รีวิวสกลนคร :: THE 7 BEST Things to Do in Sakon Nakhon

ใครที่ภาพในคลังเริ่มหมด อยากมองหาในรูทใหม่ ๆ ไม่ซ้ำใครไว้อัพโซเชียล เราอยากให้ลองออกเดินทางมาที่ สกลนคร ดินแดนรวยเสน่ห์แห่งภาคพื้นอีสาน และด้วยจังหวัดมีความอินเตอร์ผสมความไทยแท้อย่างกลมกล่อม ทำให้เราได้ใช้เวลา 2 วัน 1 คืนอย่างคุ้มค่า กับเพื่อนรักคันโปรด MADISON150 สกู๊ตเตอร์ลุคสปอร์ตพรีเมี่ยมรุ่นเก๋าของ MALAGUTI แบรนด์ดังจากอิตาลี มาสร้างคอนเทนต์ On the road ดื่มด่ำไปกับรสสัมผัสเมืองชนบทที่แสนเจริญหูเจริญตา มีทั้งงานสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป งานคราฟ์อันเป็นเอกลักษณ์ ร้านคาเฟ่เจ๋ง ๆ ที่เน้นเรื่องกาแฟและขนมเฉพาะทางมีกิมมิกไม่เหมือนใคร พร้อมมื้ออาหารที่เปิดประสบการณ์ไฟน์ไดนิ่งสไตล์อีสานครั้งแรก ทุกอย่างแสนดีงามจนอยากบอกต่อเลยว่าเมืองเล็ก ๆ นี้จะช่วยฮีลใจให้เราได้ท่องเที่ยวอย่างสนุกจนลืมเวลาไปเลย

อย่างที่เราเกริ่นไปตอนแรกว่าการเดินทางครั้งนี้ เรามากับสกู๊ตเตอร์แนวสปอร์ตพรีเมี่ยม 150 ซีซี สัญชาติอิตาเลียน ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเมืองโบโลญญ่า เมืองเก่าแก่และมีชื่อเสียงด้านการผลิตรถยนต์จนเป็นตำนานระดับโลก มาพร้อมสโลแกน THE SPIRIT IN MOTION เพิ่มความเข้ม เสริมความเท่ด้วยสี VENGEANCE NIGHT BLACK สีดำตัดแดงโทนเข้ม คู่สีที่ดูแพง ขับแรงด้วยสมรรถนะที่ยืนหนึ่ง มีฟังก์ชั่นการใช้งานตอบโจทย์ทั้งชีวิตคนเมืองและต่างจังหวัด  ที่สำคัญรูปลักษณ์ก็แสนจะโฉบเฉี่ยว ขับไปตรงไหนก็มีแต่คนเหลียวมองแน่นอน

Day 1

01 : Rebellion

เปิดทริปวันแรกกันแบบชิล ๆ สบาย ๆ กันที่ร้านคาเฟ่ใหม่แกะกล่อง Rebellion หน้าร้านตกแต่งอย่างเรียบง่าย เน้นความเท่ดิบด้วยกระจกใสกรอบดำ พื้นและประตูใช้วัสดุไม้สีเข้มเนื้อเรียบดูพรีเมี่ยม ถือเป็นอีกร้านที่คลั่งรักเรื่องกาแฟจนมีโรงคั่วเป็นของตัวเอง คั่วพิเศษใช้เองในร้านแล้วยังส่งไปยังร้านกาแฟอื่น ๆ ด้วย โดยคอนเซ็ปต์ร้านเขาอยากให้เราได้ทั้งดื่มกาแฟดี ๆ พร้อมได้ประสบการณ์บางอย่างกลับไป ส่วนใครอยากรู้เรื่องการทำกาแฟจนไปถึงเปิดร้าน เขาก็สามารถให้คำปรึกษาได้ด้วยนะ เริ่มที่แรกก็มาตรงจุดสำหรับสายคาเฟ่ฮอปปิ้งเลย

ภายในร้านเขาปูทั้งพื้นและผนังด้วยปูนเปลือยต่างเท็กเจอร์ สุดทางมีเคาน์เตอร์บาร์พร้อมพี่บาริสต้ารอเราเข้าไปเสวนา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากาแฟของเขาต้องเป็น Specialty อย่างแน่นอน มีการชงทั้งแบบ espresso machine และ filter โดยเบสเมล็ดกาแฟจะมาจากภาคเหนือ มีให้เลือกจุก ๆ ถึง 3 เบลนด์ คือโทนกลาง ๆ ติดคาราเมลนิด ๆ, เปรี้ยวปลายผลไม้หน่อย ๆ หรือจะเอาเข้มข้นรับรสช็อกโกแลต โกโก้เน้น ๆ และยังมีเมล็ดต่างประเทศให้เลือกตามช่วงที่หาได้ แต่ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากโคลัมเบีย เราลองสั่ง MANFUL ประทับใจตั้งแต่ขั้นตอนการทำ ที่เขาประณีตประหนึ่งสร้างผลงานศิลปะ กดกาแฟจนได้ออกมาเป็นเส้นกาแฟเนื้อเนียน จิบคู่กับฟองนุ่ม ๆ ตรงด้านบนมันละมุนเคลิ้มจนอยากสั่งเพิ่มเลยล่ะ

ก่อนที่เราจะมูฟออนไปหาของหวานรองท้องในโลเคชั่นถัดไป เรามาดูความคมเข้มของเพื่อนรักเราก่อน นอกจาก MADISON150 จะถูกออกแบบให้หล่อเหลาตั้งแต่กำเนิดแล้ว เขายังดูแลเอาใจใส่ผู้ขับขี่ประหนึ่งคนสำคัญด้วยการใช้เบาะแบบ COMFORTABLE SEAT เบาะที่นั่งสบายทั้งคนขับและคนซ้อน ระยะทางไกลขนาดไหนก็ไม่รู้สึกเมื่อย ไฟหน้าและไฟท้ายใช้รูปทรงโฉบเฉี่ยวสะท้อน DNA อิตาเลียนดีไซน์แบบไร้ข้อกังขา ส่องสว่างได้ทั่วถึงด้วยเทคโนโลยี FULL LED รับรองเลยว่าขับไปไหนก็โดดเด่น และที่ประทับใจสุดสำหรับนักเดินทางอย่างเราคือ STORAGE BOX ช่องเก็บของใต้เบาะกว้างพอที่เราจะใส่พร็อพเท่ ๆ มาถ่ายรูป หรือเสื้อผ้าสำหรับออกมาเที่ยวทริปสั้น ๆ 2 วัน 1 คืนแบบครั้งนี้ได้สบาย ๆ เลย

02 : Mania

มาอัดน้ำตาลเข้าร่างให้สดชื่นกันต่อที่ Mania คาเฟ่สไตล์มินิมอล ที่เน้นทำขนมสไตล์ Pastry and Viennoiserie มีทั้งเเนว Classic เเล้วก็ Contemporary เกิดจากความความหลงในเรื่องราวของขนมแต่ละประเภท เสน่ห์ของความละเมียดละไมในขึ้นตอนการทำ จนอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง นี่เป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ร้าน ที่ตั้งใจออกแบบเป็นแกลลอรี่ ให้เรามองชิ้นงานขนมประหนึ่งมองงานศิลปะ จนเกิดคำถามและอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราว เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับการทานขนมของชาวสกล และชาวฮอปอย่างเราเป็นอย่างมาก สตอรี่ดีแล้ว เรื่องฝีมือก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน การันตีด้วยการได้ส่งขายไปยังร้านต่าง ๆ ขยายฐานจากทำที่บ้านมาเป็นทำที่ร้าน ทำให้มีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น จนตอนนี้หากใครอยากมาลองขนมชิ้นไหนเป็นพิเศษต้องโทรจองกันเลยทีเดียว

พอเปิดประตูเข้ามาในร้าน ทุกโสตประสาทก็ทำงานพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ตื้นตันไปกับการจัดร้านที่ตรงคอนเซ็ปต์ จัดวางชิ้นขนมแบบเรียบ ๆ แต่เรียกความสนใจได้เต็มสิบ มองลึกเข้าไปเราจะเห็นพี่ ๆ ง่วนทำขนมกันอยู่ในห้องอบส่งกลิ่นหอมยวนใจ จนอดไม่ได้ที่จะรีบเข้าไปจิ้มเลือกชิ้นที่ใช่สไตล์ที่ชอบ หากเราสนใจขนมชิ้นไหนแล้วต้องการรู้สตอรี่ของขนมหรือคำแนะนำ ก็สามารถสอบถามกับทางร้านได้ ประหนึ่งนักชมผลงานศิลปะสอบถามข้อมูลจากอาร์ตติส เป็นร้านขนมที่ให้ฟีลลิ่งการกินที่แตกต่างจริง ๆ

ทางเราสั่งมาเฉพาะเมนูซิกเนเจอร์ ทั้ง Kouign Amann แป้งกรอบหอมชุ่มเนย ที่จัดเสิร์ฟร้อน ๆ มีความหวานของน้ำตาลที่เคลือบบางเบาอยู่ภายนอก อร่อยจนหยุดไม่ได้และ Macadamia Feuilletée อันนี้เป็นขนมที่เราไม่เคยกินที่ไหน ตัวแป้งคล้ายเนื้อครัวซองต์ อบได้พอดีชูความหอมของแป้งจนติดจมูก เติมความหวานลงไปนิดหน่อย ได้เม็ดแมคคาเดเมียเต็ม ๆ คำ ถ้ายังหวานไม่พอก็จิ้มซอสคาราเมลเพิ่มได้ตามชอบ พอทานคู่กับ Tropical เครื่องดื่มที่เน้นความสดชื่นเหมาะกับอากาศประเทศไทย เราก็พร้อมออกเดินทางต่อได้อย่างเริงร่า

03 : ชุมชนท่าแร่

โลเคชั่นนี้ขอเริ่มด้วยการเกริ่นประวัติก่อน เพราะ ท่าแร่ แห่งนี้เป็นชุมชนเก่าแก่ที่อยู่มายาวนานกว่า 100 ปี มีการผสมผสานหลากวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างเข้มข้น เอกลักษญณ์ชุมชนนี้เกิดจากชาวคริสต์ที่อพยพมาจากเวียดนามเมื่อ 140 กว่าปีก่อน ตอนแรกตั้งรกรากอยู่ที่ตัวเมือง แต่พอลูกหลานเพิ่มมากขึ้นจึงขยับขยายมาอยู่ที่บ้านท่าแร่ จนเกิดเป็นชุมชนนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปอยู่มากมาย แม้จะอยู่ห่างจากตัวเมืองถึง 21 กม. แต่ก็ถือเป็นชนบทเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความน่ารักมีเสน่ห์ ทั้งร้านค้า พิพิธภัณฑ์ ที่หลงเหลืออยู่ในตึกโบราณสไตล์โคโลเนียลฝรั่งเศส ผู้คนที่เป็นกันเอง และวัฒนธรรมการทำดาวประดับที่ยิ่งใหญ่จนเป็นประเพณีหนึ่งเดียวในไทย

อาคารแรกที่ถือเป็นแลนด์มาร์กหลักในการเช็คอินคือคฤหาสน์อุดมเดชวัฒน์  อาคารสีส้มโดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์ French Colonia มีซุ้มประตูโค้ง พร้อมการแกะสลักและรูปปั้นประดับอ่อนช้อย ถ่ายรูปได้ทั้งด้านหน้าและหลังตึก จากนั้นขับเลียบมาบนเส้นถนนเดียวกัน ก็จะพบตึกหินโบราณ ซึ่งเคยเป็นโบสถ์ประกอบพิธีกรรมทางคริสตศาสนา และถูกสั่งปิดไปตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเกิดไฟไหม้ทำให้บ้านชำรุดทรุดโทรม และถูกทิ้งร้างจนถึงปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าแมกไม้ต้นหญ้าก็ขึ้นรุงรังห้อมล้อมตัวอาคาร เกิดความสวยงามอย่างน่าพิศวง จนกลายเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวของบ้านท่าแร่ไปโดยปริยาย

ส่วนไฮไลต์เด็ดที่พลาดไม่ได้เลยคืออาสนาวิหารอัครเทวดามีคาแอล โบสถ์หลังใหญ่ทรงเก๋ สีขาวสะอาดแสนเรียบง่ายเปี่ยมเสน่ห์ ตั้งใจสร้างให้รูปทรงคล้ายเรือเพื่อระลึกถึงการอพยพของชาวคริสต์จากตัวเมืองมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ โดยเรือที่ใช้อพยพเป็นเพียงเรือลำเล็กผูกติดกับไม้ไผ่เป็นแพขนาดใหญ่ ใช้ผ้าห่มเป็นผ้าใบล่องไปตามลม เชื่อว่าพระเจ้าประสงค์ให้ไปที่ไหนเรือจะข้ามไปถึงจุดนั้น จนมาถึงพื้นที่บ้านท่าแร่ที่เห็นในปัจจุบันนี้นั่นเอง เมื่อเข้าไปด้านในโบสถ์ เราถึงกับตื่นตะลึงในความโอ่โถงและเรียบง่าย ชอบสุดคือศิลปะ Stain Glass ที่เราแอบลอบมองแทบทุกโบสถ์ ของที่นี่แม้ภาพจะไม่ใหญ่ แต่เขาทำแสงเงาได้สวยมาก เล่าเรื่องราวทางคริสตศาสนาได้เพลินตาสุด ๆ

Day 2

04 : Nap’s Coffee x Sakon Nakhon

นอนตื่นสายให้เต็มที่แล้วมาเติมพลังกันกับคาเฟ่ที่มีสาขาเยอะที่สุดในแถบอีสาน และมีหนึ่งเดียวในสกล นั่นก็คือ Nap’s Coffee x Sakon Nakhon ซึ่งสาขาแม่อยู่จังหวัดอุบลฯ เป็นฮับโรงคั่วจัดส่งเมล็ดเบลนด์พิเศษมานั่นเอง ดู ๆ แล้วเหมือนเป็นร้านขวัญใจของคนในพื้นที่อยู่ เพราะมีคนเข้าออกแทบตลอดเวลา โดยตัวร้านออกแบบแนวสตรีท ๆ เหมาะกับการแต่งตัวเท่ ๆ มาเช็คอิน เป็นอาคารทรงยาว เน้นโทนสีขาว-เขียวมิ้นต์ มีโซนให้นั่งทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์ ซึ่งทางร้านตั้งใจให้เป็น community นัดพบปะ นั่งทำงานของหนุ่มสาวชาวสกล

นอกจากไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เราสัมผัสได้ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาด้านในร้านแล้ว สีสันของก็ร้านทำเราชื่นใจขึ้นมาอีกสเต็ป ด้วยสีเขียวมินต์สดใส การจัดวางเป็นไปอย่างโล่งโปร่งสบาย พร้อมกลิ่นอโรม่ากาแฟแตะจมูกเป็นระยะ ลองไปสำรวจที่เคาน์เตอร์บาร์ เขามีตัวเมล็ดกาแฟให้เราเลือกอยู่มากมาย ทั้งเมล็ดในประเทศและต่างประเทศ แถมราคายังน่ารัก เริ่มต้นที่ 60 บาทเท่านั้น

นอกจากกาแฟแล้ว เขาก็มีเมนู non-coffee ขนมเค้ก และขนมอบให้เราเลือกมากมาย เราลองเลือกเมนูแนะนำของเขาคือ Ganache chocolate เนื้อเค้กและครีมจากช็อกโกแลตเข้มข้น เคลือบด้วยกานาชเนื้อหวานหอม ตัดกับ Espresso Sparkling yuzu ชอตกาแฟหอม ๆ ที่ผสมมากับยุสุหวานเปรี้ยวซ่า เข้าคู่กับเค้กได้อย่างลงตัว

05 : Kramsakon

ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งงานคราฟต์ก็คงพลาดไม่ได้ที่จะมาหากิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำกัน ซึ่งที่ที่เพรียบพร้อมสุดคงหนีไม่พ้น ครามสกล ใครเป็นแฟนคลับผ้าไทยจะรู้กันดีว่าผ้าฝ้ายย้อมครามของสกลนี้ เป็นของดีของเด็ดขึ้นหิ้งประจำเมืองมาช้านาน และที่นี่เขาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าให้เข้ายุคสมัยมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพของวัตถุดิบที่ดีเยี่ยม มีกิจกรรมเวิร์คช็อปการทำผ้าย้อมคราม ทั้งแบบไพรเวท และหมู่คณะไว้คอยบริการ รออะไรละครับ.. มาถึงนี้ก็ต้องลองกันสักตั้งสิ

แต่ก่อนที่เราจะไปเล่นกัน ขอหามุมถ่ายรูปเช็คอินอีกสักหน่อย ที่ด้านหน้าร้าน เป็นบ้านไม้ทรงโบราณตกแต่งด้วยงานคราฟต์น่ารัก ๆ แยกสัดส่วนอย่างดี จากนั้นเราก็มาฟังพี่เขาให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำผ้า ตั้งแต่ต้นคราม การสกัด การมัดผ้าทำลายบนเสื้อ หรือผ้าพันคอ ซึ่งฟังแล้วดูไม่ยาก แต่ตอนลงมือก็แอบลุ้นจนใจสั่นอยู่เบา ๆ ว่าผลงานชิ้นเอกของเราหน้าตาจะออกมาสวยงามเหมือนใครเขาไหม

เอาจริงผลงานเราก็พอไปวัดไปวา เหมาะเอาไปใส่เที่ยวทะเลได้อยู่นะ ถ้าใครสนใจก็สามารถติดต่อจองล่วงหน้าก่อนได้ 1 วัน ใช้เวลาทำประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ถ้าใครไม่มีเวลา แค่แวะมาช้อปปิ้งก็จะได้สินค้าผ้าย้อมครามในราคาย่อมเยา รับรองว่าคุ้มค่าแก่การมาเยือนแน่นอน

สนุกสนานไปกับกิจกรรมพอหอมปากหอมคอ เราก็มานั่งดื่มด่ำบรรยากาศใต้ร่มไม้ของที่นี่ก่อนที่จะมูฟไปทานมื้อเที่ยง และสำหรับใครที่ชอบโยนกุญแจลงกระเป๋า เวลาก่อนขึ้นรถจะต้องคุ้ยหาให้วุ่นวายอยู่เสมอแบบเรา หากคุณขี่ MADISON150 ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป เพราะ MALAGUTI เขาใช้กุญแจรถแบบ Keyless ใช้งานง่ายเน้นความสะดวกสบายโดยไม่ต้องเสียบไข ทันสมัย ล็อกได้เหมือนรถยนต์ แถมยังเพิ่มความปลอดภัยในการโดนโจรกรรมได้อย่างดีด้วย บอกเลยว่าทางเราเลิฟสุด ๆ

06 : House Number 1712

มาถึงมื้ออาหารที่เราออกจะว้าวสุด ๆ ที่ House Number 1712 ร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่งที่เน้นส่งเสริมอาหารท้องถิ่นสกลนครที่ผสมผสานทั้งอาหารอีสานและเวียดนามให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังจากที่อาหารเหล่านี้เริ่มถูกกลืนหายไปตามกระแสบุฟเฟต์ ชาบู.. ตัวร้านตั้งอยู่ในอาคารทรงยาวโทนเข้ม แต่งแต้มสีสันด้วยสีเขียวของไม้ประดับที่จัดวางอย่างตั้งใจ ส่วนภายในให้ฟีลลิ่งมากินข้าวบ้านเพื่อน รู้สึกชิลมาก ๆ กับโต๊ะอาหารแนวยาว จัดวางผ้ารองจาน รองแก้วที่ทำจากผ้าย้อมคราม บ่งบอกถึงความเป็นสกลนครได้อย่างชัดเจน

ตอนเขามาจัดเสิร์ฟอาหารให้ที่โต๊ะ อยากจะยืนขึ้นปรบมือให้แต่ละจานจริง ๆ เพราะการจัดจานช่างสวยงามประหนึ่งงานศิลปะ สามารถยกระดับอาหารพื้นบ้านให้กลายเป็นอาหารจานหรูไม่ธรรมดาได้อย่างดีเยี่ยม ใช้วัตถุดิบพรีเมี่ยมจากท้องถิ่น พร้อมบอกเล่าเรื่องราวของอาหารแต่ละจานจนชวนพิศมัย และวิธีการกินยังไม่เหมือนใคร เช่น ต้มแซ่บปลาย่าง ชนิดของปลาแต่ละวันจะไม่เหมือนกัน อยู่ที่ว่าในตลาดวันนั้นมีปลาอะไร มีการปรุงรสทั้งตัวปลาและน้ำซุปเน้นความจัดจ้านกลมกล่อม เสิร์ฟแยกเครื่องกับน้ำให้เรามาราดเอง เมนูจุ๊จุ๊ จุ๊เนื้อโพนยางคำหั่นชิ้นพอดีคำ จัดเสิร์ฟบนเซรามิกฟอร์มสวย ให้เราเพลิดเพลินกับรูป รส กลิ่นได้อย่างดี

ส่วนเมนูไฮไลต์จานแรกกับการลิ้มลองหอยเชอรี่ครั้งแรกในชีวิต ถือเป็นเฟิร์สไทม์ที่ประทับจิตประทับใจเป็นที่สุด ด้วยเมนู ‘หอยเชอรี่อบเนย’ เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยในฤดูกาลนี้ ที่เขาเปลี่ยนจากศัตรูพืชตามนาข้าวให้เป็นแหล่งโปรตีน 0 บาทที่มีธาตุอาหารอยู่มากมาย ด้วยการใช้เนย ชีส มากลบกลิ่นคาวของหอย อบจนเข้าเนื้อเค็ม ๆ เท็กเจอร์หนึบ ๆ  พอเอามาวางบนขนมปังย่างกรอบ ๆ ปาดซอสมาโยเลมอน รสเปรี้ยวนิด ๆ อร่อยจนแสงออกปาก หยิบกินจนลืมไปเลยว่านี้แค่เมนูเริ่มต้น

จานต่อมาก็ทำเราตื่นเต้นตั้งแต่ที่เขาเริ่มบรรยาย ยิ่งฟังยิ่งอยากรีบชิมให้มันจบ ๆ ว่ามันจะอร่อยขนาดไหน แต่ด้วยต้อง Keep look ทางเราก็นั่งฟังจนจบและได้ความว่าเมนู ‘ข้าวมันปลายอน’ ได้อินสไปเรชั่นมาจากข้าวหน้าปลาไหลญี่ปุ่น เอามาปรับเปลี่ยนใช้วัตถุดิบท้องถิ่น อย่างปลายอน คือปลาขนาดเล็กที่รสชาติคล้ายปลาเนื้ออ่อนแต่มีความมันกว่า นำมาหมักและย่างกับซอสทาเระแบบญี่ปุ่นราดซอสเทอริยากิหวาน ๆ เค็ม ๆ ส่วนตัวข้าวจะใช้น้ำมันและน้ำซอสทาเระในการหุงห่อด้วยใบตอง ท็อปด้วยซอสเม็ดมะม่วง มีมิโซะกับข้าวหมากปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อครีม โดยเราจะต้องคลุกซอสและข้าวให้เข้ากันก่อน คู่กับน้ำจิ้มไก่ข้าวหมากที่บดกระดูกปลายอนลงไปด้วย ทำให้ทุกอย่างมีรสชาติเชื่อมต่อกันกลมกล่อมและลงตัว 

ของคาวจานสุดท้ายที่บอกเลยว่าต้องลองคือ ‘ทาร์ทาร์โบนแมร์โรว์’ หรือเรียกอีกอย่างว่าก้อยวัวกับไขกระดูก โดยส่วนผสมจะมี ไขกระดูกวัวโพนยางคำโรยเกลือพริกไทยนำมาย่างในเตาถ่านจนเกิดกลิ่นหอม ท็อปด้วยเนื้อส่วนพอคานย่าระดับมีเดียมแรร์ ปรุงรสด้วยหอมแดง พริก ข้าวคั่วและเครื่องเทศสมุนไพรอีกมากมาย ฟีลเมนูลาบน้ำตกแซ่บ ๆ สไตล์อีสาน เพิ่มความนัวด้วยไข่แดงและน้ำมันจากเนื้อ เพื่อชูกลิ่นเนื้อแบบคั่ก ๆ วิธีทานคือต้องตักตั้งแต่ด้านบนจนถึงโบนแมร์โรว์เพื่อรับรสชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ก่อนจะย้ายตัวที่เริ่มมีน้ำมีนวลไปโลถัดไป ทางเราก็ขอล้างปากด้วยของหวาน ‘พานาคอตต้ามะพร้าว’ ที่ใช้เนื้อมะพร้าวอ่อนได้แบบสมมงเชฟมือทอง ตัวเนื้อพานาคอตต้านุ่มหอมหวานละลายในปาก พร้อมเนื้อมะพร้าวที่ให้มาชิ้นโต ๆ หนุบหนับอร่อยจนลืมกลืน เป็นการจบมื้อเที่ยงได้แบบฟินเนเล่สุด ๆ

07 : Moon Cafe

หลังจากที่ลัดเลาะขี่รถชมเมืองสกล ทำกิจกรรม รับประทานอาหารสุดคูลกันอย่างเต็มอิ่ม เราก็ขอปิดท้ายทริปกันที่อีกคาเฟ่สุดฮอต ที่เห็นเหล่าวัยรุ่นชาวสกลชอบมาถ่ายรูปเช็คอินในไอจีอยู่เพียบ กับร้าน Moon Cafe คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารพาณิชย์ ตกแต่งฟีลโคซี่มินิมอล เน้นสีโทนอบอุ่นขาว น้ำตาล ภายในฉาบทั้งร้านด้วยไฟสีส้มละมุนตา เป็นแสงที่ถ่ายรูปได้สวยงาม แก้มนวลปากชมพู เอาใจสาว ๆ ไปเต็ม ๆ การจัดวางของตกแต่งเป็นไปอย่างเรียบง่าย เน้น Layout ที่ดูน้อยแต่มาก แตกต่างอย่างลงตัว พูดไม่ถูก รู้แต่ว่ามองแล้วมันรู้สึกน่าพึงพอใจซะอย่างนั้น

นอกจากร้านจะสวยแล้วเรื่องเครื่องดื่มและเบเกอรี่เขาก็ยืนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งขนมของทางร้านจะเป็นแบบโฮมเมด มีการเปลี่ยนแปลงเมนูหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ หน้าตาขนมดูอินเตอร์เหมือนอยู่เมืองนอก ช่วยเติมพลังพร้อมสร้างคอนเทนต์ปัง ๆ ได้อีก ทางเราลองสั่ง Green Grape Shortcake เค้กองุ่นเขียวสด ฉ่ำหวานกรอบที่ให้มาจุก ๆ แบบไม่กลัวเปลือง ทั้งสอดไส้และท็อปด้านบน ทานตัดกับเค้กนุ่ม ๆ และเนื้อครีมนิ่ม ๆ มันลงตัวมาก อร่อยฟินปิดทริปแบบประทับใจที่สุด

จากที่เราได้สัมผัสความพรีเมี่ยมจากการขับขี่ MADISON150 มาแล้วถึงสามทริป สิ่งที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยคือรูปลักษณ์ภายนอกสุดเท่ที่สร้างความประทับใจให้ทั้งเราและผู้พบเห็น ฟังก์ชั่นการใช้งานและสมรรถนะอันดีเยี่ยม มีความคล่องตัวสูง ไม่ว่าจะขับขึ้นเนิน เข้าโค้งก็ปลอดภัยไม่สะดุด โดยเฉพาะหน้าจอแสดงผลแบบ LCD DISPLAY DYNAMIC MOTION ที่แสดงข้อมูลชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอัตราความเร็ว ปริมาณเชื้อเพลิงที่ยังเหลือ เวลาก็มีบอกครบถ้วน เหมาะทั้งขับในเมืองและเที่ยวนอกเมือง ใครที่กำลังสนใจอยากหาสกู๊ตเตอร์สักคัน ขอให้รีบมาจับจองกันได้ เขามีให้เลือกถึง 4 เฉด 4 สไตล์สะท้อนตัวตนผู้ขับขี่ เหมือนที่คันนี้เหมาะกับคนเท่อย่างเรา

วันหยุดดี ๆ ก็หมดไปอีกครั้งกับการท่องโลกใหม่เมืองสกลนคร จังหวัดที่หลายคนมองข้ามและยังไม่เคยมา เอาจริง ๆ การได้กลับมาที่นี่นาน ๆ ครั้ง ทำให้เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองในทิศทางที่ดีขึ้น มีคาเฟ่ ร้านอาหารคุมธีม มีกิมมิกน่าสนใจมากมายให้เราได้ค้นหา เปิดประสบการณ์ไม่เหมือนใครกับมื้ออาหารที่ผสมผสานความเป็นท้องถิ่นและยุคสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เป็นอีกจังหวัดที่ควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยือนอีกหลาย ๆ ครั้ง จริง ๆ