รีวิวสเปน :: 4 Days in Barcelona, Spain Itinerary (First-Timers Guide) with vivo X80 Pro 5G

ทริปยุโรปฤดูร้อนรอบนี้เราขอพาตัวเองมาสัมผัสความชิลที่ บาร์เซโลนา เมืองพักตากอากาศริมทะเลของประเทศสเปน ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าที่กระจายอยู่ทั่วทุกอณู กับทั้ง 8 โลเคชั่น ที่เราคัดสรรมาอย่างดีงาม ตั้งแต่ชมศิลปะในมิวเซียม ร้อยเรื่องราวผ่านโบสถ์สุดอลังการ อพาร์ทเมนต์แสนเก๋อายุร้อยปี ไหนจะประติมากรรมในสวนที่ได้ขึ้นเป็นมรดกโลก ต่อด้วยไปนั่งเล่นชายหาดชมความระยิบระยับบนผืนน้ำสีพาสเทล บอกเลยว่าทริปนี้ได้ละเลียดชมความสวยงามจนตาแตก พร้อมส่งต่อเรื่องราวผ่าน vivo X80 5G สุดยอดสมาร์ทโฟนที่ทำให้ได้ภาพปัง ๆ มาฝาก ให้ทุกคนตกหลุมรักสเปนได้ไม่ยาก

ความตื่นเต้นยังตลบอบอวลตั้งแต่วันแรกที่ได้เหยียบบาร์เซโลนาจนถึงตอนนี้ เพราะนี่คือสเปนครั้งแรกของเรา และมันยิ่งตื่นเต้นคูณสองขึ้นไปอีก กับครั้งแรกที่เราจะเล่าความประทับใจของทริปผ่าน vivo X80 5G น้องเล็กของ vivo X80 Series 5G ที่มาพร้อมกล้องหลัก 3 ตัว พัฒนาร่วมกับบริษัทผลิตเลนส์ชั้นนำของโลกอย่าง ZEISS กับระยะที่ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็น Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล, Telephoto สำหรับถ่าย Portrait ซูมออฟติคอลได้ 2 เท่า ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รวมถึง Ultra Wide ระยะ 16 mm ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา … ​เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าน้องเล็กสเปคเทพนี้จะทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวตลอดทริป 4 วัน 3 คืนของเราได้เป๊ะปังขนาดไหน

01 Cathedral de Barcelona

เดอะเฟิร์สวันที่เราอยากให้ทุกคนได้มาเยือนก่อนเลย คือการเดินทอดท่องชมความอลังการของมหาวิหารที่ใช้เวลาสร้างนานถึง 150 ปี อย่าง Cathedral de Barcelona ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคสมัยศตวรรษที่ 13-15 ทำให้เราประทับใจตั้งแต่เห็นจากภายนอก กับความสูงใหญ่โดดเด่นท่ามกลางอาคารเก่าแก่ เห็นรายละเอียดอันแสนจะวิจิตรบรรจง ซึ่งความสวยงามนี้ส่งเสียงเรียกเหล่านักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมกว่า 3 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว

ย้อนไปก่อนที่จะสร้างเป็นมหาวิหารช่วงสมัยปลายโรมัน ที่นี่เป็นโบสถ์คริสต์ยุคแรก ๆ ที่เก็บอัฐิของนักบุญ Santa Eulàlia ที่ถูกทรมานจนตายในวัยเพียง 13 ปี จากการปกป้องความศรัทธาของชาวคริสต์ในสมัยจักรพรรดิ Diocletian ในทุก ๆ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ จึงมีการเฉลิมฉลองจัดขบวนพาเหรดเพื่อระลึกถึงนักบุญท่านนี้นั่นเอง

เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ด้านในก็สัมผัสได้ถึงความอลังการงานสร้าง ตั้งแต่ซุ้มประตูฉลุที่สลักเป็นลวดลาย และรูปปั้นนักบุญวางเรียงกัน เข้าไปเจอกับเพดานวิหารสูงแกนกลาง 8 เหลี่ยม มองไปรอบ ๆ พบภาพวาดภายในห้องสวดมนต์ ที่เขียนแบบโกธิคติดเรียงกันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคริสตศาสนกันเป็นจำนวนมาก ที่นี่ยังโดดเด่นด้วยตราแผ่นดินของสเปนเวอร์ชั่นศตรรษที่ 16 และ Stained windows หรือหน้าต่างที่ทำจากกระจกหลากสีไล่แสงเงาสวยงาม ประกอบเป็นลวดลายโบราณ ทั้งดอกไม้ ตราสัญลักษณ์ และเหล่าตัวละครในประวัติทางศาสนาคริสต์ เรียกว่าให้เราสามารถสัมผัสความขลังและเก็บภาพทุกก้าวที่เดิน พร้อมบอกเล่าข้อมูลทุกจุดได้อย่างล้ำลึกเลย

แม้ว่าด้านในเขาจะประดับประดาด้วยไฟแทบทุกช่วงเพดาน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ แสงเหล่านั้นก็ยังฉาบไม่ได้ทั่วพื้นที่ ยากต่อการเก็บดีเทลความสวยงาม แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะเรามี Night mode ของ vivo X80 5G มาพร้อมกับระบบกันสั่น Gimbal Stabilization 3.0 ให้เราได้ภาพคมชัดไม่สั่นไหวแบบไม่ต้องพึ่งขาตั้งกล้อง มีการเกลี่ยแสงให้เข้ากัน ไม่มืดไปหรือจ้าเกินไป เพราะมีเทคโนโลยีเคลือบเลนส์ ZEISS T* Coating เอกลักษณ์การเคลือบเลนส์แบบพิเศษของ ZEISS เพิ่มสีสันให้สดใสขึ้นอีกด้วย AI Deglare และ RAWHDR ที่ vivo พัฒนาขึ้นเอง จะใช้ภาพจากกล้องสดก็สวย ไปแต่งต่อก็ไม่เสียรายละเอียด

เดินชมความอลังการจนตาเป็นประกายด้านในเสร็จ ก็ทะลุออกมาเจอไออุ่นและสวนสวยข้างนอกต่อ สิ่งแรกที่โดดเด่นขึ้นมาเลยคือ น้องห่าน 13 ตัว ตัวแทนของนักบุญ Santa Eulàlia ซึ่งจำนวนของห่านเท่ากับอายุของท่าน ข้าง ๆ มีน้ำพุขนาดกลาง เป็นจุดจัดงานเทศกาลประจำปีของบาร์เซโลนา ‘Ou com Balla’ or dancing egg กับการชมไข่เต้นระบำเหนือน้ำพุ เดินเลียบไปตามทางเดินแสนโอ่อ่าไปยังพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงผลงานจิตรกรสมัยโกธิค ไป ๆ มา ๆ ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมงเลย มันมีแต่ของหายากจนอยากจ้องนาน ๆ เพื่อเก็บไว้ในความทรงจำจริง ๆ 

นอกจากนี้รอบ ๆ ตัวโบสถ์ที่เป็น Old Town หรือเรียกอีกอย่างว่า Barcelona’s Gothic Quarter ตามตรอกซอกซอย เต็มไปด้วยอาคารที่ทำจากอิฐก้อนโต ผนังปูนลายสวย กรอบประตูหน้าต่างที่ฉลุลายหรูหรา มีคราบน้ำและร่องรอยการกัดกร่อนไปตามกาลเวลา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาทำนุบำรุง ทำความสะอาดอย่างดี มีกลิ่นอายของสเปนหลายร้อยปีก่อนอย่างคละคลุ้ง ตึกเหล่านี้ในปัจจุบันเป็นทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์นั่งชิล ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ ส่วนจุดที่ห้ามพลาดเลยคือ  El Pont del Bisbe (Bishop’s Bridge) สะพานระหว่างอาคารที่ออกแบบสไตล์ neo-Gothic โดย Joan Rubió I Bellver เป็นสะพานที่เพิ่งสร้างขึ้นทีหลัง เมื่อปี 1928 ทำให้มีความแตกต่างจากอาคารรอบด้านเล็กน้อย แต่พออยู่ในกล้องมันสวยจึ้งจริง ๆ 

02 Casa Milà

สำหรับวงการนักออกแบบ เมื่อพูดถึงบาร์เซโลนา ชื่อของ Antoni Gaudi พ่อมดแห่งวงการสถาปัตย์จะต้องโผล่ขึ้นมาในหัวทันที ซึ่ง Casa Milà แห่งนี้ก็คืออีกผลงานชิ้นเอกของเขานั่นเอง ย้อนไปเมื่อ 116 ปีก่อน ใครจะไปคิดว่าจะมีมนุษย์สามารถจินตนาการและสร้างตึกรูปทรงสุดพิศดารนี้ได้ เริ่มต้นจากคู่รัก Pere Mila และ Roser Segimon สามีภรรยาผู้มั่งคั่งต้องการสร้างอพาร์ตเมนต์บนถนนกราเซีย ทำเลที่ดีที่สุดในสมัยนั้น จึงจ้างนักออกแบบมือฉมังอย่าง Gaudi มาเขียนแบบ ใช้เวลาออกแบบนานกว่า 5 ปี จนได้อาคารสูง 9 ชั้น สไตล์ Art Nouveau ที่เน้นความโค้งพลิ้วไหวแบบธรรมชาติ เปลี่ยนงานไม้ งานเหล็กดัดให้กลายเป็นแนวหิน คลื่น ภูเขา ชวนแปลกตา วางแปลนเรื่องระบบลมและระบายอากาศให้เป็นไปตามธรรมชาติไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ ถือเป็นภูมิปัญญาสุดล้ำ ความจริงสมัยก่อนคนย่านนี้ไม่โอเคกับตึกมาก ๆ ถึงขนาดมีการฟ้องร้องให้ทุบทิ้งด้วย ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่สร้างยอดนักท่องเที่ยวให้แก่บาร์เซโลนาได้หลายล้านคนต่อปีเลยทีเดียว

ห้องหับให้แวะชมก็มีเยอะ ทั้งห้องนอนแบบยุคแรก พิพิธภัณฑ์ที่รวมผลงานของ Antoni Gaudi แต่ที่เห็นเป็นไฮไลต์เลยคงหนีไม่พ้นชั้นดาดฟ้า The Garden of Warriors ประติมากรรมหินทรายรูปทรงต่าง ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ สร้างสีสันด้วยงานโมเสกจากขวดเบียร์ ไอเดียสุดล้ำที่มาก่อนกาล มองซ้อนเหล่าหินปูนจำลองออกไปเป็นบ้านเรือนทรงปกติ ให้ฟีลลิ่งชวนฉงนสับสนแต่สวยงาม จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นเมืองบาร์โซโลนาได้แบบ 360 องศา ปัจจุบัน Casa Mila ยังคงเป็นอพาร์ตเมนต์ให้แก่ผู้เช่าเก่าที่อยู่มานานเกิน 70 ปี และเป็นที่ตั้งของ Catalunya La Pedraza Foundation มูลนิธิสนับสนุนนักครีเอทีฟผู้ขาดแคลนโอกาส

03 Casa Batlló

ยังคงวนเวียนอยู่กับการออกแบบของ Antoni Gaudi ณ อาคารที่เหมือนหลุดมาจากเมืองเทพนิยาย Casa Batlló คฤหาสน์สีพาสเทลชวนฝัน ฉีกทุกกฎการออกแบบสถาปัตยกรรม ด้วยสไตล์ Modernisme ผสาน Art Nouveau ทั้งตัวอาคาร งานไม้แกะสลัก เหล็กดัด กรอบกระจก เน้นความโค้งเว้าดูพริ้วไหว หน้าตึกตั้งแต่ชั้นสามขึ้นไปประดับประดาด้วยเทคนิค Trencadis เหมือนการนำกระเบื้องโมเสกชิ้นเล็กชิ้นน้อยสีสดใสฝังไว้จนทั่ว หลังคากระเบื้อง รูปลักษณ์เหมือนเกร็ดมังกรเลื่อม ๆ สีม่วง เขียว ชมพู น้ำเงิน โดดเด่นยามเล่นแสง สองชั้นล่างตัดด้วยระเบียงและเสารูปร่างคล้ายกระดูกและหัวกะโหลก ในจิตนาการของเราตีความได้เป็นเรื่องราวของใต้ท้องทะเล ที่มีทั้งความงดงามผสานความลึกลับ จนอยากรีบเข้าไปผจญภัยพบเจอความแปลกใหม่ภายในโดยไว

 ภายในเป็นการออกแบบที่อิงธรรมชาติใต้ท้องทะเลอย่างชัดเจน เน้นรูรับแสงธรรมชาติกระจายทั่วตัวบ้าน อย่างบานกระจกที่เห็น เขาได้อินสไปร์มาจากกระดองเต่า, ราวบันไดเรียบเนียนสัมผัสแล้วรู้สึกเย็นสบายดั่งเกลียวคลื่น, โถงกลางตึกติดกระเบื้องสีฟ้าเหมือนเราด่ำดิ่งอยู่ใต้มหาสมุทร ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยก็ไม่ขาดตกบกพร่อง เช่น กลอนประตูออกแบบมาสำหรับคนที่ถนัดทั้งซ้ายและขวา, หน้าต่างที่มีช่องแสงบังสายตาให้ชมวิวด้านนอกได้ โดยคนภายนอกไม่เห็นเรารู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ใครกำลังอยากสร้างบ้านลองมาหาไอเดียคูล ๆ ที่นี่ดูนะ

เดินกรีดร้องกับความว้าวมาจนถึงดาดฟ้า ซึ่งก็ออกแบบได้ฟินเนเล่ไม่แพ้กัน ถ้าเทียบอาคารอื่น ๆ ในย่านนี้ ยอดของ Casa Batlló เรียกว่าโดดเด่นและจัดจ้านจากกระเบื้องโมเสกที่เล่นแสงระยิบระยับ มีปล่องไฟยอดแหลม 8 ปล่องยืนสง่าเป็นกลุ่มก้อน หลังจากที่เดินชมจนจบก็รู้ว่าระยะเวลา 140 ปีที่สร้างมา มิอาจทำให้อาร์ตของ Gaudi ล้าสมัยได้เลย หากมาเที่ยวช่วงเย็นจะอยู่ยาวรอใช้บริการบาร์นั่งชิลเคล้าดนตรีสดบนดาดฟ้านี้ ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเช่นกัน

04 Park Güell

เราขอยก Gaudi เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่เลยได้มั้ย เพราะโลเคชั่นต่อมาอย่าง Park Güell ก็ยังคงเป็นผลงานของเขาอีกเช่นเคย กับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ บนเนินเขา El Carmel อายุมากกว่า 100 ปี เป็นพื้นที่สาธารณะที่รายล้อมไปด้วยเมืองและต้นไม้น้อยใหญ่จัดแต่งแซมอย่างเป็นระเบียบ มีอาคารรูปทรงโค้งมนเอกลัษณ์เฉพาะตัวของ Gaudi สองหลังอยู่เคียงคู่ แต่งแต้มให้ดูมีชีวิตชีวาด้วยเทคนิค Trencadis สีเอิร์ธโทน มองยังไงมันก็เป็นฉากในเทพนิยายชัด ๆ ทุกสิ่งปลูกสร้างล้วนมีรายละเอียดเล็ก ๆ ให้เรามองอย่าตื่นตาตื่นใจ กระเบื้องเรียงตัวเป็นลายดอกไม้สีพาสเทล ลายอิตาเลียโบราณสีคมชัด ลายสีน้ำ ดู abstract ทุกอย่างหลอมรวมกันอย่างลงตัว สวยจนได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกจาก UNESCO เป็นที่เรียบร้อย

รายละเอียดอาจจะละลานตาไปสักหน่อย แต่สิ่งที่ห้ามลืมเลยคือแวะมาทักทายน้อง Dragon Mosaic หรือที่เรียกกันติดปากว่า El Drac น้ำพุมังกรน้อย ประหนึ่งมาสคอตของเมือง นอกจากความน่ารักน่าชังของน้อง สิ่งที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวอีกอย่าง คือระบบของน้ำที่ไหลออกมาจากปากเป็นน้ำฝนธรรมชาติที่กักเก็บไว้ในสวน

เห็นหน้าน้องแล้วมันมันเขี้ยว ขอเข้าไปเซลฟี่คู่อีกสักกรุบ ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่ากล้องหน้าของ vivo X80 5G ก็ยังคงคมชัดไม่แพ้ตัวโปร กับความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.45 สร้างโบเก้ละลายหลังเปลี่ยนอารมณ์ได้ แล้วยังปรับความงามของใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ จะหยิบมาถ่ายตอนหน้าสด เดินเหนื่อยจนหน้ายม น้องก็ปรับให้ดูเรียบเนียนมีชีวิตชีวาได้ด้วย ปังมากจริง ๆ

จากนั้นเราก็เดินชมนกชมไม้เรื่อย ๆ เพื่อไปจุด Wave Cave ระเบียงทางเดินที่จำลองเป็นถ้ำหินโค้งเว้าสีน้ำตาลอ่อน ด้วยความที่สวนเป็นเนินเขามีความชัน Gaudi จึงสร้างมาให้เราเดินได้โดยง่ายแถมกลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นช่องรับลมให้พัดผ่านได้ด้วย คนอะไรฉลาดล้ำขนาดนี้

และด้วยสวนเขาก็มีต้นไม้ใหญ่ยืนชูคอให้เราไปร่วมเฟรมหลายมุม … ไม่รอช้า ปัดนิ้วไปที่ Portrait Mode Style ถ่ายรูปละลายหลังฟีลไม่ซ้ำใครสักนิดด้วยระยะกล้อง 50 mm ระยะเทพประทานสำหรับถ่ายคน บวกกับโบเก้เจ๋ง ๆ ที่พัฒนาร่วมกับ ZEISS ไม่ว่าจะเป็น Distagon, Planar, Sonnar, Biotar และพระเอกที่อยากให้ลองคือ Cinematic การละลายหลังที่ดูแพงเหมือนหลุดมาจากภาพยนตร์ ใช้ได้ทั้งภาพนิ่ง วิดีโอ คมชัด โฟกัสไม่หลุดทั้งกลางวันและกลางคืน  

นอกจากลูกเล่นแพรวพราวให้เราเลือกถ่ายรูปได้ไม่ซ้ำในสวนสวยแห่งนี้แล้ว รูปลักษณ์ก็ต้องบอกเลยว่าเข้ากับทริปของเรามาก ด้วยสี Urban Blue ที่ฟ้าสดใสท้าแดดซัมเมอร์ จับถนัด น้ำหนักเบา หน้าจอ 6.78 นิ้ว ใหญ่สบายตา สีคมชัดด้วยความละเอียด Full HD+ (2400×1080) บวกกับชิปการประมวลภาพ V1+ ช่วยเพิ่มการแสดงผลของวิดีโอและกราฟฟิกเกมส์บนสมาร์ทโฟนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะดูหนัง เล่นเกมส์ก็รับอรรถรสได้เต็ม ๆ หมดปัญหาเรื่องแบตหมดด้วย Fast Charge 80w ชาร์จไม่ถึงชั่วโมงก็พร้อมลุยต่อ ใช้มาตลอดทริปไม่งอแงเลยสักครั้ง

05 La Sagrada Família

ถ้าปารีสมีหอไอเฟล อิตาลีมีหอเอนปิซา ที่บาเซโลนาก็ขอส่ง La Sagrada Família เข้าชิงในฐานะไอคอนิคประเทศสเปนไปเลย..  เพราะนอกจากจะได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 1 Travellers’ Choice Awards 2022 ที่จัดโดย Tripadvisor แล้ว เขายังใช้เวลาก่อสร้างมายาวนานกว่า 130 ปี แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จจนถึงปัจจุบัน ฝีมือออกแบบจาก Gaudi คนดีคนเดิม ที่นี่เป็นมหาวิหารที่ขนาดใหญ่มาก ด้วยคำกล่าวจาก Gaudi ที่ว่า “เส้นตรงมีไว้สำหรับมนุษย์ ส่วนโค้งเว้ามีไว้สำหรับพระเจ้า” จึงวิเคราะห์กันว่านี่คือเหตุผลที่โบสถ์แห่งนี้แทบไม่มีส่วนของเส้นตรงอยู่เลย และแน่นอนว่าการสร้างสิ่งปลูกสร้างรูปทรงประหลาดเกินกว่าโลกความเป็นจริงจะรับได้นี้ จะต้องฟันฝ่าดราม่ามากมายทั้งจากผู้คน ความคิดเห็นทางศาสนา สงครามกลางเมือง และการเสียชีวิตของ Guadi จนเกือบไม่ได้ไปต่อ กระทั่งเหล่าลูกศิษย์ของเขาขอยื่นมือเข้ามาสานต่อ โดยตั้งใจให้เสร็จในปี 2026 เพื่อฉลอง 100 ปี การจากไปของ Gaudi อาจารย์ของพวกเขา บอกเลยว่าถ้าเสร็จจริง ฉันพร้อมกลับไปเช็คอินอีกรอบแน่นอน

มองจากข้างนอกไกล ๆ ตามผิวอาคารจะมีความขรุขระยึกยือจนน่าขนลุก แต่พอเข้าไปดูใกล้ ๆ กลับพบรายละเอียดที่แน่นทุกระเบียดนิ้ว มีทั้งเหล่าตัวละครทางศาสนา สถานการณ์ในคำสอนต่าง ๆ สัตว์ในเทพนิยาย ตราสัญลักษณ์ แซมด้วยความพริ้วไหวของงานปั้นแกะสลักตกแต่ง ทำให้งานทั้งหมดดูนุ่มนวลเหมือนมีชีวิต บางโซนก็เป็นงานอาร์ตที่ดูโมเดิร์นขึ้นมาหน่อย เห็นถึงความแตกต่างของยุคสมัย แต่กลับกลมกลืนกันอย่างลงตัว ส่วนเท็กเจอร์ตะปุ่มตะป่ำเกินกว่าฝีมือมนุษย์จะทำได้ เป็นผลงานของแดด ลม ฝน กัดเซาะวัสดุก่อสร้างที่ทำจากหินทราย จึงต้องมีการแต่งแต้มบูรณะอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน

พอเข้ามาด้านใน บอกเลยว่าเป็นอารมณ์ที่แตกต่างคล้ายไบโพล่า เพราะมันเรียบหรูดูแพง ออร่าแห่งสวรรค์ตะโกนมาก ๆ เริ่มต้นด้วยการเงยหน้ามองเพดานอยู่สูงจนคอแทบเคล็ด เสาปูนหน้าตาคล้ายต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านไปด้านบน โดย Guadi ต้องการให้ในนี้เป็นเหมือนผืนป่าอันร่มเย็น จึงมีแสงแดดรำไรตลอดเวลาในช่วงกลางวัน เหล่าเฉดแสงได้นำสายตาเราให้ไปหยุดที่สเตนกลาส ศิลปะจากกระจกหลากสีที่เขาทำแบบแฮนเมดเป็นรูปนามธรรม ให้ผู้ชมตีความเอาเอง ไม่ได้เด่นชัดเป็นรูปร่างเหมือนโบสถ์อื่น ๆ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าผลงานของ Guadi และลูกศิษย์นี่คือสุดยอดของนักครีเอทจริง ๆ

06 Barceloneta Beach

หิ้วชุดพริ้ว ใส่บิกินนีตัวโปรดมาให้พร้อม เพราะได้เวลานอนอาบแดดโชว์ผิวสวยกันแล้วที่ Barceloneta Beach ในหน้าร้อน ชายหาดแห่งนี้กลายเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นสเปนชั้นดีที่มาช่วยเพิ่มดีกรีความฮอตขึ้นไปอีกหลายร้อยเท่า โดยทุกคนจะมุ่งหน้ามาเพื่อปูเสื่อปิกนิกนอนอาบแดดกันมากมาย แต่ก่อนจะไปหาที่ลงหลักปักฐาน ขอชวนทุกคนปักหมุดมาที่ La Estrella Herida งานศิลปะกลางหาดทรายทรงลูกบากศ์ 4 ก้อน ทำจากโลหะและกระจกวางเฉไปมาเหมือนตึกที่บิดเบี้ยว ผลงานจาก Rebecca Horn ศิลปินชาวเยอรมัน สร้างช่วงที่บาร์เซโลนาเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเมื่อปี 1992 เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ และประเพณีเก่าแก่ที่หายไป จากการปรับภูมิทัศน์ชายหาดแห่งนี้นั่นเอง

จากนั้นเราใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับการเดินทอดน่องสำรวจรอบ ๆ หน้าชายหาดที่มีความยาวประมาณ 4.5 กิโลเมตร พื้นที่ด้านบนจะเต็มไปด้วยบีชบาร์ จะนั่งชิลก็เหมาะ หรือซื้อเครื่องดื่มมาปูเสื่อก็ชิค ด้านล่างจะเป็นพื้นที่สันทนาการให้ผู้คนได้เริงร่ากันตามอัธยาศัย มีทั้งกีฬาทางน้ำ ร้านเช่าเตียงผ้าใบ ร้านอาหาร ที่พัก บรรยากาศคึกคักเถิดเทิงเป็นที่สุด ส่วนทางนี้ขอรับบทนางส่อง นั่งมองสาวหน้าคม หนุ่มตาน้ำข้าวนอนอาบแดด ก็ถือว่าคุ้มค่าตั๋วแล้ว เพราะเรื่องคนแซ่บ ๆ ต้องขอยกให้บาร์เซโลนาจริง ๆ

07 La Boqueria market

หากคุณหิ้วท้องมาอย่างหิวโหยเพื่อหาอาหารท้องถิ่นกินแบบจุก ๆ เราขอแนะนำให้มุ่งหน้ามาที่ถนน La Rambla ที่ตั้งของ La Boqueria market อันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในบาร์เซโลนา ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 800 กว่าปีก่อน เริ่มจากเป็นตลาดกลางแจ้งที่เหล่าเกษตรกรรอบ ๆ เมืองนำสินค้ามาขาย ผ่านวิกฤตสงครามกลางเมือง และถูกรื้อถอนย้ายที่ไปเรื่อย ๆ จนได้ลงหลักปักฐานกลางจตุรัสย่าน El Raval ทำเลที่ดีที่สุดอย่างทุกวันนี้ ภายในมีขายของทะเลสด เนื้อ ผัก ผลไม้ ขนม ฯลฯ แต่ละร้านคัดคุณภาพอย่างดี หรือถ้าจะหาของฝากติดไม้ติดมือ ที่นี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน

เดินชะเง้อมองผลไม้ แอบจิบขนมนิด ๆ หน่อย ๆ มาตลอดทาง ถึงเวลาจัดมื้อหนักกันบ้างแล้ว ซึ่งเขามีโซนร้านอาหารให้เลือกอยู่เยอะพอควร เราเลือกนั่ง Ancora Restaurante Boqueria ร้านอาหารที่เน้นวัตถุดิบทางทะเล สั่งเมนูชื่อดังของสเปนอย่าง ข้าวผัดสเปนปาเอย่า ข้าวที่ถูกเคลือบเป็นสีส้มแดงจากเครื่องเทศ กลมกล่อมด้วยน้ำสต๊อกผัดพร้อมกับปลาหมึก กุ้ง รสชาติค่อนข้างเผ็ดร้อนเล็กน้อย หอมกลิ่นเครื่องแกง แกล้มกับปลาซาร์ดีนชุบเกล็ดขนมปังทอดบีบด้วยเลมอนสดชื่น ตัดเลี่ยนได้ดี และอีกจานคือหอยหลอด ของขึ้นชื่อของเมือง ย่างหอม ๆ เนื้อแน่นเต็มคำมีกลิ่นทะเลประหนึ่งเพิ่งตกขึ้นมาสด ๆ ร้านเปิดกันตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน ใครหิวก็แวะมาฝากท้องกันได้นะ

08 Nømad Coffee Lab & Shop

นกที่ตื่นเช้า.. คือนกที่หิวกาแฟจ้าาาา ทริปนี้เราตื่นแต่เช้าทุกวัน เลยได้ตระเวนชิมมาหลายร้าน ส่วนร้านที่เราติดดาวเป็นเดอะเบสต์ของเมืองขอยกให้ Nømad Coffee Lab & Shop ร้าน Specialty Coffee โดย Jordi Mestre ที่เริ่มต้นจากกาแฟรถเข็นในลอนดอน จนได้เปิดร้านแตกสาขามากมาย และส่งออกเมล็ดกาแฟพรีเมี่ยมไปทั่วโลก ทั้งยุโรป อเมริกา เกาหลีใต้ แคนาดา ฯลฯ การันตีความเป็นที่สุดด้วยรางวัล Award-winning barista บอกเลยว่าคนเข้าออกไม่ขาดสายตลอดทั้งวัน ร้านซ่อนตัวอยู่ภายในตึกสีเหลือง ท่ามกลางแมกไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกประดับลงกระถางอย่างดี ภายในร้านจะเน้นโทนสีเขียว จัดวางสินค้าผลิตเองอย่างเรียบเก๋ มีเครื่องมือชงกาแฟด้วยกรรมวิธีที่หลากหลายวางเรียงกัน 

ตัวเมล็ดกาแฟมีให้เราเลือกทั้ง Colombia, Guatemala, Costa Rica แหล่งปลูกกาแฟที่ดีที่สุดในโลก ผ่านการชงทั้งแบบ Machine, Nitro, Drip, Modbar Espresso ฯลฯ เลือกได้ตามชอบ เราลองสั่งทั้งแบบดริปและลาเต้ธรรมดา ใช้เมล็ดเบส 9N ของร้าน อยากจะบอกว่าสิ่งแรกที่สัมผัสได้คืออโรมากาแฟหอมติดจมูกจนตอนนี้ยังจำได้ และกาแฟดริปบอดี้เบา ๆ ปลายเปรี้ยวสร้างความสดชื่นแบบเต็มแม็กซ์ ถือเป็นอีกร้านที่คอกาแฟไม่ควรพลาดเลย

แค่สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็สามารถเป็นทั้งคนนำทาง เช็คข้อมูลข่าวสาร อัพเดทโซเชียล และเครื่องบันทึกความทรงจำ พร้อมเดินทางไปกับเราได้รอบโลกจริง ๆ ด้วยศักยภาพที่ได้รับการพัฒนาไม่หยุดยั้ง ในขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ เราคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะมีไว้ครอบครอง อย่าง vivo X80 5G ในราคาเพียง 29,999 บาท แต่ประสิทธิภาพเกินตัวไปมาก ใครอยากตามรอยแล้วได้รูปสวย ๆ แบบเราก็ไปจับจองกันได้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา หรือตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ดูข้อมูลได้ที่ https://www.vivo.com/th/products/x80 แต่ถ้าอยากได้รุ่นใหญ่ เพิ่มขนาดแบต เพิ่มความละเอียดให้เยอะขึ้นหน่อย เขามีรุ่น vivo X80 Pro 5G ราคา 39,999 บาท ให้เลือกด้วยนะ 

หมดเวลากับ 8 โลเคชั่น 4 วัน 3 คืน ในบาร์เซโลนา เมืองท่องเที่ยวแห่งสเปน แค่ได้มาชมสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของนักออกแบบสุดยิ่งใหญ่ ความล้ำสมัยในการวางผังเมืองและระบบต่าง ๆ ให้คล้อยตามธรรมชาติ ผู้คนมากมายที่อยู่กันอย่างเงียบสงบเป็นระเบียบ ทำให้เราเข้าใจแล้วว่า ทำไมบาร์เซโลนาถึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของโลก ถ้าใครมีโอกาสก็อยากให้ตีตั๋วมาตามรอยกันนะ ฟินแน่นอน …