รีวิวญี่ปุ่น :: Winter Dreams in Tohoku : Yamagata & Miyagi in 5 Days, Flying with Thai AirAsia X’s New Route 🇯🇵

แลนดิ้งลง “Sendai” กับเที่ยวบินตรงล่าสุด แล้วไปตะลุยภูมิภาค Tohoku ฤดูหนาว 5 วัน 4 คืน กันเถอะ

วางแพลนเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวส่งท้ายปีท่ามกลางหิมะโปรยปรายชวนฝันรอบนี้ ขอพาทุกคนไปเดินย่ำบนหิมะให้ฉ่ำใจกับมินิไกด์ที่ไวป์สุดคูล ณ จังหวัด Yamagata และ Miyagi แบบจัดเต็ม เพราะทริปนี้เราได้บรรจงคัดสรรไฮไลท์เด็ดจากหลากหลายเมืองที่ครบรสกลมกล่อม ร้อยเรียงออกมาเป็นรูทเที่ยวให้ได้ตามแล้วปังโคตร ตั้งแต่ลานเล่นสกีที่เต็มไปด้วยเหล่าปีศาจหิมะนับร้อย หมู่บ้านออนเซ็นกับจุดถ่ายรูปปังดังระดับเวิลด์คลาส ไหนจะวัดพันปี ปราสาทพันเรื่องราวให้เราดื่มด่ำ ตลอดจนร้านกาแฟธีมดีขวัญใจชาวญี่ปุ่น อาหาร 400 ปี ติดดีกรีมิชลินไกด์ และไม่พลาดที่จะพาเพื่อน ๆ ไปเซย์ไฮกับสัตว์ตะเล็กตะน้อยทั้งใต้ทะเลและบนหิมะอันหนาวเหน็บ ก่อนจะมาส่งท้ายชิล ๆ วันเดย์ในเมืองเซนได บอกเลยว่าเป็นทริปฟิน ๆ ที่จะทำให้เหล่าประชากรเมืองร้อนแบบเราอินสุด ๆ ไปเลย

ขอเอาใจคนกำลังวางแพลนเก็บเงินเพื่อทริปฤดูหนาวส่งท้ายปีจึ้ง ๆ ด้วยข่าวดีสุดเซอร์ไพรส์กับเส้นทางบินตรงใหม่ล่าสุด กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – เซนได รูทที่ยังไม่มีเจ้าไหนบินตรงจากไทยแต่ ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เสิร์ฟให้ถึง 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ( ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และอาทิตย์ ) โดยขาไปจะเป็น XJ630 กรุงเทพฯ(ดอนเมือง) 02:15 น. – เซนได 10:30 น. ส่วนขากลับจะเป็น XJ631 เซนได 12:00 น. – กรุงเทพฯ(ดอนเมือง) 17:30 น. เรียกว่าเวลาดีงามทั้งไปและกลับ แถมเส้นทางนี้มาพร้อมเครื่องบินลำใหญ่ บินสะดวก ราคาคุ้ม ยิ่งกด Value Pack ตอนจองแล้วด้วย … ยิ่งแสนคุ้ม เพราะลดถึง 30% สามารถเลือกที่นั่งมุมโปรด อาหารอุ่นร้อนระหว่างทริป และได้น้ำหนักกระเป๋าจุก ๆ 20 กก. และยังได้ประกันตรงเวลาด้วย สำหรับเส้นทางนี้จะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2568 – 27 มีนาคม 2569 เป็นต้นไป เตรียมรอโปรงาม ๆ แล้วกดจองกันได้เลย airasia.com หรือแอป AirAsia MOVE

Day 1 : Sendai Airport (SDJ) – Yamagata Prefecture

001 Ginzan Onsen

หลังรับรถเช่าเราก็เดินทางไปเริ่มต้นทริปแบบสุดแกรนด์ด้วยสปอตในฝันของใครหลายคน ณ หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ‘Ginzan Onsen’ หมู่บ้านโบราณที่มีประวัติยาวนานกว่าห้าร้อยปี เดิมทีที่นี่คือเหมืองเงิน Nobesawa Ginzan ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยเอโดะ ก่อนจะพัฒนาเป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่มีชื่อเสียง คำว่า Ginzan เองก็หมายถึง “ภูเขาเงิน” อันเป็นรากเหง้าของชุมชนแห่งนี้ ความพิเศษคือบ่อน้ำพุร้อนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุซึ่งค้นพบตั้งแต่สมัยนั้น จนถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 5 สถานที่แช่ออนเซ็นฤดูหนาวที่ทางการญี่ปุ่นแนะนำอย่างเป็นทางการ สรรพคุณของการแช่น้ำร้อนที่นี่ก็ไม่ธรรมดา ตั้งแต่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้ผิวอมชมพู ดูอ่อนเยาว์ ไปจนถึงคุณสมบัติของกำมะถันที่ช่วยลดอาการผื่นคันและรอยฟกช้ำได้ ใครเป็นสายสุขภาพหรือบิวตี้รับรองว่าอินแน่นอน

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Cs8P3KHoG4Usv2cJ7

ว่าด้วยเรื่องรูปลักษณ์ของเมือง Ginzan Onsen ได้รับการขนานนามว่าเป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น อาคารไม้สไตล์เรียวกังที่เรียงรายสองฝั่งแม่น้ำ Ginzan สร้างขึ้นในยุคไทโช บางหลังสูงถึง 3–4 ชั้น และหลายแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม บรรยากาศของถนนหินปูและโคมไฟแก๊สที่ส่องแสงอุ่น ๆ ยิ่งขับให้เมืองดูเหมือนฉากละครย้อนยุค โดยเฉพาะยามค่ำคืนท่ามกลางหิมะโปรยปราย ที่นี่จึงสวยเกินบรรยายจนเหมือนภาพวาด ยังมีน้ำตก Shirogane-no-Taki และถ้ำเหมืองเงินเก่าให้แวะชมเพิ่มอรรถรส แม้จะคึกคักไปด้วยผู้คน แต่กลับอบอวลด้วยความสงบอันน่าหลงใหล หากแพลนมาพักแนะนำให้จองล่วงหน้านาน ๆ เพราะหน้าหนาวคือ ไฮซีซัน โรงแรมหลายแห่งเต็มแบบข้ามปีกันเลยทีเดียว

002 Izu no Hana

ขณะเดินเล่นในหิมะตกโปรยปราย เราเจอร้านอาหารไม้เก่าแก่ ‘Izu no Hana 伊豆の華’ ที่แฝงความอบอุ่นแม้ภายนอกดูเคร่งขรึม อาคารปัจจุบันมีอายุกว่า 140 ปี และยังคงโครงสร้างไม้แบบดั้งเดิมเอาไว้ทั้งหลัง ภายในตกแต่งเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบย้อนยุค เผยให้เห็นรายละเอียดไม้เก่า บานหน้าต่างและโต๊ะเก้าอี้แบบญี่ปุ่นโบราณ พร้อมบรรยากาศสงบเหมาะกับการผ่อนคลายหลังเดินเล่นในหมู่บ้าน Ginzan Onsen ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารท้องถิ่นและเครื่องดื่มแบบดั้งเดิม เมนูซิกเนเจอร์คือ Age Nasu Oroshi Soba โซบะร้อนโปะมะเขือม่วงทอด ราดด้วยหัวไชท้าวขูดละเอียด รสชาติกลมกล่อม กินคู่กับมะเขือหวานเนื้อแน่น เรียบง่ายแต่ติดตราตรึงใจ นอกจากนี้ยังมีเมนูโซบะอื่น ๆ ข้าวท้องถิ่น และเครื่องดื่มสไตล์ยามากาตะให้เลือกอีกเพียบ ออ แนะนำให้นั่งชั้น 2 ริมหน้าต่าง เพื่อชมวิวแม่น้ำและอาคารไม้เรียวกังโบราณ เพิ่มความอร่อยให้มื้ออาหารและประสบการณ์ใน Ginzan Onsen อย่างสมบูรณ์

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/NsJ5HEtGAZ7vm8459

003 Sake Sabo Kurie (Sake Teahouse Clie)

ก่อนที่เราจะจากเมืองนี้ไป เราขอทิ้งท้ายด้วยการนั่งจิบกาแฟอุ่น ๆ ที่ ‘Sake Sabo Kurie (Sake Teahouse Clie) 酒茶房 クリエ’ ร้านกาแฟ 2 ชั้นขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในมุมเงียบสงบของหมู่บ้าน บรรยากาศอบอุ่น อบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟหอมละมุน ช่างคอนทราสต์กับภายนอกที่อุณหภูมิแทบจะติดลบจนปลายจมูกเราชาไปหมด การตกแต่งร้านเต็มไปด้วยงานไม้ ทั้งประตูทางเข้า เคาน์เตอร์บาร์ และชุดเก้าอี้ทรงคลาสสิกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุค พอมองลอดไปนอกหน้าต่างที่ชั้นสองก็เผยให้เห็นวิวของหมู่บ้านและแม่น้ำในอีกมุมที่สวยสะกดตา ไม่แปลกใจเลยที่จะมีหลาย ๆ คนกล่าวว่าเป็นจุดที่ดีที่สุดในการชมวิวของหมู่บ้าน

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/EvXag7P63LWVYkKSA

นั่งอาลัยอาวรณ์อยู่สักพัก ก็ได้ออเดอร์ที่สั่งไป.. สิ่งที่เข้ากับบรรยากาศตอนนี้มากที่สุด เราคิดว่าเป็นโกโก้ร้อนแบบไม่หวาน โบกทับมาด้วยมาร์ชเมลโล่ออกหวานนิด ๆ กินคู่กันแล้วเป็นรสชาติบาลานซ์ ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ข้าง ๆ กันคือพุดดิ้งเนื้อนุ่มหนึบ รสหวานปลายออกขมเล็กน้อย กินสลับกันแล้วมันจะนัวเข้ากันดีไปหมด อ่อ.. ที่เราเลือกร้านนี้เพราะเป็นร้านที่ชาวญี่ปุ่นชอบมาเช็กอินและรีวิวลงบล็อกกันเยอะมาก

สำหรับการเที่ยวในหมู่บ้าน Ginzan Onsen สามารถทำได้ทั้งแบบเดย์ทริปและค้างคืน ซึ่งร้อยทั้งร้อยบอกว่าการได้นอนเรียวกังที่นี่ถือเป็นประสบการณ์ฟินที่สุด เพราะนอกจากจะได้แช่น้ำร้อนท่ามกลางหิมะแล้ว ยามค่ำคืนทั้งเมืองยังเปิดไฟสีส้มสว่างไสว แต้มไปทั่วตัวอาคาร เปล่งแสงออร่าผ่านเกล็ดหิมะขาวโพลน … เพียงเท่านี้ก็คงจินตนาการออกแล้วว่าบรรยากาศจะโรแมนติกขนาดไหน นอกจากนี้ยังมีร้านค้าของฝากและร้านขนมท้องถิ่นให้เลือกช้อปได้อย่างสนุกสนาน แม้ใครไม่ได้ค้างคืน การมาเดินเล่นและสัมผัสบรรยากาศหมู่บ้านก็ถือว่าสุดฟินแล้ว และจะทำให้การมาเยือนที่นี่เป็นความทรงจำที่ประทับใจไม่รู้ลืม

Day 2 : Yamagata Prefecture

004 Kamo Aquarium

วันที่สองในยามากาตะ เรารีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปใช้เวลายาว ๆ กับโลกใต้น้ำที่ ‘Kamo Aquarium’ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่โดดเด่นเรื่องแมงกะพรุน ถือเป็นอีกหนึ่งแห่งที่มีจำนวนสายพันธุ์แมงกะพรุนเยอะติดอันดับโลก จนชาวญี่ปุ่นเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘クラゲドリーム館’ หรือ “พิพิธภัณฑ์แมงกะพรุนในฝัน” ที่นี่เปิดมานานถึง 90 กว่าปี ย้ายมาตั้งตำแหน่งปัจจุบันเมื่อช่วงปี 1961 โดยอาคารสีขาวสะอาดตา ริมทะเล มองมุมไหนก็ผ่อนคลาย สวนกับความนุ่มนิ่มและเรืองแสงของแมงกะพรุนที่รอให้เราเข้าไปสำรวจ พอเข้าภายใน เราจะพบกับโลกใต้น้ำอีกใบ เต็มไปด้วยความใส นุ่ม และน่ารักของเหล่าแมงกะพรุนที่ลอยละล่องเหมือนสายฝัน

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/4s5V8LJEHy8uFETB8

โซนที่เราตั้งใจมุ่งตรงมาคือ Kuranetarium การจัดแสดงที่ทำให้เราจมดิ่งสู่โลกอันมืดมิด พร้อมไฟที่ฉายผ่านตัวแมงกะพรุนโปร่งแสง ประกอบกับเสียงเพลง เสียงฟองอากาศ ให้เหมือนได้อยู่ใต้ทะเลจริง ๆ โดยน้องจะอยู่ในตู้กระจกทรงกลมขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร ถือเป็นตู้จัดแสดงแมงกะพรุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บันทึกโดยกินเนสส์บุ๊ก

สำหรับใครที่ชื่นชอบแมงกระพรุนจะต้องเพลิดเพลินและใช้เวลาได้ไม่รู้เบื่ออย่างแน่นอน เพราะที่นี่เขามีแมงกะพรุนมากกว่า 60 สายพันธุ์ จำนวนราว ๆ 10,000 ตัว พร้อมคำอธิบายเจาะลึกการเจริญเติบโต การหาอาหารของน้อง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีตู้จัดแสดงปลาน้ำจืด-น้ำเค็มในยามากาตะ โซนสระแมวน้ำและสิงโตทะเลให้เราเห็นความแตกต่างของทั้งสองสายพันธุ์ และชมความน่ารักไปพร้อม ๆ กัน

005 Okimizuki

พอเต็มอิ่มกับโลกใต้ทะเล เราก็มาฝากท้องกันที่ห้องอาหารภายในอควาเรียม ‘Okimizuki 魚匠ダイニング 沖海月’ ร้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ดูทันสมัย รายล้อมด้วยกระจกบานใหญ่ที่เปิดวิสัยทัศน์ทะเลโชไนให้ชมได้แบบไม่มีอะไรกั้น บรรยากาศโปร่งสบายและเต็มไปด้วยกลิ่นอายทะเลสด ๆ เมนูที่นี่เน้นอาหารทะเลท้องถิ่นสดใหม่ตามฤดูกาล ไฮไลต์คือความเชี่ยวชาญเรื่องปลาปักเป้าเสือ (Tiger Puffer Fish) ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบขึ้นชื่อของยามากาตะ เราจึงเลือกชุดซาชิมิสุดอลังการ เนื้อปลาแน่น นุ่มเด้ง และหวานกลมกล่อมแตกต่างจากปลาเนื้อขาวทั่วไป ความสดของปลาและวิธีการแล่ที่พิถีพิถันทำให้ทุกคำเต็มไปด้วยรสชาติและเท็กซ์เจอร์ที่น่าตื่นเต้น จานนี้จึงไม่เพียงเป็นอาหาร แต่ยังเป็นประสบการณ์รสชาติที่สะท้อนเอกลักษณ์ทางทะเลของยามากาตะอย่างแท้จริง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/SsVRKufxDxpdFbHH7

คาวนำ หวานตามมิชชั่นถึงจะคอมพีท! เรามาล้างปากกันต่อกับซอฟต์เสิร์ฟ หอมกลิ่นนมนัว ๆ โรยมาพร้อมเนื้อแมงกะพรุนหั่นชิ้นเล็ก ๆ ถือว่าเป็นอะไรใหม่ ๆ มาก รสสัมผัสนุ่มละมุน เคี้ยวกรุบกรอบ มีรสชาติให้เลือก 3 แบบคือ นม ช็อกโกแลต และแบบมิกซ์ ส่วนใครที่มองหาของฝาก ที่นี่เต็มไปด้วยสินค้าน่ารักสไตล์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะสินค้าที่มีลวดลายแมงกะพรุนในรูปแบบคาแรกเตอร์การ์ตูนน่ารัก เห็นแล้วแทบอดใจไม่ไหว ของยอดนิยมมีทั้งลูกอมแมงกะพรุน (クラゲキャンディ) ขนมโมจิและโยกังท้องถิ่น (Kamo Mochi, Kamo Yokan) รวมถึงตุ๊กตาและของใช้อเนกประสงค์ที่สกรีนลวดลายแมงกะพรุน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์จากทะเลโชไน เช่น สาหร่ายแห้งและซอสซีฟู้ดที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ทั้งหมดนี้ทำให้การเลือกของฝากสนุกและเต็มไปด้วยความประทับใจสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่

006 Shonai Bus Terminal and Shopping Center

ก่อนยิงยาวกลับมาเที่ยวโลเคชันต่อไปแถวในเมือง เราถือโอกาสแวะพักเมื่อยด้วยการมาเดินเลือกซึ้อของฝากเพิ่มเติมกันที่ ‘Shonai Bus Terminal and Shopping Center’ ศูนย์รวมของฝากและสินค้าท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโชไน ตั้งอยู่ในตัวเมืองซึรุโอกะ ไม่เพียงเป็นจุดพักรถ แต่ยังเป็นแหล่งรวมขนมขึ้นชื่อของยามากาตะ ผักผลไม้สด วัตถุดิบทำอาหาร และงานฝีมือพื้นบ้าน ทำให้เหมือนตลาดจำลองที่สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชาวโชไน ของฝากที่ไม่ควรพลาดได้แก่ โมจิและโยกังท้องถิ่น ข้าวพันธุ์ท้องถิ่น ซอสปรุงรส และเครื่องปั้นดินเผา ทั้งหมดสามารถทำ Tax Free ได้ด้วย  นอกจากนี้ยังมีคาเฟ่เล็ก ๆ ให้จิบชา กาแฟพักเหนื่อยก่อนออกเดินทางต่อ เรียกได้ว่าแวะที่นี่เพียงครั้งเดียวก็เก็บครบทั้งของฝากและบรรยากาศท้องถิ่นโชไนอย่างแท้จริง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/WAsHBnLx2XRYE4a76

007 Rissyakuji Temple (Yamadera)

ก่อนจบวันที่สองของเมืองยามากาตะ เราขอกลับไปนอนในที่พักแบบผู้มีบุญ หน้าอิ่มเอมไปด้วยรัศมีเรืองรอง ใช่แล้ว!!! ช่วงบ่ายนี้เรากำลังจะพาทุกคนไปไหว้พระที่ Yamadera Temple วัดที่ต้องใช้กำลังกายและใจอย่างสาหัส เพราะต้องเดินบันไดขึ้นเขาไปหลายพันขั้นทีเดียว ยิ่งช่วงหน้าหนาวอาจจะต้องระมัดระวัง เนื่องจากบางจุดจะมีความลื่นมาก แต่มันคุ้มค่ากับทัศนียภาพที่จะทำให้ทุกคนตาค้างไปด้วยความงดงามอันน่าตื่นตะลึงอย่างแน่นอน

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JtcjEffnU4R8VL1d6

โดยทั่วไปที่นี่จะเรียกได้ 2 ชื่อคือ Yamadera และ Houjusan Risshaku-ji Temple มีอายุยาวนานกว่า 1,000 ปี สมัยการปกครองของจักรพรรดิเซวะ ที่ท่านได้ส่งพระสงฆ์ Jikaku Daishi ไปยังชายแดนของโทโฮคุ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวัด เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีนักกวีชื่อดังอย่าง มัตสึโอะ บาโช มาพรรณาถึงความสวยงาม จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายของผู้คนทั่วทั้งญี่ปุ่น และทั่วโลกในเวลาต่อมา ไม่เพียงแค่ความสวยของสิ่งปลูกสร้าง แต่ไวป์รอบด้านระหว่างเดินนั้นดีงามขั้นสุด ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อายุนับพันปี โอบล้อมเราไปตลอดทาง แม้จะมีหิมะปกคลุมแต่ก็กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก และถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นวัด แต่ก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่วัยรุ่นชาวญี่ปุ่นเองต้องจดลิสต์เพื่อขึ้นมาสักครั้งในชีวิตเช่นกัน

และไม่ต้องกลัวว่าจะเหนื่อยจนหอบแบบหมดสนุก เพราะตลอดเส้นทาง เขามีจุดพักให้เราได้หายใจหายคอ พร้อมความงดงามของโบราณสถานเก่าแก่ให้เราหยุดดู อาทิ ประตูไม้ อาคาร ศาลเจ้า หินขนาดมหึมามากมาย โดยรวมแล้วเราใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง จนมาถึงจุดไคลแมกซ์ ‘Godaido Hall’ บริเวณริมผาที่มีหินก้อนใหญ่ พร้อมศาลาสีแดงฉานตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของวัดนี้ เป็นวิวพาโนราม่าเห็นหุบเขาขาวสะอาด สลับทับซ้อนไปไกลสุดตา พร้อมหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงกลาง ยามฤดูหนาวเราจะเห็นไอร้อนจากบ้าน การเคลื่อนตัวของรถยนต์ได้อย่างชัดเจน มองไปมองมาแล้วเหมือนเมืองตุ๊กตาในฝันเลย 

สิ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินกับการเที่ยววัดญี่ปุ่นได้ไม่เคยเบื่อคือ เครื่องรางของขลังประจำวัด แต่ละที่จะมีความเด่นแตกต่างกันไป บ้างเรื่องเรียน บ้างเรื่องความรัก สุขภาพ การงาน แม้กระทั่งการคลอดลูก สำหรับที่นี่จะเป็นการขอพรด้านการเงิน ที่หลวงพ่อโฮเตะ นั่นก็คือพระสังกัจจายของบ้านเรานั่นเอง และเครื่องรางขึ้นชื่อคือ Kokeshi  ตุ๊กตาไม้โบราณ ที่เชื่อว่าช่วยปกป้องบ้านจากไฟไหม้ ขับไล่ภูตผี และบันดาลให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ แม้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความต้องการของเรา แต่ทางนี้ว่าน่ารักน่าชัง มันต้องมีติดตัวแล้วสักหนึ่ง!

Day 3 : Yamagata Prefecture – Miyagi Prefecture

008 Zao Ropeway Zao Sanroku Station

เช้าวันสุดท้ายในจังหวัดยามากาตะ เราเริ่มต้นด้วยการไปเซย์ไฮกับปีศาจหิมะที่ Zao Sanroku โดยเราจะต้องนั่งกระเช้าจาก Zao Sanroku Station ไปยังจุดชมวิวและลานเล่นสกี ซึ่งมีอยู่ 2 จุดคือชั้นแรก Juhyo Kogen Station อยู่บนความสูง 1,331 เมตรใช้เวลาเพียง 7 นาที ส่วนชั้นที่ 2 Jizo Sancho Station จะอยู่ที่ 1,661 เมตร ใช้เวลา 10 นาที ขณะที่กระเช้าเคลื่อนตัว บอกเลยว่าหัวใจของเรานี่ถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ จากวิวหิมะธรรมดาที่เห็นจนชินตาตลอดลอดทริป พอสูงขึ้นเรื่อย ๆ ต้นไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยสีขาว ก็เริ่มมีหน้าตาที่แปลกไป กวาดสายตาไปอีกด้านจะเห็นเส้นทางเล่นสกีสุดเอ็กซ์ตรีม ที่นักสกีมาประชันความเร็วกันอย่างสนุกสนาน เป็นวิวชิล ๆ ที่มีหลากอารมณ์ มองได้ไม่เบื่อเลยจริง ๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/zhwB19rcqgbgN4278

เราเลือกขึ้นมาที่ Jizo Sancho Station สิ่งแรกที่พบตอนออกจากกระเช้าคือความหนาวที่ทวีขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับด้านล่าง เราเลยเข้าไปในอาคารเพื่อตั้งหลัก รองท้องมื้อเช้าด้วยอาหารอุ่น ๆ ก่อนหนึ่งกรุบ จากนั้นก็เริ่มตามหาไฮไลต์ โดยจุดแรกคือ Zao Jizoson เป็นพระพุทธรูปสูงกว่า 2.34 เมตร อายุ 248 ปี ทำจากหินใช้เวลาสร้างนานกว่า 37 ปี เป็นที่ยึดเหนี่ยวเพื่อขอพรให้สมปรารถนา ปัดเป่าภัยพิบัติ และอุบัติเหตุนั่นเอง ซึ่งในหน้าหนาวหิมะจะหนามาก ทำให้เราเห็นแค่เศียรของพระและตู้รับบริจาค เท่านั้นยังไม่พอ เดินออกจากสถานีมาหน่อย เราจะเจอกับระฆังแห่งความโชคดีอยู่ เป็นจุดที่สายมูตามหารักแท้ต้องมาตี เพราะเชื่อกันว่านี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของคู่รักนั่นเอง

แน่นอนว่าจุดไฮไลต์ที่เราตั้งใจฝ่าลมหนาว ท้าไอแดดขึ้นมาบนยอดเขา ก็คือประติมากรรมสุดมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ’Snow Monsters’ เหล่าต้นไม้ที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยหิมะ รูปทรงตะปุ่มตะป่ำตั้งแต่โคนจรดยอด กลายเป็นปีศาจรูปร่างสูงใหญ่ยืนแน่นิ่งอยู่ทั่วภูเขา ซึ่งปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Juhyo เกิดขึ้นเฉพาะในบางพื้นที่ของญี่ปุ่น หนึ่งในนั้นก็คือภูเขาซาโอะ เนื่องจากลมหนาวจากไซบีเรียพัดละอองน้ำแข็งมาจับกับต้นสนพันธุ์ Maries’ Fir (Abies mariesii) จนก่อตัวเป็นชั้นน้ำแข็งหนาและรูปร่างแปลกตา ทำให้ Snow Monsters ที่นี่มีเอกลักษณ์และหาชมได้ยากในญี่ปุ่น โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นกุมภาพันธ์ที่อุณหภูมิลดต่ำสุด แม้ใครไม่ได้มาเล่นสกี แค่ได้ถ่ายรูปหรือเดินชมวิวก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว และหากมาในเวลากลางคืนจะมีการประดับไฟ ทำให้ต้นไม้ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งเปล่งประกายระยิบระยับ สร้างบรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกแฟนตาซีที่แท้จริง

009 Hikarian

ช่วงเที่ยง เราออกเดินทางจากยามากาตะข้ามไปเที่ยวต่อจังหวัด Miyagi โดยเริ่มจาก Shiroishi (ชิโรอิชิ) เมืองที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยมากนัก แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ว่าแล้วเราก็ขอปรนเปรอตัวเองด้วยอาหารอันโอชะที่เคยติด Michelin Guide Miyagi 2017 กับร้าน ‘Hikarian’ เพียงมองจากภายนอกก็เห็นความคลาสสิกและความเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ ด้วยบ้านหลังคามุงจากแบบ Kayabuki Yane ซึ่งถือเป็นบ้านแบบโบราณที่หาชมได้ยาก หากไม่นับในพิพิธภัณฑ์ โดยหลังนี้เคยเป็นบ้านของซามูไรสมัยเอโดะ เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็จะตื่นตากับโครงสร้างโบราณที่ยังคงสวยงาม แบ่งสัดส่วนและจัดวางโต๊ะกระจายอยู่ตามห้องต่าง ๆ ด้วยบรรยากาศเรียบขรึม เหมาะสำหรับผู้ที่อยากลิ้มรสอาหารท่ามกลางความสงบ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uBhpZaG65LvrJREs9

สิ่งที่ทำให้มงมิชลินลงที่ร้านนี้คือ เส้นชิโรอิชิ (Shiroishi Umen) ซึ่งมีประวัติกว่า 400 ปี ถูกคิดค้นสูตรโดยชายผู้ดูแลพ่อที่มีปัญหาเรื่องกระเพาะ ตัวเส้นจึงไม่มีน้ำมัน และทางร้านรีดมือแบบดั้งเดิม เราลองสั่ง Shiroishi Umen เสิร์ฟร้อน เส้นขนาดเล็กและสั้น นุ่ม ลื่น กินง่ายไม่หนักท้อง พอกินคู่กับเห็ดและซุปรสหวานเค็มอูมามิก็อร่อยขึ้นไปอีก อีกจานที่สั่งมาช่วยเพิ่มรสชาติคือ เต้าหู้มาโฝ (Mapo Tofu) เป็นเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน เผ็ดร้อนกำลังดี ช่วยให้เราอุ่นท้องพร้อมสู้กับอากาศหนาวข้างนอกได้อย่างสมบูรณ์

010 Shiroishi Castle

รู้จักเมืองนี้ผ่านการลิ้มรสไปแล้ว เราขอมาทำความรู้จักเมืองนี้ผ่านโลเคชันอันสวยงามกันบ้าง เริ่มจาก ‘Shiroishi Castle’ ปราสาทสไตล์ฮิระยะมะโจที่มีประวัติยาวนานกว่า 800 ปี เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูล Katakura ผู้รับใช้ตระกูล Date มายาวนานกว่า 11 รุ่น จนถึงช่วงปฏิรูปยุคเมจิในปี 1867 ปราสาทถูกทำลายระหว่างสงครามโบชิน ก่อนจะได้รับการบูรณะใหม่ในปี 1995 ด้วยวัสดุไม้คุณภาพสูงแบบดั้งเดิม ภายในยังคงรักษาโครงสร้างแบบเอโดะเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นห้องจัดแสดง แผนผังเมือง และชุดเกราะซามูไรจำลอง รวมถึงมีโรงหนัง 3 มิติให้เราได้ชมเรื่องราวของเมืองและปราสาท สร้างมุมมองใหม่ให้เห็นความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์แบบใกล้ชิด นอกจากนี้ งานศิลปะระบายสีฝีมือเด็ก ๆ ที่จัดแสดงอยู่กลางปราสาทก็สร้างรอยยิ้มให้เราได้ไม่น้อย ใครอยากชมวิวเมืองแบบพาโนรามา ก็สามารถขึ้นไปยังดาดฟ้าของปราสาทเพื่อเห็นทั้งหมู่บ้านและวิวภูเขาสลับซับซ้อนไปจนสุดสายตา

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/HnmqnuznbmEeF8z29

รอบตัวปราสาทถูกจัดเป็นสวนสาธารณะ Masuoka Park ปลูกต้นซากุระกว่า 400 ต้นหลายสายพันธุ์ เช่น Somei Yoshino, Shidarezakura และ Yaezakura จึงเป็นจุดชมซากุระที่ขึ้นชื่อในฤดูใบไม้ผลิ แต่พอถึงหน้าหนาว สวนก็ยังงดงามไม่แพ้กัน เมื่อหิมะปกคลุมพื้นและกิ่งไม้ ขาวโพลนตัดกับปราสาทสีขาวแดงอย่างลงตัว ช่วงกลางคืนยังมีการประดับไฟ เพิ่มความโรแมนติกให้บรรยากาศและทำให้ตัวปราสาทส่องประกายสวยสะกดใจ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ผสมผสานประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังเป็นมุมที่ชาวญี่ปุ่นและต่างชาติชื่นชอบมาถ่ายรูปหรือสวมชุดซามูไรจำลองกันอย่างสนุกสนาน

011 Zao Fox Village

สปอตปิดท้ายวัน ก่อนจะไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ในตัวเมืองเซนได เราขอพาทุกคนไปทักทายน้องจิ้งจอกหน้าสวยที่ ‘Zao Fox Village’ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า Zao Kitsune Mura ตั้งอยู่บนเทือกเขา Miyagi วิธีเดินทางหลักมีเพียงรถส่วนตัวและแท็กซี่เท่านั้น ช่วงที่มาถือเป็นช่วงพีคที่น้อง ๆ จะดูน่ารักน่ากอดสุด ๆ เพราะในฤดูหนาวขนของเขาจะฟูฟ่องเป็นพิเศษ มีจิ้งจอกให้ชมทั้งหมด 6 สายพันธุ์ แบ่งการจัดแสดงเป็น 2 โซน จุดแรกจะแยกเป็นกรง ๆ ที่มีทั้งจิ้งจอก กระต่าย ม้า ฯลฯ มีกิจกรรมให้เราได้ป้อนนมลูกจิ้งจอก ส่วนโซนต่อมาคือไฮไลต์เด็ด สวนกว้างใหญ่ที่ห้อมล้อมไปด้วยจิ้งจอกทั้งหมด

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/DHMB671Q5FuUyGnS7

สิ่งที่เราชอบที่สุดคือการดูแลน้อง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ทุกตัวมีอิสระ แม้อยู่ในรั้วเหล็ก หมาจิ้งจอกกว่า 100 ตัวก็จะแสดงพฤติกรรมแตกต่างกันไป ทำให้เราเพลินและไม่รู้สึกเบื่อขณะเดินชม นอกจากนี้ยังมีระเบียบเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยของสัตว์และผู้มาเยือน เพราะน้องจิ้งจอกเป็นสัตว์ป่า ไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ เราจึงห้ามแตะหรือเข้าใกล้เกินไป และห้ามให้อาหารด้วยมือเปล่า แต่มีโซนระเบียงไม้สูง ๆ ให้เราโยนอาหารให้เพลิน ๆ แนะนำว่าถ้ามาเยือนช่วงหิมะ อย่าพลาดโอกาสสัมผัสบรรยากาศน่ารักของน้อง ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนฟูฟ่องเหมือนตุ๊กตาในฤดูหนาว

Day 4 : Miyagi Prefecture

012 Sendai Castle

สำหรับใครที่มาเซนไดครั้งแรก เราอยากให้มาแลนด์มาร์คสำคัญแห่งนี้เลย ปราสาทเซนได (Sendai Castle) หรือปราสาทอาโอบะ (Aoba Castle) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอาโอบะ แม้ตอนนี้ตัวปราสาทและบริเวณโดยรอบถูกทำลายไปหมดด้วยระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เหลือเพียงซากหินและกำแพง แต่บริเวณนี้ยังคงเป็นจุดชมวิวเมืองเซนไดแบบพาโนราม่าได้อย่างสวยงาม ประวัติศาสตร์ระบุว่าปราสาทนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันเมือง เมื่อปี 1600 โดยท่านดาเตะ สะมุเนะ ผู้ปกครองเมืองเซนไดคนแรก บริเวณนี้ยังมีรูปปั้นของท่านในท่าขี่ม้า ชูดาบ อย่างสง่างามเป็นอนุสาวรีย์ให้เราได้ชื่นชม พร้อมพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ และสวนสาธารณะให้เดินเล่น ถ้าใครมาตรงเทศกาลวัฒนธรรม ก็จะได้เห็นบรรยากาศสวย ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/cz3rcZKf5J4REXW67

013 Gokoku Shrine

ในบริเวณเดียวกันก็จะมี ศาลเจ้าโกโค (Gokoku Shrine) ศาลเจ้าแบบชินโตสีแดงสดที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เพื่ออุทิศให้แก่ผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองและเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องประเทศ แม้จะถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันศาลเจ้าหลังใหม่ได้รับการบูรณะให้คล้ายกับต้นแบบเดิมอย่างมาก โดยมี เสาโทริอิสีแดงสูงตระหง่าน เป็นจุดเด่นดึงสายตาตั้งแต่ทางเข้า บริเวณภายในประกอบด้วยพื้นที่สำหรับบูชา พื้นที่วางเครื่องราง Omamori ยอดนิยมสำหรับโชคลาภ ความปลอดภัย และสุขภาพ อีกทั้งยังมีทางเดินร่มรื่นและศาลาที่ตกแต่งด้วยไม้แกะสลักอย่างประณีต

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/NN3k8v5HFwNaZgmBA

เอ๊า!!! ดับกระหายกันหน่อย เพราะบนนี้ก็ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่คิด ใกล้ ๆ ศาลเจ้าจะมีร้านค้า ร้านขายของฝาก และร้านขนมให้เลือกเพียบ สำหรับของหวานประจำจังหวัด ซุนดะโมจิ (Zunda Mochi) โมจิถั่วแระบดละเอียดที่มีเฉพาะเซนได ซุนดะผสมกับเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ก่อนนำไปประกอบเป็นขนมชนิดต่าง ๆ ทั้งโมจิ โรลเค้ก พุดดิ้ง เต้าหู้ แพนเค้ก หรือแม้แต่โซดา แต่ร้านที่เราขอแนะนำวันนี้เด็ดสุดคือ Zunda Shake สมูตตี้ถั่วแระเข้มข้น ที่เนื้อถั่วจะมีทั้งละเอียดและหยาบคละกัน กินคู่กับนมเข้มข้นรสหวาน ๆ สดชื่นสุด ๆ สำหรับใครที่ไม่ชอบหวานจัด สามารถสั่งหวานน้อยได้ แก้วเดียวก็อิ่มอร่อยจนถึงเที่ยงเลย

014 Osaki Hachimangu Shrine

ช็คอินต่อกับแลนด์มาร์คสายมู ‘Osaki Hachimangu Shrine’ ศาลเจ้าเก่าแก่นิกายชินโต ประจำตระกูลของท่านดาเตะ ศาลเจ้าที่มีสีเข้มดูน่าเกรงขาม ฉลุลวดลายสวยงาม พร้อมปิดทอง และสีสันสะดุดตาหลังนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี 1609 และถูกเผาทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นกัน และถูกสร้างใหม่ในปี 1979 แต่ด้วยความสวยงามของไม้สลัก และมีสิ่งของโบราณล้ำค่าต่อประวัติศาสตร์อยู่ ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสมบัติของชาติที่ทางการญี่ปุ่นได้ขึ้นทะเบียนเอาไว้ด้วย ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเพื่อบูชาเทพฮะจิมัง (เทพแห่งสงครามของชินโต) ผู้พิทักษ์ประจำเมืองที่ดูแลเมืองเซนได และในวันที่ 14 มกราคมของทุกปี จะมีเทศกาลเดินพาเพรดเรียกว่า “เทศกาลมัทสึทาคิ (ดงโตะไซ)” จัดเพื่ออวยพรแก่ผู้คน ให้มีสุขภาพแข็งแรงและธุรกิจเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ ถ้าใครอยากมาร่วมงานก็อย่าลืมเช็ควันกันดี ๆ จองที่พักกันเนิ่น ๆ นะ เพราะเราว่าคนต้องเยอะแน่ ๆ เลย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/H5Y5S5XqD3gS1qgx7

015 Taiyaki Taikichi

ขนมปลาไทยากิ เมนูสุดโปรดที่หากินง่ายที่สุดในประเทศญี่ปุ่น แต่หาร้านอร่อยยากเกินบรรยาย เพราะร้านทั่วไปก็จะใช้ไส้สำเร็จรูป ไม่มีกิมมิกอะไรพิเศษ แต่ไม่ใช่กับร้านนี้ ‘Taiyaki Taikichi’ เพราะเค้าการันตีความอร่อยด้วยการเปิดขายถึงสามสาขา ถือเป็นร้านดังที่มีคนต่อคิวซื้ออยู่ตลอดเวลา เราชอบตั้งแต่ตัวแป้งไทยากิที่ข้างนอกดูเหมือนแป้งธรรมดา แต่ข้างในนั้นจะมีความใส ๆ หนืด ๆ นิด ๆ เหมือนผสมแป้งโมจิเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นประเภทแป้งที่เราชอบมากที่สุด พอได้กินกับไส้ร้อน ๆ ข้น ๆ แล้วมันอร่อยมาก เท็กเจอร์หนึบ ๆ หวานเล็กน้อยของแป้งมันชูรสของไส้ออกมาได้อย่างดี ซึ่งไส้ก็มีให้เลือกทั้งคาวและหวาน เราลองกินคัสตาร์ด คืออร่อยตามคาดมาก ๆ มันหวานละมุนนุ่มลิ้นไปหมด แต่ถ้าอยากได้แปลกหน่อย เขาก็มีไส้ซุนดะ ไส้โมจิถั่วแระของดีประจำจังหวัด หรือไส้แกงกะหรี่ลิ้นวัว ก็เป็นของดังประจำร้านเหมือนกัน

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Y6wiv6ddzz9892JY9

016 Northfields Sendai

พักเบรควันด้วยกาแฟดี ๆ ที่ ‘Northfields Sendai’ คาเฟ่ยอดนิยมใจกลางเมืองเซนไดที่โดดเด่นด้วยคอนเซปต์ “กาแฟดีในบรรยากาศสบาย ๆ” ร้านตกแต่งสไตล์มินิมอลแต่มีรายละเอียดอบอุ่น ทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้ โต๊ะ-เก้าอี้เรียบง่าย และหน้าต่างบานใหญ่รับแสงธรรมชาติ ทำให้บรรยากาศโปร่งโล่งและผ่อนคลาย มีความเป็นมิตรทั้งกับคนท้องถิ่นที่มานั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือสายท่องเที่ยวที่แวะมาฮอปคาเฟ่ เมนูเครื่องดื่มของที่นี่เน้นกาแฟคุณภาพสูง ทั้งเอสเพรสโซ่ ลาเต้ คาปูชิโน่ พร้อมเมนูพิเศษประจำฤดูกาล ส่วนขนมมีเค้ก เบเกอรี และขนมหวานให้เลือกหลากหลาย เช่น ช็อกโกแลตเค้ก ชีสเค้ก และมัฟฟิน เราลองเป็นแครอทเค้กกับลาเต้ร้อน ทำให้ทุกแก้วและทุกคำขนมเติมเต็มวันสบาย ๆ ได้อย่างสมบูรณ์

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/8RSGPkQfD4bzAQsy7

017 Murakamiya Mochiten

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าขนมขึ้นชื่ออีกอย่างของเมืองเซนไดนั้นเรียกว่า “ซุนดะ โมจิ” แค่ฟังชื่อก็ทำหน้างงกันแล้วละสิ เพราะคงคุ้นหูกันแค่โมจิสินะ ซุนดะ คือการนำถั่วแระมาบดละเอียด ผสมกับน้ำตาล แป้งชนิดพิเศษของท้องถิ่น และเกลือ นวดให้เข้ากันจนเป็นก้อน ซึ่งตัวซุนดะนี้ชาวบ้านนิยมเอามาประกอบเป็นไส้ขนม ไส้โมจิ น้ำปั่น ฯลฯ แต่ร้านที่ขึ้นชื่อก็มีไม่กี่ร้านเท่านั้นแหละ ซึ่ง Murakamiya Mochiten ที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ก็เป็นร้านออริจินัลที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1877 เน้นการให้รสชาติแบบ Traditional ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรสชาติเดิมเลย แรกเริ่มรสชาติเป็นยังไง ก็ยังขายอย่างนั้น ภายในร้านมีที่นั่งประมาณ 10 ที่ บรรยากาศเรียบง่ายและอบอุ่น

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JMGdk52yWpARaiG68

โดยเมนูตัวชูโรงของร้านเขาคือ 3 Colour Mochi โมจิสามสีที่ทำจากซุนดะ งาดำ และวอลนัท แต่ละชิ้นมีรสชาติที่แตกต่างกัน โดยซุนดะ โมจิ จะมีรสชาติกลมกล่อมและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ กัดไปทีเดียวรู้สึกได้ถึงความสดใหม่ของวัตถุดิบ รับรู้ว่าขนมทุกชิ้นนั้นทำขึ้นใหม่ทุกวัน ซึ่งก็สร้างความแรร์ ให้ร้านนี้ยิ่งขึ้น ถ้ามาไม่ทัน ของหมดก็คือปิดร้านเลยนะจ๊ะ ไม่อยากพลาดต้องมาไว ๆ กันหน่อยละ

018 Clis Road

ได้เวลาปล่อยพลังช้อปปิ้งให้เต็มที่กับ Clis Road’ ถนนช้อปปิ้งสายหลักของเมืองเซนได ยาวกว่า 700 เมตร เชื่อมระหว่างสถานี Sendai ไปจนถึงย่านชุมชนเก่า เดินไปแต่ละก้าวเหมือนหลงเข้าไปในโลกของสินค้าและสีสัน ทั้งแฟชั่นเสื้อผ้าแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ดังระดับญี่ปุ่น ร้านรองเท้า เครื่องสำอาง ร้านขายยา ตู้คีบตุ๊กตาและคาชาปองสุดน่ารัก คาเฟ่สวย ๆ และร้านฟาสต์ฟู้ดให้เติมพลังระหว่างช้อป ใครเหลือโควต้าน้ำหนักกระเป๋าเท่าไหร่ก็ช้อปสะบัดไปเลย! เดินเพลิน ๆ จะเห็นป้ายโบราณและสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสมัยใหม่และเก่า ทำให้ถนนนี้ไม่ใช่แค่แหล่งช้อปปิ้ง แต่ยังเป็นจุดเดินเล่นชมบรรยากาศเมืองเซนไดที่คึกคักและมีชีวิตชีวาแบบสุด ๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/TwowEFW5hTcSJBp59

019 Umami Tasuke Gyutan

แอ๊.. เกือบลืม มาเซนไดถ้าไม่ได้กินลิ้นวัวย่างคราใดใจแทบขาดเลยนะ เพราะที่นี่เขาเป็นเลิศทางด้านนี้โดยเฉพาะ ค่ำคืนสุดท้ายนี้เราขอจบมื้อแบบฟิน ๆ ที่ ‘Umami Tasuke Gyutan’ ร้านปิ้งย่างเล็ก ๆ มีที่นั่งไม่กี่โต๊ะ มีบาร์นั่งอีกนิดหน่อย ล้อมรอบเตาหันหน้าหาพ่อครัว แบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น เมื่อนั่งแล้วเราจะได้เห็นกรรมวิธีการย่างลิ้นวัวอย่างบรรจง เห็นความสุกนอกนุ่มใน ฉ่ำ ๆ กำลังดี แค่นั่งมองก็กลืนน้ำลายกันดัง อึก! แล้ว เมื่ออาหารมาเสิร์ฟเราก็สังเกตว่าเป็นการเสิร์ฟที่ออริจินอลแท้ ๆ เซตลิ้นวัวย่างนี้ประกอบด้วย ลิ้นวัวแน่น ๆ ชิ้นโต 5 – 6 ชิ้น ผัดดอง ซุปเนื้อ และข้าวญี่ปุ่น ง่าย ๆ แต่อร่อยเวอร์มาก เมื่อเรากัดเนื้อลงไปก็พบกับความจุ้ยซี่ น้ำหวาน ๆ จากเนื้อออกมาเล็กน้อย นิ่ม กรุบ ไม่มีคำว่าเหนียวเลย ซดกับซุปเนื้อสูตรพิเศษของทางร้านก็ยิ่งฟิน มันคือสวรรค์ที่กลั้วอยู่ในปากจริง ๆ กินไปนั่งมองพ่อครัวย่างไปก็ยิ่งอิน มันรู้สึกสด ๆ เรียล ๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/KwFLLi8y7xU2QW469

Day 5 : Miyagi Prefecture – Sendai Airport (SDJ)

020 Sendai Asaichi Morning Market

ยอมตื่นเช้าวันสุดท้ายสักหน่อย เพื่อไปดื่มด่ำบรรยากาศตลาดเช้า Sendai Asaichi Morning Market ส่งท้ายก่อนยิงยาวไปสนามบิน ความจริงตลาดนี้เปิดตั้งแต่เช้าจนไปถึงบ่ายแก่ ๆ ร้านเปิดแต่ละร้านไม่เหมือนกัน ที่นี่เป็นถนนเส้นเล็ก ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยกว่า 70 ร้านค้า/แผง ได้ฉายาว่าเป็น “ครัวของเซนได” เพราะอยากได้ของสด ของดิบ ผัก ผลไม้ อาหารสำเร็จ ฯลฯ ตลาดนี้มีให้เลือกหมด ตลาดเริ่มต้นขึ้นในลักษณะ open-air หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และกลายมาเป็นตลาดอย่างเป็นทางการในปี 1948 ปัจจุบันนอกจากของสดยังมีร้านค้าแผงลอยและ street food ให้เราเลือกชิมกันเพลินตลอดทาง เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นเช้าและส่งท้ายทริปที่อิ่มหนำจริง ๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/73aDiNsbg8mBLNHi6

021 Saito Croquettes

ส่วนร้านที่เราจะแนะนำ เป็นร้านเด่นร้านดัง ณ ตลาดเช้าแห่งนี้ คือ ‘Saito Croquettes’ ตั้งอยู่ตรงกลางตลาดเลย จุดเด่นคือมีคนพื้นเมืองและต่างชาติ รอต่อแถวซื้อยาวเป็นหางว่าว ร้านนี้จะขายของทอดนานาชนิด เมนูที่เราลองคือมัดบดชุบแป้งทอด เป็นเมนูนัมเบอร์วันของเขา ซึ่งเกร็ดขนมปังของร้านนี้กรอบแบบพอดีไม่บาดปาก ไม่อมน้ำมัน และไม่มีกลิ่นหืน ยิ่งทำสดใหม่ ๆ นะ อร่อยแบบบินได้ไปเลยจ้า ความวาไรตี้ของไส้ไม่ได้มีแค่แบบธรรมดา ๆ นะ เพราะนอกจากเนื้อ แฮม ชีส กุ้ง แล้วยังมีไส้ซุนดะด้วย เชื่อแล้ว ว่าเมืองนี้เขารักถั่วแระบดจริง ๆ ช่วงราคาจะอยู่ที่ 70 – 250 เยน ถือเป็นของกินเล่นที่ราคาน่ารักมาก ๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/arjxTCtpDQsyUeuc6

นี่ถือเป็นอีกครั้งในรอบหลายปี ที่ไทยเราจะมีบินตรงไปลงเซนได ยิ่งมาในช่วงที่เมืองถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ บอกเลยว่าความงดงามยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือชาวญี่ปุ่นเขาดูแลรักษาทุกสถานที่ได้ดีมาก ๆ ทั้งความสะดวกด้านภาษา ชอยส์ในการเดินทางที่มากขึ้น ร้านรวงใหม่ ๆ ที่รอเราไปสัมผัส นี่สินะที่เรียกว่าจบทริปแบบจำไม่รู้ลืม ทุกอย่างชัดเจนกว่าภาพถ่าย ร่างกายยังคงรู้สึกได้ถึงความพิเศษเหล่านั้น ต้องขอบคุณทุกความสวยงามที่ญี่ปุ่นมอบให้เรา รูทบินตรงสุดจึ้งที่ ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ จัดเสิร์ฟ ทีนี้การเข้าถึง Tohoku ก็เป็นอะไรที่สะดวก ไม่ลังเลที่จะตัดสินใจ เพราะไม่ใช่แค่ 2 จังหวัดในภูมิภาคนี้ที่เรานำมาบอกเล่าเท่านั้น แต่ Akita, Fukushima, Aomori รวมถึง Iwate ก็พร้อมเปิดประสบการณ์ญี่ปุ่นมุมใหม่ในอ้อมกอดของธรรมชาติอันสงบและชวนตกหลุมรัก