ทุกครั้งที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งสัปดาห์ ทั้งเดือน หรือทั้งปี ลองเอี้ยวตัวไปทางซ้ายก็ไม่ยังหาย บิดเอวไปทางขวาก็ยังไม่ดีขึ้น เราเป็นอีกคนหนึ่งที่มักจะมองหาธรรมชาติให้ช่วยเยียวยาทั้งกายและใจ แต่การจะไปพักผ่อนหย่อนใจด้วยเวลาอันสั้นแต่เต็มไปด้วยความสุขนั้น การเลือกเส้นทางก็สำคัญอยู่ไม่น้อย บางที่สวยแต่เดินทางไกลจากมีความสุขก็อาจจะเหนื่อยกว่าเดิม หรือบางที่ใกล้แต่ไปบ่อยจนจำทางได้พอไปซ้ำก็อาจไม่มีอะไรตื่นเต้น
วันนี้เราขอหยิบ Route น้องใหม่ “อุทัยธานี” จังหวัดเล็กๆ ที่ไม่ได้มีที่เที่ยวยอดฮิตติดอันดับต้นๆ ของประเทศ บางคนมองเป็นทางผ่าน บางคนอาจลืมไปด้วยซ้ำว่ามีจังหวัดนี้ในประเทศของเรา แต่เชื่อไหมว่าหลังจากที่ได้ลองมาสัมผัสอุทัยธานีเรากลับพบว่าที่นี่นอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยสวยแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ วัฒนธรรมอันน่าหลงใหล ที่ผสานกับความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นของชาวเมืองอุทัยได้อย่างลงตัว และด้วยเสน่ห์ต่างต่างที่เรากล่าวมาอุทัยธานีจึงกลายเป็นหนึ่งจังหวัดของไทยในดวงใจเราไปเรียบร้อยแล้ว ยังไงถ้ามีโอกาสลองแวะไปเยือนดีสักครั้งนะคุณผู้ชม !!!!!
สำหรับหนุ่มสาวที่ทำงานหัวหมุนทั้งวันในออฟฟิต จนพอถึงเสาร์อาทิตย์ก็หมดแรงลุกไปสตาร์ทรถออกไปเที่ยว หรือพวกที่ชอบเดินทางท่องโลกผจญภัยไปทุกที่อย่างเราเราก็ตาม อย่าลืมใส่ใจสุขภาพด้วยนะ ยังไงสุขภาพดีชีวิตก็ดีตาม อาหารเสริมก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีซึ่งถ้าให้แนะนำเราก็ขอหยิบยกอาหารเสริมที่ถือว่าเป็นตัวช่วยหลักของเรานั่นก็คือ กระปุกทอง วิตามินบีรวมที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุจำเป็น ตัวนี้เป็นตัวช่วยสำหรับคนที่ขาดวิตามินบี ซี และแร่ธาตุแมกนีเซียม สังกะสี อีกทั้งยังช่วยบำรุงระบบประสาท และช่วยลดความอ่อนเพลียได้อีกด้วย ส่วนอีกตัวก็จะเป็น เจ้ากระปุกสีฟ้า ที่มากับความดีเด่นไม่แพ้ตัวแรกเลย มีลูทีนที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ และบำรุงสายตา ทีนี้เวลาทำงานหน้าคอมแล้วปวดตา เปลี่ยนจากขยี้ตาแล้วเดินไปหยิบมากินสักเม็ดดูสิ
001 หุบป่าตาด
หลังจากกินอาหารเสริมแพคคู่ดูโอ้ไปแล้ว คราวนี้ก็มีแรงออกเดินทางในวันหยุดสักที สำหรับโลเคชั่นแรกในจังหวัดอุทัย เราขอพาทุกคนย้อนเวลานั่งทามแมชชีนกลับไปสู่ยุคจูราสิกพาร์ค ไปตะลุยป่าดึกดำบรรพ์ ตามรอยเจ้าแม่นาคีกัน หุบป่าตาดเป็นหนึ่งใน Unseen เมืองไทยที่เราจะพาทุกคนไป see เดินทะลุมิติพร้อมพร้อมกับเรา ที่ตั้งของหุบป่าตาดจะอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน อำเภอลานสัก การเดินทางจะออกนอกตัวเมืองมาสักหน่อยประมาณ 30 กิโลเมตร ถูกค้นพบจากพระครูท่านนหนึ่งที่ปีนลงไปในถ้ำแล้วพบกับต้นตาดจำนวนมาก ที่นี่มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว จึงมีระบบนิเวศแบบปิด ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยให้เราเดินชม บางช่วงก็อาจจะเจอค้างคาวอยู่ในถ้ำด้วย รีบเดินให้ดีระวังฉี่ค้างคาวหยดใส่หัวด้วยละแกร
หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมลงชื่อเข้าชมเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะให้ไฟฉายกับเรา เพื่อไว้เป็นแสงนำทางในช่วงเดินถ้ำ ใครไม่อยากถือให้เกะกะก็ใช้ไฟฉายจากมือถือเราได้เหมือนกัน หรือว่าใครลืมมือถือไว้ในรถ วิธีง่ายง่ายเลย แค่ไปยืนอยู่ปากถ้ำ หลับตาสักแป๊บแล้วลืมตาขึ้น คราวนี้แกรก็พอมองเห็นในที่มืดได้แล้ว ระยะทางช่วงที่มืดนั้นไม่ยาวมาก เดินแปบเดียวก็ลอดอุโมงค์เหมือนข้ามทะลุมิติแห่งกาลเวลามาอีกฝั่ง
ต้นตาดที่เราเห็นเป็นต้นไม้โบราณสายพันธุ์เดียวกับต้นปาล์มนั่นแหละ จริงจริงก็ไม่ได้มีแค่ต้นตาดนะ แต่ยังต้นไม้หายากชนิดอื่นอย่างพวก ยมหิน ต้นกระพง และต้นไทรอีกด้วย หากแกรเป็นพวกเจ้าหนูจำไมอยากรู้ข้อมูลละเอียดยิบของต้นไม้แต่ละต้นก็สามารถอ่านได้ตามป้ายตลอดทางเลย เดินไปอ่านไปเป็นเหมือนเส้นทางศึกษาพันธุ์ไม้ที่แท้ทรู
ไฮไลท์ของที่นี่นอกจากต้นตาดที่หาดูได้ยากเหมือนสาวงามกลางป่าลึกและพันธุ์ไม้แปลกแปลกแล้ว ก็มีสัตว์ประหลาดอย่างกิ้งกือสีชมพู สัตว์หายากของโลกที่ในไทยเจอได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้นด้วยเราพยายามหาทุกซอกทุกมุมเพราะอยากเซย์ฮายเจ้าตัวนี้สักหน่อย แต่ไม่มีแม้วี่แววของมันเลย จึงไปถามเจ้าหน้าที่ เค้าก็เล่าว่ามันมักจะออกมาช่วงหน้าฝนเท่านั้น หน้าหนาวแบบนี้มันก็คงขดตัวซุกอยู่ในดินอุ่นอุ่นกับคู่ของมันนั่นเอง หึหึ แค่กิ้งกือยังมีคู่ เบ้ปากใส่และเดินเชิดกลับเลยดีกว่า ฮ่าฮ่า หุบป่าตาดจะเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-16.00 น.เท่านั้นนะเหวย แนะนำให้ไปช่วงกลางวันที่แดดส่องถึงจะแหล่มที่สุดดด
002 หมุดแผนที่โลก บนยอดเขาสะแกกรัง
นี่พวกแกรรู้หรือไม่! ว่าเมืองไทยเป็นหนึ่งในสามของโลกที่มีหมุดแผนที่โลกตั้งอยู่ และหนึ่งในสามที่ว่าก็อยู่ที่จังหวัดอุทัยธานีนี่แหละ อย่าเพิ่งขมวดคิ้วว่าอะไรคือหมุดแผนที่วะ? เราจะเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนเค้าใช้เจ้าหมุดนี้ในการรังวัดทำแผนที่ประเทศไทยเชื่อมกับหมุดเขากะเลียนเปอร์ ที่ประเทศอินเดีย สำหรับอ้างอิงเส้นลองติจูด ละติจูด แต่เดี๋ยวนี้เราก็คงไม่ต้องเดินเขาขึ้นมาดูหมุดแผนที่โลกของจริงอีกแล้วแกร ก็เรามีแผนที่ไฮเทคที่พกติดตัวได้ทุกที่ทุกเวลา อย่าง GPS ไว้คอยนำทางเวลาออกเดินทางไปไหน เรียกว่าพอยุคสมัยเปลี่ยนไป ยิ่งโลกหมุนไวไปเท่าไหร่ความสะดวกสบายก็เพิ่มมากขึ้นทวีคูณเท่านั้นเลย เราชอบความทันสมัยนะ แต่ก็ยังหลงใหลได้ปลื้มกับคลาสสิคของสถานที่ในสมัยก่อนอยู่เหมือนกัน
จริงจริงหมุดแผนที่โลกอยู่บนยอดเขาสะแกกรัง เราสามารถขับรถมาจอดที่ลานวัดได้เลย ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดให้เป็นภาระข้อเข่า พอจอดรถเสร็จก็เดินต่อจากวัดไปประมาณ 500 เมตรเท่านั้น ระยะทางถือว่าไม่ไกลและไม่ชันจนเกินไป พอเรียกเหงื่อแก้มระเรื่อด้วยเลือดฝาดเหมือนปัดแก้มมาเนียนเนียนได้อย่างดี 555 ส่วนข้างบนนอกจากจะมีหมุดแผนที่โลกไว้ถ่ายรูปกับความเก๋ไก๋แปลกตาแล้ว ก็ยังมีจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นวิวของจังหวัดอุทัยธานีได้อย่างกว้างขวาง ยิ่งวันไหนฟ้าเปิดมองออกไปไกลได้ลิบลิบเห็นจังหวัดข้างเคียงเลยทีเดียว ไม่อยากจะโม้เกินไป อยากให้แกรลองไปดูด้วยตาตัวเองสัดครั้งเถิด เรคคอมเม้นท์ว่า…พระอาทิตย์ตกอัสดงของที่นี่สวยงามและโรแม๊นนติคมาก นั่งดูได้เพลินเพลินจนนึกถึงวานิลลาสกาย อยากพาใครสักคนมานั่งดูด้วยกันซะตรงนี้เลย
003 บ้านสวนจันทิตา
บ้านไม้สุดฮิปที่ออกแบบมาอย่างเก๋ไก๋กลมกลืน เหมือนยืนกอดคอกับธรรมชาติ ที่นี่แหละจะเป็นที่พักกายพักใจของเราในคืนนี้ ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ Home มาบ้างจะต้องมีคุ้นตากับบ้านไม้สี่หลังกลางป่าเขียวเหมือนเราแน่นอน concept ของบ้านสวนเป็นที่พักลักษณะกึ่งโฮมสเตย์ มีจุดเริ่มต้นมาจากคุณลุงคุณป้าที่เกษียณจากงานราชการกลับมาอยู่บ้าน มาปลูกป่าปลูกต้นไม้ให้ที่ดินร่มรื่น นอกจากบรรยากาศที่เราเห็นแล้วหลงรักตั้งแต่แรกพบสบตาแล้ว ความคิดของลุงก็ทำให้เรารักที่นี่จนถอนตัวไม่ขึ้น ลุงบอกว่าตั้งใจจะให้ต้นไม้ทุกต้นเจริญเติบโตได้อย่างอิสระ ไม่ตัดไม่ถอนเพราะลุงปลูกมาเองกับมือทุกต้น เราก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่พอเรายืนมองรอบรอบบ้านแล้ว รู้สึกเหมือนต้นไม้ทุกต้นกำลังส่งยิ้มมาให้เป็นการต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยือน เป็นอย่างดี ฟีลลิ่งสเปเชี่ยลแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยบ่อยนะแกร
ห้องพักของบ้านสวนจันทิตา จะมีทั้งหมด 4 หลังเท่านั้น แต่ละหลังจะแทรกตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ และเล่นระดับความสูงที่ไม่เท่ากัน เพื่อความโปร่งสบายและระบายอากาศได้ดี ระเบียงไม้ที่เราเห็นจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ทุกหลัง แถมมีเก้าอี้นั่งให้เราเอนกายพักผ่อน หยิบหนังสือเล่มโปรดมานอนอ่านไปฟังเสียงนกร้องจิ๊บจิ๊บ เสียงใบไม้ปลิวตามแรงลมแค่นี้ก็ฟินในฟินจนไม่อยากลุกไปไหนเลยล่ะ
เปิดประตูเลื่อน ก้าวขาเข้ามาดูในส่วนของห้องพักด้านในบ้าง ห้องพักจะเหมือนกันทุกห้อง มีโซนเตียงที่ยกระดับขึ้นไป มีโซนโต๊ะญี่ปุ่นไว้อ่านหนังสือเล่มโปรด ทุกมุมทุกการตกแต่ง เรารับรู้ได้ว่ามีการใส่ใจรายละเอียดเล็กเล็กน้อยน้อยเป็นอย่างดี ฟีลลิ่งของห้องพักจะมีสไตล์แบบมินิมอลออกแนวญี่ปุ่น ตามคอนเซ็ปน้อยแต่มาก และที่เราชอบมากที่สุดคือหน้าต่างรอบห้องที่จะทำให้เราเห็นธรรมชาติได้แบบพาโนรามา ไม่ต้องกระดิกตัวไปจากเตียงเลย บางคืนที่หนาวหนาวปิดแอร์เปิดหน้าต่างนอนรับลมชิลล์ชิลล์ได้สบายคลายกังวลใดใด เรานั่งเอนกายซึมซับบรรยากาศตรงหน้าให้นานที่สุดก่อนดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป และพระจันทร์จะโผล่ขึ้นมา การได้มาพักที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจในการเดินทางมาอุทัยรอบนี้เลยล่ะ ว่าแล้วก็ฝันดีหมีรอบเตียงนะจ๊ะยูว
การมาพักผ่อนแบบนี้ ถ้าให้ดีขึ้นไปอีกอาหารเช้าก็ควรเลอค่าน่าจดจำเช่นกัน การได้กินอะไรอร่อยอร่อยก็ทำให้เช้านี้แตกต่างไปจากเช้าในเมืองกรุงอย่างมาก ที่บ้านสวนนี้เค้าจะเตรียมอาหารเช้าโดยที่คุณป้าจะไปซื้อของจากร้านดังในตลาดมาให้คนที่พักได้ลองชิม อย่างวันที่เราไปก็มีก๋วยจั๊บน้ำข้น ครบเครื่องเรื่องเครื่องใน ตบท้ายด้วยของหวานที่มีให้เลือกไม่น้อยหน้าโรงแรมหรูหรูเลย ไหนจะขนมปังสังขยาไส้ทะลักเยิ้มเยิ้ม หรือจะเป็นข้าวเหนียวหน้าปลาแห้ง น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็มี หลากหลายให้เราเลือกกินแล้วแต่ความพอใจของแต่ละคนเลย
ทุกวันหลังมื้อเช้าผ่านไป เราก็ไม่ลืมที่จะหยิบอาหารเสริมมากินตบท้ายด้วย มาเที่ยวต่างจังหวัดก็ใช่จะพกมาลำบากซะหน่อย แค่หย่อนใส่กระเป๋าลงไปไม่ทำให้สูญเสียพื้นที่ในกระเป๋ามากไปหรอกจริงมั๊ย ที่เราได้เกริ่นนำไปตั้งแต่ต้น เราจะกินคู่กันอย่างละเม็ด บำรุงทั้งระบบประสาทและสายตา แถมวันไหนที่เครียด ก็จะได้เจ้าขวดสีทอง ที่มีส่วนผสมของวิตามินบีรวมและแร่ธาตุที่จำเป็น นี่แหละที่ช่วยจะลดความเครียด แถมบำรุงระบบประสาทและสมองไปในตัว ส่วนตัว กระปุกสีฟ้า ลูทีนก็เหมาะกับคนที่ต้องใช้สายตาเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เฉพาะคนที่จ้องหน้าคอม ทำงานออฟฟิตเท่านั้น คนขับรถเดินทางไกลอย่างเราก็คู่ควรนะ เพราะเวลาเราขับรถก็ต้องเพ่งสายตาจับจ้องที่ถนนตลอดเวลา ทำให้บางทีจอประสาทตาอาจจะมีปัญหาได้ จนถ้าอายุมากขึ้นไปอีก ตาก็อาจจะถูกทำลายโดยแสง UV จนเกิดเป็นโรคต้อกระจกที่รุ่นใหญ่ใหญ่เค้ามักเป็นกัน เพราะงั้นถ้าเรารู้แบบนี้แล้วก็ควรป้องกันไว้แต่เนิ่นเนิ่นจะได้ไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งเงินในกระเป๋าด้วยนะ เก็บเงินไว้ท่องโลกดีกว่าเชื่อเรา!
ก่อนกลับก็อย่าลืมถ่ายรูปเช็คอิน โพสท่าฮิปฮิป แต่งตัวให้ดูคูล แล้วแชะภาพอัพลงโซเชียลไปเปลี่ยนโปรไฟล์ อวดเพื่อนที่ยังไม่ได้มาให้อิจฉาเล่นเล่นด้วยล่ะ
004 ปั่นจักรยาน รอบเกาะเทโพ
ถ้าเปรียบภูเก็ตเป็นเกาะสวรรค์ของสายบีชเลิฟเวอร์ เกาะเทโพก็เป็นเกาะสวรรค์ของนักปั่นเมืองอุทัยเช่นกัน หลังจากเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักสุดคูลเรียบร้อย ก็มาปั่นจักรยานช่วยลำไส้บีบตัวย่อยอาหารมื้อเช้าบ้างดีกว่า เมืองอุทัยนี้เป็นเมืองเล็กอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ดังนั้นการปั่นจักรยานจึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับการเดินรอบเมือง นอกจากจะช่วยลดโลกร้อนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยกระชับต้นขาให้เฟิร์มไร้เซลลูไลท์ไปในตัวอีกด้วย
เส้นทางปั่นจักรยานมีให้เราเลือกตั้งแต่ระยะสั้นแบบปั่นชิล ไปจนถึงระยะยาวแบบนักปั่นมืออาชีพ ถ้าใครตื่นเช้าหน่อยก็สามารถปั่นมาชมตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรังได้ แต่สำหรับเส้นทางที่เราเลือกปั่นนั้น ระยะทางรวมประมาณ 12 กิโลเมตร เริ่มจากข้ามสะพานปูนเล็กเล็กไปยังวัดโบสถ์ วัดสีขาวริมน้ำที่มีเอกลักษณ์น่าค้นหา แปลกมากแกร พอแค่ข้ามสะพานมายังฝั่งเกาะ ก็เหมือนเวลาในนาฬิกาของเราเดินช้าลง ทุกอย่างดูสโลวไลฟ์แบบแท้ทรู ไม่มีอะไรเร่งรีบไปกว่าขาทั้งสองข้างที่กำลังปั่นของเราอีกแล้ว ณ จุดนี้
จุดแรกที่เราจะผ่านคือวัดอุโบสถาราม หรือมีนามสั้นสั้นว่าวัดโบสถ์ เป็นเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรังมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเลยทีเดียว บรรยากาศภายในวัดเงียบสงบมาก เงียบขนาดที่ว่าลองหลับตาและเงี่ยหูฟังจะได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองเลยทีเดียว กิมมิคของวัดนี้ อยู่ที่พระพุทธรูปภายในโบสถ์ มีอยู่รูปนึงจะอมยิ้มให้เราอยู่ แต่เราไม่บอกหร่อกว่ารูปไหน ต้องลองไปสังเกตด้วยตาดูเองนะจ๊ะ
ปั่นต่อไปยังจุดหมายถัดไป สายตาสองข้างของเราเริ่มได้รับความเขียวมากขึ้นจากทุ่งนาบนเกาะเทโพ ช่วงเวลาการทำนาของคนบนเกาะจะสลับกัน มีทั้งนาปรังนาปีแล้วแต่ช่วงของฤดู ว่างเว้นจากการทำนา ชาวบ้านก็มักจะปลูกสวนผลไม้ และเลี้ยงปลาในกระชัง จนมีผลิตภัณฑ์โอทอป พวกของแปรรูปเยอะมาก เป็นตัวอย่างการกระจายรายได้ที่ดีในชุมชนจริงจริง ถ้าใครปั่นมานานเริ่มปวดก้นหรือเมื่อยน่องแนะนำให้หาที่นั่งใต้ต้นไม้สักต้น พักเหยียดขาเอามือนวดนวดหน่อยแล้วไปต่อกันเลย อย่าพักนานมากนะ เดี๋ยวเที่ยงแดดจะร้อนจัดบั่นถอนกำลังในการปั่นของเราซะหมด อุปสรรคในการปั่นของเรามีอยู่นิดหน่อย สำหรับคนที่ชื่นชอบน้องหมาก็คงไม่เป็นไร แต่ส่วนเรามันคนกลัวหมา เวลาปั่นผ่านแก๊งค์หมามาเฟียทีไรมีต้องกลั้นหายใจและรีบสับขาให้ไวทุกที เราเลยรู้สึกเหนื่อยกว่าคนอื่นก็ตอนปั่นหนีหมานี่แหละ ฮ่าฮ่า
บนเกาะแห่งนี้มีสะพานแขวนอยู่ด้วย ซึ่งจริงจริงแล้วเกาะเทโพ เป็นเกาะน้ำจืด ที่เมื่อก่อนเป็นแหลมยื่นออกออกมาคั่นระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรัง พอมีการขุดคลองเชื่อมจึงทำให้แหลมกลายเป็นเกาะ บางจุดบนเกาะจึงเกิดการกัดเซาะของแม่น้ำ ชาวบ้านจึงสร้างสะพานไว้คอยเชื่อมทางทั้งสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน เอาไว้ไปมาหาสู่ แลกปลาแลกไก่ แต่เรามองว่านอกจากจะเอาไว้ข้ามแล้ว สะพานแบบนี้ก็เป็นมุมฮิปฮิปไว้ถ่ายรูป นั่งแกว่งขาชมธรรมชาติได้เหมือนกัน
005 The Sun House Coffee
ใครว่าอุทัยธานีจะไม่มีความฮิปกันละ หลังจากที่เราขี่จักรยานลัดเลาะมาเรื่อยเรื่อยก็ดันมาเจอกับคาเฟ่เปิดใหม่ใจกลางเกาะเทโพ ตอนแรกก็กะจะแค่แวะพักให้หายเหนื่อยซักหน่อย แต่พอเดินสำรวจรอบรอบคาเฟ่แล้ว รู้สึกว่าที่นี่เป็นโลเคชั่นที่ดี เน้นการตกแต่งด้วยสีขาวและสีไม้ธรรมชาติ ให้อารมณ์เหมือนเป็นบ้านดินที่สุดแสนจะอบอุ่น ความพิเศษของที่นี่คือมีไร่มัลเบอรี่ให้เราเดินชมอีกด้วย แน่นอนว่าเค้าพรีเซ้นท์มัลเบอรี่ขนาดนี้ ก็ต้องมีสินค้าจากผลมัลเบอรี่ให้เราเลยชิม จะเป็นน้ำมัลเบอรี่สดร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ดี หรือจะไอติมเย็นเย็นไว้คลายร้อนก็ได้ จะอันไหนก็ฟินแถมไม่อ้วนเพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลเลยสักนิดเดียว
นอกจากเป็นคาเฟ่ฮิปฮิปที่ควรปักหมุดแล้ว ที่นี่ยังเปิดเป็นรีสอร์ทขนาดเล็ก ที่มีดีไซน์น่ารักไม่ซ้ำใครเหมือนได้ไอเดียการตกแต่งจากสไตลลิสต์ชื่อดังเลยทีเดียว บ้านพักก็มีหลากหลายแบบมาก ไม่ว่าจะเป็นคู่ มาเป็นครอบครัว หรือฉายเดี่ยวก็มีให้เราเลือกหมด จะปิ้งบาร์บีคิวริมนาก็ยังได้ เพราะงั้นใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศมาพักบนเกาะเทโพนี้ก็จะได้ฟีลใกล้ชิดกับชาวบ้านและธรรมชาติไปในตัว
006 ตรอกโรงยา
ขี่จักรยานจนเกือบครบรอบ ท้องก็เริ่มร้อง สายตาก็เริ่มเหล่หาของกินแล้วละสิเรา ถึงเวลาขี่ออกจากเกาะเทโพกลับมาหาของกินมื้อกลางวันต่อกันที่ตรอกโรงยาดีกว่า แต่เดิมถนนเส้นนี้เคยเป็นโรงฝิ่นเก่า แต่ชาวบ้านได้ร่วมมือกันฟื้นฟูให้หลายเป็นถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านอาหารอร่อยราคาย่อมเยาว์ วันนี้เราขอพาไปชิมสามร้านดังที่เราคัดสรรมาเพื่อแกรโดยเฉพาะ มีทั้งของคาว ของหวาน ตบท้ายด้วยกาแฟโบราณขึ้นชื่อ ส่วนถนนคนเดินจะมีเฉพาะวันเสาร์เวลา 15.00-20.00 เท่านั้น แต่ถ้ามาวันอื่นก็สามารถมาชิมร้านอร่อยตามรอยเราได้เลย ส่วนมากจะเปิดทุกวัน แต่ถ้าให้ชัวร์โทรถามแต่ละร้านก่อนเดินทางไปก็จะดี ไม่งั้นอาจไปเสียเที่ยวก็เป็นได้ ว่าแล้วก็เลี้ยวเข้าร้านแรกเลยดีกว่า
• ร้านข้าวมันไก่โกตี๋
ร้านนี้เค้าการันตีความอร่อยมายาวนานถึง 45 ปีเลยนะแกร เป็นร้านข้าวมันไก่สูตรไหหลำ อยู่ปากซอยตรองโรงยาเลย ร้านหาง่ายมากมากให้สังเกตจากรถที่จอดหน้าร้าน หรือคนที่มายืนรอได้เลย คนเยอะมากจริง ยิ่งตอนเที่ยงนี่ไม่ต้องพูดถึง จะหาโต๊ะนั่งทีเหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรีตอนเด็กเด็กเลยทีเดียว ความอร่อยของร้านนี้ที่ได้รางวัลเชลล์ชวนชิมมาแล้ว จะอยู่ที่การคัดข้าวหอมมะลิพันธุ์ดีมาหุง คัดทุกเม็ดเหมือนหุงให้ครอบครัวกิน ส่วนไก่ก็เป็นไก่พันธุ์พื้นเมือง เลือกเฉพาะตัวอ้วนอ้วน เนื้อแน่นแน่นมาต้มตามแบบฉบับของร้าน ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ น้ำจิ้มของที่นี่ก็ไม่เหมือนร้านอื่น มีให้เลือกสองแบบ แบบปกติทั่วไป กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติแซ่บถึงใจ เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าข้าวมันไก้กินคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดจะอร่อยขนาดนี้
• ร้านป้าทอง กาแฟโบราณ
หนึ่งในร้านกาแฟระดับตำนานของเมืองอุทัย ถามใครก็ชี้นิ้วไปที่ร้านนี้ ตัวร้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากโกตี๋ข้าวมันไก่เลย เป็นตึกแถวห่างประมาณห้าห้องเท่านั้น เพราะงั้นกินข้าวมันไก่เสร็จก็เดินมาจิบกาแฟต่อได้สบายสบาย บรรยากาศภายในร้านจะออกแนวคลาสสิค มีเสน่ห์ เหมือนได้ย้อนกลับไปประมาณยุค 90 คุณลุงแถวนั้นจะต้องแวะมาจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์กันแทบทุกคน เราเห็นแล้วรู้สึกว่าเป็นภาพที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้ก็คงอยากลองเกิดมาในยุคนี้บ้าง ยุคที่ไม่จำเป็นต้องอินเตอร์เน็ตก็ใช้ชีวิตแบบมีความสุขได้
• ร้านกล้วยทอดโคนมะขาม ป้าทองหมด
เดินเลยจากสองร้านแรกที่แนะนำมาหน่อย หน้าวัดพิชัยปุรณาราม มีอีกหนึ่งร้านที่เรากินแล้วติดใจจนอดไม่ได้ที่จะบอกต่อ ป้าทองหมดแกได้ยึดพื้นที่ใต้ต้นมะขามอันร่มรื่นมาเปิดร้านกล้วยทอด ที่มีการการันตีความกรอบของกล้วยมานานกว่า 37 ปีไม่น้อยหน้าโกตี๋เลยก็ว่าได้ จุดเด่นของร้านป้าจะอยู่ที่ส่วนผสมของแป้งและกล้วย ทางร้านจะใช้แป้งผสมกับมะพร้าวขูดสดสดใหม่ใหม่ทุกวัน และเลือกกล้วยน้ำว้าที่สุกกับพอดี พอหย่อนลงกระทะปุ๊บก็ฟูกรอบจนลุกค้าติดใจกันเป็นแถว ป้ายังแนะนำอีกเมนูที่หากินได้ยาก เป็นกล้วยโบราณชุบกะทิทอด มีที่นี่ที่เดียวในอุทัยเท่านั้น คอนเฟิร์ม!
007 วัดท่าซุง
มีคนเคยบอกเราว่า ถ้ามาอุทัยแล้วไม่ได้แวะมาวัดนี้ถือว่ามาไม่ถึง เพราะงั้นก่อนกลับเราก็ต้องขอแวะสักการะหน่อย เข้าโหมดเป็นชาวพุทธที่ดีไหว้พระดูบ้าง วัดท่าซุงมีชื่อทางการว่า วัดจันทาราม ติดอันดับหนึ่งในวัดที่สวยที่สุดในประเทศไทย แน่นอนว่าถ้าติดอันดับขนาดนี้ความสวยงามภายในวัดต้องไม่สองรองใครแน่แน่ ไฮไลท์ความงามของที่นี่ต้องยกให้ “วิหารแก้ว 100 เมตร” ที่ตกแต่งด้วยโมเสกแก้วเล็กเล็กทั้งวิหาร เวลาแสงส่องลงมาจะดูแวววับจับตาสวยมาก นอกจากนี้ยังมีพระพุทธชินราชจำลอง และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ชาวไทยจากทั่วทุกทิศต่างอยากมากราบสักครั้งในชีวิต เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างของวัดแห่งนี้มาก ต้องบอกเลยว่าเป็นวัดที่วิจิตรงดงามตระการตามากที่สุดที่เราเคยเห็นมา
จบแล้วสำหรับ Route น้องใหม่อุทัยธานีที่เราพาไปลัดเลาะกันทั่วเมือง แทบจะทุกตรอกซอกซอย เริ่มสนใจอยากออกทริปกันบ้างแล้วใช่มั๊ยล่ะ? อย่าลืมดูแลสุขภาพเตรียมตัวให้ฟิตไว้แต่เนิ่นๆ เพราะวันแห่งการเดินทางมักมาถึงไวจนเราไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าสุขภาพพร้อมตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าทริปไหน เราก็พร้อมเอ็นจอยได้สุดๆ เต็มที่ทุกทริป! สุดท้ายอยากบอกว่าอุทัยธานีจะไม่ใช่ทางผ่านอีกต่อไปแล้วนะเว้ย! มาครั้งแรกก็ติดใจ จนต้องมีซ้ำรอบสองสามสี่เร็วเร็วนี้ชัวร์ชัวร์ …