รีวิวภูเก็ต :: Live a Dream in Amatara Wellness Resort Phuket

ปังปุริเย่! กว่านี้ไม่มีอีกแล้วจ้า เพราะทริปพักผ่อนภูเก็ตรอบนี้ เด็ดสุดในย่านแหลมพันวากับ “Amatara Wellness Resort” รีสอร์ทหรู 5 ดาว ที่มีดีไซน์โดดเด่นด้วยพูลวิลล่าสุดไพรเวท กว้างขวาง มาพร้อมอ่างน้ำขนาดใหญ่วิวทะเลพาโนรามา ให้เราได้พักผ่อนแบบลักชัวรี ใช้ชีวิตฟู่ฟ่า ทรีตตัวเองราวกับเจ้าหญิง เดินให้น้อย กินให้อิ่ม นอนให้พอ แล้วตื่นมาด้วยรอยยิ้มอันสดใส พร้อมรับมื้อเช้าสุดชิคแบบ Floating Breakfast เก๋ ๆ แล้วไปแช่ตัวในอ่างจากุซซี่แบบไม่ต้องแคร์เวลา ก่อนกลับมานั่งชมพระอาทิตย์ตกดินสุดโรแมนติก พอเริ่มค่ำก็จิบคอกเทลสักแก้วแล้วไปนอนพักอัพรูปปัง ๆ ยั่ว ๆ ให้เพื่อนมากดไลค์

เอาล่ะ!!! ถ้าพร้อมจะไปพักผ่อนหรูหรา 3 วัน 2 คืน แบบครบจบในที่เดียวฉ่ำ ๆ แล้ว ก็เลื่อนตามเรามาเลยจ้า มาเปลี่ยนเสียงนาฬิกาปลุกมือถือให้เป็นเสียงคลื่นเบา ๆ ในตอนเช้าด้วยกันเถอะ

Amatara Wellness Resort ตั้งอยู่บนเนินไหล่เขาของแหลมพันวาที่สามารถมองเห็นวิวทะเลในมุมสูงได้สวยงามมาก เพราะไม่ได้เพียงแค่อยู่ริมทะเลฝั่งตะวันออกของเกาะภูเก็ตเท่านั้น แต่ยังมีเกาะต่าง ๆ ที่ตั้งซ้อนเหลื่อมกันในทะเลทำให้เป็นวิวที่สวยเหมือนภาพวาดยามเช้าเลยละ ในส่วนของห้องพัก เค้าก็มีให้เลือกถึง 105 ห้อง แบ่งเป็น Bay View Suite, Ocean Pavilion, Sea View Suites, Pool Pavilion, Bay View Pool Villa และ Ocean View Pool Villa ซึ่งทุกห้องทุกหลังสามารถชมวิวทะเล และมีระเบียงส่วนตัวให้นั่งชิลได้ทั้งวัน การออกแบบจะเน้นสถาปัตยกรรมเหมือนเรือนปั้นหยาแบบย้อนยุคที่ใส่ความโมเดิร์นลงไปในรายละเอียด ทำให้ดูร่วมสมัย ไม่เชย ตัวอาคารเน้นใช้สีขาวหลังคากระเบื้องดินเผาสีแดงอิฐ ซึ่งส่วนตัวเราว่าดีไซน์แบบนี้ถูกจริตคนไทยอย่างเรา ๆ มาก บวกกับความเป็นส่วนตัวรายล้อมไปด้วยธรรมชาติของต้นไม้สีเขียวร่มรื่นแล้วนั้น ยิ่งเหมาะกับการพักผ่อนเป็นที่สุด

แลนดิ้งสนามบินนานาชาติภูเก็ตปุ๊บ เราก็รีบคว้ากระเป๋าเดินทางที่อัดแน่นไปด้วยชุดและพร็อพต่าง ๆ แล้วเดินสับขาสวย ๆ ไปขึ้นลีมูซีนที่ทาง Amatara Wellness Resort จัดเตรียมไว้ให้ โดยตลอดการเดินทางจากสนามบินไปยังรีสอร์ทเค้าก็มีพนักงานต้อนรับมาดูแลเป็นอย่างดี คอยชี้แจงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มี Welcome Drink เป็นน้ำผลไม้เย็นชื่นใจให้เราจิบแก้ร้อน นั่งชิว ๆ มองวิวข้างทางเพลิน ๆ เพียงชั่วโมงนิด ๆ ก็มาถึงรีสอร์ทแบบสวย ๆ แล้วจ้า

ความประทับใจแรกเริ่มต้นทันที เมื่อเราก้าวเท้าเหยียบล็อบบี้เพื่อเช็คอิน จุดนี้เค้าตกแต่งแบบไทย ๆ ด้วยไม้ที่เรียบหรู ดูโล่งโปร่งสบาย มองเห็นวิวทะเลและสระว่ายน้ำส่วนกลาง โดยขั้นตอนการเช็คอินก็ไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน มีพนักงานมาอธิบายเกี่ยวกับแผนผังของรีสอร์ทให้ฟังอย่างละเอียด พร้อมข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับเรา ก่อนจะพาเราขึ้นรถบักกี้ไปส่งถึงหน้าห้องพัก

ด้วยแพลนที่ตั้งใจมาพักผ่อนรอบนี้คือ 3 วัน 2 คืน เลยขอเลือกพักห้อง 2 แบบ 2 สไตล์ เพื่อฟิลลิ่งที่แตกต่าง โดยคืนแรกเราพักที่ Ocean View Pool Villa ห้องพักระดับท็อปของรีสอร์ท ที่มีจุดเด่นคือตัวห้องจะหันไปทางฝั่งทะเลอันดามัน ทำให้ไม่ว่าเวลาไหน จะเช้า สาย บ่าย ค่ำ เธอก็สามารถแง้มม่าน เปิดประตูก้าวขาออกมาดูวิวทะเลได้ทุกเวลา แถมยังเป็นฝั่งที่เห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นอีกด้วย ขนาดของห้องก็กว้างขวางมาก ที่สำคัญยังมีสระว่ายน้ำ Jacuzzi ส่วนตัวให้เธอได้ใส่บีกีนี่ตัวจิ๋วแหวกว่ายไปมาได้อย่างสบายใจ

นอกจากความกว้างของห้องที่เลิศมากแล้ว การตกแต่งก็มาในคอนเซ็ปต์เรียบหรูดูดี โอ่โถงโล่งสบาย ไม่ว่าจะเตียงขนาดใหญ่หนานุ่มพร้อมเครื่องนอนคุณภาพดีที่มั่นใจเลยว่าคืนนี้ต้องหลับฝันดีแน่นอน ไหนมุมโซฟาเบดที่เอาไว้นั่งชิลมองทะเล หรือมุมโต๊ะทำงานที่ออกแบบให้ใช้งานได้อย่างลงตัว แถมมี Living Space เชื่อมต่อกับระเบียงชมวิวอีก ทุกอย่างคือเพอร์เฟ็คไปซะหมดจริง ๆ และไม่ใช่เพียงแค่ความหรูหรา และความสะดวกสบายที่มีให้เท่านั้น แต่ในห้องพักยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย อย่างม่านไฟฟ้าที่สามารถกดสวิตช์ให้เปิดได้แม้เราจะนอนชิลอยู่บนเตียง

ดีงามไม่แพ้ห้องนอนและห้องนั่งเล่น ก็ห้องน้ำนี่แหล่ะทุกคน ซึ่งบอกเลยว่ามากว้างขวางไม่แพ้กันโทนสีขาวครีมแซมด้วยสีฟ้าดูสบายตาสะอาดสอ้าน ที่สำคัญห้องพักแบบนี้จะมีอ่างอาบน้ำสีขาวตั้งอยู่กลางโดมตรงกลาง ให้เราได้แช่ตัวลงในโฟมบาธนุ่ม ๆ มองวิวทะเลได้เพลิน ๆ ทั้งวัน แอบบอกว่าโฟมบาธนี้เธอก็ต้องมาตีเองให้กล้ามแขนกระเพื่อมนะจ๊ะ เพราะถ้าหากเธออยากแช่เมื่อไหร่ ก็เพียงแค่ ยกหูกด 0 กริ๊งเดียวไปที่ล็อบบี้ ก็จะมีพนักงานมาตีโฟมบาธให้ถึงห้องเลยจ้า

ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ๆ สักงีบ ก่อนจะหยิบวันพีชออกมาใส่ แล้วออกไปเดินเล่นริมชายหาดส่วนตัว ที่เงียบสงบ เหมาะการพักผ่อนชิว ๆ ไม่มีคนเยอะแยะพลุกพล่านให้เสียบรรยากาศ บนหาดจะมี Sun Bed และชิงช้าให้เราไกวเล่น มาถึงหาดปุ๊บก็แอคติ้งให้ดี พร้อมเปลี่ยนท่าโพสไปเรื่อย ๆ ราวกับร่ายรำ โดยมีเพื่อนซี้รัวชัตเตอร์แบบไม่ยั้งเก็บภาพไว้อัพไอจีสักเซ็ทสองเซ็ท รับรองว่าปังไม่หยุดแน่นอนจ้าแม่

หากใครกลัวว่ามาพักพูลวิลล่าจะนอนเยอะ กินอิ่ม จนไม่ได้ใช้พลังงาน เรามีอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะให้เธอได้ขยับร่างกาย เปลี่ยนโหมดมาแอดเวนเจอร์ริมทะเล  ซึ่งที่นี่เค้าก็มีกิจกรรมให้เราทำไม่ว่าจะเป็น พายเรือคายัค หรือ Stand Up Paddle Board แน่นอนวัยรุ่นอย่างเรามีหรอจะพลาด ไม่รอช้ารีบคว้า Board วิ่งลงทะเลทันที บอกเลยว่านอกจากจะได้ออกกำลังกายฝึกสกิลการทรงตัวบนบอร์ดแล้วนั้น เธอยังจะได้รูปสวย ๆ ที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉาตาลุกวาว ส่วนใครอยากลองเล่นแต่ใจยังไม่กล้า เค้าก็มีพนักงานคอยสอนแนะนำการเล่นที่ถูกต้องพร้อมเสื้อชูชีพให้ใส่ตอนพาย เพราะงั้นมั่นใจได้เลยว่าปลอดภัย รับประกันความสนุกกว่าที่เธอคิดไว้แน่นอน

มานอนพูลวิลล่าทั้งที จะไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารธรรมดาเดี๋ยวจะมีคนหาว่าไม่เริ่ดจริง งานนี้เราเลยขอเป็น Floating Breakfast เก๋ ๆ มาทานกันที่ห้องในสระน้ำตอนเช้าไปเลยจ้า ไม่รอช้ารีบวางพร็อพ หยิบผ้ามาปู วางหมอนสักสองใบ หามุมให้ดีงาม แล้วโพสท่าเผลอ ๆ เหมือนไม่ตั้งใจแต่ตั้งใจ หรือจะแกล้ง ๆ ทำเป็นจิบกาแฟในน้ำก็ดี รับรองว่าได้รูปปัง ๆ ตอกย้ำความหรูหราเก็บไว้ลงโซเซียลอีกหนึ่งเซทอย่างแน่นอนจ้า 

สำหรับคืนที่ 2 เราขอย้ายมานอนกันที่ห้อง Pool Pavilion เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ โดยห้องแบบนี้เค้าจะสร้างเป็นหลัง ๆ ลดระดับไปตามไหล่เขา ขนาดประมาณ 78 -87 ตารางเมตร ซึ่งจะเล็กกว่า Ocean View Pool Villa แต่ก็มีสระน้ำส่วนตัวด้านหน้าห้องให้ว่ายเล่นเช่นกัน ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีกระจกรอบทิศ ทำให้ห้องดูโปร่งสว่างมาก ๆ ส่วนห้องน้ำก็คือกว้างพอ ๆ กับห้องนอนไปเลยจ้า ให้ความรู้สึกน่านอนมากกว่าอาบซะอีก

ส่วนห้องอีกแบบที่เราว่าวิวดีไม่แพ้กัน และเล็ง ๆ ไว้สำหรับการมาพักคราวหน้า ก็ต้องเป็น Sea View Suite ที่ตัวห้องจะหันออกไปอีกฝั่งเห็นเป็นฝั่งชายหาดแทน แต่ก็ดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำตาลออกแนวสไตล์บาหลี ไม่ว่าจะเป็น เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โซฟา หรือ โต๊ะเขียนหนังสือ มีอ่างอาบน้ำให้ได้นอนแช่ ดูวิวสวย ๆ ผ่านผนังกระจกใสบานใหญ่ ซึ่งไม่ว่าเธอจะเลือกพักห้องไหน ก็มีระเบียงให้ออกมารับลมชมทะเลทุกห้อง เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เด่นของ Amatara Wellness Resort เลยละ

อีกหนึ่งเรื่องใหญ่ในการหาที่พักดี ๆ สักที่ ก็คือเรื่องอาหารการกิน ซึ่งบอกเลยว่าอาหารของที่นี่อร่อยมาก เราลองสั่งทั้งเมนูอาหารไทย และอาหารฝรั่งดูแล้ว รสชาติคือถูกปากมากจ้า โดยช่วง new normal นี้ทางรีสอร์ทจะเปิดห้องอาหารเพียงห้องเดียว คือ The Restaurant เสิร์ฟทั้งอาหารเช้า กลางวัน และเย็น สามเวลาไปเลยจ้า มีที่นั่งให้เลือกทั้งแบบ indoor และ open air แถมช่วงนี้ยังมีโปรโมชั่นราคาพิเศษสำหรับอาหารในทุกมื้ออีกด้วย เชื่อเราเถอะไม่ต้องออกไปหาร้านที่ไหน กินที่รีสอร์ทนี่แหละเด็ดทุกเมนูจริง ๆ

อิ่มเอมใจกับอาหารอร่อยถูกปากไปแล้ว ช่วงกลางวันแบบนี้เราก็ยังสามารถเอ็นจอยกับ Afternoon Tea Set ที่เป็นซิกเนเจอร์ได้ที่ห้อง The Library Lounge โดยเค้าจะเสิร์ฟ เครื่องดื่มเป็นเมนูลอดช่องอบควันเทียน โดยให้เราค่อย ๆ เทน้ำมะพร้าวน้ำหอมลงไปผสมกับไอศกรีมกะทิสูตรพิเศษ คนให้เข้ากันก่อนดื่ม จะได้รสชาติหวานมันกลมกล่อมหอมกลิ่นมะพร้าว ยิ่งทานคู่ขนมไทยอย่างช่อม่วง และคุ๊กกี้รสต่าง ๆ แล้ว ยิ่งเป็น Afternoon Tea ที่ดีงาม อยากให้พวกเธอมาลิ้มลองความหวานละมุนนี้ด้วยกัน ส่วนใครอยากหาหนังสือดี ๆ สักเล่ม เอาไปนอนอ่านชิล ๆ ริมทะเลก็สามารถเลือกหยิบได้จากห้อง The Library Lounge เช่นกันนะ

กิจกรรมในรีสอร์ทยังไม่หมด ถ้าใครเริ่มเบื่อว่ายน้ำในพูลวิลล่าหน้าห้องส่วนตัวแล้ว อยากเปลี่ยนบรรยากาศมาว่ายน้ำในสระที่ใหญ่ขึ้น ที่นี่ก็ยังมีสระส่วนกลางใกล้ล็อบบี้ที่ถือเป็นไฮไลต์นึงเลยก็ว่าได้  เพราะเป็น Infinity Pool มีวิวสวยจับใจที่มองแล้วเหมือนเชื่อมต่อไปยังท้องทะเลได้ ไม่ว่าเธอจะลงมาว่ายตอนไหน จะเป็นแสงอุ่น ๆ ช่วงเช้า หรือแสงทองโรแมนติกยามเย็น หรือแม้แต่ตอนค่ำที่ทั้งสระจะเปิดไฟ LED เล็ก ๆ ให้เรืองแสงใต้น้ำ ให้อารมณ์เหมือนแหวกว่ายท่ามกลางหมู่ดาวระยิบระยับ สำหรับเราก็คือสวยงามมงลงทุกช่วงเวลา

ลั้ลล้ากับกิจกรรมในรีสอร์ทเกือบครบทุกอย่าง แต่ยังขาดอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ Sun & Moon Rooftop บาร์เอาท์ดอร์ที่เราสามารถมาชมได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระจันทน์ขึ้นในที่เดียวกัน ใครอยากทานอาหารเย็นชิล ๆ ก็สามารถสั่งจากห้องอาหารมานั่งทานได้ ทานเสร็จจะจิบไวน์ จิบคอกเทลต่อ แล้วนั่งเม้าท์มอยอัพเดตชีวิตกับเพื่อนในยามราตรีก็ทำได้เช่นกัน บอกเลยว่าแสงเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าสวยมากกก ท้องฟ้าจะค่อยเปลี่ยนสีจนกลายเป็นวานิลลาสกายสะท้อนกับน้ำทะเลกลายเป็น Magic Hour ที่ไม่อยากให้ผ่านไปเลย

แน่นอนว่ามาทะเลทั้งทีก็ต้องจัดซีฟู้ดกันสักมื้อ ซึ่งถ้าให้ทางเราแนะนำก็ต้องเป็น Seafood Basket เซ็ทอาหารทะเลสด ๆ เหมือนยกอวนขึ้นจากทะเล มีทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา มาครบ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างข้าวผัด ยำทะเล และส้มตำรสแซ่บ รวมถึงของทานเล่นที่เข้ากันมาพร้อมน้ำจิ้มถึง 3 แบบให้เราเลือกจิ้มได้ตามใจ ซึ่งเห็นหน้าตาน่าทานแถมถ่ายรูปออกมาสวยงามขนาดนี้ เรื่องของรสชาติก็ไม่ทำให้ผิดหวังจ้า บอกเลยว่าอร่อยทุกเมนู แถมทั้งเซ็ทนี้ราคาเพียงแค่ 1,500 บาทเท่านั้น มีเครื่องดื่มม็อกเทลให้อีกคนละแก้ว โอ้ยยยย!!!!! คุ้มกว่านี้ไม่มีแล้วนะ ได้ทั้งอิ่มท้องอิ่มใจไปกับวิว เซตนี้ขอให้สิบเต็มแบบไม่หัก

นอกจากนี้ใครที่ชอบการนวดเป็นชีวิตจิตใจ เค้าก็มีบริการสปาที่ Amatara Wellness Centre ให้ได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตั้งแต่ใบหน้าแขนขาจรดปลายเท้า โดยเน้นส่งเสริมสุขภาพที่ดีของร่างกาย ด้วยโปรแกรมเวลเนสที่จะปรับร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ให้สู่สภาวะสมดุลย์ด้วยวิถีธรรมชาติ หรือใครอยากเข้าคลาสโยคะก็สามารถสอบถามตารางกิจกรรมได้ที่ล็อบบี้และเข้าร่วมได้เช่นกัน

สำหรับเรา Amatara Wellness Resort นี้เป็นที่พักที่ให้มากกว่าแค่การพักผ่อน เพราะเราสามารถเพลิดเพลินใจไปกับความสวยงามของธรรมชาติทั้งวิวทะเล วิวพระอาทิตย์ขึ้น สนุกสนานไปกับกิจกรรมต่าง ๆ และเริงร่าไปกับความหรูหราของพูลวิลล่าสุดไพรเวท เหมาะกับมาเที่ยวพักผ่อนไม่ว่าจะคู่รัก ครอบครัว หรือแก๊งค์เพื่อน เพราะแต่ละห้องก็มีพื้นที่ใช้สอยเยอะมาก ที่สำคัญช่วงนี้เค้ามีราคาโปรโมชั่นที่ไม่ว่าใครก้จับต้องได้ ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาพักที่นี่ดู แล้วเธอจะรู้ว่า 3 วัน 2 คืนที่ผ่านไปนี้มันคุ้มค่าทุกวินาที ให้รางวัลตัวเองด้วยที่พักดี ๆ แบบนี้กัน