WAKAYAMA : วางแผนเที่ยวแบบไหน สนุกได้ทุก Gen

สวัสดีญี่ปุ่นในรอบที่ล้านห้าของการเดินทาง จนหลายคนอาจจะคิดว่านี่คือเพจรีวิวประเทศญี่ปุ่นไปซะแล้ว แต่เปล่าหรอก เพราะใครก็ตามที่เคยไปญี่ปุ่นจะรู้เลยว่าประเทศนี้แรงดึงดูดมันช่างมากเหลือเกิน การเดินทางง่าย ใส่ใจผู้สูงอายุ เด็ก คนหนุ่ม คนสาว และสตรีมีครรภ์ ได้อย่างเท่าเทียม แถมอากาศก็ดี๊ดี เป็นประเทศที่เหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนที่ซู๊ดดด และรอบนี้เราจะไม่ไปญี่ปุ่นแบบธรรมดา เพราะเราจะมาพร้อมกับโจทย์ที่ว่า เราจะไปแบบครอบครัว ที่มีทั้งผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็ก เรียกว่าเป็นการเดินทางแบบครบทุกเจเนอเรชันเลยล่ะ โอ้โห หลังเดินทางคนเดียวบ้างเดินทางกับเพื่อนบ้างมาจนชิน การได้โจทย์นี้มานับว่าไม่ง่ายเลย หลังจากนั่งคิด นอนคิด เปิดเน็ตคิด ศึกษาหาความรู้เป็นดิบดี หวยก็มาออกที่ Wakayama เมืองที่เดินทางง่ายเพราะไม่ไกลจากสนามบิน KTX เมืองบนคาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เพียบพร้อมทั้งประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และอาหารการกิน ที่เราพิจารณาแล้วว่าสนุกฟินกันทุก Gen แน่นอน ป่ะ จับแขนพ่อแม่ จูงมือหลานออกไปเยี่ยมเยือนโลกอันแสนกว้างใหญ่กันเถอะ

ก็อย่างที่เม้าท์มอยหอยกาบไปให้ฟังว่าเมือง Wakayama เนี่ยเค้าครบเครื่อง สวย หวาน น่ารัก สง่า แซ่บลืม ประมาณดาวเหนือ ณ หมู่ดวงดาวทั้งปวง งดงามทั้งประวัติศาสตร์นับพันปีที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก กับดินแดนศักดิ์สิทธิที่สถิตแห่งเทพเจ้า ณ เทือกเขาคิอิ ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ชวนหลงใหล และอาหารทะเลที่สดใหม่จากคาบสมุทรคิอิคาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ และเราจะพาไปที่ไหน ไปลิ้มลองอะไร แล้วงานนี้จะสนุก อบอุ่น หรือปั่นป่วนแค่ไหน เชิญเลื่อนดูต่อไปได้เลยจ้า

Day 1

Tama the Cat Station Master

หนึ่งความน่ารักที่ดึงดูดให้คนหลายเพศหลายวัยมาที่เมืองวาคายามะก็คงหนีไม่พ้นการมานั่งรถไฟขบวนทามะ ซึ่งพอหลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยบ่ายนี้เราก็มาเริ่มกันที่ความน่ารักเอาใจเด็กน้อยวัยใส ซึ่งจุดเริ่มต้นของขบวนน่ารักนี้จะเริ่มที่สถานที JR Wakayama เส้นทางนี้จะไม่รวมอยู่ในพาสใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Kansai Thru Pass หรือ JR Pass หากต้องการนั่งรถไฟเพื่อท่องเที่ยวตามเส้นทางสาย Kishigawa Line แนะนำให้ซื้อ Wakayama one day pass ราคา 720 เยน โดยให้ไปที่ชานชาลาที่ 9 (อย่าเลยไป9เศษ3ส่วน4ล่ะ) ซึ่งพอเดินไปถึงป๊าบบบบก็จะเห็นการตกแต่งทางเดินเป็นเจ้าสามสีปุ๊บบบบบบ และจอบอกเวลาว่าเจ้าขบวนรถไฟทามะจะมาตอนกี่โมง กล่าวคือเส้นนี้มันไม่ได้มีแค่รถไฟขบวนแมว มันยังมีขบวนสตอเบอรี่ รถไฟขบวนธรรมดา

และแล้วเวลาที่เด็กน้อยรอคอยก็มาถึง รถไฟสีขาวนามว่าทามะก็จอดเทียบท่า ณ สถานี โอ้เหมียวเจ้า แค่รถไฟจอดเด็กยังไม่ทันยิ้ม ผู้ใหญ่และวัยรุ่นก็กรี้ดกร๊าดดี๊ด๊าดีใจจนเด็กงงจ้า ตกลงเอาใจใครจ้ะ ก็แหง๋ล่ะมันน่ารักเกินจะทานทน (ตอนนี้ให้เริ่มอ่านด้วยเสียงสองได้) ตรงนั้นก็ดี ตรงนี้ก็ใช่ ตรงนู้นเลียเท้า ตรงนี้บิดขี้เกียจ เบาะก็เจ้าเหมียว ผนังก็เจ้าสามสี ที่นั่งก็ตีนแมว กระจกก็นอนหงายท้อง เลยไปนิดก็มีตู้หนังสือเกี่ยวกับแมวอีก ขนาดคนเฉยๆ กับแมวยังยิ้มแก้มแทบแตก ส่วนคนชอบแมวน่ะเหรอ แทบจะเป็นลมไปเลย สนุกกันมากทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ วัยรุ่นก็อัพไอจีให้คนไลก์เพลินๆ ส่วนชาวสูงวัยก็มีสวัสดีวันจันทร์ไปถึงอาทิตย์แบบไม่ซ้ำลายได้อีกหลายเดือน เจ้าเด็กตัวเล็กก็มีเรื่องไปเล่าทำไม้ทำมืออวดเพื่อนอวดครูอีกยกใหญ่ ทาม๊ะ ทาม๊าาาาาา

30 นาทีจากต้นสายมาถึงปลายทางที่สถานี Kishi Station บอกเลยว่าเหมือนเวลาผ่านไปเร็วมาก และแบบจริงๆ อยากจะพิมพ์เมาท์เรื่อยๆ วนไปสักสามหน้า A4 ในความน่ารักของรถไฟขบวนนี้อ่ะ แต่กลัวโดนแจ้งสแปมเพจเลยต้องตั้งสติเข้าสู่หัวข้อเมาท์มอยต่อไป อะๆ แล้วความฟินที่นึกว่าจะหมดมันก็ยังไม่สิ้นสุดนะแก เพราะสถานีนี้ตัวอาคารเค้าทำให้มีรูปเหมือนเจ้านายสี่ขาผู้น่ารักของเรานั่นเอง แม้จะก้ำๆ กึ่งๆ ระหว่างความน่ารักกับความน่ากลัว แต่ความใส่ใจและความสงบไม่พลุกพล่านก็ทำให้เราได้หาจังหวะถ่ายรูปเพลินๆ ประหนึ่งปิดสถานีเที่ยวกันแบบง๊ายง่าย ไม่ต้องรอคนเยอะแยะให้มากความ

ด้านข้างสถานนีจะมีศาลทามะ แมวทามะ นายสถานีตัวแรกที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ด้วยความที่ผู้คนรักและผูกพันกับเจ้าทามะน้อยตัวนี้เป็นอย่างมาก พวกเค้าจึงสร้างศาลเจ้าเล็กๆ เพื่อระลึกถึงมันด้วย ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความใส่ใจในรายละเอียด ในเรื่องราวต่างๆ ของคนญี่ปุ่นและอินกับรถไฟสายที่เรานั่งมามากขึ้นกว่าเดิมอีกสองสามสี่ห้าเท่าเลยทีเดียว

ส่วนภายในสถานทีเค้าทำเป็นเหมือนมิวเซียมมีรูปเก่าของทามะในอิริยาบทต่างๆ ติดรอบๆ มีร้านกาแฟน่ารักๆ ที่เสิร์ฟพวกกาแฟและขนม ที่สำคัญเค้าจะทำให้เป็นรูปแมวหรือสัญลักษณ์ของแมวด้วย เช่น โกโก้ร้อนที่มีฟองนมปั๊มลายตีนแมวสุดน่ารัก และขนมสามสีอย่างในรูป แถมยังมีของที่ระลึก ของฝากกระจุกกระจิกให้เลือกอีกหลายอย่างเลยล่ะ

ส่วนไฮไลท์เด็ดที่ทำเอาเคลิ้มมมมมม คือการมาทักทายนายสถานีหรือเจ้าทามะนั่นเอง แม้ว่าเจ้าทามะจะเสียชีวิตไป แต่รถไฟลายแมวนี้ก็ยังเปิดให้บริการอยู่ และยังมีทามะรุ่นสองมาสืบทอดตำแหน่งนายสถานีเพื่อไม่ให้คนดูผิดหวังอีกด้วย มุมนี้คือมุมฮิต มุมติดหนึบของเด็กๆ เค้าเลยล่ะ เพราะเจ้าทามะน้อยตาแป๋ว ที่เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวนอน เดี๋ยวเลียหน้า เลียหู ช่างเป็นพฤติกรรมที่ชวนเอ็นดูจนทุกคนในครอบครัวยืนมองกันแบบลืมเวลาไปเลยล่ะ

Kishigawa Sightseeing Strawberry Picking Association

จากสถานทามะเราก็เดินตาม GPS ไปเรื่อยๆ ลมเย็นๆ อากาศกำลังดี ระหว่างทางพ่อแม่ก็เพลินชมชนบทของญี่ปุ่น บ้านเรือน ความสะอาด คุยกันนู้นนี่นั่น หัวข้อนั้นทีหัวข้อนี้ที ไล่ย้อนตั้งแต่เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนจนมาถึงโลก 4.0ในปัจจุบันกันแบบไม่มีเบื่อ เผลอแป๊บเดียวเราก็มาถึงศูนย์รวมของสมาคมชาวสวนเมือง Kishigawa เพื่อการท่องเที่ยว ที่นี่เค้าพัฒนาเป็นโซนท่องเที่ยวเชิงเกษตรกรรมให้ชมสวนผักและเก็บผลไม้ตามฤดูกาล ว่าง่ายๆ คือถ้ามาได้เด็ดกินผลไม้จากต้นทั้งปีไม่มีผิดหวังแน่นอนอยู่ที่ว่าจะมาช่วงไหน และด้วยความที่ชอบทานสตรอว์เบอร์รีกันทั้งครอบครัวเราจึงแพลนมาช่วงที่สตรอว์เบอร์รีเบิกบาน สำหรับค่าตั๋วผู้ใหญ่ราคา 1,500 เยน แต่ถ้ามีบัตร one day pass ก็จะได้ส่วนลดเพิ่มอีก 10% ดีงามมากเว่อร์

จ่ายเงินรับตั๋วเป็นอันเสร็จพิธี พนักงานก็จะชี้ให้เราเดินลัดตามทางในทุ่งนาไปยังแปลงสตรอว์เบอร์รีที่มีลักษณะเป็นโดมขาวๆ แบบโดมปลูกผักออแกนิค หรือพวกที่ปลูกเมล่อนในบ้านเรานั่นล่ะ ต่างกันตรงที่ในโดมขาวๆ นี้อากาศมันดี๊ดี ไม่มีเสียเหงื่อ ก่อนเข้าไปกินพนักงานก็จะชี้ว่าแปลงไหนสามารถเก็บทานได้บ้าง มีสาธิตวิธีการเด็ดที่ถูกต้องให้ดู พร้อมแจกแก้วกระดาษเอาไว้เก็บสตรอว์เบอร์รีใส่ แล้วนางก็บอกว่าราคานี้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์นะเหวย อยากจะกินเท่าไหร่ก็กินไป กินจนถึงเวลาปิดเลยก็ได้ แต่ห้ามอย่างเดียวคือห้ามห่อกลับ แต่เรามั่นใจว่าเราคุ้มสุดในสวน เพราะใครๆ ก็บอกว่าเราอะ เด็ดมากกกกกกกกก อิอิ

ดีใจยิ่งกว่าได้วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ก็คือการได้เดินเล่นพร้อมเด็ดสตรอว์เบอร์รีสดๆ ไร้สารพิษใส่ปากพร้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัวนี่ล่ะ จริงๆ สวรรค์มันคงอยู่ไม่ไกลหรอกมั้ง มันอาจจะอยู่ใกล้แค่ใครสักคนที่อยู่ข้างเราในวันดีๆ นี่ล่ะ คือมันก็เป็นไปตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากคนที่เคยมาทานจริงๆ สตรอว์เบอร์รีญี่ปุ่นฉ่ำมากกกกก ฉ่ำวาวยิ่งกว่าหน้าสาวเกาหลี ฉ่ำมงลงสุด ลูกสีแดงคือหวานทุกลูก ย้ำ ทุกลูก ไม่ว่าจะเด็ดจากกอไหน ส่วนถ้าอยากทานอ้มเปรี้ยวนิดๆ ก็เลือกลูกที่ยังไม่แดงมากสีส้มๆ น่ารักเหมือนตะวันตกดินนั่นล่ะ กินสดๆ ก็ฉ่ำจนน้ำตาแทบไหล สายรุ้งแทบพุ่งออกจากปาก ยิ่งเมื่อได้ลองจิ้มกับนมข้นก็อร่อยหวานหอมไปอีกแบบ จุดนี้มันคือสายรุ้งพุ่งกลางแจ้ง เหมือนคนกำลังมีรัก เหมือนคนหลงทางพบคนรู้จักกกกก หวาน อร่อยลืม

ระหว่างเพลินเพลินเก็บสตรอว์เบอร์รีใส่ปากเราก็หันมองคนในครอบครัว พ่อแม่ที่กระหนุงกระหนิงเก็บสตรอว์เบอร์รีทาน หลานวิ่งไปทางนู้นทีทางนี้ทีแบบอยากรู้อยากเห็น เสียงเด็กเจี้ยวจ้าวก็เพลินดีแฮะ บรรยากาศตรงหน้ามันชวนอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก และนอกครอบครัวเราสวนก็มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเรื่อยๆ รวมถึงคนญี่ปุ่นเองก็มา บางคนก็มาเป็นคู่รัก มาแบบแก๊งเพื่อน มากันเป็นครอบครัว สวนจึงคึกคักยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากทานเพลินๆ กันอยู่นานพื้นที่ในกระเพาะอาหารก็หมดลงพร้อมๆ กับหนึ่งวันที่หมดไป แม้วันนี้เราจะเที่ยวได้ไม่กี่ที่ แต่มันก็เป็นการเที่ยวที่น้อยแต่สุขใจมากจริงๆ ยิ่งเห็นพวกเค้าชอบยิ่งมีความสุขคนวางแพลนและคนพามาแบบเรายิ่งภูมิใจ

Day 2

Porto Europe

ด้วยความเงียบสงบไม่วุ่นวายของวาคายามะบวกกับความสุขที่ได้เห็นคนในครอบครัวสนุกสนานทำให้เรารู้สึกหลับเต็มอิ่มเช้านี้จึงตื่นขึ้นมาสดชื่นเหมือนยืนบนไหล่เขา พอทานมื้อเช้าที่โรงแรมกันแล้วเสร็จเราก็ไม่รอช้าพาคนในครอบครัวนั่งบัสไปยัง Porto Europe อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ไม่ควรพลาด สถานที่ๆ คนรักการถ่ายภาพต้องลั่นชัตเตอร์จนกล้องแทบค้างกับสถาปัตยกรรมของประเทศสไตล์ยุโรป เช่น อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส ที่ล้อมรอบด้วยทะเลสีฟ้า รังสรรค์สวนสนุกแห่งนี้ให้มีบรรยากาศชวนฝัน ต่างไปจากญี่ปุ่นที่มีความญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นอยู่เสมอ ดีงามบานตะเกียงขนาดนี้ เหมาะสมมากเว่อร์กับความครอบครัวทริป หลังจากเชยชมหน้าทางเข้าเรียบร้อยก็ได้เวลาบุกตะลุยด้านในแล้วจ้าาาาา

บรรยากาศก็ชวนว้าวกันทั้งบ้านแล้ว ยิ่งเดินเข้ามาเจอเครื่องเล่น เจอการแสดงต่างๆ ยิ่งว๊าว ว๊าว ว๊าวววววว ถึงขนาดว่าพ่อกับแม่ยังบอกว่าอยากเล่นเลยอะคิดดู แล้วเรากับหลานจะเหลืออะร๊ายยยยย และถึงแม้ว่าจะต้องจ่ายค่าเครื่องเล่นต่างๆ เพิ่มเติมแต่เมื่อมาแล้วทั้งที บวกกับบรรยากาศอันแสนดีงาม และโอกาสดีๆ ที่ได้มากันทั้งครอบครัวมันก็คุ้มที่จะจ่ายนะเออ

มันเป็นสถานที่ที่จะแยกกันไปก็ไม่มีใครเบื่อ หรือจะมัดรวมเล่นเครื่องเล่นด้วยกันให้หมดก็สุดมันส์ คือแบบถ้าเหนื่อย ถ้าไม่ไหวก็เดินเข้าร้านกาแฟเกร๋ๆ สั่งลาเต้แล้วถ่ายรูปให้หายเหนื่อยก็เพลิน หรือจะรอลูกรอหลานสไตล์สแกนดิเนเวียน ก็เดินเล่นชมนก ชมไม้ ตามร้านดอกไม้กินลมชมวิวก็เพลิน แต่ก็ย้ำอีกทีว่าถ้าไหวก็ไปด้วยกันให้หมดเลยจ้าาาาาา

ซึ่งจากที่สังเกตเราว่าคนอื่นๆ ก็คงคิดแบบเรานี่ล่ะ เพราะเห็นมองไปทางนั้นก็เด็กน้อย ทางนี้ก็วัยรุ่น ทางนู้นก็รุ่นใหญ่ มากันโหม๊ดดดด ต่างคนก็ต่างเพลิดเพลิน แม้จะหัวเราะกันคนละเรื่องในบางที เถียงกันบ้างในบางทางแต่ก็ลงท้ายด้วยเสียงหัวเราะนั่นล่ะคือความสุขใจที่สุด

Kuroshio Market

หลังจากใช้เวลาช่วงเช้ากับ Porto Europe พลังงานที่เราสั่งสมมาก็เริ่มร่อยหรอ จึงได้เวลาเบรกความสนุกแล้วไปหามื้อเที่ยงทานกันที่ Kuroshio Market เพราะมันอยู่ไม่ไกลกันเลย ที่นี่เป็นตลาดปลาแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งจำหน่ายอาหารทะเลสดๆ จากอ่าว Wakaura ที่ตั้งของตลาดปลาแห่งนี้นั่นเอง แปลง่ายๆ ว่าจับปลามาปุ๊บเค้าก็เอามาขึ้นที่นี่ปั๊บ คือถ้าจะหาสดกว่านี้คงต้องดำน้ำลงไปกินใต้ทะเลแล้วล่ะ

ถ้ามองเผินๆ ก็คือตลาดปลาที่ขายของทะเลสดๆ แต่ที่นี่คือญี่ปุ่น อะไรที่ธรรมดามันก็ต้องพิเศษเป็นธรรมดา ความพิเศษกว่าที่อื่นคือเค้าจะมีโชว์แล่ทูน่าแบบญี่ปุ่นสไตล์ และไม่ใช่ทูน่าธรรมดา มันคือทูน่าอะไรไม่รู้ รู้แต่มันตัวใหญ่ยักษ์มาก ใหญ่จนหลานดูตัวเล็กจิ๋วไปเลย โดยโชว์จะมีให้ชมวันละ 3 รอบ คือ 11.00, 12.30, 15.00 น. ซึ่งสามารถชมฟรี ดูฟรี ถ่ายรูปฟรี แต่ไม่กินฟรีนาจาาาาา

โอเค!! หลังจากดูเจ้าปลาทูน่ายักษ์สลายร่างกันอย่างตื่นเต้น ตื่นตา และตื่นใจ ก็ได้เวลาที่จะหาอะไรลงท้องเพิ่มพลังงานกันสักที ความตลาดสด ตลาดปลาก็ต้องคาวบ้างเล็กน้อยเป็นธรรมดา แต่เมื่อเทียบกับความสดที่ได้มามันก็ห๊อมมมม หอม ทั้งปลาดิบ ซูชิ เยอะมากเฟร่ออออ ที่สำคัญคือสดจริง สดจัง ปลาตาใส๊ กุ้งเด้ง ยิ่งเห็นยิ่งหิว เป็นสวรรค์ของคนชอบทานอาหารทะเลที่แท้ทรู

ที่นี่เค้ามีร้านอาหารเพราะฉะนั้นใครใคร่นั่งก็นั่ง ส่วนใครเดินช้อปจากหลายร้านเค้าก็มีที่นั่งไว้บริการทั้งด้านใน ด้านนอก ด้านซ้าย ด้านขวาให้เลือกกันได้ตามอัธยาศัยล้อมวงจ้วงปลาดิบ ปลาไม่ดิบกันได้ตามสบาย และแน่นอนว่ายืนดูเค้าฟรีๆ ทั้งที จะไม่ซื้อก็กลัวคนแร่จะเสียใจ จัดมาชิมเบาๆ สักกล่องสองกล่อง อื้อหื้อ เจ้าปลาทูน่า ใยเจ้าหวาน หอม อร่อยขนาดนี้ ข้าบอกได้เลยว่า ข้ารักเจ้า

Wakayama Castle

อิ่มท้องพุงแทบแตกกันทั้งบ้านก็ได้เวลากลิ้งกลับกันมาที่สวนสนุกอีกทีเพื่อเดินย่อยอีกนิดหน่อย พอบ่ายสามยามดีเราก็กลับเข้าเมืองมายังแลนด์มาร์คหลักนั่นก็คือ Wakayama Castle อดีตฐานทัพบัญชาการสำคัญของตระกูล Tokugawa ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1585 ตามคำสั่งของท่าน Toyotomi Hideyoshi แต่ได้ถูกทำลายลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในที่สุด ใครใคร่มาเที่ยวแบบ One Day Trip จาก Osaka บอกเลยว่าเดินทางมาได้ง่ายๆ จากสถานีรถไฟ JR Wakayama Station เพียงไม่กี่อึดใจก็ถึง

ปราสาทแห่งนี้แม้ไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นจนใจสั่น แต่ความสงบสวยงามก็ทำให้เราเพลิดเพลินได้ไม่น้อย ปราสาทสีขาวกลางเมืองที่ถูกซ่อมแล้วซ่อมอีก ยืนหยัดตระหง่านผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายแห่งนี้ ได้รับการดูแลอย่างดี และรวบรวมไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ผ่านซากปรักหักพัง และข้าวของเครื่องใช้ และรูปภาพต่างๆ เส้นทางวกวนละห้องที่ซับซ้อนก็ทำให้พวกเราได้มีโอกาสคุยกันทั้งเรื่องที่อยู่ตรงหน้า และเรื่องที่อยู่ในความฝันของแต่ละคน สถานที่ๆ อาจดูน่าเบื่อของใครหลายคน แต่เมื่อมากับคนที่เหมาะและเวลาที่ดี มันก็กลายเป็นที่แห่งความทรงจำได้ไม่ยากหรอกนะ คุ้มค่ากับค่าเข้า 400 เยนเสียจริงๆ

แน่นอนว่าทุกปราสาทจะต้องเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดในยุคโบราณ และมันส่งผ่านกลายมาเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบันเหมือนกัน อากาศเย็นชวนให้สดชื่นใจ จินตนาการแสนบรรเจิดทำให้เรานึกถึงช่วงที่ซากุระผลิบานหน้าปราสาทแห่งนี้ สีชมพูคงบานไสว ติดตาตรึงใจแก่ทุกคนที่พบเห็นแน่ๆ เพราะขนาดพวกเราที่ไม่ได้พบเห็นยังอวยกันขนาดนี้

ที่นี่เป็นเสมือนแหล่งพักผ่อนของชาวเมืองวาคายามะ เราจะเห็นคนมาปั่นจักรยาน คนแก่จูงหมา วัยรุ่นมาเดินเล่น และเด็กๆ มาศึกษาประวัติศาสตร์ เป็นความน่ารักและการปลูกฝังที่ดีแก่เยาวชน เป็นภาพวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่เยอะ ไม่ประดิษฐ์ ทำให้เรารู้สึกเข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นในอีกแง่มุมหนึ่ง

นอกจากตัวปราสาทที่มีความน่าสนใจแล้ว รอบๆ ก็ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Nishinomaru-Teien Garden หรือ Ohashiraka Bridge แนะนำเลยว่าควรแบ่งเวลาไว้สำหรับมาทำกิจกรรมชิลล์ๆ ที่นี่ เช่นการปั่นจักรยานรอบๆ หรือนั่งเล่นชมวิว ก็ถือเป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวที่ดีมากๆ และก็โชคดีตรงที่โรงแรมเรามีจักรยานให้ยืมปั่นด้วยงานนี้แฮปปี้ ฟรีๆ กันทั้งบ้าน จบวันกันแบบแฮฟปรี้ แฟมมิลี่เดย์ อิ่มกาย อิ่มใจ อิ่มท้อง และอิ่มสุขร่วมกัน …..

Day 3

Ide Shoten

หลับอย่างสงบ สลบสไลในความสุข สายวันนี้ก็ได้ทำการแพคของเก็บกระเป๋า กล่าวลาอาริงาโต๊ะ เช็คเอ้าท์ พาครอบครัวเดิน 5 นาทีจากสถานี JR Wakayama พร้อมโม้ให้ทุกคนฟังแบบฟุ้งๆ ว่ามือเช้านี้จะได้กินที่สุดของที่สุด ณ ร้านราเมนที่ได้รับการโหวตจากรายการโทรทัศน์ของญี่ปุ่น ให้เป็นราเมนที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นที่เราสรรหามาเพื่อทุกคน!!! โม้ยาวตั้งแต่ออกจากโรงแรม พอถึงหน้าร้านที่ตั้งอยู่ตรงสี่แยกที่ตัดกันระหว่างถนน Kokutai และ Sannen Saka-Dori ก็ได้กลิ่นหอมน้ำซุปเตะจมูกเป็นอย่างแรก ว่าแล้วก็น้ำยายไหย ร้านเป็นแบบเรียบง่าย ดูเหมือนบ้านคนญี่ปุ่นทั่วไป ข้างในมีที่นั่งอยู่นิดหน่อย แต่ก็ดูปลอดโปร่งดี ไม่รอช้ารีบคว้าเมนูที่อ่านไม่ออกแล้วจิ้มไปแบบมั่นใจ

เพราะร้านนี้เค้ามีอยู่เมนูเดียวจ้าาาา เพราะฉะนั้นจิ้มยังไงก็ไม่มีพลาด ยิ้มแอคไปได้อีกหลายวัน ส่วนที่ราคาต่างกันนั้น 700 เยน คือ ธรรมด๊า ธรรมดา แน่นอนว่าเราข้ามไป 800 เยน คือ เพิ่มเส้น หรือเพิ่มหมู ซึ่งก็ยังธรรมด๊า ธรรมดาไปสำหรับเรา สิ่งที่จะหยุดเราได้นั้นมีเพียงหนึ่งเดียวคือแบบ 900 เยน ที่เพิ่มทั้งเส้นและหมูชาชู บวกไข่ต้มอีก 50 เยน โดยระหว่างรอก็รองท้องด้วย ซูชิปลาซาบะ 150 เยน แค่เนี๊ยะ เบาๆ ง่ายๆ อิ่มท้องกำลังพอดี๊ ส่วนความอร่อยนั้นขอการันตีว่าสมตำแหน่งแล้วจ้าาาา

Ries Cafe’

หลังจากอิ่มราเมงก็พากันเดินทอดน่องชมเมืองเรื่อยๆ ให้ได้ใช้พลังงานจากไข่ต้มบ้าง จนไปป๊ะกับ Ries Cafe ร้านที่นำบ้านสีขาวสองชั้นมาทำเป็นร้านกาแฟ ดูมินิมอล ดูคูล มีความเรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ ข้างในมีความโปร่งสบาย สีสันสะอาดตา แซมความร่มรื่นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดนใจวัยรุ่นคูลๆ อย่างเรามากๆ แต่ก็ไม่ได้คูลหรือฮิปเตอร์จนพ่อแม่งง หลานเข้าไม่ถึง นับว่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่ลงตัวกับหมู่คณะที่น่ารักของพวกเรามากๆ

ที่นี่ขายทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นคาว หวาน หรือแม้แต่แอลกอฮอล์ เมนูอาหารก็จะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ซึ่งจุดนี้เราต้องขอโบกมือลา เพราะราเมงในท้องยังพองแน่นิ่งอยู่ในพุงอยู่เลย เพราะฉะนั้นพวกเราจึงหันมาโฟกัสกันที่กาแฟขมๆ และขนมหวานๆ พร้อมนั่งคุยกันแบบเข้มๆ ตามประสาคนไทยที่เมาท์เรื่องนั้นเรื่องนี้ ออกทะเลไปไกลจนนึกว่ามาเที่ยวเกาะ กว่าจะพากันวกกลับมาที่ร้านตรงหน้าได้ก็หมดน้ำไปหลายแก้ว

Kimiidera Temple

เมาท์ยาวยิ่งกว่ารถไฟชินคันเซนเจ้าคาแฟอีนในกาแฟก็เริ่มสูบฉีดทำให้เราตื่นตัวมีแรงพร้อมสำหรับแลนด์มาร์คต่อไปเพื่ออำลาตัวเมืองวาคายามะกันแบบผุดผ่อง จบกันแบบสวยๆ ด้วยการเข้าวัด แต่ด้วยความที่วาคายามะมีวัดให้เลือกเยอะเราจึงเลือกวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นทางผ่านของเราเพื่อไปอีกเมืองหนึ่งของวาคายามะ ซึ่งวัดที่ว่าก็คือวัดคิมิอิเดระ พอจ่ายค่าตั๋ว 300 เยนต่อคน ตรงหน้าเราคือบันไดหลายร้อยขั้นที่ค่อนข้างชัน แม้ว่าตอนแรกจะหวั่นใจอยู่หน่อยๆ ว่าพ่อกับแม่จะไหวรึเปล่า แต่เอาเข้าจริงพวกท่านก็ดูสนุกสนานกันดี เพราะตลอดทางจะมีร้านขายของกิน ของฝากอยู่ตลอด ทำให้เดินไปแวะดูอะไรเพลินๆ เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยก็เดินเล่นกันต่อแบบไม่เร่งรีบ

เดินขาสั่นอยู่ไม่นานเราก็ขึ้นมาถึงตัววัดคิมิอิเดระ วัดพุทธที่ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 770 หนึ่งในวัดของถนนแสวงบุญคันนอน เส้นทางแสวงบุญ เส้นทางศักดิ์สิทธิที่แต่ละปีมีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย

เมื่อพ่อกับแม่รู้ประวัติงานนี้ท่านสองคนยิ่งมีแรงเดินดูนู่นดูนี่ ตั้งใจขอพรกันใหญ่จนเราแอบแซวว่าขอหวยกะรวยแล้วหนีมาเที่ยวกันสองคนรึเปล่าเนี่ย แต่ก็ถูกตอบกลับมาว่าขอลูกสะใภ้คนเดียวก็พอแล้ว งานนี้ก็เท่ากับว่าแพ้การประลองไป ก็หัวใจไม่ใช่หัวหิน ที่จะมาเช็คอินแล้วรักกันได้ง่ายๆ นี่เนอะ

Cafe’ Zakka

หลังจากขอพรให้โลกสงบสุขและเดินลงมาอีกหลายร้อยขั้น ทั้งคาเฟอีนทั้งราเมงในท้องก็ถูกนำออกมาใช้จนเกลี้ยง เราจึงต้องเริ่มกวาดสายตาอีกรอบเพื่อหาอะไรเบาๆ มารองท้องสักหน่อย โดยในแถบนี้มีร้านขายอาหารแบบซื้อแล้วเดินกินอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เดินดินจนขาแทบลากเราเลยขอหาร้านอาหาร ร้านกาแฟให้ได้นั่งกันแบบสบายๆ ดีกว่า ซึ่งก็หาได้ไม่ยากเพราะร้านแถวนี้ก็มีเยอะพอสมควร เราลือกร้าน Cafe’ Zakka ร้านเล็กๆ ประตูสีเขียวหม่นๆ กับหน้าต่างน่ารักๆ สามบานโดนใจเราแบบเต็มๆ ไม่รอช้ารีบชวนทุกคนเปิดประตูหาที่นั่งเพิ่มพลังสักหน่อยดีกว่า

ความเรียบง่ายของหน้าร้านจางหายไป เมื่อเราเปิดมาพบผนังไม้ และเฟอร์นิเจอร์ที่ดูวินเทจ มันเป็นความง่ายที่ดูมีราคา ดูแกลม ดูชิคมาก เมนูเด่นของทางร้านก็จะเป็นกาแฟดริปที่ร้านเล็กๆ มีเมล็ดกาแฟให้เราเลือกมากกว่าจำนวนโต๊ะที่นั่งเสียอีก หลังจากเลือกเมล็ดกาแฟที่ชอบเราก็สั่งขนมปังพิซซ่า ที่เสริฟคู่กับสลัดผักสดมารองท้อง และนอกจากสไตล์ร้านที่ดูคลาสิคมากๆ แล้ว ลูกค้าร้านนี้ก็ดูคลาสิคไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์ของร้านทีเดียว เพราะเราเห็นลูกค้าสูงอายุแวะเวียนกันเข้ามาเยอะกว่าคาเฟ่อื่นๆ ที่เราเคยไปมาหลายที่ จนพ่อแอบแซวว่านี่เลือกจากความสวยของร้าน หรือเลือกจากอายุลูกค้าเอาใจพ่อกับแม่กันแน่ 555

จากร้านกาแฟเราก็นั่งรถไฟกันต่ออีกยาวๆ ยาวประมาณเกือบครึ่งวันได้ เพื่อเดินทางไปยัง Katsuura แต่มันก็เป็นการนั่งไม่น่าเบื่อเลย เพราะรถไฟวิ่งลัดเลาะริมทะเลสลับกับหมู่บ้าน เราจึงได้ชมชนชนบทของญี่ปุ่นกับแบบเต็มอิ่ม ทิวทัศน์สวยงามดูแปลกตา เราต่างคนต่างชี้มุมที่ตัวเองชอบให้คนอื่นๆ ในครอบครัวดู แม้เวลาจะนาน แต่เมื่อเป็นเวลาแห่งความสุขก็เสมือนว่ารถไฟขบวนนี้วิ่งเร็วกว่าเวลาจริงไปเยอะเลย ยิ่งช่วงเย็นที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูอมส้ม และสีทองก่อนจะลาลับไป เป็นภาพริมกระจกที่โรแมนติคและชวนฝันอย่างที่สุดสำหรับทุกคน

Day 4

เช้าวันสุดท้ายของทริปวาคายามะ เราลากกระเป๋าเพื่อไปฝากที่ JR Kii-Katsuura Station ก่อนจะเดินอีกสองสามก้าวไปยังสถานีรถบัสเพื่อซื้อตั๋ว one day pass สำหรับไปสามสถานที่เที่ยวหลักของวันนี้ พอซื้อตั๋วเสร็จเราก็ยังพอมีเวลาได้เดินเที่ยวชมย่านคิอิคาซึอูระ(Kii-Katsuura) หมู่บ้านบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรคิอิ ที่มีชื่อเสียงด้านอุตสาหกรรมการประมง และบ่อน้ำพุร้อนออนเซ็น จะว่าไปนี่มันคือดินแดนในฝันชัดๆ ที่ซึ่งอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ และธรรมาชาติยังเจริญงอกงาม บรรยากาศรอบข้างจึงมีทั้งป่าเขา ทะเล และร้านรวงต่างๆมากมาย โดยเฉพาะร้านอาหารทะเล มันเป็นความพอดีมากๆ ในความรู้สึกเรา ความสงบที่ครบครัน ต่างกับในเมืองใหญ่ๆ ที่ครบครันจนมากเกินและวุ่นวาย แม้จะมี 24 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่เราเชื่อว่าการอยู่ที่นี่เสมือนว่าเรามีเวลาเพิ่มมากขึ้น ไปได้ไกลมากขึ้นในเวลาเท่าเดิม กินได้ช้าลงในเวลาเท่าเดิม และอยู่กับคนที่รักได้มากขึ้นในเวลาเท่าเดิม

Daimon-zaka

เราขึ้นบัสไปลงยังสถานที Daimon – zaka  ที่นี่คือจุดเริ่มเดินของเส้นทางแสวงบุญ ไดมงซะกะ (Daimon zaka) เส้นทางเดินป่าของ Kumano Kodo มรดกโลกแห่งจังหวัดวาคายามะ เส้นทางบันไดหินกว่า 600 เมตร ที่มีต้นสนคู่ขนาดใหญ่อายุกว่า 800 ปี ยืนคอยต้อนรับด้วยท่าที่สงบอยู่ด้านหน้า

เส้นทางที่เหมือนย้อนเข้าสู่ญี่ปุ่นโบราณ ต้นสนที่ขึ้นขนาบข้างเรียงรายดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เส้นทางหินที่ยาวไกลแต่ดูช่างสงบร่มเย็น แม้ทางจะชันแต่พวกเราทุกคนก็สนุกที่จะเดินภายใต้ต้นสนเหล่านี้ เราปล่อยใจให้ไหลไปพร้อมๆ กับเข็มนาฬิกาที่ก้าวเดิน อากาศเย็นสดชื่น กลิ่นของดินและกลิ่นต้นสนเหมือนจะช่วยเพิ่มพลังชีวิตทุกชีวิตภายใต้ร่มเงาแห่งนี้ หากเหนื่อยก็พักบ้าง หรือเดินให้ช้าลงบ้าง ปลายทางไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะแค่ข้างทางก็ทำให้เรามีความสุขจนเกินบรรยายแล้ว

Kumanonachi Taisha Shrine

ไดมงซะกะ เส้นทางที่สามารถนำเรามุ่งสู่ศาลเจ้าคุมาโนะ นาจิ ไทฉะ (Kumano Nachi Taisha Shrine) จัดว่าเป็นการเริ่มต้นยกสองที่ไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะยังคงมีบันไดอีกหลายขั้นทอดยาวรอเราอยู่ แต่โชคก็ไม่ร้ายนัก เพราะก่อนเราจะเร่ิมเดินรอบสองเราจะเจอกับร้านค้ามากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านของฝากพวกเครื่องราง งานสลักไม้ ให้ได้ชมตลอดทาง เหนื่อยก็พัก หิวก็แวะแล้วค่อยรวบรวมแรงเดินต่อกันอีกยาวๆ

ศาลเจ้าคุมาโนะ นาจิ ไทฉะ เป็นหนึ่งในศาลเจ้าใหญ่ของคุมาโนะ ซันซัง ที่เป็นต้นกำเนิดของความเชื่อโบราณ ในการบูชาน้ำตกนาจิ ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ครึ่งทางของภูเขานาจิ เมื่อมองจากศาลเจ้าลงมาจะเห็นศาลเจ้าชินโตที่ลงรักสีแดงเรียงรายอยู่ และเมื่อมองเลยไปอีกหน่อยก็จะเห็นท้องทะเลอยู่หน้าศาลเจ้าอีกด้วย

ที่ใดมีศาลเจ้าที่นั่นมีคนทุกวัย เด็กๆ มาขอให้ฉลาดเฉลียว วัยรุ่นมาขอเรื่องการงานความรัก ผู้ใหญ่มาขอให้แข็งแรง เพราะความเชื่อคือสิ่งที่ยึดโยงและเหนี่ยวนำสังคม ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ความคิดที่ดีและการลงมือทำโดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นกำลังใจ ก็จะทำให้เราทั้งหลายไปถึงสิ่งที่ฝันได้ง่ายกว่าเดิม

Nachi Falls

จาก Kumanonachi Taisha Shrine จะมีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังยังน้ำตกนาจิ ซึ่งระหว่างทางเราจะเจอมุมที่เป็นไฮไลท์ คือน้ำตกอยู่เคียงคู่กับเจดีย์มันเป็นภาพโปรโมทของที่นี่ที่เห็นตามสถานีรถไฟไปจนถึงโบรชัวร์ของจังหวัดวาคายามะ มันเป็นมุมที่ปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าทั้งหมดเสมือนน้ำตกเข้ามาชำระภายในร่างกายและจิตใจเราเลยล่ะแก เข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่จึงเป็นเส้นทางของผู้แสวงบุญได้ เพราะที่นี่ทั้งท้าทาย ทั้งสงบและสวยงาม ความธรรมชาติ ร่มรื่น และสายน้ำที่เป็นต้นกำเนิดชีวิต ขนาดเราที่ไม่ได้มาแสวงบุญ ยังรู้สึกได้ถึงความสงบในจิตใจ

ดูน้ำตกเพลินก็ได้เวลาเดินต่อตามป้ายไต่ลงเขาไปเรื่อยๆ เพื่อไปยืนใกล้ชิดกับน้ำตก Nachi Falls ที่เราได้แต่ชะเง้อคอมองห่างๆ เมื่อกี้ละล่ะ โดยยิ่งใกล้น้ำตกก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความชุ่มชื้น ต้นไม้แถวๆ นี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเรา เพราะพวกมันทั้งหลายยืนหยัด สง่างาม แข็งแรง และขึ้นแบบหลากหลายแนบชิดกว่าเดิม แนวต้นสนยังคงบังแดดให้ร่มเงากับเราเช่นเดียวกับก้าวแรกที่เราเริ่มเดิน แม้ว่ามันจะเป็นป่าสนเหมือนเดิม แต่ธรรมชาติก็พิเศษตรงที่ไม่มีอะไรซ้ำกันเลย แม้จะคล้ายแต่ไม่เหมือน ความสวยงามของเปลือกไม้ ของนกน้อย และหินตามทางเดิน ก็ยังคงทำให้เราทุกคนตื่นเต้นได้เหมือนก้าวแรก เพิ่มเติมคือความเหนื่อย

และแล้วตอนนี้เราก็ได้มาเงยหน้ามอง Nachi Falls น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยมีความสูงถึง 133 เมตร และลึก 10 เมตร หนึ่งในสามของน้ำตกหลักในประเทศญี่ปุ่น และส่วนหนึ่งของ Sacred Site and Pilgrimage Routes in the Kii Mountain Range ซึ่งเป็นมรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก้ เราแอบมองคนรอบข้างทุกคนแหงนหน้ามองจนคอแทบเคล็ด น้ำตกสูงขนาดนี้ อยู่มานานกว่าอายุพวกเรารวมกันเสียอีก แต่มันก็ยังยืนหยัดได้อย่างงดงามสง่าผ่าเผย ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง น้ำตกก็ยังซื่อตรง ไหลลงหลั่งรินเพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังเลี้ยงดูต้นไม้ที่อยู่รอบข้าง ให้ได้เลี้ยงดูอีกหลายชีวิต ณ ผืนแผ่นดินนี้ ย่ิงมองเราก็ยิ่งนับถือธรรมชาติ ธรรมชาติอันแสนอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ เข้มแข็งแต่ไม่แข็งกระด้าง เราจะพยายามเอาอย่างธรรมชาติ จะอยู่อย่างเข้มแข็ง จะมั่นเพื่อให้ตัวเองได้เติบโต และไม่ลืมช่วยเหลือคนอื่นๆ

การเดินทางมันไม่ได้สำคัญที่ปลายทางอย่างเดียว คนที่เราไปด้วยก็สำคัญไม่แพ้กัน พ่อกับแม่บอกว่าทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราแล้วมันก็เริ่มใหม่ได้ แม้เราจะชอบกันคนละอย่าง หัวเราะกันคนละเรื่อง มีความคิดที่เหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง แต่ทุกคนมีจุดหมายเดียวกัน คือ การใช้เวลาดีๆ และมีความสุขไปด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา วันนี้พวกเราจึงเดินทางกลับ “บ้าน” พร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ และสัญญาว่าจะวางแผนทริปใหม่เร็วๆ นี้

” แม้ความต้องการของแต่ละ Gen จะแตกต่างกัน แต่เมื่อเราเตรียมทริปด้วยความใส่ใจ จะไปเที่ยวที่ไหนก็สนุกได้พร้อมหน้า “

เคียงข้างทุกเจเนอเรชัน : https://goo.gl/m6CoqV #ธนาคารยูโอบี #เคียงข้างทุกเจเนอเรชัน #UOB #RightByEveryGeneration