รีวิวจีน :: Changing of the Season “Chengdu in 6 Days”

ถ้าหากการเดินทางไปจีนเปรียบเหมือนซีรี่ย์เรื่องโปรด นี่คงเป็นการกลับมาของซี่ซั่นใหม่ที่ชวนตื่นตาตื่นใจมากที่สุด เนื้อเรื่องจะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พีคในพีค ดีในดี ว้าวแบบไม่จบไม่สิ้น เพราะเรื่องราวการเดินทางของเรา 6 วัน ณ เมืองเฉิงตู ในช่วงเปลี่ยนผ่านของฤดูนี้ มีครบทั้งใบไม้ที่เปลี่ยนสี หิมะที่ขาวโพลน รวมถึงความเป็นเมืองสุดไฮเทค ที่เราจะได้สัมผัสความยิ่งใหญ่อลังการคลุกเค้ากับความชิคความคูลที่ลงตัว จนอดคิดไม่ได้ว่าหากชีวิตคือละคร นี่คือตอนที่อยากเล่นให้นานที่สุด ใครไม่ร้องอู้วหูว คงมีแค่ 2 เหตุผล คือช็อคจนตาค้าง กับสวยจนลืมหายใจ เอาล่ะ ไม่ต้องบรรยายให้มากความ ได้เวลาเปิดใจให้จีน ออกเดินทางไปรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ถ้าไม่ใช่จีนก็ไม่รู้ว่าจะไปหาได้จากไหน …. ตามเรามาดู แล้วจะรู้ว่าไม่ได้โม้จริง ๆ จ้า

ไปจีนทุกครั้ง … สายการบินที่ยืนหนึ่งในใจเราแน่แท้ต้องเป็นแอร์เอเชีย เพราะนางมีบินตรงสู่จีนมากที่สุด โอเอ็มจีมากแม่ คาราวะ 3 จอกให้ก่อนเลยจ้า แล้วพอมาดูราคาบินตรงแต่ละเมืองแล้วก็ต้องบอกว่าดีงาม ใคร ๆ ก็บินได้ของจริง ยิ่งถ้าเพิ่มแพ็กสุดคุ้มก็สามารถเปลี่ยนสายการบินโลว์คอสให้กลายเป็นฟูลเซอร์วิสได้ในพริบตา แถมยังประหยัดกว่าซื้อแยกมากสุดถึง 20% รับไปแบบจุก ๆ ทั้งอาหารร้อนบนเครื่อง น้ำหนักกระเป๋าไว้ขนของฝาก เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อีก 20 กิโลกรัม เลือกที่นั่งได้ตามใจ และที่สำคัญมาพร้อมประกันการเดินทาง ทำให้ทุกเที่ยวบินอุ่นใจในทันที แหม ดีจริงแบบไม่อวย สิบ สิบ สิบต้องมาแล้วป่ะแม่

Day 1 :: Chengdu — Heishui

เครื่องแลนดิ้งถึงแผ่นดินใหญ่ในเวลาค่ำ คืนนี้เราเลยขอนอนพักเก็บแรงจะได้ตื่นมาแก้มแดง ๆ เด้งฟูในสายของอีกวัน และเริ่มการเดินทางโดยรสบัสจากเมืองเฉิงตู ประมาณ 6-7 ชั่วโมง เพื่อไปถึงเมือง Heishui ที่อยู่ทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวนตอนเกือบเย็น เพื่อเดินเล่นชมทัศนียภาพของเมือง บอกเลยว่าที่นี่ลบภาพจีนแบบเดิม ๆ ในใจของเราได้หมดจดยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าที่นี่จะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่มาก ๆ แต่ตึกรามบ้านช่องก็ดูสะอาดสะอ้าน ถนนหนทางก็สะดวกสบาย ร้านรวงก็มีมากมาย แถมทัศนียภาพรอบข้างที่รายล้อมไปด้วยภูเขา และต้นไม้ที่เขียวชอุ่มก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกสดชื่น

เดินเล่นเรื่อยเปื่อยท่ามกลางบรรยากาศเย็น ๆ ในเมืองจีนแบบนี้ เมนูเดียวที่เราจะนึกถึงได้ก็คือ ชาบูหมาล่า ลองคิดถึงน้ำซุปร้อน ๆ รสเผ็ดจัดจ้านหอมเครื่องเทศที่ในหม้อเต็มเปี่ยมไปด้วยผักกาด เห็ดเข็มทอง สาหร่าย ลูกชิ้น เนื้อหมู เนื้อวัว รวมถึงไฮไลท์เด็ดอย่างเนื้อจามรี แค่นี้ก็เหมือนยกความสุขมาไว้ตรงหน้าแล้ว แต่ถ้าแกอยากลองกินอาหารพื้นเมืองสไตล์ทิเบต สตรีทฟู๊ด ที่นี่ก็มีหลายร้านให้ได้เลือกดู เลือกลอง นะจ๊ะ

Day 2 :: Heishui — MaoXian

เริ่มต้นเที่ยวกันจริง ๆ จัง ๆ ในวันที่สองแบบเช้าตรู่ เรานัดรถที่ติดต่อไว้ให้มารับเพื่อไปส่งยัง Dagu Glacier เส้นทางสุดฮอตฮิตของนักเดินทางที่ลงทุนออกจากเมืองเฉิงตูหลายชั่วโมงเพื่อมาถึงที่นี่ ณ ที่ที่ถูกขนานนามว่าอุทยานสวรรค์ภูผาหิมะกราเซีย ความงามของที่นี่ได้ถูกเปิดเผยขึ้นผ่านดาวเทียมในปี 1992 โดยมันถูกจัดให้เป็นธารน้ำแข็งที่ตั้งอยู่ต่ำที่สุด และมีอายุน้อยที่สุดในโลก ซึ่งชาวพื้นเมืองของที่นี่เชื่อว่า ธารน้ำแข็งเหล่านี้คือที่อยู่อาศัยของเทพเจ้า และหลังจากที่เราได้เห็นมันเราก็เชื่ออย่างนั้นแหละเพราะถ้าเราเป็นเทพเจ้าเราก็คงเลือกอยู่ในที่ที่สวยขนาดนี้เท่านั้นเหมือนกัน สำหรับค่าใช้จ่ายจะแบ่งออกเป็น 120 CNY สำหรับค่าตั๋วเข้าอุทยาน และ 70 CNY สำหรับตั๋วรถบัสไปกลับระหว่างทางเข้าไปยังสถานีเคเบิลคาร์

จุดแรกที่บัสอุทยานจอดให้เราแวะก็คือ Golden Mokey Lake ทะเลสาบอายุนับ 1000 ปี ที่ใช้สำหรับการบริโภคและการท่องเที่ยว โดยมีผู้ใช้บริการเป็นทั้งมนุษย์และเจ้าลิงจ๋อตัวโต ที่นี่วิวกว้างมาก ๆ น้ำใสสุด ๆ ต้นไม้ทั้งเขาก็พร้อมใจกันย้อมสีแต่งแต้ม เขียว ส้ม เหลือง แดง ยิ่งช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาวแบบนี้ยอดสูงสูงก็ยังถูกเพิ่มควมสวยด้วยสีขาวจากหิมะที่เริ่มปกคลุม จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าการเดินทางครั้งนี้เป็นหนังสักเครื่อง ฉากเปิดตัวก็ต้องถือว่าว้าวมาก ฟินมาก เราเชื่อว่าจุดต่อไปมีน้ำตาไหลแน่นอน


จุดที่สองที่เราแวะคือ Zena Lake ทะเลสาบที่มีความหมายว่าการปลดปล่อยเหล่าสรรพสัตว์ ชาวทิเบตท้องถิ่นที่นี่จึงนิยมนำสัตว์น้ำมาปล่อยในทะเลสาบแห่งนี้ เพื่อขอพรให้การเกษตรอุดมสมบูรณ์มีโชคลาภ และความสงบสุข นอกจากเสียงของน้ำตกที่ดังก้องแล้ว สายลมเย็น ๆ ที่พัดมาทักทาย และสายหมอกที่เริ่มหยอกล้อกับยอดเขารวมถึงหิมะที่กำลังโปรยปรายบนยอดสน เมื่อมารวมตัวกับบ้านเรือนไม้แบบทิเบตเล็ก ๆ กับธงหลากสีสไตล์ทิเบต ยิ่งทำให้ที่นี่น่าหลงใหล และติดตาตรึงใจเรามากขึ้น

เราหันหลังให้กับสายน้ำที่ไหวกระเพื่อม และต้นสนสีเขียวที่กำลังยืนสงบ มานั่งนิ่งอยู่บนรถบัสที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านถนนคดเคี้ยว มุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางที่เยียบเย็น ภาพภูเขาหลากสีสันก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยหิมะทุกอณู อากาศที่เย็นกำลังดีบัดนี้เริ่มหนาวจับใจ เสียงชัตเตอร์ของทุกคนเริ่มดังขึ้นแบบไม่ขาดสาย พลางสอดสายตาหันซ้ายแลขวาโดยไม่กล้าหลับ เสียงฮือฮาเกิดขึ้นแทบจะทุกโค้งที่รถไต่ความสูงเพิ่มขึ้นไป ณ จุดนี้ทางเราต้องบอกว่าแฮปปี้มากจ้า

และในที่สุดภาพของ Dagu Lake ก็ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า เราเดินลงจากบัสเหยียบไปบนหิมะ แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าทะเลสาบ สายน้ำนั้นไม่ไหวกระเพื่อมแล้ว แต่มันสงบนิ่งสะท้อนภาพของภูเขาทั้งลูกราวกับมีโลกอีกใบอยู่ใต้ผืนน้ำนี้ และบทภาพยนต์ในตอนนี้ก็คงเป็นฉากที่วางปมสำหรับให้เราอยากจะติดตามต่อไป จนแทบทนไม่ไหว ไม่รอช้าเราก้าวขาเดินเข้าสู่ฉากถัดไปเพื่อสำรวจรอบ ๆ ทะเลสาบ ในเส้นทางที่หิมะยังบางเบาพร้อมให้เราเดินผ่านเพื่อหามุมที่มั่นใจมากว่าถ้าโพสต์รูปลงโซเชียลปุ๊ป หลังไมค์จะต้องถล่มทะลาย เพื่อให้เราคอนเฟิร์มว่าเมืองจีนไม่จีนแบบที่คิด และยังมีวิวชวนว้าวราวกับสวิสเซอร์แลนด์ขนาดนี้อยู่จริง ๆ

สตั้นกับความงามเว่อร์วังไปหลายนาที เราก็ไปต่อที่จุดหมายปลายทาง เพื่อซื้อตั๋วที่สนนราคา 180 CNY สำหรับนั่งกระเช้าสวย ๆ ที่ปลอดภัยแน่นอน ขึ้นไปยังยอดของธารน้ำแข็ง ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 4,860 เมตร ดังนั้นนอกจากความสวยที่ชวนหยุดหายใจแล้ว ความสูงก็ชวนให้เราหยุดหายใจได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นควรพกน้ำเพื่อจิบเรื่อย ๆ ไม่โลดโผนโจนทะยานมากเกินไป พกออกซิเจนกระป๋องขึ้นไปด้วย แต่ถ้าอยากจะชัวร์ทางเราแนะนำให้ทาน Diamox ยาที่จะช่วยเรื่องอาการแพ้ความกดอากาศสูงไปเลยจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงที่จะช็อคความสูงได้ ซึ่งหากพวกเธอทำตามนี้แล้วสวรรค์ก็ไปได้แม้จะยังไม่เสียชีวิตอย่างแน่นอน และทุก ๆ ความสูงที่กระเช้าค่อย ๆ พาเราขึ้นไปสู่ยอดวิวตรงหน้า ก็ยิ่งเผยให้เห็นความสวยงามที่แท้จริงของยอดเขาแห่งนี้ จนเราอยากจะเก็บทุกอณูของสิ่งที่อยู่ในสายตาไว้ตลอดจริง ๆ แม้ว่าวันที่เราเดินทางไปฟ้าจะปิดยอดไม่เปิดพายุหิมะพัดมาเป็นระลอก แต่เท่าที่เราได้เห็นก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว

หลังจากยอมแพ้ให้กับความหนาว ทางเราขอหลบหิมะเข้ามานั่งในคาเฟ่สีไม้แสนอบอุ่น ที่ถูกจัดให้เป็นคาเฟ่ที่สูงที่สุดในประเทศจีน สั่งลาเต้ร้อนมาเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกาย กับเค้กหวาน ๆ สักหนึ่งชิ้น เพื่อเพิ่มความฟินในวันหนาว ๆ พร้อม ๆ กับการเหยียดแข้งเหยียดขา นั่งหารูปที่จะโพสต์อีกสักพัก แล้วค่อยนั่งกระเช้ากลับลงข้างล่าง ออ แต่ถ้าใครอยากจัดหนักที่นี่เค้าก็มีอาหารพวกสเต็ก รวมถึงอาหารคาวอื่น ๆ ไว้บริการด้วยนะ

ขึ้นชื่อว่าอุทยานแห่งชาติของจีนแล้วล่ะก็ เอาจริงมันมีจุดให้ท่องเที่ยวเยอะกว่านี้อีกมาก ๆ แน่นอนว่าถ้าแกมีเวลามากว่าเรา แนะนำให้เที่ยวเต็มวันไปเลย แต่ถ้าคนมีเวลาน้อยจะเที่ยวเสร็จสักบ่ายสองแล้วเหมารถต่อไปส่งที่ MaoXian เพื่อเที่ยวอุทยานถัดไปในวันรุ่งขึ้นแบบเรา ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเว่อร์เช่นกันจ้า

Day 3 :: MaoXian — Songpan

เช้าวันที่สามกับอุทยานที่สองของทริป ซึ่งสวยไม่แพ้กันเลยกับ Songpinggou สวรรค์บนดิน ทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ ที่เที่ยวระดับเอสี่ที่เป็นรองจากระดับสูงสุดเพียงหนึ่งชั้นเท่านั้น เจ้าของสมญานามดินแดนสวรรค์แห่งใหม่ของจีน บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,500 เมตร กินพื้นที่ 160 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 3 หุบเขา 9 ทะเลสาบ และ 40 วิวทิวทัศน์ ซึ่งน้ำในทะเลสาบที่เราจะได้เห็นนี้เกิดจากการละลายตัวของหิมะบนยอดเขาไหลผสมหลอมรวมกับแร่ธาตุหลายชนิดทำให้น้ำในทะเลสาปแห่งนี้มีสีสันสวยงามในทุกฤดูตลอดทั้งปี

เราโชคดีที่มาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาจึงพร้อมใจกันเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลืองผสมแดงไปทั่ว ขนาดว่านี่ไม่ใช่ช่วงที่สวยพีคที่สุด แต่มันก็ทำให้เราเกือบหยุดหายใจได้ในหลายช่วงเหมือนกัน สำหรับที่นี่มีวิธีการเที่ยวหลายแบบทั้งเดิน ทั้งนั่งรถ แต่ด้วยคนมีเวลาไม่มากนักแบบเรา ขอเลือกจ่ายค่ารถเที่ยวอุทยานเพิ่มอีก 90 CNY แล้วนั่งรถเข้าไปเริ่มต้นที่จุดไกลสุด ณ LongSea ที่ลักษณะเป็นภูเขาสูงใหญ่ มีน้ำสีฟ้า มีไอหมอกหนาลอยท่วม แม้ในวันที่ไม่มีแสงส่องมันยังส่วยได้ขนาดนี้ ฮือออ น้ำตาจะไหลแล้วแม่

วันนี้ต้องบอกเลยว่าเราเจอครบทุกอย่าง ทั้งหิมะเอย ละอองฝนเอย ใบไม้เปลี่ยนสีเอย จากจุดแรกเราก็เดินชิว ๆ ลัดเลาะตามทางเดินที่เชื่อมต่อกันเรื่อย ๆ ระหว่างทางก็มีบ่อน้ำสีสวยให้ถ่ายรูปตลอด ดูสมบุกสมบัน มีเรื่องราวตลอดทาง แต่ก็สนุกมาก เพลินกับเส้นทางนี้มากๆ  เพราะนอกจากวิวจะดีแล้วเส้นทางเดินที่เค้าทำไว้ต้องยกนิ้วเลยว่าเยี่ยมจริง ๆ มันกว้างกำลังดี สะอาด เดินง่าย ปลอดภัย และเชื่อมต่อกันตลอดเส้น ทำให้เราเดินชื่นชมธรรมชาติได้โดยไม่ต้องกังวลมากนัก คือไมต้องกลัวหลงเลยอ่ะ ดีม้ากกกก

เดินมาเรื่อย ๆ จนมาถึง Wishing Tree แล้วก็สมชื่อนั่นล่ะ เราเห็นคนขอพรกันเยอะเลย พอขอเสร็จเค้าก็แขวนผ้าแดง ส้ม เหลืองจนมันเต็มต้นไม้ไปหมด ดูแล้วสวยดี แถมเข้ากับสีสันยามใบไม้เปลี่ยนสีแบบสุด ๆ ทางเราเลยต้องขอเดินเนียน ๆ ไปถ่ายรูปแล้วพนมมือขอพรกับเค้าบ้าง ก่อนจะวางมือลงยกกล้องขึ้นส่องไปที่อีกไฮไลท์ของมุมนี้ที่ Wucai Pond บ่อน้ำที่มีความหมายว่าทะเลแห่งรัก สีของมันก็สวยสดใสราวกับหญิงสาวในบทกลอน แม้ว่าตลอดเส้นทางที่เราผ่านมาจะเต็มไปด้วยบ่อน้ำสีฟ้าอยู่มากมาย แต่ ๆ ละบ่อก็มีมนต์เสน่ห์ที่แตกต่างกันไป บ้างถูกโอบล้อมด้วยต้นสน และหิมะที่ขาวโพลน บ้างมีสีฟ้าล้ำลึก บ้างมีสีฟ้าสดใสแบบบ่อนี้ มันจึงเป็นคนละเรื่องเดียวกันที่ดูกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกสลับฉากไปมา เราเลือกนั่งรถอุทยานมาลงที่อีกหนึ่งไฮไลท์ที่สวยแบบต้องห้ามพลาด Mohai ที่มีชื่อแปลได้ว่าหมึกสีน้ำเงิน ซึ่งสอดคล้องกับสีของน้ำที่เป็นสีน้ำเงินเข้มอันเกิดจากความลึกชนิดที่ไม่สามารถหยั่งถึงก้นของมันได้ และรอบข้างของสายน้ำใสที่สะท้อนทุกสิ่งรอบข้างคือ ดอกไม้นานาพันธุ์ และต้นไม้ที่พร้อมใจกันเปลี่ยนสีย้อมภูเขาทั้งลูกได้พีคราวกับเป็นภาพวาดที่จิตกรหวังจะใช้ภาพใบนี้มัดใจผู้ชมให้อยู่หมัดในพริบตาเดียว อากาศก็แสนจะสบาย ทำให้การโพสท่าถ่ายรูปของเราเป็นเรื่องชิว ๆ ถ่ายได้เรื่อย ๆ แบบเหนื่อยเราไม่เหนื่อย เมื่อยเราไม่เมื่อย เราโพสไปเรื่อย ๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย

อยากจะหยุดใช้คำว่าสวยมาก แต่มันก็ทำได้ยากเพราะวิวตรงหน้ามันสวยมากจริง ๆ สตั้นนิ่งไปสามสี่วิกันเลยทีเดียวกับวิวที่เราเจอหลังจากนั่งรถอุทยานกลับมาที่จุดเริ่มต้น แกเลื่อนดูภาพก่อน อึ้งม้ะ อึ้งงงงง ตะลึงม้ะ ตะลึงงงง คือ สวยจนอยากสบถแบบ โอ้โห แม่ เอ๊ย สวยอะไรจะปานนี้ น้ำเป็นน้ำ ไหลนิ่ง ๆ แต่กระทบใจแรงเหลือร้าย เขาเป็นเขายืนเฉย ๆ เรายังรัก หมอกเป็นหมอก แม้จะลอยละล่องแต่ก็ฟุ้งเต็มหัวใจ ทำไมอ่ะ ทำไมจีนดีขนาดนี้แต่เราเพิ่งจะมารู้

เช่นเดียวกันกับอุทยานในประเทศจีนที่เคยไปมา คือการจัดการ การใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า จุดเที่ยวจุดถ่ายรูปเยอะ ที่นี่ก็ใหญ่แบบเที่ยวได้หลายวัน จริง ๆ ยังมีอีกหลายไฮท์ไล์ไม่ว่าจะเป็น Baishi Lank, Grass Lake, Upper Baila Sca, Baila Village รวมถึงจุดที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่เราสามารถจัดแพลนเที่ยวเองได้สบาย ๆ แต่สำหรบเราที่มีเวลาไม่มากนัก เที่ยวแค่นี้ก็อิ่มจุก จัดเวลาลงรูปกันแทบไม่ทัน ช่วงบ่ายแก่ ๆ เราจึงตัดสินใจนั่งรถยิงยาวไปนอนยังเมืองต่อไปเพื่อรอเที่ยวอุทยานสุดท้ายของทริปกันแบบอิ่มใจ อิ่มตา งื้อ ตื่นเต้นกับเมืองต่อไปมากบอกเลย คาดหวังละนะแม่จีน

Day 4 :: Songpan

หวังและไม่เคยจะผิดหวังกับจีนสักครั้ง วันที่ 4 นี้เรายังคงเที่ยวและกลับมานอนกันที่เมือง Songpan โดยเราจะเที่ยวกันที่ Huanglong National Park อุทยานแห่งชาติหวงหลง” หรือ “มังกรเหลือง” ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงถึง 3,000 – 5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่มีไฮไลท์คือ ทะเลสาปหลากสี ที่เกิดจากสระน้ำเล็ก ๆ นับพันสระเรียงรายสลับสี สลับความลึก ถ้ำ น้ำตก หิน ฯลฯ มาอยู่รวมตัวกัน กลายเป็นทะเลสาปสวรรค์ที่ทำให้ทุกคนพร้อมใจมุ่งหน้ามาเชยชม นอกจากนี้ที่นี่ก็ยังมีภูเขาหิมะ ป่าแห่งความลับ หมู่บ้านในหุบเขา และความสวยงามอันน่าค้นหาอีกมากมาย ทำให้ที่นี่ถูกรู้จักกันในนาม โลกแห่งความลับและสวรรค์บนแผ่นดิน และทำให้มันได้รับรางวัลมรดกโลกทางธรรมชาติจากยูเนสโกด้วยจ้า

จากเมื่อคืนที่หิมะได้โปรยปรายโหมความหนาวและความขาวไปทั่วเมือง เช้านี้สองข้างทางจึงถูกย้อมจนขาวโพลน เนี่ยแหล่ะความดีงามของการมาช่วงที่ฤดูกาลกำลังเปลี่ยนผ่าน เพราะมันจะได้เจออะไรที่ไม่คาดคิดเสมอ จากตัวเมืองกับเพลย์ลิสต์เพลงที่เตรียมไว้ แทบจะลืมความเบื่อระหว่างทางจนมาถึงจุดขายตั๋ว วิธีการเที่ยวที่นี่จะเป็นรูทเที่ยวแบบวงกลม โดยจะเริ่มจากการนั่งกระเช้าขึ้นไปยอดแล้วค่อยเดินชมวิวกลับมาเรื่อย ๆ หรือไม่ก็เดินขึ้นแล้วนั่งกระเช้ากลับลงมา เราไม่แนะนำให้ขึ้นลงกระเช้าเพราะจะทำให้พลาดจุดสวย ๆ สำคัญระหว่างทาง สำหรับค่าเข้าจะอยู่ที่ 200 CNY / คน ค่าเคเบิลคาร์ 80 CNY / คน / รอบ ส่วนเราขอนั่งกระเช้าขึ้นสวย ๆ แล้วเดินลง เพราะน่าจะทำให้เหนื่อยน้อยกว่า คือนึกออกม้ะ เดินลงตามแรงโน้มถ่วงอ่ะ ใช้แรงน้อยกว่าแน่นอน เห็นม้ะ คิดมาแล้ว

ลงกระเช้าเราก็เดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนความสูง 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ที่เค้าว่ากันว่าหากมาในฤดูร้อนจะได้เจอกับสัตว์ป่านานาชนิด เพราะผืนป่าแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ความหลากหลายทางพันธุกรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเสฉวน โดยเค้าว่ามีสัตว์สงวนอันดับหนึ่งอยู่ถึง 6 สายพันธุ์ และสัตว์สงวนอันดับสองอีกถึง 16 สายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น แพนด้า เสือดาว กวาง หมีดำ หมาป่า ฯลฯ ซึ่งหากแกโชคดีก็อาจจะได้เจอน้อง ๆ เหล่านี้ได้ แต่ถ้าไม่ได้เจอ พอเดินถัดไปอีกหน่อยก็ยังมีรางวัลปลอบใจเป็นจุดชมวิวชวนว้าว Lee Wang Long Ping ที่จะทำให้แกได้พบกับวิวที่สวยเหลือเชื่ออออ (แม้จะผ่านความเหลือเชื่อมาหลายจุดแล้วก็ตาม) จุดนี้เราจะได้เจอทะเลหมอกลอยอยู่เหนือยอดสนที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะบนภูเขาที่สลับซับซ้อน มองถัดไปอีกนิดเราจะเจอกับบ่อน้ำสีฟ้าใสเรียงรายกันเป็นชั้น ๆ ไกล ๆ เฮ้อ อยากจะถอนหายใจเป็นภาษาฮินดู เพราะวิวที่อยู่ตรงหน้าคือสวยจนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง จนเราถ่ายซ้ำถ่ายซ้อน ขยับมุม เปลี่ยนองศานิดนึงเราก็ถ่ายอีกแล้ว

ทางเดินที่ค่อนข้างจะยาวไกล แต่ก็ใกล้ลงได้เพราะเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ทั้งเสียงทักทายเสียงหัวเราะอันเป็นมิตรของชาวจีน ที่พยายามพูด พยายามสื่อสารกับเรา ทางเราก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ให้สมกับสยามเมืองยิ้มโบ้ ๆ เบ้ ๆ ไปตามประสา แล้วเดินเล่นดูนู่นนี่ ลองจับหิมะมาปั้นติดตาติดจมูกดูบ้าง ก็รู้สึกตัวเองน่ารักคุกคิกทะลุมาเลยอิ๊อิ๊ สงสัยจะได้รับความใส ๆ ถ่ายทอดมาจากหิมะ บางจังหวะก็เดินต่อแบบชิว ๆ แล้วเผลอลื่นบ้าง หิมะหล่นใส่หัวบ้าง แต่ทุกจังหวะมันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับรอยยิ้มจริง ๆ งานี้ต่อให้เป็นสโนว์ไวท์ก็เถอะ มาเจอเราตอนนี้ความสดใสต้องมีสูสี

เนี่ยละครชีวิต จุดพีคที่ว่าพีคมันยังมีพีคได้อีก เราเดินลั่นล้ามาเรื่อย ๆ ก็มาถึงจุดเช็คอินถัดไป Huanglong Ancient Temple วัดบนเขาที่ไม่คิดว่าจะมีวัดกับวิวที่ยอมตายแล้วจ้าแม่มาอยู่ตรงนี้ สวยแบบตายตาหลับจ้า ลำพังแค่ธรรมชาติขาวโพลนก็สวยตาแตกอยู่แล้ว แล้วนี่ยังมามีวัดที่มีความหมายว่า วัดทะเลสีทอง ที่ถูกสร้างอย่างสวยงามมาตั้งแต่ราชวงศ์หมิง ตั้งตระหง่านแทรกตัวอยู่กลางช่องเขาให้เราได้อึ้งตะลึงซ้ำกว่าเดิมอีก เราเลยต้องขอเข้าไปอธิษฐานสักนิดให้ชีวิตมีความสุข แล้วเก็บภาพต่ออีกหน่อย ปล่อยใจกับวิวไปอีกนิด แค่นี้ก็คุ้มค่าที่ได้มาแล้วววว

เดินลัดเลาะไปด้านหลังของวัดแห่งนี้ในที่สุดก็ถึงจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ พลาดไม่ได้ ใส่ดอกจันทร์ให้แปดร้อยดอกเลยก็คือ Wucai ( Five-colour) Pond จุดที่สูงที่สุดในอุทยานที่เราสามารถเที่ยวได้ในวันนี้ ที่ ณ ตอนนี้หิมะได้ขับสีของบ่อทั้ง 693 บ่อให้สวยยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว ให้ตายเถอะ ในจุดนี้ต่อให้แกมีเพียงเครื่องคิดเลขแกก็ต้องหยิบมันออกมาแล้วพยายามถ่ายรูปเก็บไว้อย่างน้อยห้าช็อตแน่ ๆ ล่ะ

และนี่คือจุดสตาร์ทของการเดินลงที่จะทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินขึ้นสวรรค์ประมาณนั้นจริง ๆ ระหว่างทางเราเดินเล่นแบบสบาย ๆ บนทางเดินไม้ที่ถูกปูไว้อย่างดี ผ่านเส้นทางที่หิมะเริ่มละลายทำให้ได้สบสายตากับใบไม้สีส้มเหลืองมากกว่าเดิม ผ่านบ่อน้ำที่เปลี่นสีเปลี่ยนมุมไปแบบเรื่อย ๆ อากาศก็ช่างดีต่อใจ งานนี้ลืม Ref. ในไอจีไปได้เลย เพราะทั่วทั้งทางคือมุมถ่ายรูปใหม่ ๆ ที่จะไม่มีวันซ้ำใครอย่างแน่นอน เพราะผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงแสงแดด และหิมะก็เปลี่ยนทัศนียภาพไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่ซ้ำกัน

ด้วยความที่จุดแวะระหว่างทางเดินมันมีเยอะมาก เราขอแนะนำจุดที่แกควรจะโฟกัสแล้วไปต่อยอดหามุมกันเอาเอง อย่าง Yingbin Pond, Penjing Pond และ Suoluo Yincai Pond เป็นต้น ซึ่งจุดแวะส่วนมากก็คือบ่อน้ำสีฟ้า คือมันเยอะ และสวยมากจริง ๆ สำหรับเราที่นี่ควรอยู่หนึ่งวันเต็ม ๆ จะได้ฟินและอิ่มและได้รูปเยอะมากมากกกกกก

กลับจากอุทยานเราก็มาเดินเล่นกันต่อที่ Songpan Ancient Town เมืองเก่าที่มีความโดดเด่นพิเศษทางด้านประวัติศาสตร์ เพราะมันเคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารในยุคราขวงศ์ถัง และถูกบูรณะในสมัยราชวงศ์หมิง มันจึงมีความผสมผสานของสองราชวงศ์อย่างลงตัว ด้านในมีประตูเมืองถึง 5 ประตู ให้เราได้เดินชมกัน แต่ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องราวเก่าก่อนเท่านั้นนะ มันยังมีร้านอาหาร ร้านขนม คาเฟ่ ร้านของฝากเก๋ ๆ ให้เราได้เลือกซื้อกันด้วย จัดเป็นอีกหนึ่งเมืองที่เดินเล่นได้เพลินสุด ๆ

ระหว่างเดินเล่นในโซนเมืองเก่าเราก็บังเอิญเจอคาเฟ่เก๋ ๆ ฟิวฮ่องกงนามว่า Da Tong Ice House ร้านเล็ก ๆ ที่เหมือนยกฮ่องกงมาไว้ มีดีเทลความเก๋ไก๋ชจนแทบจะตะโกน หลองปั๊งงงง หลองเลาาาาา (ใครเกิดไม่ทันมัน คือ ทำนองเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้) พร้อมใส่แว่นดำนั่งชิค ๆ ไขว่ห้าง จิบชานมไข่มุกเย็น ๆ กับกัดขนมวาฟเฟิลฮ่องกงร้อน ๆ สักชิ้น ซึ่งเจ้าขนมนี้มันฟีลคล้ายรังผึ้งบ้านเรานะ แต่จะกรอบกว่า แล้วเนื้อเหนียวหนึบมากกว่า เอาจริงก็ไม่คล้ายอ่ะ แต่บอกได้เลยว่าเราชอบขนมชนิดนี้มากกกกก มันหอม อร่อย กินเพลินมาก ถ่ายรูปแปบ ๆ กินไปเพลิน ๆ หันมาอีกทีหมดจ้า ใครผ่านมาแวะเลยจ้า

Day 5 :: Songpan —  Chengdu

เราออกเดินทางแต่เช้าด้วยลุคหน้าสด กับความสวยงามที่สาวหมวยแถวนี้ต้องยอม จากเมืองซงพานถึงเฉิงตูช่วงบ่าย ๆ พร้อมกับความว้าวรอบที่สามร้อยห้าสิบแปดล้าน เพราะสิ่งที่จีนมีแบบที่ประเทศอื่นมีไม่ได้คือ ตอนอยู่กับธรรมชาติก็คือธรรมชาติล้วน ๆ แต่ไม่ลำบาก พอเข้าเมืองปุ๊ปก็จะเจอความศิวิไลซ์ทันทีทันอย่างกับเปิดวาร์ปมาอีกประเทศ และคืนสุดท้ายเราพักกันที่ Chengdu Flipflop Backpacker Lounge Hostel ความสะดวกสะบายทุกอย่างครบครันแบบโฮสเทล มีที่นั่งเม้าท์มอย สตาฟใจดี พูดภาษาอังกฤษได้ ช่วยเหลือได้ทุกอย่าง แต่ละวันก็มีปาร์ตี้เป็นธีมให้คนที่พักได้มาจอยกัน แต่ถึงจะเป็นโฮสเทลก็มีห้องแบบ Private ให้เราเลือกพัก ที่สำคัญทำเลดีใจกลางย่านเที่ยวในเมืองมากเว่อร์

บ่ายแก่ ๆ แบบนี้ เราขอเปลี่ยนพาร์ทจากสาวบ้านป่าที่เกิดและโตมากับธรรมชาติสุดอลังการ มาเป็นดอกหญ้าในป่าปูนเที่ยวเก๋ ๆ ใส ๆ ในเมืองสุดล้ำ โคตรทันสมัย ด้วยการเริ่มต้นเช็คอินโลเคชั่นแรก ณ เมืองเฉิงตูกันที่ 無早nomoring คอมมูนิตี้แบบ 3 in 1 ที่รวมไว้ซึ่งร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านหนังสือที่ขายมากกว่าหนังสือ เพราะนางคือศูนย์รวมของความกระจุ๊กกระจิ๊กน่าร๊ากให้เลือกช้อปอีกเพียบ แถมที่นี่ก็ยังมุมถ่ายรูปสุดปังที่ถ้ามาช่วงบ่ายรับรองว่าได้ภาพสวย ๆ กลับไปเป็นโหล

หลังจากชีวิตห่างหายจากกาแฟรสชาติฟินไปหลายวัน เราเลยขอเริ่มต้นคอมมูนิตี้นี้ด้วยการเปิดประตูเข้ามายัง Sicang Coffee Studio ร้านกาแฟที่ตกแต่งได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นนิด ๆ มินิมอลหน่อย ๆ กลิ่นเบเกอรี่โฮมเมดกรุ่น ๆ กลิ่นกาแฟคละคลุ้ง จนทำให้เราแอบเคลิ้มไปชั่วขณะ และจากเมนูร้อยแปดพันอย่าง เราก็มาจบที่ลาเต้ร้อน ๆ หนึ่งแก้ว กับครัวซองต์หนึ่งชิ้น จากนั้นก็ค่อย ๆ ละเลียด ฟังเพลง ดูวัยรุ่นจีนที่แต่งตัวชิคเก๋เดินเข้าออกร้านพลางตักขนมเข้าปาก และจิบกาแฟตามอย่างช้า ๆ


ใช้เวลาคุณภาพ เพลงโปรดในเพลย์ลิส และอ่านหนังสือสองสามหน้า ก็ถึงเวลายืดเส้นสายเดินเข้าร้าน Book Bed Bowl เพื่อดูนั่นนี่เรื่อยเปื่อยกันสักหน่อย ใช้เงินให้สมกับเป็นนักท่องเที่ยว ซื้อของน่ารัก ๆ ที่มีให้เลือกมากมายติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านสักเล็กน้อย สำหรับใครจะมาเฉิงตูทางเราต้องบอกเลยว่าจดที่นี่ลงลิสต์ไว้เลย มาที่เดียวคือครบ ทั้งอาหาร กาแฟ ของฝากไอเดียเก๋ ๆ ร้านหนังสือ ที่นั่งผ่อนคลาย มุมถ่ายรูปที่ให้ลุคดีเป็นคนมีสไตล์ทันทีที่โพสต์ลงโซเชียล

จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นต่อที่ IFS Building ห้างใหญ่ใจกลางเมือง ที่รวบรวมแบรนด์หรูไว้เพียบ ความหรูหราหมาเห่าของที่นี่เหมือนเอาพารากอน ไอคอนสยาม เอ็มควอเทียร์ มารวมกันแล้วคูณไปอีก 3 เท่า แถมยังมีแลนด์มาร์คที่มองแต่ไกล อยู่ปากซอยยังรู้เลยว่าห้างอยู่ตรงนั้นแน่ ๆ เพราะมีก้นกระปุ๊กลุกของเจ้าน้องแพนด้ากำลังตะกายปีนตึกประกาศความเป็นจีน ทำให้เราอดใจไม่ได้ที่จะขึ้นไปแชะภาพคู่หน้าแบ๊ว ๆ ของน้อง และเดินเล่นตรงลานบนชั้นดาดฟ้า มาเฉิงตูทั้งที ไม่มามุมนี้ถือว่าผิด ส่วนรอบ ๆ ห้างก็ยังมีลานสำหรับรองรับสายช้อปด้วย เพราะร้านรวงแถวนี้ ก็ล้วนดึงเอาน้องแพนด้ามาสคอตประจำเมืองนี่ล่ะมาเป็นจุดขาย ทำข้าวของเครื่องใช้ กิ๊ฟช็อปน่ารักให้เราได้หยิบติดไม้ติดมือกระจายรายได้กันด้วย

ขยับมาอีกหน่อยแต่คนละฝั่งถนนเราก็จะพบกับ TaiKoo Li : ไถ่กู่ลี้ ที่นี่เป็นย่านวัยรุ่นที่ใช้สถาปัตยกรรมเสฉวนแบบดั้งเดิมมาสร้างเป็นตึกทั้งหมด 6 ตึก รวบรวมทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์ และร้านแบรนด์เนมจากทุกมุมของโลก และแบรนด์ท้องถิ่นที่คัดสรรมาอย่างดีกว่า 300 ร้าน ให้อารมณ์เหมือนเราเป็นองค์หญิงจากราชวงศ์ฮั่นมาเดินช้อปแบรนด์เนม แวะซื้อไอติม ดินเนอร์มื้อเย็นด้วยชาบูหมาล่าเก๋ ๆ ในเมืองเสฉวนแบบนั้นเลย

หลังทานมื้อเย็นด้วยชาบูหมาล่ารสชาลิ้นเรียบร้อย ก็ต้องหาอะไรล้างปากก่อนกลับไปนอนลูบพุงที่ห้อง และแน่นอนทางเราขอตามกระแสให้ทันวัยรุ่นจีน ด้วยการเดินตามคนหมู่มากไปชิมชาชีสสุดฮิตที่ร้าน HEY TEA ที่ว่ากันว่าช่วงเวลาพีค ๆ นี่คิวยาว 5 ชั่วโมงเลยนะ วันนี้ถือเป็นบุญปากบุญลิ้นของเรา ที่มาสั่งปุ๊ป รอเดี๋ยวเดียวก็ได้มากินปั๊ป จะยืนถือ เดินถือ เอามาถ่ายรูปก็ดูเก๋ดูคูลดูเป็นวัยรุ่นแห่งเมืองเฉิงตูทันที

แต่ แต่ แต่ แต่ ถ้าใครยังแรงเหลือ และดูเวลาแล้วมันเร็วเกินไปที่จะกลับไปนอน เราก็ยังคงแนะนำให้อยู่เดินเล่นต่อแถวย่านนี้ ดูแสงสียามค่ำคืนที่ร้านรวงพากันเปิดเอาใจหนุ่มสาวแพ้ไฟทั้งหลาย เดินไปเรื่อย ๆ ใช้ชีวิต night life เป็นผีเสื้อราตรี เพราะยิ่งดึกยิ่งครึกครื้น ยิ่งมีของดี ๆ มาเปิดแผงให้ช้อป จากถนนเส้นเล็ก ๆ ธรรมดาทั่วไป กับแปลงร่างเป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ เดินยังไงก็ไม่จบไม่สิ้น ร้านนั้นก็ดี ร้านนี้ก็ว้าว อยากหยิบอยากจับอยากช้อปไปซะทุกอย่าง

Day 6 :: One day in Chengd

หลังจากนอนดึกตื่นเช้ามาหลายวันติด วันสุดท้ายเราเลยขอตื่นสายหน่อยแล้วกัน เพราะความดีงามมาก ๆ ของวันกลับก็อยู่ที่เที่ยวบินของแอร์เอเชีย เฉิงตู – ดอนเมือง เป็นไฟลท์ดึก แปลว่าถึงแม้เราจะตื่นสาย เราก็ยังมีเวลาให้เก็บนั่นเก็บนี่แล้วตระเวนดูเมืองให้เต็มตาอีกหนึ่งวันเต็ม ๆ เอาล่ะ เริ่มชีวิตช่วงสาย ๆ ของอาหมวยวัยรุ่นไทยหัวใจจีนด้วยการใช้ชีวิตแบบ Cafe hopping กันที่ Pause คาเฟ่เล็ก ๆ น่ารัก ๆ ที่มีโต๊ะไม่กี่ตัว ตกแต่งด้วยโทนน้ำตาล ใช้ไม้สลับปูนเป็นโครงสร้างหลัก เมื่อโดนแสงสาดมา เลยกลายเป็นโทนอบอุ่น ประกอบด้วยกลิ่นกาแฟกรุ่น ๆ จนอยากวิ่งเข้าไปปาหัวใจใส่บาริสต้าเหลือเกิน

ช่วงเช้า ๆ ไปถึงสาย ร้านนี้จะฮอตมากในกลุ่มลูกค้าที่สั่งอาหารด้วยบริการส่ง คล้าย ๆ แกร็บฟู้ด และไลน์แมนของบ้านเรา มีคนมารอคิวสั่งอาหารไปส่งเยอะมาก จนคิดว่าอาหารเช้าของคนที่นี่ ครึ่งเมืองอาจจะมาจากร้านนี้ ซึ่งพอเราได้ลองเมนู  Red Velvet Latte และกาแฟโยเกิร์ต เมนูซิกเนอเจอร์ของร้าน มันก็ทำให้เราได้คำตอบขึ้นมาทันทีว่าทำไมออเดอร์ถึงได้เยอะขนาดนี้ ยิ่งกินคู่กับครัวซองต์หอม ๆ ยิ่งละมุนไปใหญ่ ถ้าเราทำได้ เราก็อยากจะสั่งให้ไปส่งที่ไทยเหมือนกันแก๊

ไปต่อกันแบบไม่พักที่ร้านสองที่เราเลือกมาแล้วว่าต้องโดนก่อนกลับให้ได้ ซึ่งร้านถ่ายรูปสวยนี้มีนามว่า Fusion Coffee คาเฟ่ที่ตกแต่งด้วยโทนขาว สบายตา และเหมาะกับการปล่อยใจไปเรื่อยเปื่อย นั่งจิบกาแฟเอื่อย ๆ ชิว ๆ ร้านนี้เน้นการเสิร์ฟกาแฟกับคุกกี้เป็นหลัก เมนูซิกเนเจอร์ที่เราอยากให้ลองคือกาแฟมะพร้าว ที่นำเอาน้ำมะพร้าวมาท้อปด้วยกาแฟ จะมีความหอมจากทั้งน้ำมะพร้าว และกาแฟ ผสมกันลอยมาเตะจมูกเราทุกครั้งที่ยกแก้วมาจิบ อ้อ และในร้านยังมีพวกถุงผ้า ของเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจุ๊กกระจิ๊กแนวตั้ลล้ากวางขายด้วยจ้า บ่งบอกถึงความชิคเก๋ของคนจีนยุคนี้ได้ดีเลยจ้า

ท่ามกลางร้านชาบูหมาล่าที่มีอยู่ทั่วทุกตรอกทุกซอกซอย ทุกมุมถนน ทั่วเมือง แล้วใครจะต้านทานความหิว ไม่ให้กินชาบูหมาล่าในช่วงบ่ายนิด ๆ ได้ ร้าน Hot Pot ที่ดูสมัยใหม่ เต็มไปด้วยโต๊ะสีขาวลายเดียวกับผนังครึ่งล่าง ตรงกำแพงมีมีลายเพ้นท์น่ารักกุ๊กกิ๊กแห่งนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเราเจอมาโดยบังเอิญ ก็แหม ในเมืองนี้จะไปร้านไหนก็น่ารักได้หมดแหละ เพราะเดี๋ยวนี้จีนเค้าชิคเก๋เท่มีเอกลักษณ์กันหมดแล้ว แต่ที่เหนือจากความชิคเก๋ก็คือรสชาติหมาล่าที่ยังคงความเผ็ดร้อนชาลิ้นตามสไตล์จีน ฟิน ๆ กันไปเลย

เข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ ๆ เราจะปล่อยเวลาให้ไหลไปช้า ๆ จบทริปกันแบบสวย ๆ ในตึกอิฐแดง คอมมูนิตี้เล็ก ๆ อย่าง REMON & MOJOC ที่นี่ออกแบบด้วยการนำเอาความเป็นจีนดั้งเดิม และโมเดิร์นสมัยใหม่มาไว้ด้วยกัน และเปิดพื้นที่สำหรับนิทรรศการ คาเฟ่ ร้านอาหาร ที่ทั้งเก๋ และมีความเฉพาะตัว จึงเป็นเหตุผลที่สถานที่แห่งนี้ได้คัดแต่คนที่มีเอกลักษณ์ มีความชิค แต่ละคนต่างมีสไตล์ และความเป็นตัวเองสูง มารวมตัวกัน

หลังจากเสพศิลป์ เดินดูงานอาร์ต หามุมถ่ายรูปจนหนำใจ เราก็มาหย่อนก้นนั่งชิวกันที่โซนร้านกาแฟ ที่รอบนี้ขอเพิ่มความสดชื่นซาบซ่าให้ช่วงบ่าย ด้วยการสั่งเค้กหนึ่งชิ้นมาทานคู่กับน้ำส้มแบบสาววัยใสเพิ่งหัดเที่ยว แล้วตบท้ายด้วยขนมหวาน เย็นชื่นใจสไตล์พี่จีนมาลองทานให้ฉ่ำใจเข้าไปอีก ถือเป็นการปิดทริปที่แฮปปี้ สวยงาม ราวกับได้มงสามให้ประเทศไทย

และนี่คือจีนที่ดีขึ้นกว่าที่คิดในทุก ๆ ครั้ง เป็นจีนที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้เสมอว่า เฮ้ย! จีนมีมุมนี้กับเค้าเหมือนกันแฮะ มันก็ดีต่อใจมนุษย์นักเดินทางแบบเราทุก ๆ ครั้ง อย่างที่ว่า… หากนี่เป็นซีรี่ย์เรื่องโปรดในเน็ตฟิก ก็คงเป็นซีซั่นที่มีการวางเส้นเรื่องชวนให้เราใจเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ มีความพีคในความพีค มีความละมุมละไม เร้าใจ สดใหม่ครบเครื่อง เมืองเป็นเมือง ป่าเป็นป่า และจบลงด้วยความตราตรึง ชวนให้เราอยากออกเดินทางเพื่อดูซีซั่นถัดไปแบบไวไวเลยจ้า ปะ ไปเปิดใจเปิดตาดูจีนกัน แล้วจะรู้ว่าจีนไม่จีนอย่างที่คิด แล้วจีนก็ชิคมากเว่อร์