รีวิวญี่ปุ่น :: 4 Days in Osaka 2022

“อิรัชชัยมาเสะ” รีวิวญี่ปุ่นยั่ว ๆ ล่าสุดฉบับ 2022 มาแล้วจ้า กับการเดินทางสู่แดนอาทิตย์อุทัยครั้งแรกในรอบ 2 ปี ประเทศที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองอันแสนอบอุ่น เปิดฤดูกาลเที่ยวด้วยการปักหมุดมาที่ภูมิภาคคันไซ อัพเดทที่เที่ยวทั่วโอซาก้า แวะรำลึกความหลังกับจุดเช็คอินยอดนิยมแถบเกียวโต นารา พิเศษ!! รีบเที่ยวตอนนี้ดีกว่าครั้งไหน ๆ ตรงที่แต่ละโลเคชั่นคนน้อยมาก ถ่ายรูปไม่ติดใคร กินอาหารร้านโปรดไม่ต้องต่อแถว ประหนึ่งได้เที่ยวญี่ปุ่นแบบไพรเวททริป ถ้าพร้อมแล้ว มาดูกันเลยดีกว่า ว่า 4 วันฟิน ๆ นี้ เราได้ไปโลดแล่นที่ไหนกันมาบ้าง เรียงมาจุก ๆ เอาให้หายคิดถึงกันไปเลย

DAY1

Osaka Castle

พิกัดแรกก็ขอมาโอบกอดแลนด์มาร์กประจำเมืองอย่าง “ปราสาทโอซาก้า” โลเคชั่นที่สวยทุกฤดูกาล ขนาดหน้าร้อนที่คิดว่าตัวเองต้องงอแง ยังแอบน้ำตาไหลกับฟ้าอันสดใสที่รอต้อนรับ ที่นี่เป็นทั้งสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ชาวเมืองชอบมาพักผ่อนหย่อนใจ มองไปตรงกลางสวนจะเห็นตัวปราสาทโอซาก้าสูง 8 ชั้น สร้างเมื่อ 400 กว่าปีก่อน ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 16 ปี เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แสดงถึงความกล้าหาญและความยิ่งใหญ่ของเหล่าซามูไรสมัยศตวรรษที่ 16 ผ่านร้อนผ่านหนาวจากสงครามกลางเมือง ไฟไหม้ครั้งใหญ่ และสงครามโลกมานับไม่ถ้วน แม้จะเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นใหม่แต่ก็ทำได้คล้ายเดิมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกำแพงหินยักษ์ที่วางซ้อนกันตรงฐาน คูน้ำที่ล้อมรอบ พร้อมสวนนิชิโนมารุที่ปลูกต้นซากุระทั่วทุกอณู เป็น The Must!! ที่ต้องมาชมช่วงฤดูใบไม้ผลิสักครั้งในชีวิต 

ภายในตัวปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นในสมัยก่อน ตั้งแต่วิถีชีวิต การผลัดเปลี่ยนอำนาจ ของใช้โบราณ จนไปถึงเสื้อเกราะที่ใช้จริงในสนามรบ ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ พร้อมการจัดแสดงด้วยระบบไฮเทคที่เรียกร้องความสนใจเพิ่มได้อีก 300% แนะนำว่าให้ขึ้นลิฟต์ไปเริ่มเดินจากชั้นบนสุดแล้วค่อย ๆ ไล่ลงมา จะไม่เหนื่อยและประหยัดเวลาที่สุด

จุดยุทธศาสตร์ที่จัดว่าฟินเนเล่ที่สุดในนี้ อยู่บนชั้น 8 ของปราสาท เผยให้เราเห็นวิวโอซาก้าแบบ 360 องศา เห็นการเชื่อมต่อกันของพื้นที่สีเขียวและป่าคอนกรีต ใต้ท้องฟ้าที่สาดแสงอันอบอุ่น มีลมเย็น ๆ พัดผ่าน ยืนมองผู้คนทำกิจกรรมรอบ ๆ ตั้งแต่ล่องเรือ ปั่นจักรยาน วิ่งออกกำลังกาย วาดรูป นั่งปิกนิกอย่างเป็นธรรมชาติ นับเป็นวิวแรกที่ต้อนรับเราเข้าสู่ญี่ปุ่นได้อย่างสมมง นอกจากวิวเมืองแล้ว ที่มุมหลังคาปราสาทยังประดับด้วย Kin-Sachi สัตว์ในตำนานที่มีหัวเป็นเสือตัวเป็นปลา ชุบทองคำเหลืองอร่าม เป็นงานตกแต่งที่หาชมได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

ด้านล่างรอบ ๆ ตัวปราสาทจะมีร้านค้าขายของที่ระลึก และของกินเล่น คอยบริการนักท่องเที่ยว ที่คิดถึงสุด ๆ เลยคือซอฟเสิร์ฟที่มากี่ทริปเราต้องกินไม่ต่ำกว่า 3 แท่ง นี่กินไปพลางเดินดูเด็ก ๆ มาทัศนศึกษา คนแก่เดินจูงมือกัน โบกมือทักทายรถไฟชมสวน รู้สึกแฮปปี้กว่าครั้งไหน ๆ แม้การเดินทาง ณ ตอนนี้จะต้องมากับบริษัททัวร์เท่านั้น แต่ถ้าเขาเปิดให้ท่องเที่ยวได้อย่างอิสระเมื่อไหร่ ทุกคนควรกดซื้อตั๋ว Osaka Amazing Pass ติดตัวไว้ ซึ่งเราขอแนะนำให้จองผ่าน Klook เว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นจองตั๋วในราคาเป็นมิตร โดยบัตรนี้จะช่วยเราเซฟเงินค่าเดินทาง และค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในโอซาก้าได้ถึง 50 แห่ง

บัตร Osaka Amazing Pass : https://bit.ly/3e61DvG

Dotonbori

ออเดิร์ฟผ่านไปก็ถึงเวลามาเจอของจริง ที่จะเป็นเครื่องยืนยันว่าเรามาถึงโอซาก้าแล้ว กับย่าน Dotonbori แหล่งชอปปิงที่ไม่เคยหลับใหล เป็นเส้นทางเดินเลียบคลองที่สร้างตั้งแต่ปี 1612 เพื่อเชื่อมต่อกับแม่น้ำใหญ่ เปิดเป็นเส้นทางค้าขายนั่นเอง นานวันเข้า เส้นทางแห่งการค้าได้ขยายใหญ่ ทอดยาวจนไปถึงย่าน Namba ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า แฟชั่น ของที่ระลึก อาหารสตรีทฟู้ด ฯลฯ แต่จุดเช็คอินที่เราตั้งใจมาหา คือป้ายหนุ่มไชโยในตำนาน “Glico Man Neon Billboard” ที่อยู่มานานกว่า 90 ปีแล้ว แค่ได้มาแชะรูปก็เท่ากับถึงโอซาก้าแล้ว 80%

ตลอดทั้งเส้นถนนทำให้เราหวนคิดถึงวันคืนเก่า ๆ ที่เคยมีร่วมกับที่นี่ แตกต่างตรงที่วันนี้คนไม่เยอะ ไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร ถ่ายรูปกับป้ายไฟได้อย่างสบายอารมณ์ เอ็นจอยกับสตรีทฟู้ดได้ชิว ๆ แต่ถ้าพูดถึงของขึ้นชื่อคงหนีไม่พ้นทาโกยากิ ที่ส่งกลิ่นหอมโชยแทบทุกช่วงถนน แป้งที่หยอดลงกระทะร้อน ๆ ชิ้นปลาหมึกเนื้อแน่น ๆ ยัดไส้เข้าไป ปั้นจนเป็นก้อนกลมขนาดยักษ์ ราดด้วยซอสหวานเค็มรสเด็ดของแต่ละเจ้า พร้อมโรยด้านบนด้วยแผ่นปลาโอแห้งกลิ่นหอมหวน เมื่อส่งเข้าปากรับรู้ได้ถึงความร้อน จากแป้งที่สุกใหม่ ๆ นี่แหละคือความฟิน ได้เท็กเจอร์ของปลาหมึกกรุบ ๆ ความหอมเค็มเคี้ยวเพลินจากเครื่องปรุง อร่อยจนกลายเป็นอีกเมนูที่โด่งดังไปทั่วโลก

เมื่ออิ่มเอมไปกับการถ่ายรูป กินโน่นนี่ตามประสาคนโหยหานิปปอนมานานกว่าสองปี ค่ำคืนนี้เราก็ปิดท้ายแบบฟิน ๆ ด้วยการล่องเรือ Tombori River Cruise เรือสีเหลืองทรงคลาสสิก มีที่นั่งรองรับ 40 ที่พร้อมไกด์ที่คอยอธิบายสิ่งต่าง ๆ บนคลองทมโบริอย่างสดใส โปรแกรมนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และภาพที่เราประทับใจสุดคือการที่เขาประดับโคมไฟญี่ปุ่นทอแสงส้มสะท้อนน้ำยามพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เวลาที่ได้จ้องมองนาน ๆ รู้สึกเหมือนอยู่ในภวังค์ มันสุขใจจริง ๆ ที่ได้กลับมา

DAY2

Universal Studios Japan

ขอพื้นที่เล็ก ๆ ให้ยังเป็นเด็กไปนาน ๆ ~ เดย์ทู ตื่นมาพร้อมฮัมเพลง เพราะแพลนวันนี้ตั้งใจไปลั้ลลาในดินแดนแห่งจินตนาการ Universal Studios Japan ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ อยู่ข้างนอกจะเหนียมอายขนาดไหน แต่เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในดินแดนนี้ เราจะรู้สึกมีพลัง ความกล้า และความซู่ซ่าบ้าบิ่น ร่างกายต้องการปะทะความตื่นเต้นท้าทาย ประหนึ่งได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งโดยไม่ต้องสนใจใคร เพราะทุกคนโฟกัสไปที่สิ่งเดียวกันคือความสนุก! โดยที่นี่เขาจะแบ่งโซนตามธีมของการ์ตูนและภาพยนตร์ในเครือ Universal แต่ละจุดยิ่งใหญ่ประหนึ่งเมืองย่อย ๆ เลยทีเดียว มีทั้งมุมถ่ายรูป เครื่องเล่น และเหล่าตัวละครจริง ๆ มารอทักทาย แต่รอบนี้ขอคัดมาให้ 3 โซนเด่น ๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่ และจากความชอบส่วนตัวล้วน ๆ

เริ่มจากโซนใหม่แกะกล่องกับ Super Nintendo World เมืองของเกมส์ Nintendo แห่งแรกของโลก ซึ่งเกมชูโรงจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ Mario เกมในตำนานที่พัฒนาไม่เคยหยุด เห็นครั้งแรกในทวิตเตอร์คนญี่ปุ่นแทบกรี๊ดแล้ว พอมาเห็นด้วยตาตัวเองเรียกว่าแทบคลั่ง อย่างกับหลุดเข้าไปในเกมจริง ๆ ไหนจะเนินดินที่มีกล่องกระโดดรับรางวัล ระวัง!!เจ้าก้อนเหล็กตัวร้าย  ดอกไม้กินคนที่ทำเราตายประจำ ในดินแดนนี้จะประกอบไปด้วยเครื่องเล่น ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของฝากตามธีม พร้อมมาสคอตที่ออกมาโชว์ตัวให้เราร่วมเฟรมทั้ง Princess Peach, Mario, Luig, Toad ชอบตัวไหนวิ่งเข้าไปกอดได้เลย

ต่อด้วยโซนสุดเลิฟที่แฟนคลับ เจ.เค. อย่างเราไม่เคยพลาด THE WIZARDING WORLD OF HARRY POTTER เดินเข้าไปฟีลเหมือนนักเรียนดีเด่นประจำฮอกวอตส์ เพราะมาบ่อยจนจำทางได้ ไม่ว่าจะเป็นโซนรถไฟเหาะตีลังกา ทัวร์ปราสาท แวะทักทาย Fat Lady ภาพเหมือนพูดได้ผู้ปกป้องประตูทางเข้า Gryffindor ขึ้นรถไฟสามมิติไปร่วมแข่งขันควิดดิช ออกมาแวะจิบชาที่ร้าน Madam Puddifoot หรือซื้อ Butterbeer มานั่งชิลชมวิวปราสาท และจบที่ซื้อไม้กายสิทธิ์ติดมือมาเป็นของที่ระลึก … กลับมาซื้อทีละไม้ เก็บให้ครบทุกคอลเลคชั่นไปเลย

Bello!! มาถึงโซนสุดท้ายที่เราจะดีดเป็นพิเศษ ฝึกภาษา Banana Language มาจากที่บ้าน เพื่อมาอินกับ MINION PARK ที่เต็มไปด้วยสีสัน บ้าน ตึกเหมือนอยู่ในอนิเมชั่นเป๊ะ ๆ ไหนจะเหล่ามินเนี่ยนที่แอบซุ่มดูเราอยู่ตามจุดต่าง ๆ น่ารักปุ๊กปิ๊กจนใจเหลวไปหมด เดินเข้ามาฟีลลิ่งเหมือนงาน Festival มีซุ้มเกม Banana Cabana เกมยิงเป้า Space Killer โซนเครื่องเล่นมี Freeze Ray Sliders เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ส่วนเครื่องเล่นหลักต้องยกให้ Despicable Me Minion Mayhem นั่งรถไฟไปชมฉากมันส์ ๆ แอร์เย็นฉ่ำ เติมพลังกับเบอร์เกอร์หน้าตาคาวาอี้ขยี้ใจ และอย่าลืมซื้อของฝากโอทอปเมืองมินเนี่ยนเป็นขวัญกำลังใจให้น้อง ๆ ตัวเล็กของเราด้วยนะ

นี่เป็นแค่น้ำจิ้มที่เราแอบพามาอัพเดทเบา ๆ นะ ความจริงในนี้มีเครื่องเล่นอีกมากมาย มุมถ่ายรูปอีกหลายโซนเลยที่เธอสามารถใช้เวลาอยู่ได้แบบ 1 วันเต็ม ๆ เหมือนเป็นโลกอีกใบที่เธอสามารถปลดปล่อยความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ เราเชื่อว่าไม่มีใครแก่เกินจะมาสวนสนุกหรอก ถึงเวลาเที่ยวได้เมื่อไหร่ก็รีบมากดบัตรกันที่ Klook เขามีให้เลือกหลายตัวเลือก ทั้งตั๋วเข้าอย่างเดียว ตั๋ว Express ตั๋ว Express เฉพาะจุดป๊อป ๆ ฯลฯ เลือกซื้อได้ตามชอบเลย

บัตรเข้าสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ญี่ปุ่น (Universal Studios Japan) แบบสตูดิโอพาส : https://bit.ly/3xxDfKu
USJ Express Pass 4 (สำหรับเล่นเครื่องเล่นยอดนิยม 4 รายการได้ด้วยช่องทางพิเศษ – บัตรเข้า USJ ต้องซื้อแยกต่างหาก) : https://bit.ly/3RSu3IR
USJ Express Pass 7 (สำหรับเล่นเครื่องเล่นยอดนิยม 7 รายการได้ด้วยช่องทางพิเศษ – บัตรเข้า USJ ต้องซื้อแยกต่างหาก) : https://bit.ly/3Dybntj

และแน่นอนว่าตัวจริงเรื่องท่องเที่ยวอย่างเราก็ต้องมีทริคดี ๆ ให้เราแพลนง่ายจ่ายคล่อง แบบประหยัดเงินด้วยแอป Travel Contents ที่ช่วยเราแพลนอย่างมีระเบียบ เดินช้อปอย่างหน้าระรื่น เพราะแค่กดเช็คอินในแอปตามสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้พ้อยต์มาแลกคูปองส่วนลดมากมาย รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ https://bit.ly/3UgwbM3

โหลดใช้งานได้แล้วที่ :
App for iOS >> https://apple.co/3dkR7kf
App for android >> https://bit.ly/3DwAAV0

Umeda Sky Building

สำหรับช่วงเย็น เรารีบบึ่งเข้าเมืองมาชมวิวแสนปังมุมสูงที่ย่าน Umeda บนตึก Umeda Sky Building เจ้าของสูงเสียดฟ้า 173 เมตร ลักษณะเป็นตึกแฝด ชั้นบนมีพื้นที่เชื่อมติดกันพร้อมรูตรงกลาง ที่มีอุโมงค์แก้วบรรจุบันไดเลื่อน เป็นเส้นทางสัญจรขึ้นลงเชื่อมระหว่าง 2 ตึก จากชั้น 35 สู่ชั้น 39 ใช่ค่ะ.. นี่คือทางขึ้นไปยังจุดชมวิว เหมือนเลื่อนอยู่กลางอากาศเสียวใช้ได้เลยทีเดียว แต่ด้วยการตกแต่งที่ดูโอ่อ่า ทันสมัยและความมืออาชีพด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ก็ทำให้เรามั่นใจทุกก้าวเดิน แถมลายเส้นของโครงตึกนำสายตาให้ถ่ายรูปออกมาได้เท่คูลทุกมุมมอง จนเราลืมไปเลยว่ากลัวความสูง

เมื่อขึ้นมาถึง เราก็สูดหายใจเฮือกใหญ่ โล่งอกโล่งใจ เพราะมาทันพระอาทิตย์ตกดินพอดี จากบนนี้เราสามารถเดินชมโอซาก้าได้แบบ 360 องศา มองได้ไกลไปถึงเกาะอาวาจิที่ห่างไปกว่า 50 กิโลเมตร เรามองเห็นทั้งวิวเมืองที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้า เห็นรถยนต์แล่นไปมาเล็กเท่าตัวมด บรรยากาศริมอ่าวติดทะเลแสนสงบแตกต่างจากอีกฝั่ง ความคอนทราสต์นี้ทำให้เราเห็นได้ชัดว่าโอซาก้าคือเมืองแห่งสีสันจริง ๆ

นอกจากได้ชมพระอาทิตย์ตกดินสวย ๆ แล้ว เขายังมีอีกกิมมิกเอาใจคู่รักสายมู ที่ Heart Lock จุดคล้องกุญแจรูปหัวใจที่สลักชื่อได้ตามต้องการ เพื่อเป็นหลักฐานความรักอันแน่นแฟ้นไม่ว่าจะแฟน เพื่อน หรือครอบครัวก็ทำได้ทั้งนั้น บอกเลยว่าเป็นจุดคล้องกุญแจที่เป็นระเบียบที่สุดในชีวิตที่เคยพบเจอมา ถึงกับต้องขอถ่ายรูปเก็บไว้ดูเลยทีเดียว ซึ่งการขึ้นมาบนนี้ เราสามารถใช้บัตรเบ่ง Osaka Amazing Pass ที่ซื้อจาก Klook แลกตั๋วขึ้นมาได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม คุ้มสุดก็ใบนี้ล่ะ

บัตร Osaka Amazing Pass : https://bit.ly/3e61DvG
บัตรเข้าชมอาคารอุเมดะ สกาย และจุดชมวิวสวนลอยฟ้าคูจูเทเอ็น ในโอซาก้า : https://bit.ly/3ACBtbP

DAY3

ออกจากโอซาก้าสักวันมาเที่ยวเมืองข้าง ๆ พอกรุบกริบกับเดย์ทัวร์ที่เราเลือกจองมากับ Klook เป็นโปรแกรม Kyoto-Nara สองเมืองรวยวัฒนธรรมและความสงบ อะอะ.. อย่าเพิ่งงงกันที่แอปพลิเคชั่นเขามีบริการที่หลากหลายมาก ทั้งจองที่พัก จองเครื่องบิน ตั๋วเข้าสถานที่ โปรแกรมทัวร์ เรียกว่าตอบโจทย์ทุกการท่องเที่ยวเลยทีเดียว โดยไกด์ของเรามีให้เลือกทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน จัดได้ทั้งแบบไพรเวท และเป็นกรุ๊ปตั้งแต่ 10- 40 คน สำหรับคนที่อยากไปสบาย ๆ ไม่ต้องเดินทางเองก็ถือว่าเป็นช้อยส์ที่ไม่เลวเลย

ทัวร์เมืองเกียวโตและนาราหนึ่งวัน จากโอซาก้า/เกียวโต : https://bit.ly/3Q0GjoI

Kinkakuji Temple 

โลเคชั่นแรกขอเริ่มกันที่ Kinkakuji Temple วัดคินคะคุจิ หรือที่เรียกติดปากว่าวัดทอง ด้วยความโดดเด่นของตัววัดที่ทาสีเหลืองทองอร่ามตา ตั้งอยู่กลางสระน้ำมีสวนญี่ปุ่นล้อมรอบ อาคารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของท่านโชกุนอะชิคากะหลังสละราชสมบัติ เมื่อถึงคราวสวรรคตจึงถูกเปลี่ยนเป็นวัดนิกายเซนจนถึงทุกวันนี้ แต่เส้นทางของวัดก็ไม่ได้สวยงามมากนัก เพราะต้องผ่านสงครามและการถูกวางเพลิงจนต้องบูรณะใหม่เมื่อปี 1955 แต่ก็ยังคงความสวยงามเฉกเช่นเดิมจนได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกกับ UNESCO ในปี 1994 โดยช่วงเวลาที่สวยที่สุดจะเป็นฤดูใบไม้ร่วง เพราะใบไม้สีแดงกิ่งก้านสีเข้มจะขับทำให้ภาพวัดสะท้อนน้ำนี้ลงตัวมากยิ่งขึ้น ใครยังไม่เคยเห็นต้องแพลนมาได้แล้วนะ

Arashiyama

จากนั้นเดินทางไปต่อที่ Arashiyama หรือป่าไผ่อันโด่งดัง จุดถ่ายรูปที่ครองใจคนทั่วโลก เรียกว่าอัพรูปเมื่อไหร่ได้ยอดไลก์ทะลุเป้าตลอด ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่หลังวัดเท็นริวจิ ทั่วทั้งพื้นที่เป็นที่อยู่ของต้นไผ่ยักษ์ใหญ่สีเขียวทอเป็นทางยาวกว่า 600 เมตร สูงจนเราแทบมองไม่เห็นท้องฟ้าด้านบนเลยทีเดียว ตัดเส้นตรงกลางเป็นทางเดิน กั้นด้วยท่อนไม้และพุ่มหญ้าทำให้ไม่ขัดกับบรรยากาศโดยรอบ รักในความใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เป็นที่สุด ยิ่งได้มาช่วงนี้ ทุกคนต้องตกหลุมรักมากกว่าเดิมแน่ ๆ เพราะคนน้อยมาก ภาพที่เห็นนี่อัพเดทกันแบบเรียล ๆ ไม่ได้ใช้แอปลบคนแต่อย่างใด

บริเวณใกล้ ๆ ป่าไผ่ก็ยังมีจุดท่องเที่ยวอีกเยอะมากทั้งวัด ท้ังสวนลิง สะพานข้ามแม่น้ำจุดชมดอกซากุระโด่งดังระดับโลก แต่หน้าร้อนอากาศดี ๆ แบบนี้ เราขอเลือกเดินสำรวจเมืองริมแม่น้ำคัตสึระ สูดอากาศหอม ๆ พร้อมมองผู้คนใช้ชีวิตแสนสงบกันดีกว่า ตามลำน้ำนี้มีกิจกรรมล่องเรือโบราณ ซึ่งก็มีชาวญี่ปุ่นเองมาเที่ยวอยู่ไม่ขาดสาย หรือจะแวะทานโซบะทำมือของขึ้นชื่อ ดังโงะราดซอสมิทาราชิหวาน ๆ เค็ม ๆ หรือโคโรเกะของทอดที่เราโปรดปรานมาเคล้าบรรยากาศก็แสนจะเพลิดเพลิน

เดินเลาะมาเรื่อย ๆ ก็เจอร้านกาแฟคู่บุญ %Arabica ที่เราแวะมากินตั้งแต่ก่อนเขาจะไปเปิดที่ไทยอีก สาขานี้ชื่อว่า %Arabica Kyoto Arashiyama โดยกาแฟของเขาจะมาจากแหล่งเพาะปลูกเดียวมีรสชาติเฉพาะ ส่วนตัวคิดว่ากาแฟเขาออกอ่อนกว่าอาราบิก้าที่ไทยมาก ๆ แต่ความหอมสดชื่นเปรี้ยวปลายนี้ถือเป็นเอกลักษณ์จริง ๆ แถมยังมีวิวริมน้ำให้ชมอีก เพราะฉะนั้นการได้มาดื่มกาแฟที่นี่ มันเพิ่มความฟินให้อีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

Fushimi Inari Shrine

ป่าไผ่เคียงคู่เกียวโตฉันใด Fushimi Inari Shrine ก็ยืนหนึ่งคู่เกียวโตมาด้วยกันฉันนั้น ศาลเจ้าจิ้งจอกหรือศาลเจ้าเสาแดงอยู่คู่พื้นที่มาก่อนที่เกียวโตจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก จากหลักฐานที่สืบค้นคาดการณ์ได้ว่า ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเมื่อปี 794 หรือพันกว่าปีมาแล้ว เพื่อบูชาเทพ Inari ขอพรเกี่ยวกับการเกษตรกรรม ความอุดมสมบูรณ์ โดยเชื่อว่าจิ้งจอกเป็นตัวกลางส่งสารไปให้เทพ เราจึงเห็นทั้งรูปปั้น เครื่องราง และป้ายห้อยเป็นรูปจิ้งจอกแทบทั้งหมด 

ไฮไลต์อยู่ที่ซุ้มประตูโทริอิ เสาสีแดงหลายพันหลายหมื่นต้นวางเรียงเป็นแถวยาวไปตามแนวเขากว่า 4 กิโลเมตร มุมที่คนนิยมถ่ายภาพคงหนีไม่พ้นภาพมุมลึกของอุโมงค์ ให้เราไปยืนตรงกลาง หรือริมชิดขอบครีเอทได้ตลอดเส้น ซึ่งเสาทั้งหมดนี้มาจากการบริจาคของบุคคลและองค์กร และมีแนวโน้มว่ามันจะเยอะขึ้นอีกตามแรงศรัทธา เอาสิ.. มูเตลูที่ญี่ปุ่นเขาก็แจ่มไม่แพ้บ้านเราเลยนะ

นั่งรถมาต่อที่บ้านใกล้เรือนเคียงเมืองนารา เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรกวางพักพิงกันอยู่ที่สวนกวางพันกว่าชีวิต สวนสาธารณะแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสวนที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น สร้างมากว่า 142 ปี บนพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 1,330 ไร่เลยทีเดียว เอาเป็นว่า ถ้าอยากเดินให้ครบทั้งสวนอาจจะต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ เพราะต้องเดินขึ้นเขาเป็นลูก ๆ เพื่อขึ้นจุดชมวิว วันนี้เลยขอเดินอยู่รอบ ๆ ถ่ายรูปเล่นกับน้องกวางแทนก็แล้วกัน

เดินเข้ามานิดหน่อย เราจะเจอ The Nara National Museum ตึกฟอร์มสวยสไตล์ตะวันตก อยู่มาตั้งแต่สมัยเมจิ เป็นที่จัดแสดงงานอาร์ตเกี่ยวกับพุทธศาสนา ทั้งภาพเพ้นท์ รูปปั้น เหล่าเครื่องใช้เก่าแก่จากจีน ฯลฯ ใครมีเวลาก็แวะเข้าไปชมของหายากเหล่านั้นได้ แต่ทางเราอยากใช้เวลาทักทายน้องกวาง พร้อมแชะภาพสวย ๆ ฟีลยุโรปสักหน่อย ทริคง่าย ๆ ในการเรียกน้องเข้ามาหาคือ ซื้อขนมเซมเบ้ถือล่อเอาไว้ แค่น้องเห็นก็จะยกโขยงเข้ามาหาเราเป็นสิบตัวเลย ออ แต่เราต้องปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยนะ ว่ามีข้อห้ามอะไรบ้าง เพราะกวางที่นี่ถือเป็นสัตว์ป่าแท้ ๆ อาจทำร้ายเราตามสัญชาตญาณได้ทุกเมื่อ อย่าไปยั่วโมโหน้องล่ะ

DAY4

Kaiyukan Aquarium

วันนี้ขอแต่งตัวสวย ๆ สไตล์ลูกคุณ เพราะในแพลนมีแต่เที่ยวมิวเซียม ขึ้นจุดชมวิวกัน และงานนิทรรศการไฟสุดเจ๋ง เป็นวันแห่งการถ่ายรูปแบบเน้น ๆ โดยเริ่มกันที่ Kaiyukan Aquarium พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำริมทะเลอันขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในญี่ปุ่นและเอเชีย จากความยิ่งใหญ่ของตึกก็เชื่อแล้วว่าคงต้องมีอะไรให้เราสำรวจเต็มไปหมดแน่ ๆ ที่นี่เขาจะแบ่งออกเป็น 15 โซนตามแหล่งที่อยู่ของสัตว์ เช่น หมู่เกาะอะลูเชียน อ่าวมอนเทอเรย์ ทวีปแอนตาร์กติกา เกรตแบร์ริเออร์รีฟ ฯลฯ รวมแล้วมีสัตว์น้ำกว่า 30,000 ชีวิต 600 กว่าสายพันธุ์เลยทีเดียว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะชมหมด เผื่อเวลากันดี ๆ ด้วยล่ะ

โซนที่เป็นไฮไลต์ของไคยูคังคือโซนมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นตู้จัดแสดงที่ใหญ่ที่สุดในนี้เช่นกัน ด้วยความลึก 9 เมตร ยาว 34 เมตรและจุน้ำถึง 5,400 ตัน เวลามาตู้นี้เราจะชอบนั่งมองทอดเวลานาน ๆ เห็นปลาค่อย ๆ แหวกว่าย มองแล้วรู้สึกผ่อนคลาย รอคอยฉลามวาฬหรือที่เราชอบเรียกว่าน้องจุด พระเอกของที่นี่แวะเวียนมาอวดโฉมเป็นพัก ๆ และยังมีปลากระเบนบอนเนตขนาดยักษ์ ปลาพระอาทิตย์ เต่าหัวค้อนวัยเจริญพันธุ์ ฝูงปลาน้อยใหญ่ ฯลฯ ไปดำน้ำเองก็คงไม่ได้เห็นครบขนาดนี้ ส่วนใครไม่ใช่สาย Diving เราแนะนำให้มาที่นี่ล่ะ เราว่าต้องตื่นตาตื่นใจจนลืมดูเวลาไปเลย

อีกโซนที่อยากนำเสนอ ก็มาจากความชอบส่วนตัวล้วน ๆ เราขอผายมือทุกคนเข้าสู่ห้องอันมืดมิด พร้อมสิ่งมีชีวิตอันน่าพิศวง เหล่าแมงกะพรุนตัวใสที่จัดแสดงในธีมกาแลกซี เหตุผลที่เราชอบมายืนดูแมงกระพุนเป็นเพราะการแหวกว่ายไร้ทิศทาง หนวดพริ้วสวย เรือนร่างที่ใสแจ๋ว เวลากินอะไรเข้าไป เราจะเห็นซากอาหารในตัวน้องท้ังหมด ดูเป็นสัตว์ใจเย็นที่ล่องลอยหาอาหารไปเรื่อย ๆ ชิล ๆ บวกกับการจัดแสงไฟสวยงาม เสียงน้ำและเครื่องทำฟองอากาศ สร้างความรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด

เนื่องด้วยความยิ่งใหญ่ของสถานที่ ภายในจึงมีบริการที่ครบครัน เดินเมื่อย ๆ ตาเริ่มปิด เขาก็มีร้านอาหาร คาเฟ่ให้เราแวะเติมพลัง ก่อนที่จะออกจากที่นี่ เราขอนั่งชมวิวทะเลสักแป๊บพร้อมจิบลาเต้ร้อนและ Whale shark soft serve ไอศกรีมทูโทนสีคิ้วท์ โดยสีขาวเป็นรสวานิลลา สีฟ้าเป็นรสเลม่อนโซดา โรยเกร็ดน้ำตาลสีขาวคล้ายจุดของฉลามวาฬสร้างเท็กเจอร์กรุบ ๆ ถือเป็นเมนูโปรดประจำเราเลยล่ะ แอบบอกนิดนึงว่าถ้าไม่อยากเสียเวลายืนรอซื้อตั๋วสำหรับเข้าชมที่นี่ ลองกดซื้อผ่าน Klook ดู เขาจะให้ QR โค้ดมา จากนั้นเอาไปสแกนแล้วเข้าพิพิธภัณฑ์ได้เลย ทุกการท่องเที่ยวของเราจะสะดวกสบายเพราะมีตัวช่วยดี ๆ แบบนี้ล่ะ

Harukas 300

ใช้เวลาในอควาเลียมไปเกือบเต็มวัน ช่วงบ่ายแก่ ๆ เรามาดื่มด่ำกับวิวโอซาก้ามุมสูงอีกสักรอบบนตึก ABENO HARUKAS อีกหนึ่งจุดชมวิวที่บอกได้เลยว่าปัง อาคารนี้จัดว่ามีความสูงที่สุดในญี่ปุ่น ยืนโดดเด่นอยู่ในย่านเทนโนจิ ใจกลางเมืองโอซาก้า บนความสูงกว่า 300 เมตรนี้ เขาจัดพื้นที่เป็นจุดชมวิวตั้งแต่ชั้น 58-60 แบ่งเป็น 3 โซน โดยจุดสูงสุดบเราจะเห็นวิวเมืองได้แบบ 360 องศา มีเจ้าหมี Abeno Bear หมีหน้าง่วงมาสคอตประจำตึก ยืนรอทักทายอยู่ตามจุด ถ้ายังสูงไม่พอ ลองตีตั๋วทำกิจกรรม EDGE THE HARUKAS เดินขึ้นบันไดไปชมวิวสูงที่สุดบนขอบตึก แค่เห็นก็เสียววาบที่หน้าท้องแล้ว

ขยับลงมาข้างล่างอีกนิด จะเป็นส่วนของโซน SKY GARDEN 300 ลานอเนกประสงค์ที่บางซีซั่นเขาจะจัดสวนสวย มีร้านอาหารหรูหราบรรยากาศดี สายคาเฟ่ฮอปปิ้งอย่างเราหรือจะพลาด ก็สั่งสมูตตี้กับขนมหวาน ๆ มารอเลยสิคะ เมนูที่เราเลือกเป็นซิกเนเจอร์ของเขาทั้งหมดคือ Sky Blue Latte, Sunset Latte และ Abeno Pudding สั่งมาถ่ายรูปคิ้วท์ ๆ แล้วมานั่งจิบชิลชมวิวไปด้วย รสชาติหวานหอมของเครื่องดื่มบวกกับฟ้าสดใสช่วงหน้าร้อนแบบนี้คือฟินสุด ๆ ไปเลยแก.. 

และเช่นเคยตามธรรมเนียมที่ทุกสถานที่ล้วนมีจุดขายของฝาก ทางเราแค่เดินผ่าน ๆ ก็ได้พวงกุญแจน้องหน้าง่วงนุ่มนิ่มกลับมาด้วยทันที ก็เขาทำไว้น่ารักน่ากอดขนาดนี้ อดใจไงไหวละ … สำหรับที่นี่ เขายังมีตั๋วราคาพิเศษเฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้นด้วย ก่อนเดินทางก็เช็คค่าตั๋ว เลือกที่คุ้มสุดก่อนนะ ซึ่งเราว่า Klook เขาก็รวบรวมมาให้อย่างดี เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ลองดู

บัตรอิเล็กทรอนิกส์เข้าจุดชมวิวฮารุกัส 300 (HARUKAS 300 Observator) : https://bit.ly/3wIQVlw

teamLab Botanical Garden Osaka

ค่ำคืนสุดท้ายของทริปในฝันนี้ เราขอทิ้งท้ายด้วยการพาไปโลเคชั่นเช็คอินใหม่ล่าสุดของโอซาก้า ที่บอกเลยว่าใครได้มาต้องห้ามพลาดจริง ๆ กับ TeamLab Botanical Garden Osaka นิทรรศการจัดแสดงไฟถาวร ณ สวนพฤกษศาสตร์ Nagai โดยในเวลากลางวัน สวนนี้จัดแสดงพันธุ์ไม้เปลี่ยนไปตามฤดูกว่า 1,200 สายพันธุ์ ส่วนกลางคืนก็เนรมิตรให้กลายเป็นเมื่องแห่งจินตนาการ รังสรรค์ศิลปะผ่านแสงไฟและงานขึ้นฟอร์มดูเป็นอาร์ตร่วมสมัย ทั้งหมดนี้ได้ทีมงานมือดีจาก TeamLab ผู้เป็นหนึ่งด้านงาน illumination มาช่วยจัด ซึ่งเราได้ไปชมมาหลาย ๆ ที่แล้วไม่ผิดหวังจริง ๆ

ด้วยพื้นที่ของสวนที่ใหญ่กว่า 240,000 ตารางเมตร งานอาร์ตประดับไฟที่เราอยากชมก็อยู่กระจัดกระจายกันไป โดยโซนเด่น ๆ คือ Sculptures of Dissipative Birds in the Wind แท่นปูนสี่เหลี่ยมในตอนกลางวันกลายเป็นคลื่นแสงไฟหลากสีที่บอกเล่าถึงการไหลของอากาศยามนกบินผ่าน, Resonating Microcosms ยามค่ำคืน ในสวนดอกคามิเลียจัดวางวัสดุเหมือนไข่ ที่จะเปล่งแสงออกมาตอนพระอาทิตย์ตก เมื่อเราไปสัมผัสหรือมีเพียงลมพัด น้องก็เปล่งแสงที่เจิดจ้าขึ้นมาทันที โดยสามารถเปลี่ยนได้ถึง 61 เฉดสีเลยทีเดียว แน่นอนว่า Klook ของเราก็มีขายตั๋วเข้าที่นี่เช่นกัน ราคาจึ้งมาก เช็คล่าสุด 400 กว่าบาทเท่านั้น ฉันบอกเลยนะว่าค่าตั๋วหลักร้อย แต่งานหลักล้านมีอยู่จริง ใครมาโอซาก้าแล้วไม่ลิสต์ที่นี่ไว้ บอกเลยว่าพลาดสุด ๆ

บัตรเข้าชมสวนพฤกษศาสตร์ teamLab ในโอซาก้า : https://bit.ly/3PZgENd

เราเชื่อว่าคงจะมีเพื่อน ๆ หลายคนทำแพลนเที่ยวโอซาก้าไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงดีเทลว่าจะซื้อตั๋วที่ไหน เดินทางอย่างไร เราอยากแนะนำให้เข้าไปดูบริการใน Klook ก่อนเลย เพราะถ้าวางแผนดี ๆ จะสามารถเซฟเงิน เซฟเวลาไปได้เยอะเลยล่ะ ยิ่งที่เที่ยวป๊อป ๆ อย่าง Universal เราอาจจะเสียเวลาเป็นชั่วโมงกับการซื้อตั๋วเข้าแล้ว ยังต้องไปต่อซื้อ Express เพิ่มอีก และบริการของเขาไม่ได้มีแค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น เขายังขายแพ็กเกจท่องเที่ยวกับอีกหลายประเทศ จะเป็นแพลนเอง เป็นทัวร์ ไพรเวททริปแบบมีไกด์ ชอบแบบไหนตามเข้าไปเลือกที่ Klook : https://bit.ly/3KtEwaJ ได้ตามใจชอบได้เลย

เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ.. เรารู้สึกว่าใช้คำนี้บ่อยมากเวลามาเที่ยวญี่ปุ่น แต่ครั้งนี้มันเร็วกว่าครั้งไหน ๆ คงเป็นเพราะความคิดถึงแบบสุดหัวใจ 4 วันยังชดเชย 2 ปีที่ห่างหายไปไม่ได้ แต่ครั้งนี้เราก็ตั้งใจมาอัพเดทที่เที่ยวโอซาก้าให้เพื่อน ๆ ว่ามีอะไรใหม่ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ถ้าใครได้มาตามรอยจะได้กอบเก็บเรื่องราวดี ๆ กลับบ้านกัน เดี๋ยวจะมีอัพเดททริปเที่ยวญี่ปุ่นมาเรื่อย ๆ แน่นอน อย่าลืมติดตามกันด้วยนะ “ซาโยนาระ”