหน้าร้อนกันต่อที่ ‘Niseko Takahashi Dairy Farm’ คอมมิวนิตีฟาร์มแบบครบวงจรที่ดำเนินงานกันในครอบครัว ที่นี่เป็นทั้งแหล่งเพาะหญ้าและเลี้ยงวัว โดยวัวของฟาร์มคว้ารางวัลจากการประกวดหลายเวที การันตีคุณภาพน้ำนมชั้นเยี่ยม เคล็ดลับอยู่ที่การเริ่มต้นจาก “ดินดี” แล้วต่อด้วยการปลูกหญ้าคุณภาพสูงปลอดสารเคมี เพื่อให้วัวแข็งแรงและให้น้ำนมรสชาติเข้มข้น จากนั้นจึงนำมาผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างพิถีพิถัน เพื่อคงทั้งรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ ก่อนส่งต่อไปยังคาเฟ่และร้านค้าต่าง ๆ ตัวฟาร์มตั้งอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง มองเห็น Mt. Yōtei ยืนตระหง่านอยู่กลางวิว รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าเขียวสลับกับดอกไม้หลากสีที่ปลูกแซมไว้เป็นจังหวะ ๆ พอให้ภาพดูละมุนขึ้นอีกขั้น แถมยังมีกองฟางที่จัดวางอย่างรู้งานให้เราเดินเข้าไปร่วมเฟรม ทำให้ทุกมุมกลายเป็นสตูดิโอถ่ายรูปกลางแจ้งแบบไม่ต้องพยายาม

นอกจากฟาร์มแล้วในนี้เขายังมีร้านค้า ขายของฝาก งานคราฟต์ ร้านอาหาร คาเฟ่ สถานที่เวิร์กช็อป รวมทั้งหมดมากถึง 12 จุดเช็กอิน ให้เราได้อุดหนุนสินค้า ชิมอาหารของฟาร์ม อย่างที่ร้าน ‘Prativo’ ก็จะเป็นร้านอาหารสไตล์ยุโรป เสิร์ฟพิซซา สเต๊ก ที่หาวัตถุดิบหลักได้จากที่แห่งนี้ แต่พระเอกประจำฟาร์มต้องยกให้ ‘MILK KOBO’ ที่รวมขนมและเครื่องดื่มจากนมไว้ครบ ตั้งแต่นมสดและซอฟต์เสิร์ฟรสนมที่หวานละมุน กลิ่นหอมมันติดปลายลิ้นจนอยากซื้อกลับบ้าน ไปจนถึงชีสทาร์ตเนื้อเนียนหนึบครีมมี่คู่กับฐานทาร์ตกรอบหอม หรือจะเป็นชูครีม โรลเค้ก พุดดิ้ง ชีสเค้ก พาย คุกกี้ และชีสหลากชนิด เรียกว่าเป็นสวรรค์ของเหล่าชีสเลิฟเวอร์ตัวจริง

Lake Hill Farm

ขับออกจากนิเซโกะเพียงราวครึ่งชั่วโมงก็จะพบกับความสดใสแบบซัมเมอร์ใกล้ Lake Tōya‘Lake Hill Farm’ ฟาร์มสวยที่ออกแบบให้มีกลิ่นอายเหมือนบ้านพักตากอากาศในฝัน ปลูกพืชนานาพรรณควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ ท่ามกลางหน้าร้อนที่ถูกแต่งแต้มด้วยพุ่มดอกไม้หลากสีแข่งกันผลิบานอย่างสุขภาพดี บนลานหญ้ากว้างยังมีเจ้าถิ่นสุดขี้เล่นอย่าง “Yuki” แพะประจำฟาร์มคอยเดินเล่นต้อนรับแขก ตรงกลางพื้นที่มีโรงเก็บของสีเขียว–แดงทรงน่ารักที่เมื่อถ่ายคู่กับฉากหลังเป็นเทือกเขาไกลลิบแล้ว เหมือนภาพหลุดออกมาจากหนังสือเล่าชีวิตชนบทไม่มีผิด แม้กิจกรรมเวิร์กช็อปที่นี่จะสงวนสิทธิ์เฉพาะชาวญี่ปุ่นเพื่อป้องกันโรคติดต่อในสัตว์ แต่แค่ได้เดินเล่น สูดอากาศดี ๆ และเก็บภาพมุมงาม ๆ ก็เรียกว่าฟินสุดหัวใจแล้ว

ในอาคารหลักของฟาร์มคือร้านเจลาโตเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 33 ปี บรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้านพักโปร่งสบาย มีผนังกระจกใสรอบด้านเผยวิวทั้ง Lake Tōya และ Mount Yōtei ให้ชมแบบไม่มีอะไรมาบังสายตา เสิร์ฟเจลาโตกว่า 20 รสชาติ ทำจากนมคุณภาพเยี่ยมที่ได้จากวัวซึ่งเลี้ยงแบบปล่อยอิสระให้เล็มหญ้าในฟาร์มที่ดูแลดินและพืชอย่างพิถีพิถัน จึงได้รสหวานอ่อน ๆ หอมมันเข้มข้น พร้อมใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเสริมรสชาติ นอกจากเจลาโตแล้ว ยังมีเมนูน่าลองอย่างข้าวแกงกะหรี่ที่อัดแน่นไปด้วยผักนานาชนิด พิซซาโฮมเมด และขนมหวานอีกหลากหลายให้เลือกชิม เหมาะจะเป็นจุดแวะรองท้องก่อนมื้อเย็นได้อย่างสบายใจ

ดินเนอร์วันนี้เรายังคงกลับมาทานที่ห้องอาหาร ‘Yukashi Alpine Bistro’ ของที่พัก Yu Kiroro อีกเช่นเคย แต่เปลี่ยนคอร์สเป็นรูปแบบ ‘OMAKASE’ มื้อที่เราไม่ต้องคิดอะไรเลยให้เชฟมากฝีมือเป็นคนรังสรรค์ให้ทั้งหมด ซึ่งอาหารที่ได้ก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่สามารถหาได้ในช่วงนั้น ๆ พอเป็นหน้าร้อนก็จะดูอุดมสมบูรณ์ ผัก เนื้อใด ๆ มาเต็ม ในเซตมีทั้งหมด 6 คอร์ส นำทัพมาด้วยฮามาจิซาชิมิ เนื้อหวานเด้ง เป็นสตาร์เตอร์เปิดต่อมรับรส จากนั้นเป็นซุปสควอชรสนัวที่ผสมกับบัตเตอร์นัต จากนั้นเป็นเมนูพาสตาเส้น Pappardell ผัดซอสหัวใจเป็ด กินคู่กับขนมปังฝรั่งเศสได้อย่างลงตัว ส่วน MVP ของมื้อยกให้จาน Scallops เนื้อหวานฉ่ำ กินกับข้าวผัดซอสด้านล่างแล้วสร้างเท็กซ์เจอร์ที่หลากหลาย ครบทั้งหวาน เค็ม อูมามิ พอท้องเริ่มอิ่มก็เจอเมนคอร์สสเต๊กสันในแกะที่มีกลิ่นหอมกำลังดี พร้อมตัดจบด้วยขนมที่ทำจาก Rhubarb ฟีลชีสทาร์ตที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ถือเป็นมื้อเย็นส่งท้ายได้ประทับใจสุด ๆ

Day 4 :

แม้จะเห็นว่าเราตะลอนเที่ยวฉ่ำ ๆ อยู่ทุกวัน แต่ก็ใช้ Facilities ของโรงแรมครบตามไลฟ์สไตล์ที่เราชอบนะ อย่างบ่อแช่ออนเซ็นที่เราแวะมาแช่ก่อนนอน คลายกล้ามเนื้อแทบทุกคืน ทำให้วันต่อมาเที่ยวได้แบบสดชื่นไม่อ่อมเลยสักนิด แล้วถ้าใครพาลูกตัวน้อยมาด้วยยังมี Kids room ไว้ให้น้อง ๆ เล่นคลายเบื่อ มีสปาสำหรับสายอะโรมา ไปจนถึงฟิตเนสสำหรับเบิร์นแคลอรีด้วย ในส่วนกิจกรรมช่วงหน้าร้อนของที่นี่ เขามีกิจกรรมเดย์ทัวร์มากมาย ทั้ง Morning Walk, ล่องเรือ Blue Cave Otaru, พายซัปบอร์ด, ตีกอล์ฟ รวมถึงการเก็บผลไม้สดๆตามแต่ฤดูการจากสวน และการเก็บผักสดจากฟาร์มแบบสด ๆ ซึ่งสามารถให้ Chef ทำอาหารจากผักที่เก็บมาได้ นอกจากนี้ยังมีคลาสเรียนทำอาหารและเวิร์กช็อปงานคราฟต์ให้ร่วมสนุกอีกด้วย ใครมาแบบไม่มีแผนก็แค่บอกที่นี่ เค้าจะช่วยจัดให้ครบจบในที่เดียวเลย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมได้ที่ https://yukiroro.com/experience/summer

Cafe Nagayama Rest

หลังจากแช่ออนเซ็นรอบสุดท้าย เราก็เช็กเอาต์แล้วมุ่งตรงเข้าเมืองซัปโปโรมายังคาเฟ่ระดับตำนาน ‘Cafe Nagayama Rest’ ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารประวัติศาสตร์แบบตะวันตกที่มีอายุกว่า 155 ปี เคยเป็นสำนักงานเมืองมิตซูบาชิ แค่เดินเข้าใกล้ตัวอาคารก็เหมือนได้ย้อนเวลาไปยังยุคโชวะตอนต้น ท่ามกลางบรรยากาศสงบร่มเย็นจากแมกไม้ในสวน Nagayama Memorial Park ที่โอบล้อมตัวอาคาร ด้านในตกแต่งอย่างสวยงามในสไตล์ ‘วะโยเซ็ตจู’ ซึ่งเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นและตะวันตกอย่างลงตัว ด้วยงานไม้และงานกระจกที่ประณีต ชั้นหนึ่งของอาคารยังมีห้องนิทรรศการที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของบ้านหลังนี้ ขณะที่ชั้นสองตกแต่งในสไตล์ญี่ปุ่น แบ่งเป็น 3 ห้องสำหรับจัดงานนิทรรศการและพื้นที่อ่านหนังสือ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและคลาสสิกอย่างแท้จริง

ขนมตัวชูโรงที่ใครมาเป็นต้องสั่ง ‘Pudding à la Mode’ ถ้วยเปยาวที่มีพุดดิ้งเนื้อเด้งวางอยู่เกือบกึ่งกลาง เบียดเสียดกับผลไม้นานาชนิดที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม เป็นรสชาติที่ได้ทั้งความนุ่มละมุน หอมหวานจะพุดดิ้ง และความกรุบกรอบเปรี้ยว หวานฉ่ำจากผลไม้สด เหมาะกับบรรยากาศหน้าร้อนกว่าเมนูไหน ๆ แต่ถ้าใครอยากลอง Parfait ของร้านก็ถือเป็น The must ไม่แพ้กัน เพราะไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟของเขาทำด้วยนมจากฟาร์ม Kitahiro ในเมืองชินโทคุเลยทีเดียว ส่วนสายกินก็ไม่ควรพลาดของคาวเช่นกัน ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารตะวันตกที่มีกลิ่นอายของญี่ปุ่นแซมแบบไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นเมนูอ้างอิงจากคนสมัยก่อนที่เขากินกัน เป็นบ้านที่สืบทอดวัฒนธรรมได้อย่างน่าประทับใจจริง ๆ

Ramen Shingen

ซัปโปโระเป็นเมืองแห่งมิโซะราเมง และคนรักเส้นอย่างเราก็ไม่พลาดที่จะตามหาร้านราเมงเด็ด ๆ มาฝากเพื่อน ๆ นั่นก็คือ ‘Ramen Shingen’ ร้านที่ไม่ได้กินจะไม่ยอมกลับไทยเด็ดขาด เพราะสำหรับเราที่นี่คือที่สุดของมิโซะราเมงเลย ด้านในร้านจะมีขนาดเล็ก มีเคาน์เตอร์รูปตัว L เป็นที่นั่งสำหรับลูกค้าราว ๆ 10-15 คน พร้อมชมลีลาการลวกเส้นตักซุปของเชฟอย่างชำนาญ เมนูไฮไลท์เป็น ‘Shinshu (信州)’ ส่วนประกอบสำคัญคือ white miso เข้มข้น ทำจากการเคี่ยวหมูและผักนานกว่า 48 ชม. จนได้รสละมุนอูมามิ กินคู่กับเส้นราเมงที่ลวกมาแบบนุ่มนอกกรึบใน ช่วยอุ้มน้ำซุปเข้าปากมาพร้อม ๆ กันแล้วกลายเป็นความเข้มข้นที่พอดี โปะชาชูเลื่อมมันละลายในปากก็ทำเราส่งเสียงในลำคอแบบไม่รู้ตัว สั่งเป็นเซตคู่กับเกี๊ยวซ่าแล้วกลายเป็นมื้อที่อิ่มจุกไปถึงเย็นเลย

Hokkaidō Prefectural Government Office

แลนด์มาร์กประจำเมืองที่มาซัปโปโรแล้วต้องแวะแชะภาพทุกครั้งคือ ‘Hokkaidō Prefectural Government Office’ อาคารประวัติศาสตร์ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมหลังปิดซ่อมนาน ความงดงามของอาคารยังคงสดใสด้วยอิฐแดงที่ฉาบทับบนโครงสร้างสง่างาม ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีของฤดูร้อนที่ช่วยขับให้ตัวอาคารโดดเด่นยิ่งขึ้น อาคารแห่งนี้ตั้งตระหง่านคู่เมืองมานานกว่า 137 ปี ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากที่ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ในสหรัฐอเมริกา แต่ปรับองค์ประกอบให้ประณีตในสไตล์ American neo-baroque เช่น หลังคาทรงแมนซาร์ด ซุ้มประตูและกระจกโค้ง พร้อมทั้งปรับโครงสร้างบางส่วนให้เหมาะกับภูมิอากาศท้องถิ่น เช่น ประตูสองชั้นที่ช่วยกันความหนาวเย็น เรียกได้ว่าเป็นอาคารอนุรักษ์ที่เต็มไปด้วยกิมมิกและรายละเอียดน่าสนใจ ใครมาเยือนซัปโปโรแล้วไม่ควรพลาดแวะชมสักครั้ง

Odori Park

สวนสาธารณะชื่อดังของเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจ อยากลองแวะมาเซย์ไฮในวันที่อากาศอบอุ่นสักครั้ง ซึ่ง ‘Odori Park’ ก็ยังคงสร้างความประทับใจได้ไม่แพ้ฤดูไหน ๆ กับความไลฟ์ลี่ของเหล่าต้นไม้ และดอกไม้ที่วางแซมตลอดทางยาว 1.5 กม. ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดของเมืองให้ดูสดใสขึ้นทันตา และจะชิลยิ่งกว่าถ้าได้ไปนั่งอยู่ริมน้ำพุให้ละอองน้ำเย็น ๆ อากาศชื้น ๆ ได้ปะทะร่างสร้างความสดชื่นสักหน่อย ที่สำคัญอย่าลืมไปถ่ายรูปร่วมกับรูปปั้นและ Sapporo TV Tower ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำสวนด้วยนะ สำหรับหน้าร้อนที่นี่เขายังมีเทศกาลประจำปีอย่าง ‘โยะสะโคอิ โซรัน’ การนำนารุโกะ เครื่องดนตรีพื้นเมือง มาแสดงผสมกับโซรันบุชิ เพลงพื้นเมืองของฮอกไกโด โดยมีผู้ร่วมงานมากถึง 10,000 คน โดยจะจัดช่วงเดือนมิถุนายน และในปลายหน้าร้อนที่นี่ยังถูกแปลงโฉมเป็น Beer Garden ด้วย น่าจะม่วนสุด ๆ 

Sapporo TV Tower

ไม่พูดถึงคงไม่ได้กับอีกไอคอนประจำเมือง ‘Sapporo TV Tower’ หอคอยยอดแหลมความสูงกว่า 144 เมตร อายุใกล้เข้าสู่ปีที่ 69 ยืนตระหง่านบ่งบอกถึงความเจริญของเมืองที่มีมากว่าครึ่งศตรวรรษ โครงสร้างของหอนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Tokyo Tower ทำหน้าที่ส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ และยังมีจุดชมวิวที่สูงกว่าพื้นเบื้องล่างกว่า 90 เมตร ให้เราเดินเทควิวเมืองซัปโปโรได้รอบ 360 องศา ในวันฟ้าเปิดเราจะมองเห็นทั้ง Mt.Teine, ลานสกี Okurayama, แม่น้ำ Toyohira, ที่ราบ Ishikari ไปจนถึงทะเลญี่ปุ่นอันไกลโพ้นเลยทีเดียว 

Tanukikoji Shopping Street

วันนี้ขอกระจายรายได้ ละลายเงินเยน ใช้โควต้าน้ำหนักกระเป๋าที่การบินไทยให้มาด้วยการมาชอปปิงที่ ‘Tanukikoji Shopping Street’ ถนนคนเดินยาว 900 เมตร ที่พร้อมปรนเปรอเราด้วยหลายร้อยร้านค้า มีทั้งร้านขายของที่ระลึกรวมของดีจากทั่วภูมิถาคฮอกไกโด, ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านขายยา-เครื่องสำอาง, ร้านรวมรองเท้าแบรนด์ดัง แถมยังใกล้กับห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ที่นอกจากจะได้รับสิทธิ์ TAX Free! สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ช่วงหน้าร้อนเขายังมีโปรโมชันลดจุก ๆ เขย่ากระเป๋าตังค์เราอยู่เพียบ แถมแฟชั่นเสื้อผ้าที่ลดราคายังเหมาะมาใส่ที่ไทยอีก ชอปหน้าร้อนนี่มันคุ้มจริง ๆ 

Mermaid Coffee Roasters

ชอปจนหน้าแทบมืดก็มาเติมน้ำตาลและคาเฟอีนเพิ่มเอเนอร์จีกันหน่อยที่ ‘Mermaid Coffee Roasters’ ร้านที่เราจะได้เมล็ดกาแฟดี ๆ กลับไปดริปกินต่อที่ไทย โดยร้านนี้มีมาสคอตเป็นนางเงือกหน้าตากิ๊บเก๋ ส่วนหน้าร้านก็เท่สุด ๆ เป็นกำแพงอิฐสีเข้ม พร้อมป้ายร้านสีขาวดำ ตัดกับประตูไม้ที่สร้างโทนสมาร์ทอบอุ่นให้กับร้าน ส่วนด้านในนั้นเปลี่ยนอารมณ์ให้ดูสว่างไสวไปด้วยสีขาว มีมุมที่ดูโคซี่ โมเดิร์นแตกต่างกันไป แต่ที่โดดเด่นสุดคือกลิ่นคั่วกาแฟหอมชวนฝัน ที่อบอวลไปทุกอณุของร้าน พร้อมพนักงานที่พร้อมแนะนำอย่างเป็นมิตร มีสเตชันเทสต์กาแฟเสร็จสรรพ บ่งบอกถึงความเป็น Specialty ด้านกาแฟได้อย่างดี 

แน่นอนว่าถ้าเขามีเมล็ดกาแฟที่หลากหลายจากทั่วโลกขนาดนี้ เขาก็สามารถทำกาแฟได้หลากหลายรูปแบบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเอสเพรสโซ โคลด์บรูว์ และดริป ซึ่งเราลองสั่งลาเต้ และอเมริกาโน่ เมล็ดเฮาส์เบลนด์ของทางร้าน ตัวกาแฟนมจะมีรสกาแฟที่เข้มข้นขึ้นหน่อย ส่วนกาแฟดำจะเน้นรสขมที่เจือด้วยอะโรมาของกาแฟแสนละมุน กินคู่กับคุกกี้แล้วกลายเป็น combination ที่ลงตัว เหมาะสำหรับจิบกาแฟยามบ่าย ถ้าใครติดใจกาแฟของเขาก็สามารถไปเดินเลือกจิ้มเทสต์โน้ตที่ชอบแล้วรับกลับบ้านได้เลยนะ

Susukino Station

เย็นย่ำก็เริ่มฮัมเพลง อารมณ์ดีไปกับหน้าร้อนที่มีลมเย็น ๆ ยามไร้แดด พร้อมกับภาพความซิวิไลซ์ของมหานครแห่งภาคเหนือในย่าน ‘Susukino Station’ ถนนที่เต็มไปด้วยป้ายไฟนีออนหลากสีสัน ทำหน้าที่ส่องสว่างแทนแสงอาทิตย์ยามค่ำคืน เป็นสัญญาณบอกเราว่าค่ำคืนสุดท้ายนี้ยังอีกยาวไกล ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามของแสงสี แต่ยังเป็นศูนย์กลางความบันเทิงที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและบาร์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอิซากายะสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ ที่เสิร์ฟเมนูอาหารท้องถิ่นและเครื่องดื่มสดชื่น หรือร้านยากินิคุคุณภาพเยี่ยมที่คัดสรรเนื้อเกรดพรีเมียมให้ได้ลิ้มลองกัน นอกจากนี้ยังมีร้านราเมง ชาบูชาบู และขนมหวานให้เลือกตามใจชอบ ทุกมื้อที่นี่เหมือนเป็นการฉลองรสชาติและวัฒนธรรมการกินดื่มในแบบฉบับซัปโปโร หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็สามารถเดินย่อยไปชอปปิงตามร้านค้าต่าง ๆ หรือเดินเล่นสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาก่อนกลับโรงแรม ความคึกคักและเสน่ห์ของ Susukino ทำให้คนรักญี่ปุ่นหน้าร้อนอย่างเราหลงใหล และซัปโปโรก็ยิ่งน่ารักขึ้นทุกครั้งที่ได้มาเยือนที่นี่

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ตามรีวิวเราจนมาถึงตรงนี้ แล้วเริ่มอยากเที่ยวตามรอยแบบเป๊ะ ๆ ได้โมเมนต์แบบเที่ยวเรื่อยเปื่อยไม่ต้องฟิกซ์เวลา การเช่ารถจึงเป็นวิธีการเดินทางที่ดีที่สุด ซึ่งครั้งนี้เราเลือกเช่าผ่าน PKG JOURNEY ตัวตึงเรื่องการเช่ารถที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และยังเป็นพาร์ตเนอร์คู่บุญของ Toyota รถแบรนด์ที่เราคุ้นเคย มีรถให้เลือกเยอะ สภาพรถใหม่ น่าขับ ซึ่งเราสามารถทำการเช่าผ่านเว็บไซต์ แล้วไปติดต่อรับรถที่สนามบิน New Chitose สามารถระบุสถานที่คืนรถเป็นสาขาใดก็ได้ในซัปโปโร ซึ่งสะดวกมากสำหรับคนที่อยากขับเที่ยวแค่ไม่กี่วัน โดยมีเอกสารที่ต้องเตรียมคือ

– ใบขับขี่สากลอนุสัญญาเจนิวา 1949 แบบ 1 ปี
– Passport ตัวจริง
– หมายเลขการจอง

เมื่อถึงสนามบิน New Chitose แล้ว ลงลิฟต์มาชั้น 1 สังเกตป้าย Car Rental เดินตามทางไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอเคาน์เตอร์ของ Toyota Rent a Car จากนั้นแจ้งเวลารับรถ ชื่อคนขับ และหมายเลขการจองของ Toyota พนักงานจะส่งบัตรคิวสำหรับขึ้นรถบัสรับส่งฟรีจากป้ายเลขที่ 83 เพื่อไปรับรถเช่าที่จองไว้ที่ Toyota Rent a Car (New Chitose Airport Poplar Shop)

หมายเหตุ* ที่เคาน์เตอร์อาจไม่มีพนักงานอยู่ตลอดเวลา สามารถโทรศัพท์แจ้งพนักงานที่เคาน์เตอร์ได้เลย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเพจ pkgjourney.co l จัดกรุ๊ปส่วนตัว x ทัวร์ x รถเช่า หรือ www.pkgjourney.co

เห็นมั้ยว่าเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อนมันตราตรึงขนาดไหน โดยเฉพาะที่ฮอกไกโดที่อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวอย่างที่หลายคนคิด แม้จะเที่ยวในสถานที่เดียวกัน พักบนภูเขาเหมือนกัน หรือรับประทานอาหารในร้านเดียวกัน แต่บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในฤดูนี้ ที่นี่ไม่ใช่แค่ธรรมชาติที่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยสีสันของชีวิตช่วงซัมเมอร์ที่หาไม่ได้ในฤดูอื่น อาหารสดใหม่หลากหลายชนิดทั้งปลาสด หอยเม่นหวานฉ่ำ และผักผลไม้ท้องถิ่นที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ แถมยังได้สัมผัสประสบการณ์ชอปปิงสุดคุ้มกับส่วนลด Summer Sale ที่จัดเต็มแบบจุใจ ความสนุกสนานจากกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ ทำให้ทุกนาทีเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสุขแบบไม่ซ้ำใคร นี่แหละคือโอกาสดี ๆ ที่จะเปิดใจให้กับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นในมุมใหม่ ๆ ที่ทั้งสดชื่น สดใส และมีชีวิตชีวา รับรองว่าใครได้ลองแล้วจะต้องหลงรัก และอยากกลับมาอีกครั้งแน่นอน

ใครที่อยากเที่ยวญี่ปุ่นแบบคุ้ม ๆ พลาดไม่ได้กับแคมเปญสุดพิเศษที่ทาง PKG JOURNEY, Yu Kiroro และการบินไทย ร่วมมือกันจัดโปรโมชั่นส่วนลด 2 ต่อ ให้เพื่อน ๆ ประหยัดสูงสุดถึง 600 บาทต่อวัน เมื่อจองรถเช่าฮอกไกโดผ่าน PKG JOURNEY พร้อมบินไป-กลับเส้นทางฮอกไกโดกับการบินไทย จะได้รับส่วนลดทันที 300 บาทต่อวัน และถ้าจองที่พักกับ Yu Kiroro พร้อมบินกับการบินไทย ก็จะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 600 บาทต่อวัน นอกจากนี้ เพื่อน ๆ ที่เข้าพักกับ Yu Kiroro อย่างน้อย 2 คืน ยังจะได้รับสิทธิพิเศษส่วนลด 10% สำหรับอาหาร เครื่องดื่ม และ Private Onsen รวมถึง free flow wine และของที่ระลึกสุดพิเศษจากทางรีสอร์ต เพียงแสดงหลักฐาน boarding pass ของการบินไทย หรือรถเช่า Car Voucher ในวันที่เข้าพัก โดยสิทธิพิเศษของที่ระลึกจะสงวนไว้สำหรับเพื่อน ๆ ที่จองรถเช่าผ่านบริษัท PKG JOURNEY และเข้าพักที่ Yu Kiroro เท่านั้น ส่วนลดรถเช่าจะขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่เช่ารถด้วย เรียกได้ว่าจัดเต็มความคุ้มค่าที่ตอบโจทย์นักเดินทางสายเที่ยวแบบสุด ๆ *สิทธิพิเศษนี้อาจมีการเปลียนแปลง และสามารถใช้ได้ถึง 15 ตุลาคม 2568 นี้เท่านั้น*

ช่องทางการติดต่อ ::

Yu Kiroro:
www.yukiroro.com
[email protected]

PKG Journey :
www.pkgjourney.co