เที่ยวเกียวโตในมุมที่แตกต่าง :: Around Kyoto

ความรู้ที่ในห้องเรียนไม่ได้บอก …. ถนนสายที่ยาวที่สุดในโลกมีชื่อว่า “การเดินทาง” เมื่อมันเริ่มต้นแล้วก็เหมือนว่าจะไม่มีวันจบลงง่ายๆ แถมเรื่องราวระหว่างทางที่เราพบเจอก็อยู่นอกเหนือตำราเล่มที่เคยอ่าน ไม่แปลกที่หลายครั้งการเดินทางจะทำให้เรารู้สึกเหมือนกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง โดยมีครูที่เปลี่ยนหน้าตาไปเรื่อยๆ ไม่ซ้ำกันเลย ลองวางอีเมลทวงงานลงสักแป๊บ เราขอพาพวกแกกลับไปเป็นนักเรียนและเปลี่ยนห้องไปเรียนกันที่อดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ที่ยังคงรสชาติแบบออริจินอลท่ามกลางกาลเวลาที่หมุนไปได้อย่างงดงาม เกียวโต นั่นเองที่เรากำลังพูดถึง แม้ว่าเราจะเห็นเกียวโตมาแล้วหลายแง่มุม แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกกับหลายๆ สถานที่สุดพิเศษ ชวนตกหลุมรัก เอาล่ะนักเรียน เตรียมกล้องและเมมโมรี่ให้พร้อมเราจะใช้มันแทนสมุดเลคเชอร์ เตรียมพร้อบและเสื้อผ้าไว้ให้ดี เพราะโรงเรียนนี้กว้างใหญ่เกินกว่าจะมาจุกจิกเรื่องผมและการแต่งกาย ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาดิครับ …

เกี่ยวโตมุมมองใหม่รอบนี้ เราไม่ได้จะพาแกไปเช็คอินที่เที่ยว ที่กิน ที่ช้อป พร้อมบอกวิธีการเดินทางแบบทั่วไป แต่เราจะมาบอกสิทธิประโยชน์สุด Exclusive ต่างๆ ที่ได้จาก KBank JCB Credit Card บัตรที่ถือว่าเป็นตัวจริงที่สุดในการเที่ยวญี่ปุ่น ที่จะทำให้การเดินทางครั้งนี้สนุกเกินคุ้มยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เริ่มต้นกันที่สิทธิประโยชน์แรกเอาใจสายช้อปกับการจ่ายสบาย 0% นาน 3 เดือน เมื่อใช้จ่ายบัตรเครดิตที่ประเทศญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ฮ่องกง, สิงคโปร์ และไต้หวัน เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ JPY/KRW/HKD/SGD/TWD อื้อหื้อออ!!!! รูดต่อไม่รอแล้วน๊าาาา ยังไม่พอยังมีต่อกับสิทธิประโยชน์ข้อต่อไปที่เอาใจสายกิน รับเครดิตเงินคืน 3% ไปเลยจ้า เมื่อมียอดใช้จ่ายครบทุก 800 บาท/เซลล์สลิป ณ ร้านอาหารทั่วโลก เซฟคะ!! เอาแบบเดิมอีกชุดเลยค่าาา และอีกหนึ่งข้อที่ทำให้หวั่นไหวไม่ว่าแกจะเป็นสายไหนก็คือทุกการรูดแลกเงินเยนจะได้รับส่วนลด 0.15 บาท : 100 JPY จากอัตราปกติ หรือรับสิทธิ์แบ่งจ่าย 0% นาน 4 เดือน ที่สาขาธนาคารกสิกรไทยที่ร่วมรายการผ่านบัตรเครดิตเจซีบีกสิกรไทย โอ้โหววว เงินในมือมันสั่นมากแม่!!!! และทริปนี้จะคุ้มยิ่งกว่าคุ้มมากขึ้น เพราะมีสิทธิประโยชน์ในการรับคะแนนสะสม KBank Reward Point 2 เท่า ทุกยอดการใช้จ่ายที่ประเทศญี่ปุ่นแบบไม่มีขั้นต่ำ สายช้อปคือสะสมแต้มวนไป แถมยังได้บริการห้องรับรองพิเศษทั่วโลกอีก ใครที่ยังลังเลใจบอกเลยว่าหยุดลังเล และไปสมัครเลย ยิ่งถ้าสมัครบัตรเครดิตเจซีบีกสิกรไทยเป็นบัตรหลัก หรือบัตรเสริมใบแรก และมีการใช้จ่ายผ่านบัตร 10,000 บาทขึ้นไปภายใน 30 วันหลังบัตรอนุมัติ รับฟรี Starbucks e-Coupon มูลค่า 500 บาท (ระยะเวลาโปรโมชั่น 1 มิ.ย. 62 – 31 ธ.ค. 62) เรียกว่าบัตรเดียว คุ้มสุด!!!!

 Day 1 : Day Trip from Central Kyoto to Uji

เกียวโตครั้งนี้ช่างเหมือนการเดินทางอยู่ในบทกวีคลาสสิคร่วมสมัย เพราะเรากำลังจะเดินทางไปยังเมืองมรดกโลกที่ชื่อว่า Uji ที่แม้ไม่ได้โด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย แต่กลับมากล้นด้วยเสน่ห์แบบที่หาตัวจับได้อยากจากเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะสาวกชาเขียวแม้แกจะไม่ได้เป็นหนอนก็ตาม เพราะที่นี่คือเมืองที่ขึ้นชื่อลือเรื่องชาของจริง ไม่ว่าจะมองหรือเดินไปทางไหนแกก็สามารถสัมผัสได้ถึงความหอมกรุ่น และเข้มข้นของชาเขียว ถึงแม้ว่าแกไม่ใช่สายชาเขียวที่นี่ก็ยังมีความน่าสนใจอื่นๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่หลายแห่ง ดังนั้นจะแค่แวะมาเที่ยวแบบวันเดย์ทริป หรือค้างคืนชิลๆ สั้นๆ เมืองแห่งนี้ก็มีเรื่องราวน่าประทับใจรอต้อนรับแกอยู่แน่นอน ออ แถมเดินทางง่ายๆ ด้วย JR จากสถานีเกียวโตเพียง 25 นาที เท่านั้นเอง

• Matcha Republic

ก้าวขาออกจากสถานี JR ด้วยแววตามุ่งมั่นปนน่ารัก ทางเราก็ขอมุ่งหน้าสู่ Uji Bashi Street ถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกเก่าผสมใหม่ที่ในตึกก็เป็นพวกร้านรวงขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันตามสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ ของฝากบ้าง คาเฟ่บ้าง ร้านอาหารบ้าง มันจึงเหมาะแก่การมาเดินทำเท่แอคหน้านิ่งๆ แบบอินดี้มากๆ และบนถนนสายนี้จุดแรกที่เราจะแวะกันก็คือ Matcha Republic ร้านสีขาวที่ดูสะดุดตาจากการตกแต่งอย่างมีสไตล์ทำให้เราตัดสินใจก้าวเข้าไปในร้านแบบไม่ลังเล ด้านในก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเช่นกันเพราะมันน่ารักสุดๆ โดยเฉพาะเคาน์เตอร์ยาวสีขาวที่ให้อารมณ์ความรู้สึกโมเดิร์นร่วมสมัย กับหน้าต่างบานโตที่เปิดรับแสงจากธรรมชาติ บวกกับกลิ่นหอมละมุนของชาเขียวคุณภาพสูง ยิ่งทำให้บรรยากาศเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนชิมเมนูนั้นแล้วต่อด้วยเมนูนี้แบบสบายอารมณ์จนลืมแคลอรี่สุด

นอกจากรูปลักษณ์ที่น่านั่งแล้ว ความโดดเด่นของร้านนี้ก็คือเมนูมัชฉะคุณภาพสูงเป็นสิบๆ ชนิดให้เราเลือก ไม่ว่าจะเป็นมัชฉะร้อน เย็น ไอศครีมมัชฉะ ที่ล้วนแล้วแต่เสิร์ฟมาอย่างมีสไตล์ จนเราอยากจะลองให้ครบทุกเมนู แต่ก็ต้องยั้งใจก่อนเพราะวันนี้ยังมีอะไรให้เรากินอีกเยอะ เลยจัดมาเพียงสองเมนูคือ เมนู Bubble Rock Salt Cheese Matcha latte หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ที่ได้จากการนำใบชาเขียวของเมืองมาบดด้วยเครื่องคุณภาพสูง ทำให้ไม่สูญเสียคุณค่าของชาเขียวไปมาผสมนมสดฮอกไกโด และไข่มุกหนึบหนับ ด้วยความอร่อยฟินก่อนกลับเราเลยไม่ลืมที่จะสั่งแบบขวดหมึกกลับไปกินต่อ และเอาไว้ถ่ายรูปอัพไอจีอวดความมีเทส ดังนั้นไม่ว่าแกจะเป็นสายชาแบบ traditional หรือสายคาเฟ่ฮอฟปิ้งก็รับรองได้ว่าร้านนี้จะดีต่อใจแน่นอน

ส่วนอีกหนึ่งเมนูที่ทางเราต้องขอเทใจให้ก็คือไอศครีมชาเขียวที่ได้วัตถุดิบใบชาจากจังหวัดอูจิ และนมสดแท้จากฮอกไกโด กลายเป็นเมนูที่จับเอาเดอะเบสมารวมกับเดอะเบส จึงคว้าตำแหน่งป๊อปปูล่าโหวตไปแบบไม่ค้านสายตา แล้วคือกินในช่วงซัมเมอร์แบบนี้มันสุดฟิน เด้ง เด้ง เด้ง สายรุ้งสีเข้ม 18 เฉด พุ่งออกจากปาก ส่วนใครที่ชอบมาก …. อินจนอยากเอาไปกินต่อที่บ้าน ทางร้านเค้าก็มีชาเขียวแบบกล่องและแบบซองให้ซื้อติดไม้ติดมือไปเป็นของขวัญของฝากด้วยเด้อ

• Tiny Sprout

ติดกับร้านชาเขียว ทางเราแอบสะดุดตากับการตกแต่งหน้าร้านของ Tiny Sprout ร้าน Hand Made น่ารักๆ ที่เปิดให้บริการมาแล้วกว่าเจ็ดปี งานนี้คนที่ชอบในงานออกแบบที่ไม่เหมือนใครแบบเราก็เลยต้องขอแวะเข้าไปดู แล้ว โป๊ะ!!! เหมือนเสียงของสติจะขาดผึง เพราะของในร้านมันช่างน่ารักกระจุ๊กกระจิ๊ก มีทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ ทั้งเครื่องประดับ ของใช้ และงานอาร์ตแบบคูล ให้ได้สอยติดไม้ติดมือกลับไปใช้กันแบบเก๋เท่ไม่ซ้ำใคร งานนี้ใครอดใจไหวคงต้องขอยกนิ้วไห้เลย เพราะของทุกชิ้นในร้านเป็นงานทำมือ โดยมีเจ้าของร้านกับจักรคู่ใจนั่งออกแบบและทำกันเห็นๆ ตั้งแต่เราเดินเข้าร้าน ยิ่งเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้เราต้องช้อป ช้อป ช้อป ควักกระเป๋าคว้าบัตร KBank JCB Credit Card ออกมารูดปื๊ดๆ เลยทีเดียว

• Byodo-In Omotesando

จากนั้นเราก็เลยเดินตัวปลิวไปชิวต่อกันที่ Byodo-In Omotesando หรือถนนชาเขียว ที่สามารถเดินเชื่อมต่อมาได้จากถนนสายแรกนั่นแหละ แล้วก็ตามชื่อของถนน เพราะตลอดระยะทาง 300 เมตร บนถนนเส้นนี้ทุกอย่างเกือบ 99% คือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากชาเขียว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขนม ร้านน้ำชา ที่คั่ว และทำกันแบบสดๆ ทำให้บรรยากาศบนถนนเส้นนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นของชาเขียว จนดูเหมือนกับฉากในหนังญี่ปุ่นโบราณ ผสานกับโฆษณาชาเขียวของบ้านเรา จนเกือบจะร้องออกมาว่าชิเมโจได๋ (ใครงงแสดงว่าเกิดไม่ทัน)

บรรยากาศก็ชวนให้ถ่ายรูปไป ชิมขนมไป จิบชาไป จำลองตัวเองเป็นนักกวีสายเซนแบบเก๋ๆ เรียกว่าคืนนี้ตาตั้งไม่ต้องนงต้องนอนมันละ ละถามว่าแคร์ไหมก็ไม่แคร์จ้า เพราะแต่ละอย่างล้วนน่าชิม น่าทาน น่าอร่อย ไปซะหมด โดยเฉพาะร้านที่เราไปสะดุดตาเข้าอย่างจัง Marukichi ร้านสีเข้มเรียบๆ ชั้นเดียวที่ตกแต่งด้วยภาพขนมดังโงะหนึ่งอัน ทำให้คนที่ชอบกินขนมดังโงะเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอย่างเราพาตัวเองเข้าไปแบบไม่ต้องคิดนาน ขนมดังโงะที่มีรูปร่างคล้ายกับลูกชิ้นของไทยเรา คือขนมหวานที่อยู่เคียงข้างประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมานานนับ 100 ปี มีหลากหลายรสชาติ และหลากหลายวิธีการทำไม่ว่าจะเป็นต้ม นึ่ง หรือจี่ด้วยไฟ แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือเจ้าลูกกลมๆ นุ่มนิ่มนี้ล้วนทำมาจากข้าวเหนียวที่หุงสุกใหม่ทำให้มันเหนียวหนึบหนุบหนับ ยิ่งเอามาจับคู่กับชาเขียวจากเมืองที่ชาเขียวเลิศเลอแบบนี้ยิ่งทำให้มีทั้งความหอมและความหวานเข้มข้น สามผ่านไปเลยจ้าาา

ส่วนสองเมนูสุดฮิตของญี่ปุ่นที่ทุกคนรู้จักและน่าจะคุ้นเคยกันอยู่แล้วก็คือทาโกะยากิกับเกี๊ยวซ่า บนถนนเส้นนี้เราต้องตกหลุมพรางอีกครั้งกับป้ายที่บอกว่าหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น โดยความพิเศษของทาโกะยากิจะอยู่ที่ซอสราดที่เป็นสีเขียวแปลกตาไปจากที่คุ้นเคย ส่วนเรื่องรสชาติก็จัดว่าได้มาตรฐานทั่วไป แต่เรื่องถ่ายรูปลงโซเชียลต้องให้เค้ายืนนึงล่ะ เพราะไม่มีใครยืนด้วย ส่วนเกี๊ยวซ่าสีเขียวที่ตัวแป้งห่อเป็นสีเขียวจากส่วนผสมชาเขียวก็มีไส้ฉ่ำอร่อยละมุนลิ้น แต่น้ำจิ้มของเค้าจะเปลี่ยนจากซอสเปรี้ยวมาเป็นเกลือชาเขียวแทน คือเกลือเค้าทำมาเป็นผงคล้ายผงชาเขียวป่นๆ เนียนๆ แปลกๆ ดี และอร่อย ซึ่งอันนี้ส่วนตัวคือชอบมากกกกก มากกกกก ห้ามพลาดนาจาจะหาว่าไม่เตือน

• Byodo-in Temple

กินไปเดินไปงานนี้ข้าวเที่ยงคืออะไรกระเพาะก็ไม่สนใจอีกแล้วจ้า เพราะมันคงมัวแต่คิดว่าเมื่อไหร่จะหยุดกินสักทีซะมากกว่า แล้วก็เป็นโชคดีของเจ้ากระเพาะเมื่อเราเดินมาจนสุดสายของถนนชาเขียว ซึ่งทำให้เราได้เจอกับไฮไลท์ของการมาเมืองอูจิในครั้งนี้นั่นก็คือ Byodo-in Temple วัดที่เป็นเสมือนต้นแบบของสถาปัตยกรรมสายโจโด หรือสายแผ่นดินบริสุทธิ์ของชาวพุทธ ซึ่งประกอบด้วยตัววัดที่จำลองสวรรค์มาไว้บนดินและสวนสวยๆ ซึ่งแต่เดิมวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของนักการเมืองตั้งแต่ปี 998 ก่อนจะถูกปรับปลี่ยนให้กลายเป็นวัดอย่างทุกวันนี้

ฟังดูจากประวัติแล้วหลายคนก็คงคิดว่ามันเป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ได้ยังไงนะ แต่สำหรับใครก็ตามที่มาญี่ปุ่นบ่อยๆ เราเชื่อว่าวัดนี้คงค่อนข้างจะคุ้นตาพวกแกอยู่ไม่น้อย นั่นก็เพราะว่าวัดนี้คือวัดที่อยู่ด้านหลังของเหรียญ 10 เยนนั่นเอง รู้อย่างนี้แล้วถ้าไม่ล้วงกระเป๋า(ตัวเอง) หาเหรียญสิบเยนออกมาถ่ายรูปคู่กับวัดเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็คงจะเหมือนกับมาไม่ถึง แล้วถ้าอยากเพิ่มอรรถรสในการเที่ยววัดแห่งนี้ก็สามารถเดินเล่นในส่วนของมิวเซียมด้านในได้ด้วยนะ จะได้คุ้มๆ กับค่าตั๋ว 600 เยน เสร็จสิ้นภาระกิจฟีลมิชชั่นคอมพลีสแบบสวยๆ

• Nakamura Tokichi

พอเดินชมวัดไอ้ที่กินเล่นระหว่างทางก็ย่อยหมดแล้ว ยิ่งพอก้มมองนาฬิกาเวลาก็ล่วงเลยไปบ่ายสองไอ้ที่คิดว่าจุกๆ จากการเดินกินเล่น ข้าวเที่ยงไม่ต้องก็ต้องขอกลับคำเพราะตอนนี้กระเพาะเริ่มโวยวายเราเลยขอไปนั่งจัดหนักกันที่ร้าน Nakamura Tokichi ร้านชื่อดังแห่งเมืองอูจิ ที่มีประวัติครอบครัวผูกพันยาวนานมาตั้งแต่ต้นกำเนิดชาเขียวของเมืองอูจิ โดยเริ่มต้นจากการเป็นผู้ค้าชาเขียวจนมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทชาจนกลายมาเป็น คาเฟ่ในปี 2001 เพื่อให้ผู้เดินทางมีความสุขกับชาของอูจิ ที่ได้รับการผสมผสานและพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 160 ปีในตระกูล เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการดื่มชาต่อไปจากรุ่นสู่รุ่นภายใต้ภูมิทัศน์ริมแม่น้ำที่สวยงาม จนปัจจุบันขยายสาขาไปถึงเจ็ดสาขาโดยอยู่ที่เมืองอูจิถึงสองสาขา ถ้าอยากได้บรรยากาศนั่งกินชาเขียวริมแม่น้ำแบบเราก็ต้องมาสาขาที่ถนนสายชาเขียวนาจา

หลังจากจัดแจงออเดอร์เรียบร้อย เซตโซบะเย็นเส้นชาเขียวก็ถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมกับกระดาษสี่เหลี่ยมจัตรุรัสแผ่นหนึ่งที่บอกขั้นตอนการทาน เนี่ย!! ก็เป็นซะแบบนี้อ่ะญี่ปุ่น มีกิมมิคมีความน่ารักใส่ใจในทุกดีเทลจนตกหลุมรักแล้วรักอีก ซึ่งเจ้าโซบะเย็นถือเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมในช่วงหน้าร้อนของชาวญี่ปุ่น เพราะทานง่ายและช่วยให้อยากอาหารมากขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มความเย็นให้ร่างกายจากภายในด้วย ยิ่งได้มานั่งดูวิวภายนอกของแม่น้ำอูจิแม่น้ำสายยาวที่แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง ภาพแสงแดดที่กระทบกับผิวน้ำและวิวเขาชาเขียวกว้างใหญ่คือวิวที่ทำให้เราอาหารมื้อนี้อร่อยเพิ่มขึ้นอีก

พอทานโซบะเรียร้อยเมนูของหวานที่เราออเดอร์ไว้แต่แรกกูถูกยกมาเสิร์ฟ เมนูเยลลี่ชาเขียวสด ที่มีเครื่องเคียงคือถั่วแดงกวน โมจิ และไอศครีม แค่คำแรกก็บอกได้เลยว่าฟินส์มาก เยลลี่นุ่มลื่นหอมกลิ่นชาเขียวเต็มปาก เต็มจมูก พอทานกับถั่วแดงกวนหวานๆ ก็ได้รสชาติไปอีกแบบ ลองทานกับโมจิก็ละมุน ทานกับไอศกรีมยิ่งเข้มข้น และถ้าอยากเพิ่มความหวานเค้าก็มีน้ำเชื่อมมาให้ด้วยนะ ฮืออออ เขียนไปหิวไปแล้ว ทำไงดี ออ แล้วทุกครั้งหลังทานเสร็จเราก็ไม่ลืมที่จ่ายผ่าน KBank JCB Credit Card เพราะเมื่อมียอดใช้จ่ายครบทุก 800 บาท/เซลล์สลิป ณ ร้านอาหารทั่วโลก ทางเราจะได้รับเครดิตเงินคืน 3% จ้า

• Uji River

หลังจากนั่งมองแม่น้ำอูจิจากในร้านอาหารแล้วก็ยังรู้สึกไม่หนำใจ อยากจะเดินออกมาสัมผัสบรรยากาศดีๆ ด้วยตัวเอง พอทานเสร็จเราเลยเลือกที่จะมาเดินย่อยแถว Uji River แม่น้ำสายยาวแห่งที่แบ่งเมืองอูจิออกเป็นสองฝั่ง เราสามารถเดินเล่นเพื่อชมวิถีชีวิตริมน้ำได้แบบชิวๆ หรือจะล่องเรือไปตามลำน้ำด้วยเรือประมงของชาวบ้านที่ถือว่าเป็นกิจกรรมในช่วงฤดูร้อนที่น่าสนใจ หรือเดินข้ามสะพานไปยังเกาะเล็กๆ กลางน้ำที่ประดิษฐานเจดีย์หินสำหรับสักการะ หรือจะแค่แวะเดินเล่นก็ได้ตามสไตล์ใครสไตล์มันก็ไม่ผิดกติกา

• Uji bashi Bridge

Uji bashi Bridge สะพานไม้เชื่อมเมืองที่ถูกสร้างขึ้นในปี 646 สะพานที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ก่อนจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 1996 ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมด้วยการใช้วัสดุเป็นไม้ที่เติบโตอยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำสายสำคัญแห่งนี้ ใกล้ๆ สะพานจะมีรูปปั้นผู้หญิงกำลังนั่งทำท่าเหมือนอ่านอะไรบางอย่าง เธอมีชื่อว่า มุราซากิ ชิกิบู นักกวีและนางสนองพระโอษฐ์ซึ่งเขียนเรื่องราวโรแมนติกคลาสิคที่มีชื่อว่า Shining Prince โดยใช้ทัศนียภาพของเมืองอูจิเป็นฉากดำเนินเรื่อง ด้วยเหตุนี้มันจึงเหมาะแก่การเดินลัดเลาะให้ลมตีหน้าพลางคิดว่าตัวเองเป็น Shining Prince นี่ถ้าเป็นฤดูอื่นๆ อย่างฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเราเชื่อว่าที่นี่ก็คงสวยสดงดงามไปอีกแบบนึงเหมือนกัน

ก่อนกลับเรารู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งวันในเมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้โด่งดังมากมาย แต่กลับสร้างความประทับใจได้เกินคาด เป็นหนึ่งวันที่เรารู้สึกได้สัมผัสญี่ปุ่นแบบที่ยังเป็นญี่ปุ่นในใจของหลายๆ คนอยู่ ผู้คนน่ารัก มิตรภาพ และรอยยิ้มที่จริงใจ อาหารการกินที่ปราณีต ความเงียบสงบ และเวลาที่ผ่านไปแบบช้าๆ การมาเมืองเล็กๆ แห่งนี้ทำให้เราหลงรักญี่ปุ่นเข้าอีกแล้ว ก่อนจะนั่งรถไฟกลับไปพักผ่อนเอาแรงในเมืองเกียวโต เพื่อจะเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ แล้วมารอดูกันนะว่าเช้าวันถัดไปของเราจะยังหอมกลิ่นชาเขียวอยู่หรือไม่

Day 2 : Day Trip to Miyama Kayabuki-no-Sato

เช้าวันที่สองเราจะไปอีกมุมหนึ่งของเมืองเกียวโตกันที่ Kayabuki-no-Sato หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ และยังคงความเป็นชนบทแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ที่แสนจะน่ารัก ใจดี อบอุ่น มีเสน่ห์ ซึ่งวิธีการเดินทางที่เรารู้จะมีด้วยกัน 2 วิธี คือ วิธีแรกให้นั่ง JR ไปลงที่สถานี Hiyoshi Station แล้วต่อบัสไปยังหมู่บ้าน ซึ่งเท่าที่ลองหาข้อมูลเราไม่ชัวร์เรื่องรอบรถบัส และบางคนก็บอกว่ารอบน้อย วิธีนี้เลยตัดไปก่อนจ่ะ ส่วนวิธีที่สองที่ชัวร์กว่าก็คือนั่งบัสจาก Kyoto Station ซึ่งต้องจองออนไลน์ล่วงหน้าผ่านลิ้งค์นี้ http://www.keihankyotokotsu.jp/info/sonobemiyama/english.html การจองก็ไม่ยุ่งยากเพราะมีภาษาอังกฤษ สามารถจ่ายด้วยการตัดผ่านบัตรเครดิต โดยรถจะมีแค่วันละหนึ่งรอบคือออกจากเกียวโตตอน 10.20 น. และถึงหมู่บ้านเวลา 14.45 น. หรือง่ายๆ คือเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง และเที่ยวในหมู่บ้านอีกประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง อารมณ์เดียวกับการจองวันเดย์ทริปนั่นล่ะ อ่ะ อย่าเพิ่งเบ้ปากไม่อยากไปเพราะรู้สึกว่าจะต้องเสียเวลาทั้งวันเพียงเพื่อไปสถานที่เดียว เพราะถ้าแกได้เห็นรายละเอียดและเสน่ห์ของมันแล้วแล้วก็ แกจะต้องยอมหาเวลามาอย่างแน่นอน

สำหรับ Kayabuki-no-Sato คือหมู่บ้านที่เราเห็นผ่านตามาบ้างและรู้สึกตกลุมรักจนต้องจดไว้ในลิสต์ที่ต้องมาในญี่ปุ่น ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นชุมชนชนบทอย่างแท้จริง เพราะอยู่ห่างจากเมืองโตเกียวถึง 30 กิโลเมตร และวิถีชีวิตยังคงเป็นแบบดั้งเดิมคือใช้หลังคามุงจากในการสร้างบ้านเรือน ที่เรียกกันว่ากระท่อมแบบคายาบูกิ ยังคงวัฒนธรรมการแต่งกาย การประกอบอาชีพดั้งเดิมไว้ ท่ามกลางกระแสของโลกยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ที่นี่จึงเป็นเหมือนญี่ปุ่นที่ถูกหยุดเวลาไว้ การมาเที่ยวที่นี่จึงเหมือนการเดินทางทวนกระแสทุนนิยมเพื่อหวนคืนสู่ความเป็นธรรมชาติที่หาได้ยากจริงแล้วในปัจจุบัน

และเพราะมันยังคงมีวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมให้เราได้เห็นกันอยู่อย่างเช่นบ้านหลังคามุงจาก การทำไร่ทำสวน การเดินทางโดยใช้จักรยานเป็นหลักจริงๆ ไม่ใช่พร้อพประดับ ยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในดินแดนอาทิตย์อุทัยยุคโบราณ โดยไม่ลืมส่งยิ้มหวานราวกับทูตวัฒนธรรมประจำประเทศไทย ยิ่งได้เดินทอดน่องสูดหายใจเข้าเต็มปอดและมองเห็นทิวเขาเป็นเบื้องหลังของวัฒนธรรมอันดีงาม เคล้ากับสีสันของดอกไม้ และเสียงนกที่ร้องจิ๊บจิ๊บ ต่อให้ดูดวงไม่เป็นเราก็รู้ว่าฮวงจุ้ยของที่นี่มันต้องดีแน่นอน คราวนี้แหล่ะได้ถ่ายรูปอัพ Status กันรัวๆ ถึงความเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นแบบไม่ต้องกลัวจะซ้ำใคร พร้อมเปิด Calendar ดูเวลาช่วงใบไม้จะเปลี่ยนสี จะได้ชวนเพื่อนกลับมาชมความงามยามช่วงใบไม้แดงที่คงสวยงามไม่แพ้กันอีกครั้ง

กดชัตเตอร์รัวๆ กับตู้ไปรษณีย์สีแดงที่โดดเด่นอยู่หน้าหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินตามถนนเส้นหลักต่อไปอีกนิดจนเจอกับ Cafe Gallery Saika หนึ่งในบ้านโบราณเพียงไม่กี่หลังที่เราสามารถเข้าไปนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจจิบชาชิมขนม เพราะส่วนมากบ้านที่นี่เป็นบ้านเรือนที่มีคนจริงๆอาศัยอยู่เราจึงไม่สามารถเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปได้แบบหมู่บ้านจำลองทั่วไป แล้วมีหรอที่เราจะพลาด ด้านนอกที่ดูโบราณแล้วด้านในก็มีความเป็นญี่ปุ่นจ๋าไม่แพ้กัน เสื่อทาทามิ โต๊ะไม้สีเข้มเตี้ยๆ ตัวกลม ที่ให้เราได้นั่งดื่มดำบรรยากาศกับพื้นเช่นคนญี่ปุ่นทั่วไปจริงๆ ที่ไม่ต้องมีการประดิษฐ์ประดอยหรือพยายามให้มากความเพราะธรรมชาติของมันก็มีเสน่ห์มากอยู่แล้ว

ถ่ายรูปทั่วๆ พอกรุบกริบเราก็หันไปเห็นชั้นขายโพสการ์ดเล็กๆ เลยคว้ามาด้วย 3ใบ ก่อนจะไปนั่งสอดขาเข้าใต้โต๊ะกลมในมุมดีๆ และสั่งเซ็ทแนะนำของทางร้านที่ประกอบด้วยดังโงะ 1 ไม้ ถั่วแดงกวนหย่อมเล็กๆ ไอศกรีมที่มีเยลลี่อยู่ข้างล่าง และชาร้อนหนึ่งแก้ว เป็นเซ็ทที่เหมาะกับการนั่งดื่มชาชิมขนมไปพร้อมๆ กับการเขียนโพสการ์ดถึงตัวเอง และการอ่านหนังสือเล่มโปรดไปพลางๆ อย่างดีทีเดียว

ดื่มด่ำกับบรรยากาศภายในร้านจนจุใจเราก็ออกมายืดแข้งยืดขาเดินตามป้ายบอกทางไปกันต่อที่ Kamakura Shrine ศาลเจ้าเล็กๆ ของหมู่บ้าน ที่อยู่บนยอดเขาเล็กๆ มันจึงเหมาะกับการสละพลังงานบางส่วนเพื่อเดินขึ้นไปชมวิวมุมสูงของหมู่บ้าน เก็บภาพบรรยากาศความประทับใจแบบสุดสายตา และปล่อยให้ร่างกายได้ดื่มด่ำกับออกซิเจนบริสุทธิ์ที่หาได้ยากยิ่งในเมืองหลวง

ท่ามกลางความเงียบสงบปราศจากความพลุกพล่านของผู้คน กลับเงียบและเยือกเย็นเข้าไปอีก เมื่อเราเดินผ่านประของ Chii Hachimangu Shrine ศาลเจ้าหลักของหมู่บ้านทั้งเก้าในตำบล Chii ที่นี่ถูกออกแบบให้เป็นเสมือนคลังสมบัติของเมืองเกียวโต แม้จะดูเงียบเหงาในช่วงเวลาเช่นนี้ แต่ในเดือนตุลาคมที่มีเทศกาลแห่ศาลเจ้า บรรยากาศจะแตกต่างออกไปแบบ 100% เพราะชาวบ้านจะร่วมมือร่วมใจกันสร้างขบวนแบกศาลเจ้า สองหลัง ที่แบกโดยผู้ใหญ่หนึ่งหลัง และแบกโดยเด็กๆ อีกหนึ่งหลัง แห่ไปทั่วทั้งหมู่บ้านตามความเชื่อที่ว่าพลังของศาลเจ้าจะช่วยขับไล่วิญญาณร้ายและนำความสุขมายังครอบครัวในหมู่บ้าน

หนึ่งวันที่หมดไปกับการเดินทางและการได้ใช้เวลาในสถานที่แห่งนี้เพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง หลายคนอาจมองว่ามันดูเสียเวลากับการได้มาเห็นเพียงโลเคชั่นเดียว แต่อย่างที่เราบอกว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศแบบดั้งเดิมที่ไม่สามารถหาชมได้ทั่วไป มันจึงเป็นเสมือนขุมทรัพย์อันเงียบสงบไว้เติมพลังกายพลังใจ และสร้าง Stories ในการมาเที่ยวญี่ปุ่นมุมใหม่ๆ ได้อย่างดี อย่างนี้เองเราจึงรู้สึกว่าการสละเวลาหนึ่งวันเพื่อมาที่นี่เป็นความคุ้มค่าที่คู่ควร และอยากให้ทุกคนได้ลองมาสัมผัสดู เผื่อแกอาจจะได้เรียนรู้เหมือนกับเราว่าคุณค่าของเวลาไม่ได้อยู่กับปริมาณสถานที่ๆ เราได้ใช้ แต่มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราได้มาระหว่างที่เสียเวลาไปต่างหาก

Day 3 : Sightseeing Spot Along the EIZAN Railway

ด้วยอดีตอันรุ่งโรจน์และความร่ำรวยทางวัฒนธรรม เราไม่แปลกใจเลยหากเกียวโตจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องเช็คลิสต์อยู่มากมาย ทั้งวัดทอง ศาลเจ้าเสาแดงโทริอิ หรือสวนป่าไผ่อาราชิยาม่า แต่สำหรับใครที่อยากได้เช็คลิสต์เพิ่ม เราขอแนะนำให้ลองเที่ยวตามเส้นทาง EIZAN Railway เส้นทางรถไฟที่จะนำพาเราโลดแล่นในย่านโลคอลแบบออริจินอลเจแปนนิสสสส ที่แรกที่เราจะเริ่มก็คือที่อยู่ห่างจากเมืองเกียวโตเพียง 30 นาที อิชิโจจิ (Ichijoji) ย่านที่อยู่อาศัยที่มีสมญานามว่า Ramen Town เพราะมันมีร้านราเมงทั้งสไตล์ร้านอาหารไปจนถึงร้านแบบสตรีทฟู๊ดให้เลือกหม่ำกันจนตาลาย ซึ่งนอกจากร้านราเมงแล้วตลอดสองข้างทางของถนน Manjuin ที่อยู่ติดกับสถานีอิชิโจจิก็ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่สุดน่ารัก แน่นอนว่าหากใครที่อยากมีวันว่างว่างแบบชิวๆ อยากสัมผัสวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นแบบเรียลๆ ต้องลองมาที่นี่ดู

• Akatsuki Coffee

วันนี้เราเลยรับบทเป็นคนท้องถิ่น โดยมโนว่าเปิดประตูออกจากบ้านในย่านนี้แล้วไปนั่งเพิ่มความสดชื่นให้สายวันใหม่กันที่ Akatsuki Coffee ร้านคาเฟ่เล็กๆ ที่ตกแต่งแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น เรียกได้ว่าสำเนาถูกต้องของความมินิมอลจริงๆ ตัวร้านเน้นสีฟ้าขาวกับเฟอร์นิเจอร์ไม้แท้ ที่มีโต๊ะเพียงสี่ชุดกับที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์อีกเพียงสี่ที่เท่านั้น แค่เริ่มต้นวันก็ทำให้เรารู้สึกถึงความเรียบง่ายในแบบฉบับของคนญี่ปุ่นแล้ว

พอเปิดประตูเข้าไปกลิ่นขนมปังที่อบสดใหม่และกลิ่นหอมของกาแฟก็ลอยมาเตะจมูก จะรอช้าอยู่ทำไมเรารีบจัดแจงหาที่นั่ง และสั่งกาแฟดริปที่อาจจะต้องรอนานสักหน่อยเพราะเขาทำใหม่แก้วต่อแก้ว กาแฟที่เราได้จึงหอมละมุน ยิ่งได้ทานคู่กับชิฟฟ่อนเค้กที่ท็อปปิ้งด้วยครีมสดและเชอร์รีลูกโตไปด้วยบอกเลยว่าฟินสุดจ้า ชิมเค้กสักนิดดื่มกาแฟสักหน่อย อัพสเตตัสนิดนึง ฟังเพลงเบาๆ นั่งมองคนเดินไปเดินมาแบบเพลินๆ คือดี นี่แทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวเลยนะ ส่วนมากมีแต่คนท้องถิ่นมากันจริงๆ แถวนี้เลยไม่ค่อยจะวุ่นวายมากนัก

• KEIBUNSHA : BOOKS, GIFTS and SOMETHING FOR LIFE

ออกจากร้านกาแฟก็เดินต่อมาใช้เวลาช้าๆ ง่ายๆ ต่อที่ KEIBUNSHA : BOOKS, GIFTS and SOMETHING FOR LIFE ถ้าจะให้บอกว่าร้านนี้เป็นร้านอะไรกันแน่ ก็คงต้องตอบกลับไปแบบกำปั้นทุบดินว่าตามชื่อของมันนั่นแหละ คือ หนังสือ ของขวัญ และอะไรอีกหลายอย่างสำหรับการดำเนินชีวิต แค่ฟังดูก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ศิลปินเลยใช่ไหมล่ะก็นั่นแหละอารมณ์ของร้านนี้ ภายในร้านจะถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน ที่สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้หมด คือ Keibunsha Bookstore, Keibusha Ichijoji Shop, Keibunsha Cottage และ Keibunsha Gallery Enfer

เมื่อเดินสำรวจภายในร้าน … เราก็พบสินค้ามากมายที่ล้วนทำให้ชีวิตมีความสุนทรีย์มากขึ้น โดยเฉพาะโซนหนังสือที่นอกจากจะประกอบด้วยหนังสือที่ให้ข้อมูลและความรู้ทั่วไปแล้ว ยังมีหนังสือหน้าปกสวยงามที่เหมาะแก่การเอาไปวางประดับตู้หนังสืออีกด้วย แต่กิมมิคที่ทำให้ชีวิตนั้นมี Something for life มากขึ้น เราต้องยกให้การแนะนำหนังสือในแบบที่เราไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน นั่นก็คือเราจะได้เห็นเพียงประโยคสั้นๆ ประโยคเดียวเกี่ยวกับหนังสือแต่ไม่เห็นปก และหากประโยคไหนถูกใจเค้าถึงจะเอาหนังสือเล่มนั้นออกมาให้เรา เก๋มากนาจา … นอกจากนี้ในร้านยังมีสินค้าทำมือ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ โปสการ์ด ของตกแต่งบ้าน รวมถึงมีพื้นที่สำหรับการจัดแสดงศิลปะรูปแบบต่างๆ ให้ศิลปินท้องถิ่นได้เช่าเพื่อโชว์ผลงานอีกด้วย ถือเป็นอีกโลเคชั่นวันธรรมดาในย่านที่ไม่วุ่นวายที่ตอบโจทย์เรามาก

ดื่มด่ำดำดิ่งจนเวลาล่วงเลยมาถึงเวลาเที่ยง บนถนน Higashi Oji-dori Ave ที่มีร้านราเมนอยู่มากกว่า 20 ร้าน หรืออาจเปรียบเทียบได้ว่าที่นี่คือสมรภูมิของราเมงก็ว่าได้ ซึ่งแต่ละร้านที่ตั้งอยู่ใกล้กันบ้างห่างกันบ้างต่างก็ฟาดฟันกันด้วยกิมมิคที่แตกต่างกันออกไป บ้างสู้ด้วยเส้นทำมือ บ้างสู้ด้วยน้ำซุปเข้มข้น ตามแต่จะรังสรรค์ ซึ่งถ้าเราจะลองให้ครบทุกร้านก็คงต้องใช้เวลาหลายวัน เราเลยขอลิสต์มาเพียงสี่ร้านเด็ดอันได้แก่ Ichijoji Boogie, Takayasu, Ikedaya และ Menya Gokekei ที่หาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ต และ YouTube

• Ichijoji Boogie

ร้านแรกที่เราจะไปพิสูจน์ความอร่อยก็คือร้าน Ichijoji Boogie ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่พอเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไปก็จะเจอกับเคาน์เตอร์ตัวแอล ที่มีพ่อครัวหนึ่งคนยืนกำกับดูแลอยู่ และเมนูเด็ดของที่นี่ก็คือราเมงแยกน้ำ เพราะปกติเราเคยเห็นแต่โซบะแยกน้ำ หมี่เย็นอะไรพวกนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราจะได้ลองราเมงแบบนี้ วิธีการเสิร์ฟเค้าก็จะมาแบบแยกเส้นแยกน้ำตามชื่อ ซึ่งจะกินแบบเอาเส้นไปชุบในน้ำหรือเอาน้ำมาราดในเส้นก็ได้ทั้งสองอย่างไม่ผิดกติกา ซึ่งหลังจากลองชิมแล้วต้องบอกเลยว่ามงลงมาก เส้นเหลืองๆ อวบๆ จืดๆ นั้นเข้ากันได้ดีกับน้ำซุปเค็มๆ ที่แสนเข้มข้นและหมูชิ้นโตหนานุ่ม เป็นความละมุนละไมที่เราร๊ากกกก (แต่เรื่องความอร่อยอ่ะเนอะ ฟันธงยาก มาลองเองดีที่สุด)


• Menya Gokekei

ร้านต่อมาที่เรียกว่าฮอตฮิตคิวยาวเว่อร์ในช่วงพีคๆ เช่นมื้อกลางวัน จนเราต้องรอชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะได้เข้าไปนั่ง จนถึงกับคิดในใจว่าถ้าไม่อร่อยจะโกรธมาก ก็คือ Menya Gokekei ร้านที่มีเมนูแนะนำคือ Toridaku The Original, Kurodadu Homemade Garlic Oli และ Akadaku Red Peppers เมนูที่เราสั่งมานั่นเอง แค่เห็นหน้าค่าตาก็รู้สึกได้ถึงความเผ็ดในทันที แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้เผ็ดมากขนาดพริกบ้านเรา แต่ก็ช่วยให้คลายความเลี่ยนได้เป็นอย่างดีจากเจ้า Red Peppers ส่วนความพิเศษที่ทำให้ร้านนี้ขายดิบขายดีก็คือน้ำซุปของทุกเมนูที่มีความข้น ข้นมาก ข้นคล้ายๆ กับน้ำราดหน้าบ้านเรา และเพราะเจ้าน้ำซุปข้นๆ เนี่ยแหละ ทำให้รสชาติของซุปเกาะเส้นได้ดีมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเคี้ยวคำไหนก็อร่อยไม่มีตกจนหมดชาม อิ่มจุก … งานนี้เราเลยต้องขอยกธงขาวให้กับร้านราเมงอีกสองร้านที่เหลือไปก่อน แต่รับรองว่าครั้งหน้าเราจะกลับมาเก็บลิสต์ที่เหลืออย่างแน่นอน

• Mushiyashinai (648471)

กินคาวไม่กินหวานล้างปากมันก็คงรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย สำหรับคนไทยบ่ายแก่ๆ แบบนี้จึงเป็นฤกษ์ดีของ Afternoon Tea ที่จะทำให้ชีวีได้รับคาเฟ่อีนแบบหรูหรา และจากร้านราเมงเราก็แวะเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ ทิศมาเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ร้าน Mushiyashinai (648471) ร้านสีครีมเรียบง่ายที่แฝงสไตล์เก๋ไก๋ไว้ตั้งแต่ชื่อร้าน นางคือร้านขนมหนึ่งเดียวในโลกที่รังสรรค์ขนมทุกชิ้นขึ้นมาจากส่วนผสมของนมถั่วเหลืองแทนนมวัว เพื่อต้องการให้ผู้ที่แพ้นมวัวสามารถทานขนมได้อร่อยไม่แพ้กับสูตรปกติ  และสำหรับเราที่ไม่ได้แพ้อะไรเลยก็ยังต้องขอยกนิ้วให้กับความหอมอร่อยของขนมที่ทำมาจากนมถั่วเหลือง

ภายในร้านเน้นการตกแต่งให้ดูโปร่งโล่งสบายจากสีครีมและเฟอร์นิเจอร์ของไม้ที่เพิ่มความอบอุ่นได้อย่างดี ส่วนเมนูขนมก็มีหลากหลายรูปแบบทั้งทาร์ตสตรอว์เบอร์รี เค้กครีมสด ขนมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม และเครื่องดื่มอีกหลายชนิด แต่ที่เราเลือกมาลองก็คือชาเขียวร้อนกับเค้กพีชที่ทำให้ช่วงบ่ายอย่างนี้มีความสดชื่นขึ้นทันตาเห็น ส่วนใครที่อยากจะกินแบบจุใจเค้าก็มีให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วยเหมือนกัน

• Kifune Shrine

เต็มอิ่มกับความเรียบง่ายของย่านที่คนอยู่อาศัยจริงๆ เราก็กลับมาที่สถานีเพื่อนั่งรถไฟต่อไปที่สถานีเกือบสุดท้าย Kibuneguchi Station จากนั้นนั่งบัสเบอร์ 33 ไปลงสถานีสุดสาย เพื่อไปยัง Kifune Shrine ศาลเจ้าของเทพเจ้าแห่งน้ำที่ถูกก่อตั้งขึ้นมากกว่า 1,600 ปี โดยมารดาของปฐมกษัตริย์แห่งญี่ปุ่นที่มีความประสงค์จะสร้างศาลเจ้าขึ้นซักแห่งหนึ่งโดยใช้วิธีการล่องเรือไปตามแม่น้ำและเมื่อใดก็ตามที่เรือหยุดเป็นจุดสุดท้ายจะถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของศาลเจ้า และมันก็มาหยุดอยู่ที่เมืองเกียวโตนี่เอง ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เหล่าเจ้าของกิจการที่เกี่ยวข้องกับน้ำไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตเหล้า น้ำชา ราเมงต่างๆ นิยมมาไหว้ รวมไปถึงผู้ที่ต้องการขอเรื่องความรักที่นี่ก็โด่งดังไม่แพ้กันเด้อ นอกจากความศรัทธาแล้วทั่วทั้งบริเวณศาลเจ้าก็ยังมีมุมถ่ายรูปที่สวยงามอยู่มากมาย แม้แต่ทางเดินที่จะนำเราขึ้นไปยังตัววัดที่อยู่บนเขาก็จะมีเสาเล็กๆ ด้านบนวางโคมไฟสามเหลี่ยมที่คล้ายๆ ศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ตลอดทาง จึงเป็นอีกหนึ่งกิมมิคที่ไม่ควรพลาด

แต่จุดที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์มากที่สุดก็คือ Sacred Water บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกิดจากธารน้ำใสสะอาดบนยอดเขา Kibune ที่นี่เราสามารถตักน้ำดื่มเพื่อดับกระหายหายและอธิฐานให้สมปรารถนาได้  กับ Fortune by Water กิมมิคสุดน่ารักที่เราอยากให้แกลอง โดยเริ่มจากซื้อใบเซียมซีที่จุดขายข้างๆ เมนฮอลล์ แล้วเอาเซียมซีที่ไม่มีตัวอักษรอะไรเลยมาหย่อนลงในอ่างเล็กๆ รอสักครู่ให้น้ำไหลผ่านและซึมซับเข้าสู่กระดาษ เราจึงจะเห็นคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับการงาน ความรัก สุขภาพ และความปรารถนา ดังนั้นอย่าลืมเก็บรูปไว้ก่อนที่กระดาษจะหายไปซะล่ะ แล้วถ้าอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกก็ไม่ต้องกังวลไป ค้ามีคิวอาร์โค้ดให้เราได้สแกนผ่านแอปพลิเคชันที่จะแปลคำพยากรณ์ออกมาเป็นภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเกาหลี รวมถึงมีคำพยากรณ์แบบเสียงแนบมาให้ด้วยนะ ไฮโซโก้เก๋ไปอีก

เที่ยวกันแบบฉ่ำใจจนหมดวัน เราเลยขอปิดทริปกันที่ย่านนี้ ณ ถนนด้านหน้าศาลเจ้า เส้นทางที่ชิวแบบเกินเรื่องเกินเบอร์และให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง และในช่วงฤดูร้อนแบบนี้เราจะได้เห็นเด็กๆ สาวๆ ใส่ชุดกิโมโนโนทัดดอกไม้สีสวยหวานเดินเล่นผ่านไปผ่านมาหลาย 10 คน ยิ่งเพิ่มความรู้สึกแบบญี่ปุ่นเข้าไปอีก ส่วนรอบศาลเจ้าจะมีเรียวกังให้เลือกประมาณสามสี่แห่ง ใครมีเวลาว่าง และอยากจะมานอนรับฤดูร้อนก็เหมาะ แต่ถ้าใครมีเวลาแค่เช้าไปเย็นกลับแบบเราก็สามารถนั่งชิวเล่นที่กลางแม่น้ำ Kibune River แม่น้ำที่ไหลจากบนยอดเขาเข้าสู่ย่านชุมชน ที่เราสามารถลงไปนั่งกลางแม่น้ำฟังเสียงนก เสียงไม้ เสียงน้ำ เสียงธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ซึ่ง Exclusive สำหรับฤดูร้อนเพียงฤดูเดียวเท่านั้น พอหมดเสียงจิ้งหรีด เค้าก็จะเก็บที่นั่งให้เหลือแค่ในร้านตามปกติเท่านั้น ถือเป็นการปิดทริปของวันในแบบที่ใฝ่ฝันได้ดีมากเลยล่ะ

Day 4 : Live Like a Local at a Small Fishing Village in Kyoto

วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันที่เราจะไปสัมผัสอีกมุมของเกียวโต แต่ต่างจากเดย์ทริปวันก่อนๆ ตรงที่วันนี้เราจะไปนอนค้างคืนกันที่หมู่บ้านชาวประมง ที่ทำให้เกียวโตตีตื้นฝ่าทุกความประทับใจขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในใจได้อย่างรวดเร็ว Ine อิเนะ คือเมืองท่าที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเกียวโตออกไปถึง 130 กิโลเมตร แต่เสน่ห์ของมันก็ทำให้เราอยากที่จะออกเดินทางค้นหา เพราะที่นี่เค้าอนุรักษ์บ้านเรือนเก่าๆ ไว้ ได้อย่างคลาสสิค และแม้แต่บ้านเรือนที่ถูกปลูกขึ้นใหม่ก็ยังถูกออกแบบให้ดูคล้ายกับสไตล์เดิม มันจึงมีความกลมกลืนและเข้ากันได้ดี บวกกับการสะสมวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชาวประมงอันเป็นเอกลักษณ์มาต่อเนื่องยาวนานถึง 1,700 ปีแล้ว เราจึงได้เห็นบ้านไม้กว่า 230 หลัง ริมน้ำที่ปลูกแบบยกพื้นสูงที่เรียกว่า ฟุนายะ โดยชั้นที่หนึ่งถูกทำเป็นที่จอดเรือ ส่วนชั้นบนของบ้านก็จะมีไว้สำหรับจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป แต่ที่พักของเจ้าของจะอยู่บนฝั่งขนานกับฟุนายะ โดยมีถนนกั้นกลางและด้านหลังก็เป็นทิวเขายาวโอบล้อมหมู่บ้านแห่งนี้ไว้เป็นรูปตัวยู ราวกับธรรมชาติกำลังกางปีกปกป้องวิถีชีวิตที่สวยงาม

เราเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ในช่วงบ่ายแก่ๆ และพุ่งตัวไปที่กิจกรรมแรกนั่นก็คือ ล่องเรือชมอ่าวอิเนะ ซึ่งเรือชมอ่าวจะมีตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 16.00 น. โดยในแต่ละรอบจะใช้เวลาประมาณ 25 -30 นาที มีเรือออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมง และสิ่งที่รับรู้ได้ขณะเรือแล่นไปบนผืนน้ำก็คือความสงบและกว้างใหญ่ของอ่าวที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งจังหวะที่เรือค่อยๆ แล่นผ่านบ้านไม้ริมน้ำที่เป็นอู่เก็บเรือ ยิ่งทำให้เราได้เห็นวิวอ่าวและบ้านเก่าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับญี่ปุ่นที่เขาช่างเอาใจใส่ และรู้จักอนุรักษ์ไปพร้อมๆ กับการสร้างมูลค่าให้กับทรัพยากรที่เขามีจริงๆ เสียงของชัตเตอร์เริ่มดังขึ้นแบบไม่ขาดสาย เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากจะเก็บภาพบรรยากาศอันแสนสวยงามนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด และนอกจากการนั่งสวยๆ ถ่ายรูปชมวิวแล้ว เรายังสมารถซื้อข้าวเกรียบหอละ 100 เยน ติดมือลงเรือเพื่อนำมาให้กับนกที่โฉบเฉี่ยวบินไปมาอยู่บนดาดฟ้าของเรือด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์สำหรับการล่องเรือในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ …

• Chinzao

อากาศเย็นๆ ฝนปรอย บรรยากาศเงียบๆ พอจบจากกิจกรรมล่องเรือเราก็แวะไปนั่งจิบชาที่ร้าน Chinzao ซึ่งทันทีที่เดินผ่านประตูบ้านโบราณที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เพราะด้านในคือบ้านที่เป็นบ้านชาวประมงจริงๆ แต่ตอนนี้ได้ถูกกลายมาเป็นช็อปขายชาใต้หวัน มันจึงเรียบง่าย ไม่โลดโผน ไม่โดดเด่น และไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น หลังจากสั่งชาที่ชอบและเดินทะลุตัวบ้านออกมาเจอห้องเก็บเรือที่ตอนนี้ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นที่นั่งจิบชา โดยยังคงเก็บรักษาสภาพแวดล้อมเดิมไว้ไม่ผิดเพี้ยน จะมีเพิ่มเติมก็คงเป็นโต๊ะ เก้าอี้ และกลิ่นชาเท่านั้นเอง สำรวจตรวจสอบยังไม่ทันทั่วพี่เจ้าของก็นำชาที่เราสั่งมาเสิร์ฟ แต่กว่าจะได้กินก็ต้องผ่านพิธีกรรมอันแสนละเมียดตามสไตล์ชาวญี่ปุ่นไปกว่า 10 นาที ชาหอมๆ ถึงจะพร้อมย้ายจากปลายปากกาสู่ถ้วยชา กลิ่นหอม และความร้อนของชาทำให้ร่างกายอบอุ่นพอๆ กับหัวใจที่กำลังสูบฉีดด้วยความสุขที่ได้นั่งจิบชาชั้นดี ชมวิวสวยๆ เหล่มองเจ้านก สูดลมหายใจของอ่าว ถือเป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพมากๆ จนอยากขอห่อกลับบ้านไปด้วยเลย

• Waterfront Inn

ปัจจุบันชาวบ้านส่วนหนึ่งดัดแปลงฟุนายะชั้นบนของอู่เรือเป็นเกสต์เฮาส์เล็กๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งรอบนี้เราเลือกพักกันที่ Waterfront Inn ที่พักขนาดเล็กริมน้ำ ที่มีห้องทั้งหมดเพียงแค่ 8 ห้อง และแม้จะเป็นที่พักเล็กๆ แต่การบริการก็ยังคงความน่ารักตามแบบฉบับญี่ปุ่นอยู่ดี และแน่นอนว่าทุกห้องมีหน้าต่างให้เราเปิดรับลมจากอ่าวและชมวิวได้ตลอดทั้งวัน ลองนึกดูภาพของห้องนอนที่มองเห็นอ่าวแบบใกล้ชิดดูสิ เราว่ามันคือภาพฝันของใครหลายคน รวมถึงตัวเราด้วยเช่นกัน ประโยคหนึ่งที่ผุดเข้ามาในหัวเราทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้าก็คือ “น้ำตาจะไหลขอแชร์ได้ไหมคะ” ก็แกเอ๊ยยยยย มันสวย มันเขียว มันใส มันดีต่อใจแบบสิบ สิบ สิบ ถ้านี่ฝันอยู่ก็ไม่อยากถูกปลุกแน่นอน ยิ่งเราสามารถจ่ายค่าที่พักด้วยบัตร KBank JCB Credit Card ทั้งที่ออกมาไกลขนาดนี้ แต่สิทธิประโยชน์ยังตามมาถึงที่ โอ้โห!!! ครอบคลุมและคุ้มค่า สมมงบัตรที่เป็นตัวจริงที่สุดในการเที่ยวญี่ปุ่นจริงจริ๊ง

6 โมงตรงเป๊ะ แสงเย็นยังไม่ทันร่ำลาก็ถึงเวลานัดหมายที่ทางคนดูแลเกสเฮ้าส์แจ้งสำหรับเวลาอาหารเย็น แน่นอนว่าเราไปตรงเวลาแบบไม่ขาดไม่เกิน และก็ได้พบกับอาหารเซ็ทใหญ่ไฟกระพริบที่มีทั้งปลาหมักซอสหวาน ปลาย่างเกลือ ซาซิมิสดใหม่ และปูยักษ์คนละหนึ่งตัว ที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะที่ให้เราสามารถนั่งหันหน้ามองผ่านกระจกบานใหญ่ไปเจอวิวอ่าวและบ้านไม้ฝั่งตรงข้าม เอาจริงป่ะ!!! ถ้าร้องไห้ได้นี่ร้องอ่ะ นึกว่าได้มาออกรายการฝันที่เป็นจริง เฮ้ยยยย จะไร้ที่ติอะไรขนาดนี้

Day 5 : Full Day in Ine

พอตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปมันก็ออกจะเศร้า 7 โมงปุ๊บเราก็กระโดดลุกจากที่นอนปั๊บ งานนี้อย่าว่าแต่ความงัวเงีย แม้แต่หาวสักนิดก็ยังไม่มี เพราะ 8 โมงตรง เรามีนัดทานอาหารเช้าพร้อมกันในห้องอาหารเดียวกับมื้อเย็นวาน แล้วจะไม่ให้เราตาตั้งด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นอาหารเช้าได้ยังไง และแม้จะเป็นวิวเดิมที่นั่งจ้องราวกับมันจะหายไปในเมื่อวาน แต่มันก็ยังคงความสวยน่าประทับใจไม่ต่างจากเดิม เช้าวันนี้ทางเกรสเฮ้าส์จัดเซ็ทอาหารได้น่ารักกรุบกริบตามแบบญี่ปุ่นให้เราได้ทานกัน อันประกอบด้วยข้าวสวยร้อนๆ ใส่ไข่ดิบ ทานคู่กับปลาหนึ่งชิ้น ซุปหนึ่งถ้วย และเครื่องเคียงพอน่ารักๆ ถือเป็นการเริ่มต้นวันที่ยิ่งทำให้เรารู้สึกไม่อยากกลับบ้านมากขึ้นไปอีก

อิ่มท้อง อิ่มใจ ก็ได้เวลาเช็คเอ้าท์ตอน 10 โมง แล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อเริ่มต้นกับอีกหนึ่งกิจกรรมสุดชิว หลังจากที่เมื่อวานเราเที่ยวชมทางน้ำบนเรือกันเป็นที่เรียบร้อย วันนี้เราก็ขอลัดเลาะผ่านถนนสายเล็กๆ ที่เชื่อมเราไปยังบ้านเรือนต่างๆ ในหมู่บ้าน ด้วยจักรยานที่สามารถยืมปั่นเล่นได้แบบฟรีๆ แถมยังสามารถส่งคืนได้ถึงห้าจุดที่เค้ากำหนดไว้ ปั่นไปจอดไปทั้งทางก็พูดอยู่คำสองคำ คือสวยอ่าาา น่ารักม๊ากกกก ดีงามมมมม วนอยู่แค่นี้แหล่ะ ก็มันดี มันสวย มันน่ารัก จริงๆ นี่หน่า

• Ine Cafe

จุดหมายแรกที่เราแวะระหว่างปั่นก็คือ Ine Cafe คาเฟ่ที่เกิดจากความคิดของคนท้องถิ่นที่รวมตัวกันออกแบบให้คาเฟ่เป็นมิตรกับท้องถิ่น และเหมาะกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยสร้างอาคารขึ้นใหม่โดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกับฟุนายะ ที่ชั้นล่างจะเป็นโถงโล่งๆ แต่ติดกระจกบานใหญ่เข้าไป และใส่โต๊ะเก้าอี้แทนเรือหาปลาสำหรับชมวิว ส่วนขนมต่างๆ ที่ขายกันนั้นก็ใช้วัตถุดิบที่หาได้จากในหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ วิวดีขนาดนี้อันที่จริงสั่งขนมปังหัวกะโหลกมากินก็น่าจะยังรู้สึกดี แต่โชคดีที่เค้ามี Black Coffee ขมๆ ให้ทานคู่กับเค้กช็อกโกแลตเนื้อเข้มข้น กับพานาคอตต้าสีหวานที่ช่วยเพิ่มความสุขให้ช่วงสายของวัน

• Cafe Miyabi

แรงมีก็ปั่นหาวิวอ่าวอิเนะมุมอื่นๆ ต่อไป ซึ่งอันที่จริงก็ยังมีคาเฟ่อีกหลายร้านที่ชวนให้นั่งชิลล์ แต่ถ้าอยากให้เราแนะนำก็ต้องนี่เลย Cafe Miyabi คาเฟ่ที่ไม่เหมือนคาเฟ่เพราะความอบอุ่นที่เราได้รับมันทำให้เรารู้สึกเหมือนลุงเหมือนป้า เหมือนพ่อเหมือนแม่ของเพื่อนสนิทออกมาต้อนรับ แม้ไม่ได้มีขนมฝรั่งและกาแฟอย่างดี แต่ที่นี่ก็มีขนมดังโงะกับชาเขียวหอมๆ และวิวชวนฝันไว้คอยต้อนรับอย่างอบอุ่น ประทับใจรอบที่ร้อยไปจ้าาา

• Mukai Shuzo

ปั่นชิวต่อไม่รอแล้วนะ … ไปต่อที่ มุไคชุโซะ (Mukai Shuzo) โรงสาเกหญิงล้วนที่มีแต่ผู้หญิงเป็นผู้กลั่น ที่นี่ก่อตั้งมาแล้วกว่า 265 ปี และยังคงพัฒนาสูตรอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ก็ยังรักษาวิธีการขนส่งทางน้ำไว้เช่นในอดีต นอกจากจะสามารถเข้าชมวิธีการผลิตได้แล้ว เค้าก็ยังมีตัวอย่างของสาเกให้เราได้ลองชิม หากถูกใจก็สามารถซื้อกลับมาได้ด้วย ส่วนเหล้าที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษของที่นี่ก็คือ “อิเนะมังไค” (Ine Mankai) เหล้าซึ่งมีรสหวานและมีสีเหมือนไวน์โรเซ่

• かもめ

ก่อนกลับเข้าเมืองเราไม่ลืมที่จะฝากท้องไว้ที่นี่อีกหนึ่งมื้อ  かもめ ร้านของคุณลุงคุณป้าหน้าเปื้อนยิ้มสองคน ที่ทำให้เรามีความสุขตั้งแต่ยังไม่ได้ทานอาหารและสุขยิ่งขึ้นเมื่อได้ทานเซ็ทปลาสดๆ ราดซอส ซาซิมิ และหมึกดองที่รสออกเปรี้ยวนิดๆ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ เครื่องเคียงอีกนิดหน่อย เล็กๆ แต่หลากหลายสไตล์ญี่ปุ่น ที่นั่งของร้านมีให้เลือกทั้งแบบสากลคือทานบนโต๊ะหรือแบบญี่ปุ่นคือทานบนเสื่อทาทามิ ซึ่งแน่นอนว่ามาพร้อมกับวิวอ่าวอิเนะที่สวยงามเช่นเคย

เราไม่รู้ว่าหน้าหนาวที่นี่จะหนาวแค่ไหน เราไม่รู้ว่าใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่จะโรแมนติกแค่ไหน เรารู้แค่ว่าเราต้องกลับมาอีกให้ครบทุกฤดูแน่ๆ เพราะขนาดนี่เป็นหน้าร้อนที่มีฝนเป็นอุปสรรคตลอด ยังทำให้เราประทับใจได้ขนาดนี้ แล้วถ้ามันเป็นช่วงที่ทั้งอ่าวถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว หรือช่วงที่ภูเขาทั้งลูกกลายเป็นสีส้ม ที่นี่จะสวยแปลกตากว่านี้อีกขนาดไหน พูดแล้วก็พนมมือไหว้สาต่อฟ้าดิน ขอให้หาเงินกลับมาทันครบทุกฤดู เพี้ยง!!!!!

ทริปนี้ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ก็คงต้องบอกแค่ว่า เพอร์เฟก และเพอร์เฟกยิ่งขึ้นด้วยการมาพร้อมกับ KBank JCB Credit Card ที่ทำให้เจ้าของบัตรได้รับความเพอร์เฟกมากขึ้นตั้งแต่ออกเดินทาง เพราะนอกจากสิทธิประโยชน์ที่เราบอกไปแต่แรกแล้ว เค้าก็ยังมีสิทธิประโยชน์ในการรับคะแนนสะสม KBank Reward Point 2 เท่า ทุกยอดการใช้จ่ายที่ประเทศญี่ปุ่นแบบไม่มีขั้นต่ำ สายช้อปคือสะสมแต้มวนไป แถมบริการห้องรับรองพิเศษทั่วโลก เริ่มตั้งแต่ก่อนเดินทางคือบริการ Airport Lounge ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เอกสิทธิ์ในการเข้าใช้บริการห้องรับรองพิเศษ Royal Silk Lounge บริเวณ Concourse C และ E ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเดินทางไปต่างประเทศโดยสายการบินไทย สามารถใช้สิทธิ์ได้ 2 ครั้งต่อปีต่อท่าน (นับรวมทุกประเภทบัตรเครดิตกสิกรไทย)  (1 ม.ค. 62 – 31 ธ.ค. 62) ญี่ปุ่นก็มีนาจากับบริการ Airport Lounge ที่สนามบิน ในประเทศญี่ปุ่น 28 แห่ง รวมทั้งฮ่องกง, เกาหลี, สิงคโปร์, จีน และฮาวาย (1 ม.ค. 62 – 31 ธ.ค. 62) จะอยู่ไหนก็สบายมากเว่อร์ และปิดท้ายแบบคุ้มๆ กับบริการ JCB Plaza Lounge ใน 9 เมืองทั่วโลก (1 ม.ค. 62 – 31 ธ.ค. 62) ใครยังลังเลใจบอกเลยคุ้มขนาดนี้ไม่ต้องลังเลละจ้า

ถ้าถามว่าญี่ปุ่นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของเราแล้ว เราไม่เบื่อหรอ เราตอบแบบไม่ต้องคิดได้เลยว่าไม่เบื่อเลย ต่อให้มาที่เดิมอีกซ้ำๆ เราก็มั่นใจว่าเรามาได้ เพราะทุกการเดินทางก็เหมือนบทเรียนบทใหม่ที่ได้ศึกษายามใดก็ตื่นเต้นทุกครั้ง แม้จะเป็นบทเดิมๆ แต่กาลเวลาที่เปลี่ยนไป และวัยที่เราเติบโตขึ้น ประโยคเดิมๆ รูปเดิมๆ ก็ดูแตกต่างจากเมื่อครั้งที่เรียนรู้ตอนเป็นเด็กน้อยอย่างมาก และที่สำคัญญี่ปุ่นก็ยังมีอีกหลายสถานที่ หลายแง่มุมที่รอให้เราได้ไปสัมผัส เหมือนอย่างครั้งนี้ที่เราได้เดินทางแบบ exclusive ไปหลายๆ สถานที่ที่ไม่เคยไปในเกียวโต ไม่โด่งดัง ไม่ว้าว แต่ก็ทำให้ใจสั่น แล้วแกล่ะ ได้เริ่มเรียนบทที่หนึ่งบ้างหรือยัง …