China like never before : Chongqing in 5 Days

ถ้ามีโอกาสได้ไปจีน … จงไป แต่ถ้าไม่มีโอกาส … ก็จงสร้างโอกาสนั้นขึ้นมาให้ได้

เพราะจากการเดินทางไปจีนแบบถี่ๆ ของเราช่วงก่อนโควิดทำให้เรากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าจีนคือประเทศที่น่ามหัศจรรย์ จนเราเชื่อว่าถ้าที่อียิปต์มีพีระมิด อิตาลีมีหอเอนปิซ่า และอังกฤษมีสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้ว โลกเราก็มีจีนนี่แหล่ะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล ที่จะมอบความอิ่มเอม ความตื่นตะลึง ความชิคคูล และความสนุกสนานได้อย่างเต็มรูปแบบจริงๆ เพราะแดนมังกรเค้าไปได้สุดในทุกทางไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ธรรมชาติสุดอลังการ แหล่งท่องเที่ยวระดับมรดกโลก เทคโนโลยีอันทันสมัย รวมถึงความโมเดิร์นของเมือง และจีนรอบนี้เราจะพาทุกคนไปเยือน ฉงชิ่ง อีกหนึ่งเมืองที่จะช่วยยืนยันว่าสิ่งที่พิมพ์โม้มาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

อย่าจำแค่ภาพจีนที่อากงอาม่าในบ้านหรือข้างบ้านเล่าให้ฟัง แต่จงออกไปสัมผัสด้วยตัวแกเองแล้วจะรู้ว่ามันสวยงามแบบที่แกไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อนแน่นอน …

ฉงชิ่ง คือเมืองอุตสหากรรมเก่าแก่ที่มีแม่น้ำแยงซีเกียงแม่น้ำที่เป็นเสมือนหัวใจหลักของจีนไหลผ่าน ที่นี่จึงมีความเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ฉงชิ่งได้ครองตำแหน่งมหานครสุดยิ่งใหญ่อันดับ 8 ของจีน ภายในเมืองเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าอลังการงานสร้างสุดโมเดิร์นล้ำสมัยผสานกับเทคโนยีที่รุดหน้าแบบเกินเบอร์หลายประเทศไปไกลมาก แต่ก็ยังมีความคอนทราสกับบางโซนที่ตึกสูงเหล่านั้นยังมีตึกเก่าโบราณอันวิจิตรบรรจงเคียงข้างสร้างความแตกต่างอย่างลงตัวแซมอยู่ด้วย แต่พอออกไปนอกเมืองภาพตึกสูงระฟ้าที่บางครั้งทำให้เราต้องแหงนมองจนสุดคอถึงจะเห็นดวงจันทร์ก็ค่อยๆ มลายหายไปกลายเป็นพื้นที่สีเขียวสีฟ้าของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์รวมถึงผลงานระดับมรดกโลกเข้ามาแทนที่ ฉงชิ่งจึงจัดว่ามีความเด็ดครบเครื่องเผ็ดร้อนเหมือนบุฟเฟ่ต์ชาบูหมาล่าที่คนกินจะต้องอึ้งกับรสชาติอันแสนอร่อยปนลิ้นชาอย่างแน่นอน

เพียงแค่คิดว่าทริปนี้จะเดินทางไปจีนสายการบินสีแดงเจ้าเดิมเจ้าประจำก็ลอยมาในหัวทันที AirAsia เค้ามีบินตรงสู่จีนมากที่สุด บินตรง บินง่าย บินได้ทุกวันถึง 11 เมือง แถมเมืองที่เราเลือกอย่างฉงชิ่งก็มีจากดอนเมืองวันละ 2 เที่ยวเลยจ้า อยากจะบินเช้า หรือบ่าย ก็จัดสรรเวลาเลือกบินกันได้ แถมราคาก็ประหยัด มีโปรโมชั่นปล่อยออกมาตลอด และหากใครอยากจะกดจองตั๋วแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มทริปจีนยังไง แอร์เอเชียเค้าก็ใจดีส่ง AirAsia China Easy Guide https://goo.gl/RhLdux มาเป็นเป็นตัวช่วยที่แค่เข้าไปดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในมือถือ อ่านแล้วทำตามแกก็สามารถเอาชีวิตรอดที่จีนได้แน่นอน เพราะนางบอกหมดไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ซื้อตั๋วยังไง ควรพักที่ไหน อะไรเด็ดที่ต้องลองกิน

กรุงเทพฯ – ฉงชิ่ง ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง และด้วยความที่เลือกบินแต่เช้าตรู่ 6:00 น. แน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะสั่งอาหารล่วงหน้าจะได้ไม่ต้องกลัวหิวแพ็กสุดคุ้มค่าที่เลือกได้แค่ตอนจองตั๋วเท่านั้น เพราะนอกจากจะได้เซทอาหารอร่อยถูกปากที่ถูกกว่ากินในสนามบินแล้ว เรายังสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจจะซ้ายจะขวาวิวด้านไหนดีก็เลือกจองฝั่งนั้นซะ ยังไม่พอยังมีประกันการเดินทางให้ได้อุ่นใจ และที่ฟินที่สุดสำหรับนักช้อปและแฟชั่นนิสต้าทั้งหลายคือในแพ็กเค้ารวมน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม ทีนี้จะกว้านซื้อของฝากหรือหอบเสื้อผ้าไปแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวแล้วจ้า ซึ่งเอาจริงคือเราว่ามันคุ้มในคุ้มมากนะจะบินใกล้บินไกลก็จองเถอะ

Day 1 :

ทริปนี้เราเริ่มต้นกันที่เมือง อู่หลง (Wulong)  โดยการเดินทางไปอู่หลงเราสามารถนั่งใต้ดินจากสนามบินเพื่อไปต่อบัสที่สถานี Sigongli แล้วนั่งบัสกันยาวๆ อีก 2 ชั่วโมง 30 นาที ก็จะถึงตัวเมืองอู่หลงเพื่อนั่งรถแท็กซี่อีกต่อไปยัง Tourist Center จุดศูนย์กลางการเที่ยว ณ เมืองที่ชื่อเหมือนชาแต่เราจะไม่พาไปกินชา เพราะที่นี่คือเมืองที่มีความล่ำซำทางธรรมชาติจนอาจทำให้แกต้องเหนื่อยเป็นที่สุด แต่เป็นการเหนื่อยกับความอลังการของวิวที่มีให้ดูแบบเต็มเอี๊ยด แถมเมืองนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของสุกี้ฉงชิ่งหรือที่เรารู้จักกันแบบคุ้นเคยว่าสุกี้หม่าล่านั่นเอง

พอเราเดินทางมาถึงที่ Tourist Center ก็เดินเข้าไปต่อแถวซื้อตั๋วสำหรับชมโชว์ค่ำคืนนี้ แล้วค่อยไปเช็คอินเก็บกระเป๋าเข้าที่พัก ประมาณ 6 โมงทุกคนก็แต่งเต็มหน้าแน่นออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เพื่อไปเดินหาของอร่อยแนวสตรีทฟู๊ดทานกัน อย่างที่บอกว่าที่นี่คือต้นกำเนิดสุกี้หมาล่า อะไรๆ ที่เป็นหมาล่าเราก็ขอแนะนำให้ลองได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่ผักต่างต่างเสียบไม้ย่าง ซึ่งความพิเศษคือพอย่างเสร็จเค้าก็จะนำมายำรวมกันในพริกหม่าล่าก่อนยกมาเสิร์ฟในถาดเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยพริกและเนื้อสัตว์บอกเลยว่าแซ่บลืม…. ลืมไปเลยว่าเคยมีลิ้น … ต่อจากนี้ใครมาบอกว่าอาหารจีนทั้งหมดคือทานยาก ไม่อร่อย จืดชืด เราจะยอมลุกขึ้นตบโต๊ะเถียงคอเป็นเอ็นเลยเพราะอาหารจีนมันมีความหลากหลายมาก โดยเฉพาะที่นี่คืออร่อยมากกินได้เพลินเพลินเลยแกร๊

ประมาณหนึ่งทุ่มเราต้องเดินทางจาก Tourist Center ไปชมโชว์สุดอลังการกลางหุบเขา Impression Wulong การแสดงกลางแจ้งที่ใช้หุบเขาเป็นเวที ใช้ต้นไม้ในป่าเป็นฉากหลัง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเมืองฉงชิ่งตั้งแต่อดีตในเวลา 70 นาที โดยที่นี่สามารถบรรจุคนได้กว่า 2,000 คนต่อรอบ และมีนักแสดงกว่า 500 ชีวิต ที่จะมาแสดงผ่านแสง สี เสียง ทั้งเสียงที่มนุษย์สร้างขึ้นผ่านดนตรีและคำร้องรวมไปถึงเสียงจากธรรมชาติรอบข้างที่ทำให้ทุกอย่างดูสมจริงมากขึ้นไปอีก

ซึ่งตลอดเวลาของการแสดงมีหลายฉากมากที่ทำให้เราขนลุกทั้งด้วยจากความอลังการและเรื่องราวที่ชวนตื่นเต้น จนเรารู้สึกว่าการพยายามดั้นด้นต่อรถมาหลายต่อมันไม่เสียเปล่าจริงๆ เราว่ามาตราฐานการแสดงต่างๆ ของจีนคือมันจะเป๊ะมาก มีพลังและมีเสน่ห์เหลือเกิน มันคือศิลปะที่แม้เราจะไม่เข้าใจภาษาและคำร้องที่เปล่งออกมา แม้เค้าจะมีคำบรรยายภาษาอังกฤษให้ด้วยก็ตามที แต่เราก็ยังรู้สึกอินไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านแสง สี เสียง สีหน้า แววตาของผู้แสดตลอด 70 นาทีแบบไม่มีเบื่อเลยจริงๆ ยิ่งฉากลากเรือที่มีเรือจริงๆ มาร่วมแสดงเรานี่รู้สึกหนักๆ ที่บ่าเหมือนเป็นนักแสดงเองเลย เรียกว่าพอจบการแสดงนี่ผู้ชมถึงขั้นลุกขึ้นปรบมือ ทำให้เราได้รู้ว่าความอลังการของพี่จีนไม่ได้มีดีแค่วิวทิวทัศน์หรือสิ่งสร้างต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีพวกโชว์อีกมากมายที่จะทำให้แก ร้องหือ ร้องห๊า ได้แบบไม่มีหยุดอีกด้วย

Day 2 :

เช้านี้เริ่มต้นกันที่อุทยานแห่งชาติหลุมฟ้า สะพานสวรรค์ ที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ยูเนสโกจัดให้เป็นมรดกโลกในปี 2007  ที่เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้ภูเขาแห่งนี้มีจุดที่เป็นหลุมลึกที่ใหญ่ประมาณ 300-500เมตร และมีบางส่วนที่เป็นโพรงระหว่างภูเขาให้อารมณ์เหมือนโพรงสะพานขนาดใหญ่ขึ้นสู่สวรรค์ ซึ่งมีทั้งหมดสามสะพานได้แก่สะพานมังกรฟ้า สะพานมังกรเขียว และสะพานมังกรดำ และด้วยความสวยสุดมหัศจรรย์กระแทกตาขนาดนี้ที่นี่จึงถูกเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังฟอร์มยักษ์ระดับโลกอย่างทรานฟรอมเมอร์ภาค 4 ในฉากที่มีไดโนเสาร์ต่างดาวมาบุกโลก ซึ่งพอดูๆ ไปความสวยสุดแปลกที่แสนอลังการนี้มันก็ชวนให้คิดจริงๆ นั่นแหล่ะว่ามันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้พื้นภิภพนี้ก็เป็นได้จริงๆ

หลังจากที่ลงลิฟท์แก้วมาได้ประมาณ 80 เมตร เท้าของเราก็จะได้สัมผัสกับพื้นดินอีกครั้ง ณ หลุมลึกที่เรียกว่าหุบผาสวรรค์ และหลังจากเดินได้ไม่นานเราก็จะได้พบกับสิ่งสร้างเก่าแก่หลังคาสีน้ำตาลเข้ม ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจี มันคือหนึ่งในไฮไลท์หลักของมรดกโลกระดับ A5 โรงเตี๊ยมเก่าแก่ของเหล่านักเดินทางตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังที่ใช้เส้นทางนี้เป็นทางลัดจากเสฉวนไปยังเหอหนาน และสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์จีนฟอร์มยักษ์เรื่อง Curse of Golden Flower ที่แกสามารถหามุมถ่ายรูปคู่แบบชิคๆ ไว้เลือกลงในโซเชียลแบบเกร๋ๆ ได้เลย

นอกจากโรงเตี๊ยมเก่าแล้วก็ยังมีจุดอื่นๆ ในระยะทางกว่า 4 กิโลเมตรที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นสะพานมังกรทั้งสามสะพานที่จะพาแกทะยานสู่จินตนาการอันบรรเจิดผ่านความเลอเลิศของธรรมชาติ, ถ้ำฝูงยง ถ้ำหินงอกหินย้อยที่ถูกแต่งแต้มด้วยแสงไฟหลากสีสันและยังนับว่าเป็นถ้ำที่ใหญ่มีความซับซ้อนที่สุดถ้ำหนึ่งของโลก, เส้นทางศึกษาธรรมชาติ, น้ำตกบุปผาสวรรค์ที่สูงชันจนเหมือนเป็นรอยแยกของโลก และความงามอื่นๆ ระหว่างทางที่จะทำให้แกยากที่จะหาท่ามาโพสต์ให้ไม่ซ้ำ

หลังจากเที่ยวชมความสวยงามกับวิวธรรมชาติสุดอลังการที่ไม่มีหมด ณ เมืองอู่หลง พวกเราก็ย้ายกลับเข้ามาพักกลางเมืองฉงชิ่งในย่านสุดปังที่อยู่ติดกับ ถนนคนเดินเจี่ยฟ่างเป่ย ถนนที่ให้อารมณ์เหมือนสยามสแควร์บ้านเรา ที่นี่เป็นแหล่งสุดชิคสำหรับวัยรุ่นที่พร้อมจะดูดเงินออกจากกระเป๋าเราเพราะตลอดสองข้างทางบนถนนเส้นนี้คือห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ตั้งแต่เกรดโลคอลจนถึงเกรดไฮเอนด์แบรนด์เนมทั้งหลายล้วนยกทัพมาอยู่ที่นี่

ถัดจากย่านถนนคนเดินไปอีกนิดนึงเราจะได้ผมกับสตรีทฟู้ดที่จะทำให้คืนนี้เป็นคืนที่ยาก ยาก … ที่จะหยุดกิน เพราะ JiaoChangKou Night Market แห่งนี้เต็มไปด้วยอาหารมากมายตลอดสองข้างทาง อันนู้นก็ใช่ อันนี้ก็โดน โน่นก็อยากกิน ใครอยากเดินกินก็ซื้อไปกินไปได้ ส่วนเราขอเดินกินกรุบกริบชิมนั่นหน่อยนี่หน่อยแล้วก็ไปนั่งกินแบบจริงจังสักร้าน เออ ที่ห้ามพลาดก็จะมีพวกโยเกิร์ตใส่ข้าวเหนียวดำที่รสชาติลงตัวแบบแปลกแปลก พวกอาหารเสียบไม้โรยพริกหมาล่า แล้วก็กุ้งและกั้งผัดในพริกมาล่ามันเผ็ดและเด็ดมากๆ

Day 3 :

วันนี้เริ่มต้นขึ้นแบบชิวๆ ที่ Huaujueping Grafiti Street ย่านอาร์ตสุดชิคที่จะทำให้แกเข้าใจความรู้สึกอินดี้ของพี่ปาล์มมี่เวลาถอดรองเท้าร้องเพลงบนเวที เพราะทุกอย่างของที่นี่มันดูสดใสไร้ขีดจำกัดและเป็นอิสระทางความคิดอย่างสุดโต่ง จนอยากปลดปล่อยและเปลือยตัวตนออกมาสัมผัสกับศิลปะ สมมงแหล่งกราฟฟิตี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ทุกตึกรามบ้านช่อง ตึกร้าง ถนนหนทาง กำแพง ท่อประปา ล้วนถูกตกแต่งด้วยสีสัน ลายเส้น และประติมากรรมเก๋ๆ อย่างเต็มพื้นที่ จนที่นี่เหมือนโลกของการ์ตูนหรือโลกอนิเมชั่นมากกว่าโลกจริงๆ เสียอีก มันจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แกต้องกลัว …. กลัว …. จะโพสต์ไม่ทัน

และย่านนี้ก็เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปะ Sichuan Fine Arts Institute ที่อายุมากกว่า 64 ปี หนึ่งในห้ามหาวิทยาลัยศิลปะที่โด่งดังที่สุดในไชน่า ที่ภายในก็มีความชิคไม่แพ้กัน มีมุมถ่ายรูปสวยๆ สตรีทอาร์ตเท่ๆ มิวเซียมอาร์ตเก๋ๆ รวมถึงโกดังที่จัดแสดงงานศิลปะของนักศึกษาที่จะสลับสับเปลี่ยนเป็นนิทรรศการหมุนเวียน แถมราคาค่าเข้าชมก็ถูกมากเว่อร์เพียง 3 หยวน นี่คือราคาของอาหารทางจิตวิญญาณที่ถูกกว่าค่าหมาล่าเมื่อคืนซะอีก ซึ่งเราจ่ายครั้งเดียวก็สามารถเดินเสพย์ได้แบบเพลินในบรรยากาศร่มรื่นได้ทั้งวันจริงๆ

จากความอาร์ตแบบเสรีก็ได้เวลามาเดินต่อยังย่านสุดคลาสสิคที่ Ciqikou Ancient Town อดีตย่านธุรกิจที่รุ่งเรื่องจากการขายเครื่องลายคราม ปัจจุบันรั้งตำแหน่งย่านเมืองเก่าที่ผู้คนกล่าวว่าถ้าไม่มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงฉงชิ่ง ย่านการค้าที่เปี่ยมไปด้วยรสชาติและสีสันของฉงชิ่งที่เหมาะแก่การมาเดินเล่นช้อปปิ้ง ถ่ายรูปสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตอันสดใสที่ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หมิง

จากย่านธุรกิจเครื่องลายครามได้ถูกการเวลาผันเปลี่ยนเพิ่มเติมให้มีความหลากหลายมากขึ้นทั้งร้านอาหาร งานทำมือ ร้านน้ำชา ร้านขายของฝากของที่ระลึกอันโดดเด่น แถมแต่ละร้านก็สวยเด็ดมีเอกลักษณ์จนแกอยากจะให้คุ้กกี้ทำนายเสี่ยงทายเลือกร้านแทนการตัดสินใจด้วยตัวเองเลยล่ะ ส่วนของฝากฮอตฮิตที่เดินไปทางไหนก็เจอจะเป็น ขนมหมาฮัว ขนมแป้งทรงเกลียวๆ คล้ายเชือกผูกเรือ เป็นขนมโบราณของจีนที่มีหลายรสชาติคล้ายๆ มันเหมาะมากที่จะซื้อติดมือกลับมาเป็นของฝากให้พี่น้องชาวไทยที่เรารัก

ทุกอย่างของที่นี่มันลงตัวเหมือนเอาฉงชิ่งมาย่อรวมกันไว้ ทั้งวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าแต่โบราณ ทั้งสถานที่ๆ ที่ได้รีบการอนุรักษ์และพัฒนาให้พร้อมกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ถ้าหิวก็เลือกซื้อของกินได้ง่ายๆ หลายรสหลายสไตล์ อิ่มก็เดินย่อยช้อปปิ้งกับของท้องถิ่นที่หลากหลาย เดินไปกินไปช้อปไปถ่ายรูปไปได้แบบเพลินเพลินเลยจ้า

Testbed 2 Arts Center ย่านสายอาร์ตสุดฮิปที่ได้แปลงโฉมกลุ่มโรงงานเก่าให้กลายมาเป็นแหล่งรวมของร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้า สำนักงาน ยิม รวมไปถึงอาร์ตแกลอรี่ ที่สามารถเดินชมได้ทั้งด้านในและด้านนอกอาคาร ซึ่งตั้งแต่ที่เราก้าวเท้าเข้ามาในเขตนี้ก็เหมือนบรรยากาศรอบตัวมันเปลี่ยนไปทั้งหมดราวกับเดินหลุดจากประเทศจีนออกมาแล้วเจอกับสถานที่แห่งใหม่ที่แสนจะฮิปเตอร์เสียจนงง ด้วยความฮิปขนาดนี้ไม่ต้องแปลกใจเลยที่เราจะได้เจอวัยรุ่นชาวจีนมารวมตัวกันอย่างมากมายในร้านอาหารที่เรียงกันเป็นตับและในร้านกาแฟเก๋ๆ ที่มีให้เลือกเยอะพอที่จะเข้าร้านนี้ออกร้านนู้นใช้ชีวิตสโลวไลฟ์แบบไม่ต้องดัดจริตขีวิตที่นี่ได้ทั้งวันเลย

ส่วนร้านคาเฟ่สุดชิคที่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยจนอยากแนะนำก็จะมีร้าน Dandy ร้านคาเฟ่สีดำที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแยงซีเกียงแม่น้ำที่เราคุ้นหูมาตั้งแต่วิชา สปช. ร้านมีความเท่โดดเด่นตั้งแต่หน้าประตู ที่พอเดินเข้าไปข้างในเราจะพบการแต่งแบบอินดัสเทรียล ปูนเปลือย ผนังอิฐที่ดูเหมือนยังไม่เสร็จถูกแต่งเติมด้วยภาพถ่ายสีสันสดใส และโต๊ะเก้าอี้สีดำสนิทที่ชวนให้สั่งขนมและเครื่องดื่มสีจัดมาตัดกันสักสองสามอย่าง

ร้านต่อมาที่อยากแนะนำก็คือ Floral Philo ร้านสไตล์มินิมอล ใสใส ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ร้านเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยของทำมือ ต้นไม้สีเขียวสดใส เข้ากันได้ดีกับพื้นไม้สีขาวและกลิ่นกาแฟหอมๆ ที่ชวนให้ทิ้งตัวลงบนเบาะนิ่มๆ ยืดแข้งเหยียดขาที่ล้ามาทั้งวัน จิบนมอุ่นๆ ขนมหวานๆ และเช็คอินกันเพื่อนลืมก่อนจะมูฟออนไปที่ต่อไป

แดดร่มลมตกสายลมพัดเอื่อยก็ได้เวลาหาสถานที่ชมวิวทิวทัศน์กลางแสงทองของพระอาทิตย์ยามเย็น เรามุ่งหน้าไปที่ Eling Park สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่บนเขาใจกลางเมือง ซึ่งเดิมทีเคยเป็นที่อยู่ของพ่อค้าเกลือผู้แสนร่ำรวยผู้หลงไหลในความงดงามของภูเขาจึงตัดสินใจสร้างสวนดอกไม้ขึ้นที่นี่มันจึงเป็นสวนแบบส่วนตัวแห่งแรกของฉงชิ่ง โดยต่อมาเทศบาลได้เข้ามาทำการปรับปรุงสวนและสิ่งก่อนสร้างต่างๆ จนกลายมาเป็นสวนอี้หลิงที่ชาวฉงชิ่งโดยเฉพาะผู้สูงอายุนิยมมาเดินเล่นะออกกำลังกาย รับลมเย็นๆ ทำให้ที่นี่เป็นทั้งสวนสาธารณะและจุดชมวิวสุดเลอค่าที่เหล่านักท่องเที่ยวอย่างเราไม่อาจพลาดได้

หลังจากพระอาทิตย์แทรกตัวผ่านตึกสูงและทิ้งตัวลงที่ปลายขอบฟ้าก็ได้เวลาที่เราจะไป Yangtze River Cableway เพื่อนั่งเคเบิ้ลคาร์ข้ามแม่น้ำแยงซี กับระยะทางกว่า 1,166 เมตร ที่เราสามารถซึมซับบรรยากาศยามค่ำของฉงชิ่งที่ไม่ยอมหลับไหลไปตามแสงแดด แต่กลับตื่นขึ้นมากกว่าเดิมด้วยแสงเรืองรองของตึกที่สว่างไสวแข่งกับหมู่ดาว จุดที่เคเบิ้ลคาร์ยอมรับเลยว่าทั้งชิว ทั้งเสียว ทั้งช็อค ที่เห็นความความโมเดิร์นของเมืองที่อยู่ตรงหน้ายามค่ำคืนอย่างเต็มตา

Day 4 :

อย่างที่เคยบอกไปแล้วในทุกรีวิวว่าจีนการคมนาคมเค้าไม่ได้กระโหลกกะลา อย่างรถไฟความเร็วสูงที่สุดในโลกก็อยู่ที่จีน เพราะฉะนั้นการจะเที่ยวข้ามเขต ข้ามเมืองในจีน ก็สามาถทำได้ง่ายง่ายภายในหนึ่งวัน อย่างวันเดย์ทริปรอบนี้ที่เราเดินทางไปเมืองต้าจู๋ด้วยรถไฟความเร็วสูงใช้เวลาแค่ 30 นาที จากสถานี Shapingba Railway Station สถานีรถไฟเค้าใหญ่โต สะอาดสะอ้าน ที่นั่งก็จัดว่าดี ถ้าใครเคยไปเกาหลีญี่ปุ่นไต้หวันมาแล้ว ความดีงามเรียกได้ว่าไม่ต่างจ้าาาาา

จากสถานีต้าจู๋เราเหมาแท็กซี่ในราคา 100 หยวนต่อขา มาที่ Dazu Rock Carving หรือผาหินแกะสลักต้าจู๋ มรดกโลกทางวัฒนธรรม ผ่านการแกะสลักหน้าผาที่มีมากกว่า 70 จุด รวมเป็นผลงานมากกว่า 1 แสนชิ้น ที่มีอายุกว่าพันปี โดยสื่อถึงความเชื่อในพุทธศาสนา ขงจื้อ เล่าจื้อ และลัทธิเต๋า ด้วยความที่แต่ละผาหินมีเรื่องราวการสื่อสารที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เราสามารถเดินทอดน่องชมความงามของแต่ละหน้าผาไปได้แบบลืมเวลา มันสวยงามชวนตะลึงจนแทบอยากหาเครื่องย้อนเวลากลับไปนั่งดูว่าคนโบราณเค้าต้องมีความเชื่อมากแค่ไหนถึงสร้างสิ่งที่สวยงามขนาดนี้ได้โดยด้วยสองมือแบบไม่มีเทคโนโลยีใดๆ เข้ามาช่วยเหลือ

ผาหินแกะสลักที่โดดเด่นในหมู่ผาหินอื่นๆ ก็จะมีผาหินแกะสลักเป่าติ่งซานที่ใช้เวลาสร้างนานกว่า 70 ปี มีจุดเยี่ยมชม 13 จุด บนผนังหินที่ยาว 500 เมตร สูง 15-30 เมตร ล้วนเต็มไปด้วยรูป แกะสลักกว่า 10,000 รูป โดยเน้นที่เรื่องราวบนโลกมนุษย์เช่น การเวียนว่ายตายเกิด เวรกรรม และพระโพธิสัตว์กวนอิม, ผาหินแกะสลักสือเหมินซาน ผาหินที่แกะสลักหลอมรวมพระศากยมุนีและลัทธิเต๋าไว้ด้วยกันผ่านรูปปั้นสามกษัตริย์แห่งธรรมสามกษัตริย์, ผาหินแกะสลักหนานซาน ผลงานการแกะสลักในช่วงราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์หมิงที่เกี่ยวกับลัทธิเต๋า นอกจากนี้ยังมีผาหินอื่นๆ ให้เราได้เดินชมกันจนเมื่อยคอในความยิ่งใหญ่และความสวยงามที่กาลเวลากว่า 1000 ปีไม่อาจทำลายลงไปได้

จากผลงานระดับมรดกโลกเรากลับเข้าตัวเมืองเพื่อแวะมาถ่ายรูปกับผลงานการสร้างของมนุษย์ยุคปัจจุบันที่รังสรรค์ตึกรูปร่างแปลกตาชวนให้คนผ่านไปผ่านมาต้องหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพไว้ที่ตึก Chongqing Guotai Arts Center ตึกรูปทรงตะเกียบสีแดงดำนี้มีขนาดกว่า 36,000 สแควร์เมตร ภายในประกอบด้วยโรงหนัง ที่จัดคอนเสิร์ต และมิวเซียม เมื่อผ่านมาถึงทั้งทีจะแค่แวะถ่ายรูปหรือเข้าไปชมศิลปะชมโชว์ชมคอนเสิร์ตด้านในก็ได้เช่นกัน

ระหว่างเดินไปที่หงหยาตังซึ่งเดินไม่ไกลจากตึกตะเกียบมากนัก เราได้พบกับจุดชมวิวที่ดูขัดแย้งแต่ลงตัวดูมีเสน่ห์มาก มันคือจุดชมวิวที่เราจะเห็นตึกเก่าโบราณแบบหนังกำลังภายในทางฝั่งขวามือแต่พอหันซ้ายก็จะกลายเป็นตึกสูงทันสมัยประหนึ่งมหานครนิวยอร์กก็ไม่ปาน โดยสองฝั่งถูกเชื่อมด้วยสะพานในแม่น้ำแยงซีเกียง ภาพตรงหน้าจึงเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดมากกว่าจะเป็นสถานที่จริง ฟิลลิ่งคล้ายคล้ายกับตอนได้ยินชื่อเมนูสปาเกตตี้เขียวหวานไก่เป็นครั้งแรกนั่นแหละแก

Hongyadong (หงหยาตัง) สถานที่เที่ยวยามค่ำคืนในย่านดาวน์ทาวน์ที่ตกแต่งสไตล์จีนโบราณจนเราแอบคิดว่าจะมีจอมยุทธ์ตัวจริงหลงมาแถวนี้บ้างหรือเปล่า มันคือช้อปปิ้งมอลล์ขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ รวมไปถึงโรงแรมต่างๆ ที่ใหญ่จนเหมือนเป็นเมืองขนาดย่อมย่อมแต่แบ่งเป็นหลายโซนหลายชั้น จะเดินชมให้ครบหรือเลือกเฉพาะชั้นที่ชอบก็ตามอัธยาศัย

ตะวันลับขอบฟ้าเทเลทับบี้บอกลา บ๊ายบาย บ๊ายบายยยย แต่ฉงชิ่งยังไม่ยอมนอน กลับเปิดไฟขึ้นแข่งกับแสงดาว ที่ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก เรายืนมองหงหยาตังที่สดใสด้วยไฟสีส้มอร่างฉ่างเต็มตา อิ่มเอมเก็บเกี่ยวเรื่องราวและบรรยากาศรอบตัวเหมือนกำลังยืนฟังบทเพลงโซนาต้าที่ขับกล่อมก่อนเข้าสู่นิทรา บรรยากาศตรงนี้มันดีจริงๆ

 

อิ่มกับวิวตรงหน้าแล้ว เราก็มองหาอะไรหนักๆ ให้กระเพาะก่อนกลับห้องนอน และสิ่งเดียวที่เรานึกถึงทุกครั้งเวลาพูดถึงอาหารจีน นั่นคือชาบูหมาล่าที่กินเท่าไหร่กินมื้อไหนก็ไม่เคยเบื่อเลยจริงๆ เหมือนต่างชาติมาไทยต้องกินผัดไทยฉันใดไปจีนก็ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งมื้อที่กินชาบูหมาล่าฉันนั้น และชาบูหมาล่าก็ถือว่าเป็นของขึ้นชื่อเมืองฉงชิ่งซะด้วยเค้าว่าที่นี่ความแซ่บความชาลิ้นของหม่าล่าจะรุนแรงกว่าที่อื่น ชนชาติที่หลงใหลมีความเผ็ดร้อนอย่างเราจึงไม่อาจพลาดได้ด้วยประการทั้งปวง และความขึ้นชื่อของมันทำให้ในเมืองนี้เต็มไปด้วยร้านชาบูหมาล่า พอๆ กับร้านส้มตำที่มีให้เลือกทุกมุมถนนของไทย ดังนั้นสะดวกร้านไหนใกล้ที่ไหนก็จัดไปได้เลย ส่วนตัวเราเช่นเคยขอเลือกจากร้านที่มีคนต่อแถวยาวมากที่สุดเพราะเชื่อว่ามันต้องมีความเด็ด และมันก็อร่อยมากจริงๆ ไม่ผิดหวังกับค่ำคืนสุดท้ายที่ฉงชิ่ง กลับห้องไปนอนพร้อมปากเจ่อๆ ได้ สบายใจแล้วววว ….

Day 5 :

วันสุดท้ายกับหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำเมืองฉงชิ่งนั่นก็คือ ศาลาประชาคม Great Hall of the People ที่เอาไว้ใช้ในการประชุมสภาและยังใช้เป็นโรงละคร สถานที่จัดงานคอนเสิร์ตระดับโลกสำหรับประชาชนด้วย ส่วนลานกว้างด้านหน้ายังอนุญาติให้ประชาชนเข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดนิทรรศการ ออกกำลังกาย เป็นต้น ส่วนความสวยงามสีเขียวสลับแดงที่ดูรูปทรงเหมือนหมวกจักรพรรดิ(ในสายตาเรา) ก็ได้มาจากการจำลองแบบของหอเทียนถานหรือหอที่เอาไว้ใช้สักการะฟ้าดินในเมืองปักกิ่ง โดยฝั่งตรงข้ามศาลาประชาคมคือพิพิธภัณฑ์เขื่อนสามผาหรือพิพิธภัณฑ์ซานเสีย ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์โดยมีการแสดงข้าวของและสมบัติต่างๆ ที่ขุดพบให้ชมอีกด้วย ถ้าใครมีเวลามากพอและไม่ตื่นสายแบบพวกเราก็แนะนำให้ลองเข้าไปชมดู

หลังจากตะลอนเที่ยวกินจนอิ่มเอม สัมผัสวัฒนธรรมสมัยโบราณแบบถึงแก่น ชมธรรมชาติอันอลังการสุดลูกหูลูกตา ชมความโมเดิร์นทันสมัยที่เกินคาดของเมืองฉงชิ่งมาตลอดสี่วัน ก็ได้เวลาปิดทริปด้วยการสะสมบุญบารมีที่ หลัวฮั่นซื่อ (Luohan Temple) วัดพุทธที่ถูกสร้างขึ้นมากว่า 1000 ปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง แต่ถูกสร้างใหม่ในปี 1752 และบูรณะอีกครั้งในปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นี่บรรจุรูปปั้นพระอรหันต์และเทพเจ้ากว่า 500 องค์ พระพุทธรูปทองคำและจิตรกรรมฝาผนังสไตล์อินเดียรวมถึงวัตถุโบราณอีกหลายชิ้น ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในโบราณสถาณที่เหลือรอดมาจากช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ท้ายสุดอยากบอกว่าหากแกอ่านรีวิวจีนเราแล้วตัดสินใจได้ว่าควรไปเที่ยวดูสักครั้ง เราก็มีวิธีสุดคุ้มในการประหยัดค่าใช้จ่ายมาบอกกัน เราแนะนำให้เลือกทำวีซ่ากับทาง Seasons Holiday เพราะแค่แสดงตั๋วเครื่องบินที่เดินทางไป-กลับกับแอร์เอเชีย(เฉพาะเที่ยวบิน FD เท่านั้น) ระหว่างวันที่ 1 ส.ค.2561 – 31 ธ.ค.2561 ก็จะได้รับสิทธิพิเศษนั่นก็คือฟรีค่าดำเนินการในการขอวีซ่าจีน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทซีซั่น ฮอลิเดย์ 02-6963333 (ต่อแผนกวีซ่าจีน) และหากใครถือบัตรกรุงศรีอยู่แล้วก็จะยิ่งคุ้มแบบคูณสอง เพราะถ้าแกสำรองที่นั่งไปจีนตั้งแต่ 16 ก.ค. 2561 – 15 ต.ค. 2561 ก็จะได้รับเงินคืนสูงสุดถึง 7% ดีในดี คุ้มในคุ้ม รีบตามไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมเลย ที่นี่

อย่าตัดสินหนังสือจากปกฉันใดก็อย่าตัดสินเมืองจีนจากภาพเก่าๆ ที่เคยฟังมาฉันนั้น เพราะเมืองจีนทุกวันนี้ก้าวหน้าไปไกลจนรถไฟชินคันเซ็นยังวิ่งตามเกือบไม่ทัน เพราะนี่คือแผ่นดินใหญ่จนทำให้แก เหนื่อย … กับความสวยงามของธรรมชาติที่ไม่มีหมด กลัว … กับกับการที่ต้องหาท่าโพสมาใช้ไม่ให้ซ้ำ ช๊อค … กับความโมเดิร์นของเมืองที่ขัดกับภาพจำเดิมๆ มาตลอด ยาก … ที่จะหยุดกินเมื่อต้องเจอกับอาหารอร่อยร้อยแปดอย่างให้ทะลวงผ่านเหมือนด่านมนุษย์ทองคำในเซ้าหลิน และ แน่น … ไปด้วยการต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างมีไมตรีจิตของแดนมังกร เชื่อเราเถอะว่าเมืองจีนยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิม อย่าตัดสินปัจจุบันด้วยอดีตหรือคำบอกเล่า แต่จงเปิดใจออกไปสัมผัส แล้วจะพบความงามที่ฉายแสงอยู่