รีวิวกรุงเทพฯ :: “Wongwianyai” Cafe Hopping

รวม 8 คาเฟ่รอบนี้ ขอเอาใจชาววงเวียนใหญ่ ด้วยการพาไปฮอปปิ้งร้านกาแฟสวย ธีมดี ตามแนวรถไฟฟ้า ที่ทางเราเลือกสรรมาให้แบบเพียบพร้อมไปทั้งดีไซน์และความชิล สามารถแวะไปเช็คอินได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เริ่มด้วยฝากท้องน้อย ๆ กับเบเกิ้ลชิ้นโต เพลิดเพลินในร้านโดนัทสไตล์มินิมอลพร้อมกราฟฟิตี้คูล ๆ ต่อด้วยร้าน Specialty มัทฉะส่งตรงจากญี่ปุ่น แวะร้านเครปสีพาสเทลโทนละมุน ก่อนจะจบวันอย่างอบอุ่นด้วยการจิบเบา ๆ เคล้าดนตรีแจ๊สกับเพื่อนรู้ใจ

นอกจากพาฮอปคาเฟ่แล้ว เราก็อยากชวนเพื่อน ๆ แวะมาชมโครงการใหม่ล่าสุด Reference Sathorn-Wongwianyai จาก SC Asset คอนโดนมิเนียมที่สร้างมาเพื่อกลุ่มคน Gen Y เพราะเน้นการออกแบบที่สะท้อนคาแรคเตอร์ผู้อยู่อาศัยได้อย่างตรงจุด พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ในโลเคชั่นแสนเพอร์เฟค รับรองว่าถ้าได้มาอยู่ตรงนี้ สร้างคอนเทนต์ดี ๆ ได้ไม่ซ้ำทุกวันแน่นอน

01 Goodhaus.bkk

ประเดิมพิกัดแรกกับร้านเปิดใหม่ที่สวยโดนใจเราขั้นสุดกับ Goodhaus.bkk คาเฟ่เก๋กรุบอยู่ภายในตึกแถวเก่าแก่ แต่บอกเลยว่าดีเทลทั้งภายนอกภายใน มันสุดจะปัง เพราะเขาออกแบบผสมผสานระหว่าง Mid-century modern และความ Minimal ได้อย่างลงตัว เริ่มตั้งแต่โทนสี เน้นขาว น้ำตาล ตัดกับสีเขียวจากต้นไม้ใหญ่รอบ ๆ โดดเด่นที่สุดคือแนวเสาไฟที่วางเรียงกันตรงลานกว้าง อันเป็นโครงเก่าที่มีมานาน เมื่อนำแท่นไม้ทรงโค้งมนไปวาง ก็กลายเป็น art installation กลางแจ้ง ที่เรียกให้เราไปถ่ายรูปด้วยไม่หยุด

ภายในก็เก๋ไม่แพ้กัน ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนวางเรียงกัน เข้ากับพื้นหินขัดเงาสไตล์อากงได้อย่างมีชั้นเชิง เจาะช่องกระจกให้แสงลอดเข้ามา ดูสบายตา และของตกแต่งยังคิ้วท์ ตัดอารมณ์ให้ดูเกาหลีเกาใจ จนใจบางไปหมด และหากเดินขึ้นมาอีกนิดที่ชั้น 3 ทางร้านจะมี goodhour at photohaus! ตู้ถ่ายภาพที่จะสร้างหลักฐานการมาเยือนของเราในครั้งนี้ ฉะนั้น อย่าลืมแต่งหน้างาม ๆ แต่งตัวเก๋มา Snap สนุก ๆ ให้ได้รูปไปเป็นที่ระลึกกันสักสามเซต

ในส่วนของเมนูก็มีทั้ง coffee, non-coffee และ เครื่องดื่ม Special รสชาติวาไรตี้มากมาย ส่วนที่เราอยากแนะนำเลยคือ Dirty Haus กาแฟรสละมุนผสมนมเนื้อแน่นกลมกล่อม เติมยูซุให้พอได้รสและกลิ่นออกเปรี้ยวไว้ที่ด้านบน จนได้รสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร ส่วนขนม เราสั่ง Haus Croffle เป็นครอฟเฟิลเคลือบบราวน์ชูการ์กรอบนอกนุ่มใน ท๊อปด้วยไอศกรีมวานิลลาหอมหวาน และ Cube Cream ขนมปังทรงลูกบาศก์ ภายในอัดแน่นด้วยครีมนมหวานอ่อน ๆ เหมาะทานคู่กาแฟสุด ๆ 

02 MATCHAMOOD

เหล่ามัทฉะเลิฟเวอร์จะต้องยอมศิโรราบให้แก่ร้านนี้ MATCHAMOOD เพราะเขาตั้งใจเปิดเป็น Matcha Specialist ที่เริ่มจากความชอบ จนได้ศึกษาวัฒนธรรมการชง การปลูก นอกจากคัดใบชาระดับพรีเมี่ยมส่งตรงจากญี่ปุ่นมาเสิร์ฟให้เราถึงที่แล้ว การตกแต่งร้านยังเหมาะกับการดื่มด่ำอย่างยิ่ง ด้วยการเน้นความโล่งโปร่ง มีแสงผ่านกระจกใสรอบร้าน สีโทนปูนเปลือย พื้นปูนขัด เล่นแสงเงาดูเท่ไปในตัว ส่วนเครื่องใช้จะเป็นไม้สีอ่อนฟีลโคซี่มินิมอล ช่วยขับให้ร้านมีชีวิตชีวา ชื่นชมกับการออกแบบแล้ว เราลองเข้าไปเสวนากับ Tea Master ให้เขาแนะนำเครื่องดื่มที่เหมาะจะเป็นแก้วโปรดของเรากัน

แน่นอนว่าเมนูซิกเนเจอร์คงหนีไม่พ้นเหล่าบรรดาชาเขียวชนิดต่าง ๆ ซึ่งทางร้านจะสั่งใบชาเบลนพิเศษจากเมืองชิซึโอกะ ประเทศญี่ปุ่น พื้นที่ที่ปลูกชาเขียวได้ดีที่สุดนั่นเอง โดยเขาจะมีสูตรพิเศษของร้านคือ Matcha 01, Matcha 02 มีกลิ่นและรสชาที่โดดเด่น ลองสั่งโฮจิฉะมาอีกแก้ว ใส่น้ำเชื่อมหวานอ่อน ๆ ตัวนมกลมกล่อมเข้ากับกลิ่นชาได้อย่างแนบเนียน กินคู่กับมาเดอลีน ขนมโฮมเมดสไตล์ฝรั่งเศสที่ขายดีมาก ๆ ในญี่ปุ่น ฟีลลิ่งเหมือนได้มานั่งชิลอยู่ในคาเฟ่ย่านรปปงงิเลย เลิฟมาก

03 Drop By Dough

ร้านโดนัทสัญชาติไทยสุดป๊อปขวัญใจสายฮอป Drop By Dough ตอนนี้เขามาเปิดสาขา POP-UP at Reference Sathorn-Wongwianyai คอนโดใหม่สไตล์มินิมอลใจกลางเมือง เข้ากับคอนเซ็ปต์ร้านอย่างพอดิบพอดี ร้านตั้งอยู่บนชั้น 2 เน้นการตกแต่งเป็นโทนสว่างขาว ฟ้า การออกแบบร้านจะอิงไปกับตัวคอนโดที่มีความโค้งมนอย่างเป็นระเบียบ แต่ยังคงความคราฟต์ด้วยโคมไฟกระดาษญี่ปุ่นดีไซน์ยูนีค งานวอลล์อาร์ตน่ารัก ๆ โซนอินดอร์จัดวางชุดโซฟานุ่มสบาย แอร์เย็นฉ่ำ ฟีลเหมือนมานั่งเล่นคอนโดเพื่อน

ส่วนโซนเอาท์ดอร์ตกแต่งให้เหมือนสวนหย่อมลอยฟ้า จัดวางโซฟานั่งได้ยาว ๆ เหมาะเอาหนังสือมาอ่าน เอางานมานั่งทำ พักสายตาไปกับต้นไม้และท้องฟ้าสดใส หรือจะลุกมาถ่ายรูปอีกสักเซตกับงานกราฟฟิกน่ารัก ๆ จากเพียว โลกุตรา (IG: pure.create) อาร์ตติสรุ่นใหม่ ผู้มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างดี

นอกจากเมนูกาแฟ ที่นี่เขาก็มีเครื่องดื่มเย็นชื่นใจให้อย่าง Lemon Meringue & Lemonade เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ช่วยคลายร้อนยามบ่าย พร้อมเมนูโดนัทที่มีเฉพาะสาขานี้เท่านั้นคือ Lemon Cream Cheese โดนัทแป้งนุ่มกับครีมชีสผสมเลมอนหวานหอมชวนฝัน และอีกรสที่อยากให้ลองคือ Black & White Sesame โดนัทเคลือบด้วย white chocolate โรยงาดำอบสดใหม่ ส่งกลิ่นหอมตั้งแต่คำแรกที่กัด ไม่คิดว่างาดำกับไวท์ช็อคจะเข้ากันดีขนาดนี้

มาถึงนี่ก็ขอแวะดูโครงการกันสักกรุบกับ Reference Sathorn-Wongwianyai การออกแบบคือเรียกความสนใจจากคนชอบงาน architect สไตล์โมเดิร์น และกลุ่ม Generation Y ที่ต้องการความเรียบง่ายแต่ครบครันอย่างเรามาก ๆ เริ่มตั้งแตคอนเซ็ปต์ที่นี่ได้แรงบันดาลใจจาก Laoction ของโครงการใกล้กับ Office Buliding ใช้ชีวิตแบบ Day & Night ซึ่งเมื่อถึงเวลาหลังเลิกงานจะเป็นเวลาที่เราได้พักผ่อน ได้ Relax ทางโครงการจึงเลือก “Moon” เป็นคอนเซ็ปต์หลักในการออกแบบสถาปัตยกรรมของโครงการ เน้นความโค้งเว้าตั้งแต่ตัวอาคาร เสา ช่องทางเดิน กระทั่งการเล่นแสงเงายามแดดตกกระทบ

โทนสีก็จะเน้นให้เหมือนแสงนวลของดวงจันทร์ ให้ทุกมุมมองดูกลมกลืนไปซะหมด ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าได้มาอยู่ในที่พักอาศัยดีไซน์ดี ๆ จะทำให้มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น ส่วนโลเคชั่นก็แสนจะดี อยู่ใกล้ BTS วงเวียนใหญ่เพียง 130 เมตร เดินทางไปย่านไหนก็สะดวก เข้าสาทรก็ง่าย ใกล้ศูนย์การค้ามากมาย ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาลมีครบ เรียกว่าถ้าปักหลักลงฐานที่นี่ก็สามารถใช้ชีวิตคนเมืองได้สบาย ๆ

นอกจากการดีไซน์ที่ดีแล้ว ที่นี่ยังรองรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะอยู่ห้องขนาดไหน ก็สามารถทำทุกกิจกรรมการอยู่อาศัยได้ จุดขายอยู่ที่ทุกห้องเป็นแบบ Fully Furnished พร้อมเข้าอยู่ ซึ่งมีให้เลือก 3 room type ด้วยกัโดยแบบแรกเป็นห้อง Studio ขนาด 27 ตร.ม. กระทัดรัดเหมาะกับคนที่ใช้ชีวิต 1-2 คน กำลังดี ตอบโจทย์การใช้ชีวิต มีครบตั้งแต่ครัว ห้องน้ำ ห้องนอน ระเบียง ที่ชอบสุด ๆ คือไทป์นี้ มี Walk in closet ให้ด้วยจ้า เสื้อผ้า เครื่องทรงเยอะขนาดไหนก็เก็บไหว

เรื่องการออกแบบภายในเขาก็คำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยอย่างดี ด้วยการใช้เฟอร์นิเจอร์แบบพับเก็บได้ และมีพื้นที่จัดเก็บแบบ Built-in ทำให้เรามีพื้นที่กว้างขึ้นเพื่อทำกิจกรรมอื่น ๆ ชวนเพื่อนมาจับปาร์ตี้เล็ก ๆ ได้ชิล ๆ บอกเลยว่าอยู่คนเดียวได้สบายหายห่วง เพราะระบบความปลอดภัยของเขาก็เลิศตามมาตรฐานสากลเลย

ขยับขยายให้กว้างขึ้นอีกหน่อยสำหรับไอต้าวคลั่งรัก หรือพี่น้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน ที่ห้องขนาด 31 ตร.ม. มี 1 ห้องนอน เปิดห้องมาเจอครัวกับห้องรับแขกก่อน ตามด้วยระเบียงเป็นสัดส่วนอย่างดี ส่วนครัวนั้นมีประตูกระจกปิดกั้นเพื่อป้องกันกลิ่น ทำครัวเสร็จก็เปิดหน้าต่างระบายลมได้ทันที เฟอร์นิเจอร์ และการตกแต่งภายในก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความโค้งกลม สะท้อนภาพลักษณ์ของโครงการและรสนิยมของผู้อยู่อาศัยได้แบบไม่หลุดธีมเลย

เข้ามาดูขนาดห้องนอนที่ค่อนข้างกว้าง นอนสองคนได้แบบไม่อึดอัด มี Walk in closet พื้นที่จัดเก็บเพียบ พร้อมโต๊ะเครื่องแป้ง กระจกทรงกลม ความโค้งมนทั้งหลาย บวกกับไฟฝังเพดานที่สาดแสงนวล ทำให้ห้องดูสบายตา น่านอนขึ้นเยอะเลย

ส่วนครอบครัวที่อยากใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมือง เราขอแนะนำห้องขนาด 70 ตร.ม. 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ที่มีหน้ากว้างถึง 13 เมตร โดยไทป์นี้จะเป็นห้องมุมที่มีเพียงชั้นละ 1 ยูนิตเท่านั้น เปิดเข้าไปเราจะเจอกับ Foyer หรือโถงต้อนรับ วางโซฟา โต๊ะรับแขกกว้างพอสำหรับใช้เวลากับครอบครัว และสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ถัดมาหน่อยจะเป็นห้องครัวแบบมีเคาน์เตอร์ตรงกลาง และโต๊ะอาหาร ระเบียงยาวขนาดใหญ่ชมวิวสาทรได้เต็มตา แถมไม่มี Air compressor ให้เกะกะด้วย

เข้าสู่มุมไพรเวทกันบ้าง ที่ห้องแรก เราสามารถแบ่งเป็นห้องนอนเด็กสำหรับอยู่แบบครอบครัว หรือปรับเป็นห้องทำงานก็ได้ เพราะเขามีกระจกบานใหญ่ให้แสงลอดสว่างทั้งห้อง ทำให้ห้องดูโล่งโปร่ง แถมยัง take View สวย ๆ ไดีอีกด้วย พร้อมมีโต๊ะเครื่องแป้งเล็ก ๆ พร้อมตู้เสื้อผ้าให้พร้อมสรรพ

มาจบแบบฟิน ๆ กันที่ Master Bedroom ห้องนอนใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้องน้ำกว้างขวาง ใช้สุขภัณฑ์ของ Kohle มีกลิ่นอายความ Luxury แฝงอยู่ในความเรียบง่าย ซึ่งถือเป็นการดีไซน์ที่กินขาด เอาใจคน Gen Y สุด ๆ

04 Timo and Tintin 

เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วทั้งคาเฟ่ แกลลอรี่ เอาใจทั้งสายฮอปปิ้ง สายเสพอาร์ต จัดให้เต็ม ๆ ถึง 5 ชั้น ซึ่งงานอาร์ตจะเป็นนิทรรศการหมุนเวียน แต่เชื่อเถอะว่างานที่เขาคัดมาต้องแจ่มว้าวทั้งหมด เพราะดูจากการออกแบบร้านก็เชื่อได้เลยว่า เทสดีไม่จกตา ด้วยการดีไซน์แบบ Modern Contemporary ปรับโครงตึกเก่าทรงลึก เจาะทะลุรับแสงภายนอกให้ดูโล่งโปร่ง เสริมความเท่สไตล์ Loft ด้วยสีเทาปูนเปลือย ตัดขาวดำ เติมสีสีนด้วยกราฟฟิตี้ประจำร้าน 

ส่วนโซนแกลลอรี่ด้านบน เขายังเก็บพื้นไม้ปาเก้ที่เห็นได้ตามตึกเก่าเอาไว้ ทาสีผนังให้เป็นสีขาว เอาไว้แขวนงานศิลปะน่ารัก ๆ ให้เราได้เชยชม อย่างช่วงที่เรามาเป็นเดือน PRIDE MONTH พอดี ทางร้านจึงร่วมมือกับศิลปิน PAINTERBELL จัดแสดง Mini Exhibition กับเหล่าคาแรคเตอร์แสนซน John Lulu & Friends กระจายอยู่ทั่วทั้งร้าน กับธีมสายรุ้งแฮปปี้สดใส อันเป็นเอกลักษณ์แห่งความหลากหลาย LGBTQIA+ ซึ่งจะจัดแสดงถึง 31 กรกฎาคม 2565 นี้เท่านั้น ยังไงรีบมาถ่ายรูปกันนะ

อีกกิมมิกที่ชอบคือการจัดเสิร์ฟด้วยแก้วกระดาษที่มีการออกแบบลายกราฟฟิกไม่เหมือนกัน ทำเราแอบลุ้นว่าจะได้ลายที่หมายตาไว้มั้ย ลองสั่งคุกกี้ลายซิกเนเจอร์ของทางร้านมาวางถ่ายรูป ก็น่ารักปุ๊กปิ๊กจนกินไม่ลงเลย ส่วนเมนูที่เราภูมิใจนำเสรอคือ Brookie บราวนี่ผสมคุกกี้เนื้อหนุบท๊อปด้วยมาชเมลโล่เท็กเจอร์นุ่ม ๆ หวานอ่อน ๆ เข้ากับกาแฟได้ดีมาก 

05 nocafe.justcoffeeandbreakfast

หยุดกรี๊ดไม่ได้เลยกับร้านอาหารเช้านามว่า nocafe.justcoffeeandbreakfast เบเกอรี่สไตล์ตะวันตก ซึ่งร้านนี้เริ่มจากการเปิดขายง่าย ๆ ที่หน้าบ้านตัวเอง จนตอนนี้ได้เปิดเป็นร้านใหญ่ขึ้น ตกแต่งได้สวยงามยิ่งขึ้น หน้าร้านให้บรรยากาศสุขุมนุ่มเท่ด้วยโทนไม้สีเข้ม ตัดกับขอบกระจกสีดำ มีการจัดวางโซนเอาท์ดอร์ให้นั่งได้ 5-6 ที่ 

ส่วนภายในตกแต่งได้อบอุ่น คลาสสิกโมเดิร์น มีผนังอิฐแดง มาคู่กับพื้นปูนขัดเงา ตกแต่งด้วยตู้ไม้เก่าสำหรับวางลำโพง หนังสือ รูปภาพที่มีอาร์ตเวิร์คเหมาะกับตัวร้าน มีกลิ่นกาแฟหอม ๆ โชยผสมมากับขนมปังอบใหม่ ฟีลเหมือนมานั่งกินอาหารเช้า จิบกาแฟที่บ้านเพื่อน ได้เริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่นี่ ก็ดูเป็นชีวิตคนเมืองที่ลงตัวมาก ๆ เลยทีเดียว

บอกก่อนเลยว่ารสมือของทางร้านเรียกว่าไม่ธรรมดาเลย เมนูยืนหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือ เบเกิล อาหารเช้าสุดฮิปที่นิยมตั้งแต่ยุโรปตะวันตกไปจนถึงแถบอเมริกา ที่ทำได้ทั้งแบบคาวและหวาน ซึ่งต่างชาตินิยมทานกันเป็นมื้อเช้า แป้งเบเกิลมีให้เลือก 6 แบบ ไส้อีกนับไม่ถ้วน โดยทั้งหมดที่สั่งมารสชาติดีเยี่ยม แต่ที่เราลงมติกันว่าแจ่มสุดคือ Ham & Truffle Cheese Bagels แฮมชีสเข้มข้นมีกลิ่นทรัฟเฟิลหอม ๆ ตีขึ้นมา อบร้อนกับแป้งเนียนนุ่ม ลงตัวทุกรสสัมผัส กินหมดไวจนลืมคำว่าเลี่ยนไปเลย

06 OUM AND CO.BKK

ร้านขายเครปหวานแหววฉ่ำตาย่านเจริญนคร เป็นแบรนด์คาเฟ่ของ Oum’s.great.crepe เจ้าดังแถบสามย่าน ที่ตอนนี้เขาได้เนรมิตรตึกโรงเรียนเก่าให้กลายเป็นคาเฟ่สีชมพูหวานตัดกับสีเขียวสุดคิ้วท์ ใครพบใครเห็นก็ต้องรู้สึกสดชื่นไปตาม ๆ กัน สำหรับร้าน OUM AND CO.BKK จะให้กลิ่นอายของความเป็น Old School เบา ๆ ตามประวัติของพื้นที่ บนชั้นวางยังมีของที่ระลึกน่ารัก ๆ ให้เราเลือกช้อปทั้งกระเป๋า หมวก เสื้อ แก้วน้ำที่ออกแบบพิเศษเป็นแบรนด์ของทางร้าน น่าสอยกลับไปใช้สักชิ้นสองชิ้น

เราชอบการตกแต่งที่เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ สั่งทำเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นขึ้นเองเพื่อให้ตรงกับคอนเซ็ปต์ร้านที่สุด เช่น ที่จับประตู เก้าอี้ไม้ภายในร้าน จะขึ้นเป็นรูปตัว T ซึ่งเป็นลักษณะของไม้หมุนเครป เข้าคู่กับเมนูที่ขายพอดิบพอดี โต๊ะ โซฟา โคมไฟต่าง ๆ จะมีมุมโค้งมน สีพาสเทลไปซะหมด เพิ่มความอบอุ่นน่านั่งด้วยตู้ไม้ ไฟสีส้ม แค่ได้เข้ามานั่งเล่นก็เติมความสดใสให้เราได้แบบเต็มแม็กซ์

เห็นเมนูแล้วคิดถึงวัยเด็ก ที่ชอบมาซื้อเครปหน้าโรงเรียนก่อนกลับบ้าน ที่นี่เขามีไส้ให้เลือกทั้งคาว หวาน และเครปเย็น แตกต่างที่วัตถุดิบ เขาจะใช้ของสดใหม่ จัดเสิร์ฟอย่างสวยงาม เมนูประจำใจเราคือ ช็อกโกแลตกล้วย เมื่อได้มาอยู่ในแป้งที่บางกำลังดี กรอบกำลังโดน หวานอ่อน ๆ หอมจากเตาร้อน ๆ ยิ่งฟิน และเขายังมีเมนูซิกเนเจอร์ให้เลือกอย่าง Crispy Chicken Lemon Cream Salad, ไก่ทอดเกาหลี, ชีสเบอร์เกอร์เนื้อ ฯลฯ ส่วนเครื่องดื่มที่เราเลือกแบบไม่คิดเยอะคือบรรดา Milk Shake หวานหนุบ มีเท็กเจอร์คุกกี้ให้เคี้ยว ยิ่งกินยิ่งอารมณ์ดี

07 W8 Space

สำหรับการดื่มด่ำบรรยากาศแสนสงบในย่านที่มีผู้คนอยู่อย่างเนืองแน่น เราขอแนะนำมุมลับ ๆ ในเส้นเจริญนคร 10 กับ W8 Space ไวน์บาร์เรียบหรูดูลูกคุณหนู ตกแต่งเน้นสีขาวคลีน ตัดสลับเฟอร์นิเจอร์รูปทรงแตกต่าง หลากสีสัน ทั้งสีน้ำเงิน เขียว แดงเบอร์กันดี จัดวางทิ้งระยะห่างให้ความเป็นส่วนตัว แต้มแสงให้พอสลัวด้วยไฟสีนวล ฉายลอดมาจากโคมไฟทรงเก๋ ตามผนังมีคิ้วและบัวที่ติดให้เห็นรายละเอียดเหมือนร้านอาหารฝรั่งสมัยก่อน เปิดเพลงคลอเบา ๆ ให้ดูมีชีวิตชีวาผสมผสานกับบทสนทนาดี ๆ น่าหยิบเดรสทรงเรียบ นัดเพื่อนมานั่งจิบเครื่องดื่มให้เลือดสูบฉีด ช่วยให้หลับฝันดีตลอดคืน

ร้านนี้จัดว่าเป็น Specialty Wine Bar สำหรับคนที่เริ่มต้นดื่มไวน์ได้เลย เพราะเขามีให้เลือกตั้งแต่ไวน์ขวดละ 1,000 บาท ไปจนถึง 7,000 บาท หรือจะสั่งมาจิบเป็นแก้วก็ได้ในราคาที่เอื้อมถึง ใครที่ไม่ถนัดไวน์ เขาก็มีอูเมชู และค็อกเทลให้เลือกเช่นกัน รายการอาหารส่วนใหญ่จะเป็นจานที่เข้ากับเครื่องดื่ม เราสั่งโคลด์คัต ภายในเซตมี Salami Napoli, Prosciutto Emiliano เคล้ากับชีส Gruyère, Camembert พร้อมแครกเกอร์ ถั่ว ผลไม้อบแห้ง และป๊อปคอร์น โดยรวมเป็น Perfect Match ที่เหมาะสำหรับการพบปะอย่างยิ่ง

08 Ailati Resto

เชื่อว่าแฟนพันธุ์แท้อาหารอิตาเลียนส่วนใหญ่อาจเคยได้ยินชื่อเสียงของ Ailati Resto มาบ้าง ด้วยความที่เขาปรุงอาหารสูตรต้นฉบับอิตาเลียนแท้ ๆ ให้เราได้ลิ้มลอง สิ่งแรกที่สร้างความประทับใจคือ รูปลักษณ์หน้าร้านกับโครงตึกเก่าสไตล์ยุโรป เอกลักษณ์ของเจริญกรุง ปรับเปลี่ยนประตูหน้าต่างให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น ส่วนภายในรีโนเวทให้ดูคลาสสิก สะอาดเอี่ยม มีกิมมิกไม่เหมือนใคร ตรงผนังฉาบปูนครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งโชว์อิฐแดงเปลือย พื้นและโต๊ะใช้เป็นไม้สีเข้มเนื้อสวยละมุนตา ตกแต่งด้วยการแขวนถ้วยชามเซรามิก สีเขียวเข้ม เฉดเดียวกับกรอบประตู หน้าต่าง เก้าอี้และโซฟาดูมีสีสัน เมื่อย้อมด้วยแสงส้ม พร้อมแสงธรรมชาติที่ลอดเข้ามายามบ่าย ยิ่งขับให้ทุกอย่างดูเข้ากันลงตัวไปซะหมด

อย่างทีเกริ่นไปแล้วว่าทางร้านเขาจัดเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนสูตรต้นตำรับ มีเมนูให้เลือกเยอะมาก ตั้งแต่ Appitizer, Main course, Salad, Pasta แต่ทีเด็ดเลยคือ Pizza ที่มีให้เลือกทั้งคาว-หวาน และ White Pizza เราลองสั่งหน้า Diavola ที่มี Tomato, Mozzarella, Spicy Salami ตัวแป้งหนานุ่มกำลังดี ทั้งซาลามี และซอสที่ปรุงก็กลมกล่อมจนแทบไม่ต้องปรุง อีกเมนูเด็ดดูแปลกตาคือ Pasta Strozzapreti with Salsiccia, Porcini Mushroom and Truffle Sauce เป็นพาสต้าเส้นสด เส้นอ้วน ๆ สั้น ๆ เนื้อหนึบ คลุกกับไส้กรอกอิตาเลียน และซอสทรัฟเฟิลเข้มข้น ออกเค็มหน่อย ๆ ซึ่งลงตัวดีกับเส้น กลิ่นทรัฟเฟิลหอมชวนกินเพลินมาก ๆ เจอจานนี้ไปแทบลืมพาสต้าของที่อื่นเลย

รู้สึกยิ่งฮอปปิ้งย่านวงเวียนใหญ่ และตามแนวรถไฟใกล้ ๆ ก็ยิ่งอิจฉาคนที่ได้อาศัยอยู่แถวนี้ เพราะนอกจากคาเฟ่ดี ๆ ที่เราพาไปแล้ว บรรดาร้านเด็ดในตำนาน อาหารโลคัลฟู๊ดก็มีให้เลือกแทบทุกเส้นถนน เรียกว่าเหมาะกับทุกความชอบ ทุกไลฟ์สไตล์จริง ๆ  ใครกำลังหาที่พักอาศัยบนโลเคชันดีพร้อม มีดีไซ์เรียบเก๋สะท้อนภาพลักษณ์คนเมืองสมัยใหม่ ก็ขอให้รีบมาจับจอง  Reference Sathorn-Wongwianyai ไว้สักห้องนะ จะได้ใช้ชีวิตชิคคูลตามแบบที่ฝันไว้ไนทุก ๆ วัน