รีวิวเชียงใหม่ :: 2-Day Weekend Guide to Chiang Mai in the Green Season 🇹🇭

12 พิกัด กิน เที่ยว พัก ในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่เปลี่ยนวีคเอนด์ธรรมดาให้กลายเป็นทริปพิเศษแบบง่าย ๆ

โปรแกรมขึ้นเหนือช่วงกรีนซีซันครั้งนี้ เราจัดเป็นทริปสั้น ๆ 2 วันสไตล์คนเมืองใน เชียงใหม่ เมืองที่ดูเหมือนจะเดินช้าแต่จริง ๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ก็ยังรักษาเสน่ห์สโลว์ไลฟ์ไว้อย่างชัดเจน ทุกสถานที่ที่เราแวะไปไม่ว่าจะเก๋เท่ขนาดไหนก็ยังโยงใยกับกลิ่นอายแบบเหนือ ๆ ได้เสมอ ทั้งงานออกแบบอาคารที่แฝงความล้านนา งานแฮนด์เมด ของสะสม ไปจนถึงงานศิลปะที่โผล่มาให้สะดุดตาตลอดทาง ความคิดสร้างสรรค์แทรกอยู่ในทุกอณูของเมืองจริง ๆ แม้แต่สวนสาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวก็ยังถูกจัดวางเหมือนฉากอนิเมะที่เต็มไปด้วยความน่ารัก เดินไปทางไหนก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นชวนอมยิ้ม และทั้งหมดนี้ก็คือเชียงใหม่อันสดใสที่ทำให้เราหลงรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าและอยากมอบไวป์ดี ๆ ต่อให้เพื่อน ๆ ได้สัมผัส

นอกจากจะมาแนะนำแพลนชิล ๆ เที่ยวในเมืองสบาย ๆ ด้วยการพาไปตามหาโลเคชันถ่ายรูปปัง ๆ พร้อมกระหน่ำกินเพื่ออัปเดตคาเฟ่ใหม่ ๆ แล้ว เรายังอยากบอกต่ออีกหนึ่งไอเท็มโดนใจคนรักสุขภาพให้ร่างกายขับถ่ายดีทุกเช้า ‘‘โยเกิร์ตดัชชี่ไบโอ’ กับรสชาติใหม่ล่าสุด ‘รสมะขาม ผสมวุ้นมะพร้าว’ ที่มีความเปรี้ยวหวานลงตัว หอมนวลกลิ่นมะขาม เพิ่มเท็กซ์เจอร์ความหนุบหนับด้วยวุ้นมะพร้าว และแน่นอนว่ายังคงช่วยดูแลลำไส้ได้ดีเหมือนเดิม เพราะเป็น Lactose Free มีโพรไบโอติกดี ๆ กว่า 20,000 ล้านตัว มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยปรับสมดุลลำไส้ ทำให้ขับถ่ายดีขึ้น และยังมีวิตามิน C มีไฟเบอร์ มีสารต้านอนุมูลอิสระจากมะขาม ประโยชน์แน่นแบบที่ต้องซื้อติดตู้เย็นไว้ทานยามเช้าก่อนเริ่มทริปในทุกวันเลย

DAY 1

01 Chao Chao Chiang Mai Breakfast

เราแลนดิงเช้าตรู่แล้วมาประเดิมมื้อแรกที่ ‘Chao Chao Chiang Mai’ ร้านน้องใหม่ที่พร้อมสร้างไวบ์เบรกฟาสต์ให้อบอุ่นเสมือนมาบ้านเพื่อน โดดเด่นด้วยความโฮมมี่ สดใส แฝงแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ผสมผสานกับเสน่ห์เชียงใหม่ได้พอดี ตัวร้านออกแบบสไตล์ Modern Tropical หลังคาจั่วคลาสสิก ใช้ไม้และกระจกในโทนเอิร์ธที่กลมกลืนกับต้นไม้โดยรอบ เชื่อมต่อกับอาคารด้านหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับลูกค้า เลือกนั่งได้ทั้งมุมนั่งด้านในที่สงบสบาย หรือพื้นที่ด้านนอกที่เปิดรับแสงเช้าของถนนศิริมังคลาจารย์ ซอย 1 ใจกลางย่านนิมมานฯ และยังมีครัวเปิดที่ให้เราได้เห็นเชฟปรุงอาหารและขนมอย่างพิถีพิถัน จนทุกจานเต็มไปด้วยเสน่ห์และความใส่ใจ

เปิดหน้าเมนูมาเราจะเจอกับอาหารอันหลากหลาย มีการมิกซ์แอนด์แมตช์อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นโจ๊ก พาสต้าเย็นสไตล์ญี่ปุ่น ไข่กระทะ สลัด ข้าวหมูฮ่องกง ฯลฯ จุดเด่นที่เราขอยกนิ้วให้เป็นเรื่องของการจัดจานที่สวยงามตรงปก ด้านรสชาติก็เรียกว่าชวนเคลิ้มเปี่ยมคุณประโยชน์ด้วยวัตถุดิบที่เขาคัดมาให้อย่างดี สำหรับใครที่ตื่นสายก็ไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่เปิดยาวถึงบ่ายสี่โมง จะมาฝากท้องกับบรันช์หรือจิบกาแฟยามบ่ายก็ยังได้

เมนูไฮไลท์ที่เรียกว่ายังไม่เคยเจอที่ไหนต้องยกให้ ‘ดัตช์แพนเค้ก’ แป้งฟูฟ่องกรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้วยชีสเยิ้ม ๆ และพามาร์แฮมเค็มนัว ตัดรสด้วยน้ำผึ้งหอมหวานกำลังดี ต่อด้วย ‘โฮมเมดปาท่องโก๋’ ชิ้นโตเสิร์ฟคู่สังขยาสามสีรสกลมกล่อมที่เข้ากันอย่างลงตัว อีกจานที่สร้างความว้าวคือ โอชาสึเกะ‘ ข้าวต้มปลากระพงสไตล์ญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมกาน้ำชาให้ราดเอง ได้รสเบา ๆ หอมกลิ่นแดนอาทิตย์อุทัย ส่วนเครื่องดื่มก็ทำได้ถึง ทั้งชา กาแฟ รวมถึงนมถั่วเหลืองโฮมเมดและน้ำผลไม้สกัดเย็นที่เอาใจสายเฮลตี้โดยเฉพาะ โดยรวมแล้วประทับใจเวอร์ ไว้รอบหน้าจะมาลองเมนูอื่น ๆ อีกให้ครบเลย

02 Baankangwat

พิกัดต่อมาขอเอาใจคนรักงานคราฟต์ด้วยการเสิร์ฟ ‘Baankangwat’ กลุ่มบ้านไม้ซึ่งทำหน้าที่เป็นครีเอทีฟสเปซให้ศิลปินมานำเสนอสินค้าหลากไอเดีย ตั้งอยู่ใกล้กับวัดอุโมงค์ ที่นี่พัฒนาต่อเนื่องมากว่า 11 ปี มีการสร้างโซนใหม่ ๆ ให้เราเดินฮอปปิ้งชมสินค้าคูล ๆ ได้แทบทุกซอกมุม การออกแบบเน้นผสมผสานเรือนไม้กับปูน ท่ามกลางแมกไม้ใหญ่ และมีแนวคิดจากเจ้าของที่ต้องการสร้างพื้นที่ใช้สอยเกิดประโยชน์ จึงรวมกลุ่มคนรักงานศิลปะและงานฝีมือมาอยู่ร่วมกัน ทำให้ที่นี่เป็นได้ทั้งร้านค้าและที่อยู่อาศัยของผู้ค้าเอง เมื่อยามเย็น แต่ละบ้านก็รวมตัวรับประทานอาหาร ใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนหมู่บ้านที่มีชีวิตชีวา แตกต่างจากธุรกิจทั่วไป จากเดิมที่มีเพียงบ้านสองชั้น 10 หลัง ปัจจุบันมีการต่อเติมและตีห้องเพิ่มพื้นที่ให้เช่าขายของมากขึ้น ทำให้แต่ละมุมเต็มไปด้วยสีสันและความคิดสร้างสรรค์

แต่ละร้านที่มาเปิดที่นี่ถูกคัดเลือกมาอย่างหลากหลาย ทำให้เราเดินชมได้แบบไม่เบื่อ มีทั้งร้านงานฝีมือพื้นเมืองดีไซน์เท่ ๆ เช่น เครื่องประดับเงิน เสื้อผ้าฝ้าย ผ้ามัดย้อม และงานเย็บปักถักร้อย รวมถึงร้านของศิลปินรุ่นใหม่ที่ตกแต่งกระเป๋า แก้วน้ำ หรือสติกเกอร์ด้วยงานอาร์ตเฉพาะตัว พร้อมกิจกรรมเวิร์กช็อปต่าง ๆ สำหรับคนอยากลองสร้างสรรค์เอง นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารโลคอล คาเฟ่ ไอศกรีม และของว่างสไตล์ญี่ปุ่นให้แวะเติมพลัง แน่นอนว่ามุมถ่ายรูปเพียบ ตั้งแต่ลานกว้างที่มีบันไดปูนโค้งล้อมรอบ มุมตามผนังร้านกับเสาไฟคลาสสิก ไปจนถึงทางเดินที่เต็มไปด้วยร่มเงาสีเขียว ทำให้เหมือนหลุดไปอยู่หมู่บ้านกลางป่า เรียกว่าเป็น All Day Craft Market ที่ต้องแวะทุกครั้งเมื่อมาเชียงใหม่

03 GRAPH Baankangwat

หนึ่งในคาเฟ่ชิค ๆ ที่มาแฝงตัวอยู่ในบ้านข้างวัดได้อย่างแนบเนียน ‘GRAPH Baankangwat’ ร้านกาแฟที่ทำให้เรายิ้มได้กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งไร้การปรุงแต่ง เป็นความธรรมดาที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างสุขุม ใช้อาคารหลองไม้เก่าสูง 2 ชั้นมารีโนเวท เท็กซ์เจอร์ผนังภายนอกละม้ายคล้ายบ้านดินสีปูน รอบด้านติดตั้งกระจกกรอบไม้สีเข้ม แต่งแต้มร้านด้วยแสงงามจากพระอาทิตน์ที่สาดส่องรอบด้าน พร้อมลมเย็น ๆ ที่พัดเข้ามาเป็นระยะ ภายในเผยเนื้อวัสดุของอาคารเป็นสไตล์ลอฟต์ ตามความตั้งใจที่จะใช้ ‘สัจวัสดุ’ หรือนำวัสดุจริงมาใช้เหมือนกับสาขาอื่น ๆ จัดวางเคาน์เตอร์บาร์ เฟอร์นิเจอร์ วางสเปซให้ดูมินิมอล ผสานกับกลิ่นกาแฟที่มาเบลนด์ทุกอย่างจนได้มู้ดอันอบอุ่น มีตู้ขายสินค้าจัดวางเมล็ดกาแฟของแบรนด์ไว้อย่างไม่ขัดตา ไม่ว่าคนจะเยอะหรือน้อย ที่นี่ก็ยังดูร่มเย็น ไม่จอแจ เหมาะแก่การนั่งจิบกาแฟเป็นที่สุด 

ด้วยความเป็นสเปเชียลตี้คาเฟ่ เมนูกาแฟของเขาจึงมีให้เลือกหลากหลาย ตัวเมล็ดมีทั้ง House Blend และ Single Origin 7 เมล็ดจากพื้นที่ต่าง ๆ ในเชียงใหม่และเชียงราย ให้เทสต์โน้ตแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมี Seasonal Blend ที่เปลี่ยนตามฤดูกาล สำหรับคนที่อยากลองความแปลกใหม่แต่สำหรับคนที่อยากได้ความแปลกใหม่แนะนำให้สั่งเมนูซิกเนเจอร์พรีเซนต์สวยงาม อย่างเราสั่งเป็น MAGMA เดอร์ตี้ คอฟฟี่ สไตล์ GRAPH ที่ใช้อาโวคาโดและนมอัลมอนด์ ให้ความนัวนุ่มนวลกว่านมสด หรือเมนูเบสิคอย่าง อเมริกาโน่คั่วอ่อน กินคู่กับเลมอนทาร์ตที่ให้กลิ่นและรสเปรี้ยวสดชื่น นอกจากนี้ยังมีเมนู non-coffee ให้เลือก เช่น มัทฉะ ช็อกโกแลต และสเปเชียลดริงก์อื่น ๆ

04 ENOUGH FOR LIFE

ไม่ไกลจากบ้านข้างวัด มีขุมสมบัติงานคราฟต์อีกแห่งที่เติมเต็มเราได้ไม่รู้จบ นั่นคือ ‘ENOUGH FOR LIFE’ คาเฟ่และร้านของทำมือที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาต้นแอปเปิล(เหนือ) ในย่านหลังวัดร่ำเปิง ที่นี่เต็มไปด้วยความสงบ เหมาะกับการรีทรีตร่างกายและใจ กลิ่นอายของร้านผสมผสานระหว่างสไตล์เกาหลีและล้านนา ซึ่งเกิดจากไอเดียของเจ้าของบ้านและเพื่อนภรรยาชาวเกาหลี ที่เคยเปิดร้านอาหารในกรุงโซล ก่อนย้ายมาเชียงใหม่เพื่อสร้างสรรค์ร้านและเมนูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภายในรั้วบ้านมีสนามหญ้าเล็ก ๆ ล้อมด้วยอาคารสีขาว จัดมุมต่าง ๆ อย่างน่ารัก ใช้แสง เงา กลิ่นดิน เสียงใบไม้ และเสียงนกแว่วให้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ทุกองค์ประกอบร่วมกันสร้างความรู้สึกเพียงพอและความสุขอย่างแท้จริง

ความอบอุ่นจากภายนอกแผ่เข้ามาสู่ภายในร้าน คาเฟ่ในอาคารสีขาวผสมงานไม้จึงยังคงสว่างไสวด้วยแสงธรรมชาติอ่อนละมุน เราเลือกนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ริมหน้าต่าง รับวิวสวนไปพร้อมกับไอร้อนและลมเย็นที่สลับปะทะตัวเป็นระยะ ให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างแท้จริง กาแฟของร้านมีความเข้มนิด ๆ พอใส่นมก็ได้รสชาติกลมกล่อม เข้ากับเลมอนเค้กเนื้อแน่น รสหวานอมเปรี้ยวสดชื่น นอกจากนียังมีเมนูเครื่องดื่มสีหวานน่ารักสไตล์เกาหลี ตรงใจสายคาเฟ่ฮอปปิงแน่นอน

มาถึงโซนร้านขายของ Enough for Today ที่เน้นงานแฮนด์เมดและงานหัตถกรรมจากคนท้องถิ่น แต่คัดสรรดีไซน์ให้เข้ากับความชอบของคนสมัยใหม่ เมื่อกวาดตามองโดยรวมต้องบอกเลยว่า เจ้าของมีเทสต์ดีมาก มีทั้งเครื่องประดับ งานไม้สาน ของกระจุกกระจิกจากเปลือกหอยอบาโลน งานถักร้อย และเครื่องถ้วยชามฟอร์มน่ารัก ๆ นอกจากช่วยกระจายรายได้แล้ว ยังเป็นการพัฒนาฝีมือชาวบ้าน ให้หลุดจากขนบเดิม ๆ เพิ่มเทคนิคและไอเดียใหม่ ๆ ให้ต่อยอดได้ ใครชอบงานคราฟต์เตรียมเงินกันไว้ให้ดีเลย

05 Hotel Hommtown Chiang Mai 

หากมานอนในตัวเมืองเชียงใหม่ จะมีที่ไหนดีไปกว่าละแวกคูเมืองอันเต็มไปด้วยสีสันที่ผสมผสานความเป็นเมืองเก่าและเมืองใหม่เข้ากันได้อย่างกลมกลืน อย่าง ‘Hotel Hommtown Chiang Mai‘ บูทีคโฮเทลที่เพิ่งเปิดได้เพียงเดือนเดียว มาพร้อมการตกแต่งที่แสนมินิมอล ตั้งอยู่ใกล้ประตูท่าแพ บรรยากาศเบาสบายเหมือนอยู่บ้าน เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ รายล้อมไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว สามารถใช้ชีวิตในเชียงใหม่ได้แม้ไม่ขับรถ สิ่งที่เราชอบสำหรับที่นี่คือการใช้สีที่เน้นครีม น้ำตาล โอบรับแสงธรรมชาติ ใช้ไฟสีส้มอาบพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้รู้สึกอุ่นสบายตา ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และพื้นที่ส่วนกลางฟีลลิงห้องนั่งเล่น ให้เราได้นั่งอ่านหนังสือ ทำงานสบาย ๆ และยังมีสระว่ายน้ำ พร้อมซันเบดให้เราอาบแดด เล่นน้ำคลายร้อนด้วยนะ

เรื่องความไพรเวทเราขอกรอกคะแนนให้เต็มสิบ เพราะทั้งโรงแรมเขามีเพียง 10 ห้อง แยกเป็น 3 รูปแบบคือ Delux Garden View ที่อยู่ชั้นล่างสุด ในห้องเชื่อมต่อกับสวนส่วนตัว ให้เราเอ็นจอยกับธรรมชาติได้เต็มที่ ส่วน Delux Balcony ห้องชั้นสองจะมาพร้อมระเบียงส่วนตัว และ Delux Pool View วิวที่เปิดโล่งเห็นทั้งท้องฟ้า สระว่ายน้ำ และสวนรอบด้าน ขนาดของห้องกว้างสบายสามารถแผ่กระเป๋าได้ มีการตกแต่งที่เรียบง่ายสอดแทรกความคราฟต์และเนี้ยบอยู่ในตัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น อ่างแช่น้ำ สมาร์ตทีวี ตู้เย็น ชุดชงชากาแฟ Wi-Fi และห้องน้ำที่กันโซนเปียก-แห้ง ทำให้การพักผ่อนเป็นไวบ์ชวนหลับลึก และตื่นเช้าได้อย่างสดใส

06 Chiang Mai P.A.O. Public Park

หลังจากที่แอบไปหลบแดดนอนอ่านหนังสือในห้องพักได้สักแป๊บ เราก็มาเติมพลังบวกยามเย็นกันที่ ‘สวน อบจ.’ สวนสาธารณะที่ถูกชุบชีวิตให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้และต้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม เดิมที่นี่มีอีกชื่อว่าสวนเฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษา ที่เพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้ว โดดเด่นด้วยสนามหญ้ากว้างใหญ่ พื้นที่รวม 120 ไร่ พร้อมลำธารเล็ก ๆ ที่ผ่ากลางสวน มีรั้วกั้นสีขาวขนาบข้าง นำสายตาไปยังเทือกเขาขนาดใหญ่ของดอยสุเทพ สวยงามจนลืมว่าอยู่ในตัวเมือง แถมยังมาพร้อมอ่างเก็บน้ำหนองเขียว ให้เราสัมผัสความเย็นจากไอน้ำยามปะทะแดดร้อนได้อย่างสบายอารมณ์

สวนไม่ได้มีเพียงต้นไม้และใบหญ้าเท่านั้น ยังมีดอกไม้นานาพรรณที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล เมื่อแสงเย็นสาดผ่านสะท้อนผิวน้ำ ดอกไม้สีเหลืองก็ส่องประกายราวภาพฝัน อีกด้านเป็นท้องฟ้าโปร่งใสเหมือนหลุดไปในอนิเมะ บวกอากาศชื้น ๆ หอม ๆ จากธรรมชาติแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวเชียงใหม่ถึงชอบออกกำลังกาย ที่นี่มันเหมาะกับการวิ่ง ปั่นจักรยาน ปูเสื่อปิกนิก เย็น ๆ เขาก็พาน้องหมาน้องแมวมาวิ่งเล่น เป็นภาพที่มองเพลิน พาใจเป็นสุขสุด ๆ 

DAY 2

เช้าวันใหม่ก่อนเริ่มแพลนเที่ยวดี ๆ เราก็มารองท้องพร้อมเติมโพรไบโอติกกันสักหน่อย เพราะโพรไบโอติก คือจุลินทรีย์ดีและมีชีวิต เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณที่เพียงพอ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจาก 70% ของภูมิคุ้มกันอยู่ที่ลำไส้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพลำไส้ให้ดีก็จะทำให้สุขภาพของเราดีไปด้วย และแน่นอนว่าดัชชี่ไบโอ โยเกิร์ตถ้วยนี้ก็มีโพรไบโอติกดี ๆ ถึง 2 ชนิดกว่า 20,000 ล้านตัว!! รับรองว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแน่นอน 

นอกจากประโยชน์จะแน่นแล้ว ด้านรสชาติก็เลิศไม่แพ้กัน ในเนื้อโยเกิร์ตอันเนียนนุ่มแฝงไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของมะขาม พร้อมรสชาติเปรี้ยวนำหวานตามแบบกำลังดี ตักไปเจอวุ้นมะพร้าวเนื้อหนุบหนับให้เคี้ยวพอดิบพอดี หลังจากทานแล้ว ปล่อยให้โพรไบโอติก LGG ที่มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และ โพรไบโอติก B.Lactis ที่ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ทำงานไปสักพัก แล้วจะรู้สึกว่าร่างกายขับถ่ายสบายขึ้น

07 Shu Homemade

พอไม่ได้มาเชียงใหม่นาน ก็เจอร้านรวงใหม่ ๆ ให้ต้องตามอัปเดต สำหรับร้านแรกของวันที่สองเป็น ‘Shu Homemade’ ร้านที่อยากมาเช็กอินมานาน ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ ใกล้วัดดวงดี เดิมเป็นร้านข้าวของคุณยายในชุมชน ก่อนถูกปรับปรุงให้กลายเป็นร้านพาสต้าและเบเกอรี่โฮมเมดที่อบอวลไปด้วยความรักในการทำอาหาร หน้าร้านโดดเด่นด้วยบ้านไม้แสนอบอุ่น แอบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้เลื้อย บานหน้าต่างใหญ่เปิดโล่งเป็นเคาน์เตอร์บาร์สำหรับสั่งอาหารและจ่ายเงิน ด้านในเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ฟีลใต้ถุนบ้าน มีพื้นที่นั่งทั้งในบ้านและกลางสวน ประดับด้วยต้นไม้แน่นขนัด โต๊ะและเก้าอี้จัดวางกระจายให้เลือกนั่งตามใจ ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งกินข้าวที่บ้านเพื่อนจริง ๆ

เมนูของร้านล้วนเป็นสไตล์โฮมเมด แต่ละจานเต็มไปด้วยคุณภาพของวัตถุดิบ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคงหนีไม่พ้นพาสต้า เราลองสั่ง ‘Spaghetti Home Pesto Salmon’ เส้นลวกนุ่มแต่หนึบใน คลุกเคล้ากับซอสเพสโตสูตรเฉพาะหอมกระเทียม โหระพา และน้ำมันมะกอก รสเค็มนัวเจือกลิ่นเนยนิด ๆ เข้ากับแซลมอนชิ้นโตย่างได้อย่างลงตัว อีกจานเป็น ‘Spaghetti Spicy Bacon’ ผัดพริกแห้งจัดจ้าน เหมาะกับคนไทย และยังมีเมนูทานเล่นที่ห้ามพลาดอย่าง ‘Double Cheese Toast’ ขนมปังอบกรอบ ไส้ชีสยืดเยิ้มฉ่ำถึงใจ ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มเกล็ดน้ำแข็งสดชื่น ‘Honey Lemon Slushy’ และ ‘Passion Fruit Honey Slushy’ ให้ความหวานอมเปรี้ยวเข้มข้น หอมกลิ่นผลไม้และน้ำผึ้งได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

08 Gallery Drip Coffee Chiang Mai

มาต่อด้วยการตามล่าหากาแฟแก้วโปรดที่ ‘Gallery Drip Coffee Chiang Mai’ ร้านกาแฟดริปแสนสเปเชียลที่แตกแขนงมาจากสาขาในหอศิลปกรุงเทพฯ เปิดมานานกว่า 10 ปี โดยคุณเอและคุณปิ คู่หูผู้คร่ำหวอดในวงการกาแฟ ด้วยความฝันของคุณปิที่อยากอยู่ใกล้กับแหล่งปลูกกาแฟที่สุด จึงได้แยกตัวมาเปิดร้านนี้ที่ตั้งอยู่ในหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ กลิ่นอายของร้านมีความคล้ายเดิม เหมือนกับมิตรภาพของทั้งคู่ที่ยังคงอยู่ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของกาแฟ พร้อมลีลาการดริปของคุณปิที่มีเสน่ห์จนเราละสายตาไม่ได้ เขาดูพูดคุยสบาย ๆ แต่ก็ยังคงรินสายน้ำร้อนลงสู่กาแฟได้เป็นสายไม่ขาดช่วง สมกับที่เป็นดริปคิงอย่างแท้จริง

พอถึงเวลาที่ต้องเลือกเมนู ความรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่ในโลกของกาแฟชั่วขณะ เพราะร้านมีเมล็ดกาแฟให้เลือกเยอะมาก ทั้งจากแหล่งในประเทศ เช่น ห้วยพระเจ้าและแม่แตง จ.เชียงใหม่ ขุนแม่รวม อ.กัลยาณิวัฒนา ห้วยโทน บ่อเกลือ จ.น่าน และอีกหลายแหล่งที่มอบเทสต์โน้ตครบทุกโจทย์ของคอกาแฟดริป แก้วโปรดของเราคือ เกอิชา ที่มาจากแม่จันใต้ จ.เชียงราย ราคาจะสูงขึ้นหน่อย แต่เมื่อจิบแล้วจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนและอะโรมาหอมหวานจนต้องหลับตาเคลิ้ม สำหรับใครที่อยากลองดริปเองที่บ้าน ร้านก็มีเมล็ดคั่วอ่อนจำหน่าย เหมาะสำหรับชงดริปเองได้ง่าย ๆ

ด้วยความที่ร้านตั้งอยู่ภายใน หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ (Chiang Mai City Arts & Cultural Centre) เราจึงขอเดินชมอีกสักหน่อย อาคารสไตล์ตะวันตกนี้มีอายุกว่าร้อยปี เป็นหนึ่งในหลักฐานของความเจริญรุ่งเรืองในล้านนา จนได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นเมื่อปี 2542 ภายในถือเป็นพื้นที่สาธารณะที่สามารถเดินชมนิทรรศการได้อย่างอิสระ เรื่องราวครอบคลุมตั้งแต่ประวัติเมืองเชียงใหม่ วิถีชีวิตผู้คนตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงสมัยปัจจุบัน จัดแบ่งออกเป็น 15 ห้อง ใช้รูปแบบการจัดแสดงที่โมเดิร์น ผสานนวัตกรรมและประสบการณ์เสมือนจริงให้ไม่น่าเบื่อ นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการหมุนเวียนและอีเวนต์ต่าง ๆ เพิ่มสีสันให้ผู้มาเยือน ที่สำคัญ ค่าเข้าชมเพียง 90 บาท เรียกว่ามาที่นี่จิบกาแฟพร้อมเรียนรู้เรื่องราวสนุก ๆ ของเชียงใหม่ได้ครบในจุดเดียว แถมตัวอาคารยังสวย ถ่ายรูปออกมาเก๋เว่อร์ทุกมุม เหมาะสำหรับสายคาเฟ่ฮอปและคนชอบถ่ายภาพจริง ๆ

09 fimue 피므

เราใช้เวลาอยู่ในหอศิลป์พอสมควร ก็ได้เวลามาฮอปปิงกันต่อที่ร้าน ‘fimue 피므’ ที่รวบรวมทั้งกาแฟ ดนตรี หนังสือ งานแฮนด์เมด ของสะสมวินเทจไว้ด้วยกันภายในร้านที่แสนจะมินิมอล คำว่า ‘Fimue’ นั้นอ่านตรงตัวว่า ‘ฝีมือ’ เป็นคำสั้น ๆ ที่บ่งบอกถึงนิสัยของเจ้าของร้านที่เวลาทำอะไรก็มักจะทุ่มสุดฝีมือ และอีกนัยยะคือพวกเขาชื่นชอบในงานฝีมือมาก ๆ ด้วยกันเอง โดยที่นี่จะรวมทุกอย่างที่หุ้นส่วนแต่ละคนชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกาแฟ ดนตรีที่มีบูทดีเจ ของสะสม งานออกแบบ พร้อมจัดที่นั่งและมุมถ่ายรูปเอาไว้ให้เยอะมาก จนเรารู้สึกว่าที่นี่เป็นมากกว่าคาเฟ่ แต่เปรียบเสมือนพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กันได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนเรื่องราวมากกว่า 

เมนูเด็ดของร้านที่เราเห็นสั่งกันแทบทุกโต๊ะคือ ทีรามิสุ  ซึ่งเขาจะยกมาตักเสิร์ฟถึงโต๊ะแบบสไตล์อิตาเลียนแท้ ๆ เคยเป็นไวรัลในโลกโซเชียลอยู่พักหนึ่ง โดยขนมนั้นได้สูตรมาจากเพื่อนผู้เป็นเจ้าของร้าน NICOLO BAKERY ร้านขนมชื่อดังมาการันตีความอร่อย พอตักเข้าปากปุ๊บ สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือความหอมหวานของกาแฟ ปลายรสขมนิด ๆ เนื้อครีมและตัวเค้กนั้นนุ่มละไมจนแทบละลายในปาก พอจิบคู่กับกาแฟดำแล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันละกันได้อย่างแนบเนียนเลยล่ะ

10 Rico rico

พามาเช็กอินต่อที่ ‘Rico rico’ คาเฟ่สไตล์สตรีทซึ่งแฝงตัวอยู่ในอาคารพาณิชย์ย่านสันป่าข่อย ตัวอาคารโดดเด่นด้วยดีไซน์อินดัสเทรียลลอฟต์ ผสมผสานความดิบเท่ของปูนเปลือยและกรอบกระจกอะลูมิเนียม ภายในเผยร่องรอยอาคารเก่า ทั้งผนังที่มีแผ่นกระเบื้องแตก รอยสีเฟด และเพดานคานไม้ที่โชว์ท่อเดินไฟแบบลอยอย่างเป็นระเบียบ เติมความอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน บนเคาน์เตอร์กาแฟติดกระเบื้องสีที่เข้ากับผนัง เพิ่มลูกเล่นให้มุมชงกาแฟและตู้เค้กดูน่าสนใจ อุปกรณ์ชงกาแฟและเครื่องมืออะลูมิเนียมเงาวับเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ กลายเป็นมุมที่ทั้งสวยและใช้งานได้จริง ทุกองค์ประกอบของที่นี่ถูกจัดวางอย่างพิถีพิถัน ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่คาเฟ่ใจกลางเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบสตรีทแต่ยังอบอุ่นและเป็นกันเอง

เมนูของร้านเน้นการ pairing จับคู่ขนมกับเครื่องดื่มเข้าด้วยกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ การจัดเสิร์ฟก็คุมความเท่ด้วยถาดเหล็ก มุมไหนก็ถ่ายรูปออกมาดูคูลไปหมด เช่น คู่ ‘Milk Cream Doughnut’ กับ White Wine โดนัทจากร้าน Mooh เนื้อขนมปังนุ่มฟูฉ่ำเนย พร้อมครีมเบาเนียนละเอียด รสหวานอ่อน ๆ เมื่อนำมาจับคู่กับความซ่าสดชื่นของไวน์ จึงลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ หรือถ้าเลือก ‘Yuzu Glazing Doughnut’ จับคู่กับไอศกรีม ก็จะได้รสหวานซ่อนเปรี้ยว ผสานความเย็นและความนัวของนมได้อย่างเลิศไม่แพ้กัน

11 Fringe.th – Cafe ad Restaurant

ส่งท้ายคาเฟ่ของทริปนี้ที่ ‘Fringe.th – Cafe ad Restaurant’ คาเฟ่สีน้ำตาลที่มีเหลี่ยมมุมไล่มิติดึงดูดทุกสายตา รอบอาคารคุมโทนสีให้กลมกลืน แต่เนื้อสัมผัสแตกต่างกัน ทั้งเส้นริ้ว ๆ ของผนังและช่องสี่เหลี่ยมของปูนแตก เมื่อเล่นกับแสงเงายามบ่าย มุมนี้ก็กลายเป็นจุดขึ้นกล้องได้อย่างดี ส่วนภายในตีโปร่งดูโล่งสบาย ติดตั้งกระจกรับแสงธรรมชาติ บางจุดยังคงโครงสร้างเดิม ผสานกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์โมเดิร์นลอฟต์ มีบูทดีเจพร้อมแผ่นเสียงให้บรรยากาศร่วมสมัย ที่นั่งมีทั้งโต๊ะและโซฟาคละเคล้ากันไป พร้อมโซนขายของกระจุกกระจิกและสินค้าแฟชั่นให้เราเพลิดเพลินกับการช้อปแบบสบาย ๆ

ที่นี่ถือเป็นคาเฟ่ที่สามารถจัดมื้ออาหารได้แบบเต็มอิ่ม เราสั่งอเมริกาโน่และชาพีชมากินคู่กับเลมอนชีสทาร์ต ซึ่งรสชาติออกมาไม่ผิดหวัง ความเปรี้ยวซ่านของเลมอนเคิร์ตด้านบนเบลนด์กับชีสและแครกเกอร์ด้านล่างได้อย่างลงตัว ส่วนชาก็หอมหวานกำลังดี นอกจากนี้เขายังมีอาหารสไตล์ตะวันตกทั้งพาสต้า สเต๊ก สลัด แซนด์วิชเปิดหน้า รวมถึงอาหารไทยจานเดียว ของกินเล่นหลากหลาย ชีสบอร์ด เค้ก พาย พานาคอตต้า ค็อกเทล กาแฟ ชา ผลไม้ปั่น และโซดา เรียกว่าละลานตาจนเลือกไม่ถูก เหมาะทั้งสำหรับนั่งชิล ๆ คนเดียวหรือมาสังสรรค์กินดื่มกับเพื่อน ๆ ยามค่ำคืน

12 Ang Kaew Reservoir

ชอบเชียงใหม่ตรงที่อยากวิ่งเข้าหาธรรมชาติก็ไม่ต้องไปไหนไกล แค่เดินเข้าสวนสาธารณะก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์แบบฉ่ำปอดแล้ว ส่วนที่ขอยกขึ้นหิ้งและต้องแวะทุกครั้งคือ ‘อ่างแก้ว มช.’ แลนด์มาร์กของคนทุกเพศวัยมานานกว่า 60 ปี โดดเด่นด้วยอ่างเก็บน้ำขนาด 400,000 ลบ.ม. ที่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รอบอ่างมีเส้นทางเดินและวิ่ง พร้อมเนินหญ้าไล่ระดับ เบื้องหลังเป็นเทือกเขาสลับซ้อนกับลำคลองที่ส่งน้ำไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ต้นไม้ใหญ่อายุหลายร้อยปียังแผ่กิ่งก้านสร้างร่มเงาให้ความร่มรื่น ราวกับหลุดออกจากตัวเมืองไปอยู่ในโอเอซิสธรรมชาติ และถ้าได้มาช่วงเช้า เราจะเห็นหมอกจาง ๆ ลอยเหนือผิวน้ำ พร้อมเสียงนกร้องและสายลมพัดผ่าน ให้ความรู้สึกสดชื่นและสงบเหมือนเป็นที่หลบพักใจกลางเมือง

สำหรับสายถ่ายรูป อ่างแก้วก็มีมุมให้ครีเอตภาพได้อย่างอิสระ เราลองเดินไปเรื่อย ๆ ก็เจอมุมฮิดเด้นหลายจุด ทั้งม้านั่งริมน้ำ พุ่มดอกไม้น่ารัก หรือมุมถ่ายกว้างที่เห็นวิวสะท้อนในอ่าง กวาดกล้องไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความสบายตา แม้อากาศจะครึ้มบ้างแต่ก็ยังสดชื่นไม่แผ่ว ยิ่งช่วงเย็นจะเห็นชาวเมืองพาน้องหมามาวิ่งเล่นกันกลางลาน เป็นภาพที่น่ารักชวนยิ้ม นั่งมองคนออกกำลังกาย นักท่องเที่ยวต่างชาติใส่ชุดเดรสพริ้วมาเดินถ่ายรูป ทำให้ช่วงเวลาที่นี่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ถึงมาเดินคนเดียวก็ไม่มีความรู้สึกเหงาเลยจริง ๆ ใครมีไฟลต์บินกลับดึก เราขอแนะนำให้มาปิดจบทริปเชียงใหม่ที่นี่สักครั้ง มันดีมันเลิศจริง ๆ

สำหรับใครที่เดินทางแล้วมักถ่ายยาก แต่ก็ยังจัดทริปกินหนัก ๆ แบบเรา ลองหาตัวช่วยอย่าง ‘โยเกิร์ตดัชชี่ไบโอ รสมะขามผสมวุ้นมะพร้าว’ ที่เราซื้อเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อกินทุกเช้า ในถ้วยมีทั้งวิตามิน ไฟเบอร์ และจุลินทรีย์ที่ช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานดีขึ้น กินได้ทุกวันแบบไม่รู้สึกผิด เพราะเป็นสูตรน้ำตาลน้อย และปราศจากน้ำตาลแลคโตส ฉะนั้นรักตัวเอง รักลำไส้ หรือรักใคร ก็อย่าลืมกินดัชชี่ไบโอทุกวันนะ หาซื้อได้ง่าย ๆ ที่ 7-Eleven ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป และหนุ่มสาวดัชมิลล์-ดีไลท์ทั่วประเทศ

เชียงใหม่รอบนี้สอนเราว่า บางทีการเดินทางไม่จำเป็นต้องมีกำหนดการแน่น ๆ แค่ปล่อยตัวเองให้ซึมซับบรรยากาศเมืองไปเรื่อย ๆ ก็ได้เจอทั้งมุมสงบที่เยียวยาใจ และพลังสร้างสรรค์จากผู้คนที่ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ คาเฟ่เล็กใหญ่แต่ละแห่งมีเสน่ห์เฉพาะตัว แทรกซึมอยู่ในถนน ซอกซอย หรือแม้แต่ในอาคารเก่า ทุกจังหวะทำให้เรารู้สึกว่าเมืองนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาเสมอ เชียงใหม่จึงไม่ใช่เพียงแค่จุดหมายปลายทาง แต่เป็น “ที่พักใจ” ที่เรายินดีกลับมาเติมเต็มตัวเองได้ทุกครั้งที่คิดถึง