ถ้ามีโอกาสได้ไปจีน … จงไป แต่ถ้าไม่มีโอกาส … ก็จงสร้างโอกาสนั้นขึ้นมาให้ได้
เพราะจากการเดินทางไปจีนแบบถี่ๆ ของเราช่วงก่อนโควิดทำให้เรากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าจีนคือประเทศที่น่ามหัศจรรย์ จนเราเชื่อว่าถ้าที่อียิปต์มีพีระมิด อิตาลีมีหอเอนปิซ่า และอังกฤษมีสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้ว โลกเราก็มีจีนนี่แหล่ะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล ที่จะมอบความอิ่มเอม ความตื่นตะลึง ความชิคคูล และความสนุกสนานได้อย่างเต็มรูปแบบจริงๆ เพราะแดนมังกรเค้าไปได้สุดในทุกทางไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ธรรมชาติสุดอลังการ แหล่งท่องเที่ยวระดับมรดกโลก เทคโนโลยีอันทันสมัย รวมถึงความโมเดิร์นของเมือง และจีนรอบนี้เราจะพาทุกคนไปเยือน ฉงชิ่ง อีกหนึ่งเมืองที่จะช่วยยืนยันว่าสิ่งที่พิมพ์โม้มาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
อย่าจำแค่ภาพจีนที่อากงอาม่าในบ้านหรือข้างบ้านเล่าให้ฟัง แต่จงออกไปสัมผัสด้วยตัวแกเองแล้วจะรู้ว่ามันสวยงามแบบที่แกไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อนแน่นอน …
ฉงชิ่ง คือเมืองอุตสหากรรมเก่าแก่ที่มีแม่น้ำแยงซีเกียงแม่น้ำที่เป็นเสมือนหัวใจหลักของจีนไหลผ่าน ที่นี่จึงมีความเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ฉงชิ่งได้ครองตำแหน่งมหานครสุดยิ่งใหญ่อันดับ 8 ของจีน ภายในเมืองเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าอลังการงานสร้างสุดโมเดิร์นล้ำสมัยผสานกับเทคโนยีที่รุดหน้าแบบเกินเบอร์หลายประเทศไปไกลมาก แต่ก็ยังมีความคอนทราสกับบางโซนที่ตึกสูงเหล่านั้นยังมีตึกเก่าโบราณอันวิจิตรบรรจงเคียงข้างสร้างความแตกต่างอย่างลงตัวแซมอยู่ด้วย แต่พอออกไปนอกเมืองภาพตึกสูงระฟ้าที่บางครั้งทำให้เราต้องแหงนมองจนสุดคอถึงจะเห็นดวงจันทร์ก็ค่อยๆ มลายหายไปกลายเป็นพื้นที่สีเขียวสีฟ้าของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์รวมถึงผลงานระดับมรดกโลกเข้ามาแทนที่ ฉงชิ่งจึงจัดว่ามีความเด็ดครบเครื่องเผ็ดร้อนเหมือนบุฟเฟ่ต์ชาบูหมาล่าที่คนกินจะต้องอึ้งกับรสชาติอันแสนอร่อยปนลิ้นชาอย่างแน่นอน
เพียงแค่คิดว่าทริปนี้จะเดินทางไปจีนสายการบินสีแดงเจ้าเดิมเจ้าประจำก็ลอยมาในหัวทันที AirAsia เค้ามีบินตรงสู่จีนมากที่สุด บินตรง บินง่าย บินได้ทุกวันถึง 11 เมือง แถมเมืองที่เราเลือกอย่างฉงชิ่งก็มีจากดอนเมืองวันละ 2 เที่ยวเลยจ้า อยากจะบินเช้า หรือบ่าย ก็จัดสรรเวลาเลือกบินกันได้ แถมราคาก็ประหยัด มีโปรโมชั่นปล่อยออกมาตลอด และหากใครอยากจะกดจองตั๋วแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มทริปจีนยังไง แอร์เอเชียเค้าก็ใจดีส่ง AirAsia China Easy Guide https://goo.gl/RhLdux มาเป็นเป็นตัวช่วยที่แค่เข้าไปดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในมือถือ อ่านแล้วทำตามแกก็สามารถเอาชีวิตรอดที่จีนได้แน่นอน เพราะนางบอกหมดไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ซื้อตั๋วยังไง ควรพักที่ไหน อะไรเด็ดที่ต้องลองกิน
กรุงเทพฯ – ฉงชิ่ง ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง และด้วยความที่เลือกบินแต่เช้าตรู่ 6:00 น. แน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะสั่งอาหารล่วงหน้าจะได้ไม่ต้องกลัวหิวแพ็กสุดคุ้มค่าที่เลือกได้แค่ตอนจองตั๋วเท่านั้น เพราะนอกจากจะได้เซทอาหารอร่อยถูกปากที่ถูกกว่ากินในสนามบินแล้ว เรายังสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจจะซ้ายจะขวาวิวด้านไหนดีก็เลือกจองฝั่งนั้นซะ ยังไม่พอยังมีประกันการเดินทางให้ได้อุ่นใจ และที่ฟินที่สุดสำหรับนักช้อปและแฟชั่นนิสต้าทั้งหลายคือในแพ็กเค้ารวมน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม ทีนี้จะกว้านซื้อของฝากหรือหอบเสื้อผ้าไปแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวแล้วจ้า ซึ่งเอาจริงคือเราว่ามันคุ้มในคุ้มมากนะจะบินใกล้บินไกลก็จองเถอะ
Day 1 :
ทริปนี้เราเริ่มต้นกันที่เมือง อู่หลง (Wulong) โดยการเดินทางไปอู่หลงเราสามารถนั่งใต้ดินจากสนามบินเพื่อไปต่อบัสที่สถานี Sigongli แล้วนั่งบัสกันยาวๆ อีก 2 ชั่วโมง 30 นาที ก็จะถึงตัวเมืองอู่หลงเพื่อนั่งรถแท็กซี่อีกต่อไปยัง Tourist Center จุดศูนย์กลางการเที่ยว ณ เมืองที่ชื่อเหมือนชาแต่เราจะไม่พาไปกินชา เพราะที่นี่คือเมืองที่มีความล่ำซำทางธรรมชาติจนอาจทำให้แกต้องเหนื่อยเป็นที่สุด แต่เป็นการเหนื่อยกับความอลังการของวิวที่มีให้ดูแบบเต็มเอี๊ยด แถมเมืองนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของสุกี้ฉงชิ่งหรือที่เรารู้จักกันแบบคุ้นเคยว่าสุกี้หม่าล่านั่นเอง
พอเราเดินทางมาถึงที่ Tourist Center ก็เดินเข้าไปต่อแถวซื้อตั๋วสำหรับชมโชว์ค่ำคืนนี้ แล้วค่อยไปเช็คอินเก็บกระเป๋าเข้าที่พัก ประมาณ 6 โมงทุกคนก็แต่งเต็มหน้าแน่นออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เพื่อไปเดินหาของอร่อยแนวสตรีทฟู๊ดทานกัน อย่างที่บอกว่าที่นี่คือต้นกำเนิดสุกี้หมาล่า อะไรๆ ที่เป็นหมาล่าเราก็ขอแนะนำให้ลองได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่ผักต่างต่างเสียบไม้ย่าง ซึ่งความพิเศษคือพอย่างเสร็จเค้าก็จะนำมายำรวมกันในพริกหม่าล่าก่อนยกมาเสิร์ฟในถาดเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยพริกและเนื้อสัตว์บอกเลยว่าแซ่บลืม…. ลืมไปเลยว่าเคยมีลิ้น … ต่อจากนี้ใครมาบอกว่าอาหารจีนทั้งหมดคือทานยาก ไม่อร่อย จืดชืด เราจะยอมลุกขึ้นตบโต๊ะเถียงคอเป็นเอ็นเลยเพราะอาหารจีนมันมีความหลากหลายมาก โดยเฉพาะที่นี่คืออร่อยมากกินได้เพลินเพลินเลยแกร๊
ประมาณหนึ่งทุ่มเราต้องเดินทางจาก Tourist Center ไปชมโชว์สุดอลังการกลางหุบเขา Impression Wulong การแสดงกลางแจ้งที่ใช้หุบเขาเป็นเวที ใช้ต้นไม้ในป่าเป็นฉากหลัง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเมืองฉงชิ่งตั้งแต่อดีตในเวลา 70 นาที โดยที่นี่สามารถบรรจุคนได้กว่า 2,000 คนต่อรอบ และมีนักแสดงกว่า 500 ชีวิต ที่จะมาแสดงผ่านแสง สี เสียง ทั้งเสียงที่มนุษย์สร้างขึ้นผ่านดนตรีและคำร้องรวมไปถึงเสียงจากธรรมชาติรอบข้างที่ทำให้ทุกอย่างดูสมจริงมากขึ้นไปอีก
ซึ่งตลอดเวลาของการแสดงมีหลายฉากมากที่ทำให้เราขนลุกทั้งด้วยจากความอลังการและเรื่องราวที่ชวนตื่นเต้น จนเรารู้สึกว่าการพยายามดั้นด้นต่อรถมาหลายต่อมันไม่เสียเปล่าจริงๆ เราว่ามาตราฐานการแสดงต่างๆ ของจีนคือมันจะเป๊ะมาก มีพลังและมีเสน่ห์เหลือเกิน มันคือศิลปะที่แม้เราจะไม่เข้าใจภาษาและคำร้องที่เปล่งออกมา แม้เค้าจะมีคำบรรยายภาษาอังกฤษให้ด้วยก็ตามที แต่เราก็ยังรู้สึกอินไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านแสง สี เสียง สีหน้า แววตาของผู้แสดตลอด 70 นาทีแบบไม่มีเบื่อเลยจริงๆ ยิ่งฉากลากเรือที่มีเรือจริงๆ มาร่วมแสดงเรานี่รู้สึกหนักๆ ที่บ่าเหมือนเป็นนักแสดงเองเลย เรียกว่าพอจบการแสดงนี่ผู้ชมถึงขั้นลุกขึ้นปรบมือ ทำให้เราได้รู้ว่าความอลังการของพี่จีนไม่ได้มีดีแค่วิวทิวทัศน์หรือสิ่งสร้างต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีพวกโชว์อีกมากมายที่จะทำให้แก ร้องหือ ร้องห๊า ได้แบบไม่มีหยุดอีกด้วย
Day 2 :
เช้านี้เริ่มต้นกันที่อุทยานแห่งชาติหลุมฟ้า สะพานสวรรค์ ที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ยูเนสโกจัดให้เป็นมรดกโลกในปี 2007 ที่เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้ภูเขาแห่งนี้มีจุดที่เป็นหลุมลึกที่ใหญ่ประมาณ 300-500เมตร และมีบางส่วนที่เป็นโพรงระหว่างภูเขาให้อารมณ์เหมือนโพรงสะพานขนาดใหญ่ขึ้นสู่สวรรค์ ซึ่งมีทั้งหมดสามสะพานได้แก่สะพานมังกรฟ้า สะพานมังกรเขียว และสะพานมังกรดำ และด้วยความสวยสุดมหัศจรรย์กระแทกตาขนาดนี้ที่นี่จึงถูกเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังฟอร์มยักษ์ระดับโลกอย่างทรานฟรอมเมอร์ภาค 4 ในฉากที่มีไดโนเสาร์ต่างดาวมาบุกโลก ซึ่งพอดูๆ ไปความสวยสุดแปลกที่แสนอลังการนี้มันก็ชวนให้คิดจริงๆ นั่นแหล่ะว่ามันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้พื้นภิภพนี้ก็เป็นได้จริงๆ
หลังจากที่ลงลิฟท์แก้วมาได้ประม
นอกจากโรงเตี๊ยมเก่าแล้วก็ยังมีจุดอื่
หลังจากเที่ยวชมความสวยงามกับวิ
ถัดจากย่านถนนคนเดินไปอีกนิดนึงเราจะได้ผมกับสตรีทฟู้ดที่จะทำให้คืนนี้เป็นคืนที่ยาก ยาก … ที่จะหยุดกิน เพราะ JiaoChangKou Night Market แห่งนี้เต็มไปด้วยอาหารมากมายตลอดสองข้างทาง อันนู้นก็ใช่ อันนี้ก็โดน โน่นก็อยากกิน ใครอยากเดินกินก็ซื้อไปกินไปได้ ส่วนเราขอเดินกินกรุบกริบชิมนั่นหน่อยนี่หน่อยแล้วก็ไปนั่งกินแบบจริงจังสักร้าน เออ ที่ห้ามพลาดก็จะมีพวกโยเกิร์ตใส่ข้าวเหนียวดำที่รสชาติลงตัวแบบแปลกแปลก พวกอาหารเสียบไม้โรยพริกหมาล่า แล้วก็กุ้งและกั้งผัดในพริกมาล่ามันเผ็ดและเด็ดมากๆ
Day 3 :
วันนี้เริ่มต้นขึ้นแบบชิวๆ ที่ Huaujueping Grafiti Street ย่านอาร์ตสุดชิคที่จะทำให้
และย่านนี้ก็เป็นที่ตั้งของมหาวิ
จากความอาร์ตแบบเสรีก็ได้เวลามาเดินต่อยังย่านสุดคลาสสิ
จากย่านธุรกิจเครื่องลายครามได้
ทุกอย่างของที่นี่มันลงตัวเหมือนเอา
Testbed 2 Arts Center ย่านสายอาร์ตสุดฮิปที่ได้แปลงโฉมกลุ่มโรงงานเก่าให้
ส่วนร้านคาเฟ่สุดชิคที่ถ่ายรูปอ
ร้านต่อมาที่อยากแนะนำก็คือ Floral Philo ร้านสไตล์มินิมอล ใสใส ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ร้านเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยของทำ
แดดร่มลมตกสายลมพัดเอื่อยก็ได้เวลาหาสถานที่ชมวิวทิวทัศน์กลางแสงทองของพระอาทิตย์ยามเย็น เรามุ่งหน้าไปที่ Eling Park สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่บนเขาใจกลางเมือง ซึ่งเดิมทีเคยเป็นที่อยู่ของพ่อค้าเกลือผู้แสนร่ำรวยผู้หลงไหลในความงดงามของภูเขาจึงตัดสินใจสร้างสวนดอกไม้ขึ้นที่นี่มันจึงเป็นสวนแบบส่วนตัวแห่งแรกของฉงชิ่ง โดยต่อมาเทศบาลได้เข้ามาทำการปรับปรุงสวนและสิ่งก่อนสร้างต่างๆ จนกลายมาเป็นสวนอี้หลิงที่ชาวฉงชิ่งโดยเฉพาะผู้สูงอายุนิยมมาเดินเล่นะออกกำลังกาย รับลมเย็นๆ ทำให้ที่นี่เป็นทั้งสวนสาธารณะและจุดชมวิวสุดเลอค่าที่เหล่านักท่องเที่ยวอย่างเราไม่อาจพลาดได้
หลังจากพระอาทิตย์แทรกตัวผ่านตึ
Day 4 :
อย่างที่เคยบอกไปแล้วในทุกรีวิว
จากสถานีต้าจู๋เราเหมาแท็กซี่ในราคา 100 หยวนต่อขา มาที่ Dazu Rock Carving หรือผาหินแกะสลักต้าจู๋ มรดกโลกทางวัฒนธรรม ผ่านการแกะสลักหน้าผาที่มีมากกว่
ผาหินแกะสลักที่โดดเด่นในหมู่ผา
จากผลงานระดับมรดกโลกเรากลับเข้าตัวเมืองเพื่อแวะมาถ่
ระหว่างเดินไปที่หงหยาตังซึ่งเดินไม่ไกลจากตึกตะเกียบมากนัก เราได้พบกับจุดชมวิวที่ดูขัดแย้งแต่ลงตัวดูมีเสน่ห์มาก มันคือจุดชมวิวที่เราจะเห็นตึกเก่าโบราณแบบหนังกำลังภายในทางฝั่งขวามือแต่พอหันซ้ายก็จะกลายเป็นตึกสูงทันสมัยประหนึ่งมหานครนิวยอร์กก็ไม่ปาน โดยสองฝั่งถูกเชื่อมด้วยสะพานในแม่น้ำแยงซีเกียง ภาพตรงหน้าจึงเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดมากกว่าจะเป็นสถานที่จริง ฟิลลิ่งคล้ายคล้ายกับตอนได้ยินชื่อเมนูสปาเกตตี้เขียวหวานไก่เป็นครั้งแรกนั่นแหละแก
Hongyadong (หงหยาตัง) สถานที่เที่ยวยามค่ำคืนในย่านดา
ตะวันลับขอบฟ้าเทเลทับบี้บอกลา บ๊ายบาย บ๊ายบายยยย แต่ฉงชิ่งยังไม่ยอมนอน กลับเปิดไฟขึ้นแข่งกับแสงดาว ที่ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก เรายืนมองหงหยาตังที่สดใสด้วยไฟ
อิ่มกับวิวตรงหน้าแล้ว เราก็มองหาอะไรหนักๆ ให้กระเพา
Day 5 :
วันสุดท้ายกับหนึ่งในสัญลักษ
หลังจากตะลอนเที่ยวกินจนอิ่มเอม สัมผัสวัฒนธรรมสมัยโบราณแบบถึงแ
ท้ายสุดอยากบอกว่าหากแกอ่านรีวิวจีนเราแล้วตัดสินใจได้ว่าควรไปเที่ยวดูสักครั้ง เราก็มีวิธีสุดคุ้มในการประหยัดค่าใช้จ่ายมาบอกกัน เราแนะนำให้เลือกทำวีซ่ากับทาง Seasons Holiday เพราะแค่แสดงตั๋วเครื่องบินที่เดินทางไป-กลับกับแอร์เอเชี
อย่าตัดสินหนังสือจากปกฉันใดก็อย่าตัดสินเมืองจีนจากภาพเก่าๆ ที่เคยฟังมาฉันนั้น เพราะเมืองจีนทุกวันนี้ก้าวหน้าไปไกลจนรถไฟชินคันเซ็นยังวิ่งตามเกือบไม่ทัน เพราะนี่คือแผ่นดินใหญ่จนทำให้แก เหนื่อย … กับความสวยงามของธรรมชาติที่ไม่มีหมด กลัว … กับกับการที่ต้องหาท่าโพสมาใช้ไม่ให้ซ้ำ ช๊อค … กับความโมเดิร์นของเมืองที่ขัดกับภาพจำเดิมๆ มาตลอด ยาก … ที่จะหยุดกินเมื่อต้องเจอกับอาหารอร่อยร้อยแปดอย่างให้ทะลวงผ่านเหมือนด่านมนุษย์ทองคำในเซ้าหลิน และ แน่น … ไปด้วยการต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างมีไมตรีจิตของแดนมังกร เชื่อเราเถอะว่าเมืองจีนยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิม อย่าตัดสินปัจจุบันด้วยอดีตหรือคำบอกเล่า แต่จงเปิดใจออกไปสัมผัส แล้วจะพบความงามที่ฉายแสงอยู่