รีวิวญี่ปุ่น :: A 3 Days 2 Nights Glamping Trip in Nishiizu, Shizuoka 🇯🇵

🇯🇵 เที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ … อยากชวนทุกคนโร้ดทริปไปเปิดประสบการณ์ใหม่ในจังหวัด Shizuoka ที่ Nishiizu เมืองชายฝั่งอันเงียบสงบชวนใจฟูกับวิวฟูจิซังยามตะวันอัสดงที่สวยไม่ซ้ำใคร

ทริปนี้เราจะพาขับรถลัดเลาะบนถนนสีเทาเข้มที่ตลอดเส้นทางถูกขนาบข้างด้วยเกลียวคลื่นและผืนทะเลสีฟ้าคราม เพื่อฮอปปิงจุดชมวิวจึ้ง ๆ ไม่ซ้ำใคร แล้วไปเติมความสดใสจากซากุระที่บานสะพรั่งริมหาดชาย แวะสัมผัสวิถีชีวิตชาวไร่ชิมไอศกรีมวาซาบิ ปังต่อแบบไร้ที่ติกับบ่อออนเซ็นกลางแจ้งริมหน้าผา ก่อนปิดท้ายวันเรื่อย ๆ ช้า ๆ อิงแอบแนบชิดธรรมชาติใน “Izu Glamping Resort Ishiki 385” แกลมปิงติดลำธารไหลเอื่อยกลางหุบเขาซึ่งถูกโอบอุ้มด้วยสวนผลไม้ ดอกไม้ ตลอดจนพันธุ์ไม้เมืองหนาวนานาชนิด ที่พร้อมปรนเปรอเราด้วยซีฟู้ดสดฉ่ำ และอาหารป่าสไตล์ญี่ปุ่นเลิศรส บอกเลยว่าตลอดเวลา 3 ต่อจากนี้ จะเป็นอะไรที่อยู่ดี กินดี เจอแต่วิวสวยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประทับใจไม่รู้ลืมแน่นอน!!!!!!!!

Day 1 : Luxury Excursion Train from Tokyo to Shizuoka

ทริปนี้เริ่มต้นจาก Tokyo Station จุดยุทธศาสตร์การเดินทางสู่หัวเมืองต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น โดยเราเลือกเพิ่มความพรีเมียมคลาสสิกให้กับการเดินทางกว่าครั้งไหน ๆ ด้วยการจองรถไฟบนขบวนพิเศษล่วงหน้า สำหรับ SAPHIR ODORIKO รถไฟสุดหรูที่จะพาเรายิงยาวผ่านแนวคาบสมุทรอิซุไปยังสถานทีปลายทาง Izukyū-Shimoda เมืองท่าในจังหวัดซิซูโอกะนี้ ถูกออกแบบโดยนักออกแบบอุตสาหกรรมชื่อดัง เคน โอคุยามะ โดยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสีน้ำเงินแซฟไฟร์อันน่าทึ่งของท้องทะเลและท้องฟ้า ตามแนวคาบสมุทรอิซุนั่นเอง

โดยรถไฟสุดหรูขบวนพิเศษนี้จะประกอบด้วยตู้โดยสารทั้งหมด 8 ตู้ มีชั้นที่ 3 แบบ โดยตู้ 1 จะเป็น Premium Green Car ( ถือเป็นรถไฟขบวนแรกที่มี Premium Green Car) ตู้ 2-3 เป็นแบบ Green Car Private Compartments และตู้ 5-8 เป็นแบบ Green Car ส่วนตู้ 4 ที่ทำหน้าที่เป็นร้านอาหารให้เราสามารถเพลิดเพลินกับอาหารมื้อเบา ๆ ระหว่างเดินทาง ส่วนที่นั่งของเราทริปนี้เลือกเป็นแบบ Green Car Private Compartments ห้องส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเบาะหนังหรูหรา พร้อมโต๊ะกว้างขวาง พื้นไม้แสนอบอุ่น และพรมสีฟ้า แถมมีหน้าต่างบานใหญ่หันหน้าไปทางทะเล ทำให้เทควิวภายนอกได้อย่างเต็มตาไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง แถมรองรับได้มากถึง 6 คน จึงเหมาะมากกับก๊วนเพื่อนและครอบครัวที่อยากสร้างความทรงจำดี ๆ ระหว่างเดินทาง ออ แนะนำว่าก่อนเดินทางให้หาซื้อเบนโตะเซตน่ารัก ๆ มากินเคล้าวิวทะเลไปด้วย จะถือเป็นการเริ่มต้นทริปที่ใจฟูมาก ๆ

สำหรับการเดินทางจากสถานี Izukyū-Shimoda ไปยังแกลมปิง นอกจากแท็กซี่แล้ว เพื่อน ๆ สามารถนั่งรถบัสประจำทางสาย #5 มาที่สถานนี Hamabashi 浜橋 (ฮามาบาชิ) ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า Food Store Aoki แล้วรอรถจากแกลมปิงมารับฟรีได้เลย (หากเกิน 4 คนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ส่วนใครอยากเที่ยวอินไซด์ในโซนนี้แบบเราก็สามารถเลือกเช่ารถขับเองจากสถานี Izukyū-Shimoda ได้เช่นกัน บอกเลยว่าการได้ขับรถ พร้อมฮัมเพลง Folk ชิล ๆ แกล้มวิวสุดบรรเจิดของโซนนี้ เป็นอะไรที่มีความสุขสุด ๆ

เราเดินทางมาถึง Izu Glamping Resort Ishiki 385 ช่วงบ่ายแก่ ๆ ซึ่งประทับใจแรกเลยคือบรรยากาศโดยรอบที่ค่อนข้างสงบห่างไกลจากชุมชน ฟีลลิงตากอากาศสุด ๆ แรกเริ่มเดิมทีเจ้าของเขาได้สร้างที่นี่ไว้พักผ่อนกับเพื่อน ๆ อยู่แล้ว ทุกสัดส่วนจึงได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ปิ๊งไอเดียที่อยากแชร์สถานที่ให้คนรักธรรมชาติ ได้มีโอกาสมาสัมผัสความชิลท่ามกลางหุบเขา มีลำธารไหลผ่าน ห้อมล้อมไปด้วยต้นส้ม ซากุระ ดอกบ๊วย และผืนป่าที่ผลัดเปลี่ยนให้ได้ชมความสวยงามไปตามฤดูกาล

ด้วยจำนวนห้องพักที่มีพียง 6 ห้อง แบ่งเป็น เต็นท์ 3 ห้อง ลอดจ์ 3 ห้อง บวกกับความเคารพต่อสถานที่ของคนญี่ปุ่นเวลาเข้าใช้บริการ ก็ถือเป็นเครื่องการันตีชั้นดีว่าเราจะได้รับการปลอบประโลมจากธรรมชาติ ได้ใช้เวลาพักผ่อนท่ามกลางความสงบตลอดเวลาเข้าพักอย่างเต็มอิ่ม ส่วนเรื่องราคาก็มีให้เลือกทั้งแบบห้องพักอย่างเดียว, ห้องพักรวมอาหารเช้า, ห้องพักรวมอาหารเช้า-เย็น โดยสามารถเข้าไปเช็กข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://bit.ly/3Id0z57 ออ นอกจากนี้เขายังมีลานกางเต็นท์สำหรับสายแคมปิง ให้สามารถนำเต็นท์มากางเองได้อีกด้วย

2 คืน ทริปนี้เราเลือกนอนแบบ Tent A ใช้บริการ Full Package คือห้องพักพร้อมอาหารเช้า-เย็น โดยเต็นท์ของเรามีพื้นที่กว้างถึง 30 ตารางเมตร สามารถเข้าพักได้สูงสุด 6 คน ด้านในแบ่งสัดส่วนไว้ดีงาม เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานตามแบบฉบับญี่ปุ่น มีเตียงใหญ่ 2 เตียง เก้าอี้เอาต์ดอร์สำหรับนั่งสูดอากาศ อ่างจากุชชี่ ที่สำคัญทุกห้องมีห้องน้ำส่วนตัวอยู่ภายในเต็นท์ ไม่ต้องเดินหอบเครื่องใช้ออกไปด้านนอก และห้องนี้ยังมีทางเดินส่วนตัวตรงสู่ลำธารอีกด้วย มันเลิศตรงนี้แหล่ะทุกคน

พอได้พักผ่อนให้คลายเหนื่อยจากการเดินทางจนถึงช่วงพลบค่ำที่ความเงียบสงัดได้ปกคลุมทุกพื้นที่ ทองฟ้าเริ่มกลายเป็นผืนสีดำให้ดาวได้ระยิบแสง กลิ่นไอควันของไฟจากเตาปิ้งย่างอ่อน ๆ ก็ลอยมาแตะจมูกเป็นสัญญาว่ามื้อเย็นที่รอคอยกำลังมาถึง แน่นอนว่านอกจากสลัดต่าง ๆ ที่ถูกจัดมาอย่างสวยงาม ด้วยสารพัดผักที่ปลูกในพื้นที่จังหยัดซิสึโอกะ อาหารทะเลที่สดฉ่ำแล้ว อาหารป่าก็ถือเป็นประสบการ์ใหม่ ๆ ดี ๆ ที่เราจะได้รับในโซนนี้ โดยเฉพาะเนื้อกวาง เพราะในพื้นที่นี้เค้ามีใบเซอสำหรับการล่าในฤดูของมันจริง ๆ รวมไปถึงเนื้อนกกระจอกเทศที่มาจากฟาร์มในพื้นนี้เช่นกัน

Day 2 : Explore Nishiizu – Quiet coastal town famous for its sunsets

การได้หลับใหลไปพร้อมความอิ่มเอม มีเสียงลำธารช่วยขับกล่อม ทำให้เราตื่นมาด้วยความเฟรช ผ่อนคลายแทบทุกโสตประสาท เช้านี้เราก็ได้รับการทรีตอย่างดีด้วยเซตอาหารเช้าสไตล์เมกัน ซึ่งเขาเตรียมมาให้อย่างจุใจ ทั้งเบอร์เกอร์ที่ตัวเนื้อเป็นการมิกซ์ระหว่างเนื้อหมูป่าและกวาง ใส่เครื่องเทศให้มีความหอมกลมกล่อม ข้าง ๆ วางเอ้กเบเนดิกต์ ซุปผักหวาน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งแตะจมูก ซดคล่องคอกินตัดทุกอย่างได้ดี นอกจากกาแฟที่ทำให้ตาตื่นแล้ว ยังมีน้ำบ๊วยที่เขาหมักจากสวนของตัวเองมาเสิร์ฟ รสชาติเปรี้ยวหวานกระปรี้กระเปร่า ชาร์จเอเนอร์จีจนเราแทบดีดตัวออกจากเก้าอี้ อยากจะออกเดินทางสำรวจเมืองซะเดี๋ยวนี้ 

Koganezaki Park

มาถึงเมืองริมทะเล … แน่นอนว่าแต่ละหมุดหมายของเราจะต้องเน้นธรรมชาติ วิวทะเลแบบจุก ๆ จุดแรก Koganezaki-kōen สวนสาธารณะด้านชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิซุ ที่มีทางเดินเลียบริมหน้าผา โดยภูผาลูกใหญ่เหล่านี้เกิดจากลาวาภูเขาไฟ Nekko ไหลลงสู่อ่าวซากามิ เมื่อเย็นตัว หิน andesite หรือหินภูเขาไฟเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลเหลือง คอยส่องประกายเป็นสีทองเมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามตกดิน อันเป็นที่มาของชื่อ ‘Koganezaki’ ที่แปลว่าแหลมทองนั่นเอง

รูปทรงภูเขาของที่นี่ค่อนข้างแปลกตา แต่กลับรวมตัวกันเป็นทัศนียภาพที่สวยสตัน จนต้องขอให้คะแนนคุณธรรมชาติไปแบบเต็มสิบ จุดที่โดดเด่นที่สุดยกให้ Horse Rock (馬ロック) แนวหินที่ยื่นแทงออกไปนอกทะเล ซึ่งมองจากทางเดินเราจะเห็นเป็นรูปหัวม้าอย่างเด่นชัด หากมาในวันอากาศแจ่มใสก็จะได้วิวภูเขาไฟฟูจิอีกมุมที่ไม่ซ้ำใครเป็นของแถม แต่เสียดายของเรามีเมฆปิดยอดนิดนึง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถบดบังความสวยงามของฟูจิได้เลย

Matsubara Park

ชื่นใจกันอย่างต่อเนื่องที่ Matsubara Park อีกสถานที่ที่จัดเทศกาลซากุระเร็วกว่าเขากว่าใครในญี่ปุ่น เพราะพันธุ์ซากุระ ณ สวนแห่งนี้ เป็นพันธุ์ที่ผลิบานไวที่สุด ซึ่งจะออกตั้งแต่ราว ๆ วันที่ 10 มกราคมเป็นต้นไป จึงมีการจัดงานเทศกาลซากุระตั้งแต่กลางเดือนมกราคมเลยทีเดียว แถมยังเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นของนักกวีท้องถิ่นให้ชม อาทิ Bokusui Wakayama, Akahiko Shimaki, Miyako Oba รวมถึง flower clock ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ฉะนั้นมาฤดูไหนก็มีของให้ชื่นชม ไม่เสียเที่ยวแน่นอน 

หลายคนอาจจะงงว่าทำไมในขณะที่อากาศหนาวจนแทบจะขยับขาไม่ได้ ทำไมถึงมีซากุระที่ออกดอกอย่างสวยงามแบบนี้ นั่นเป็นเพราะพันธุ์ซากุระในประเทศญี่ปุ่นจริง ๆ จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกที่เรามาเรียกว่า Toi-Sakura แบ่งเป็น ‘เบนิทาเนะ’ สีชมพูเข้ม และ ‘ชิโระทาเนะ’ สีชมพูอ่อน จะบานตั้งแต่กลางมกราคมยาวไปจนถึงกลางกุมภาพันธ์นั่นเอง กลุ่มที่สอง Kawazu Sakura ที่บานเร็วรองลงมาและฮิตสุด ๆ ในหมู่คนรักซากุระ กลุ่มสุดท้าย Someiyoshino Sakura เป็นพันธุ์ที่เราเห็นได้ทั่วไปนั่นเอง

Busstop : 富士見台

ข้อดีของการขับรถเที่ยวเองนั้นคือการได้เทควิวไฮเวย์ริมทะเลแบบไพรเวต อยากแวะตรงไหนก็หาลานจอดรถ แล้วลงไปแชะภาพ แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าเป็นใจ เปิดโล่งอย่างสดใสฉายให้เห็นภาพสีครามตั้งแต่ผืนฟ้าลากยาวสู่พื้นทะเล มีสีขาวของหิมะบนยอดภูเขาไฟฟูจิ เกลียวคลื่น แต่งแต้มเคลื่อนไหว สร้างความมีชีวิตชีวา พอมาเจอจุดจอดรถบัสที่มีชื่อว่า Fujimidai เราก็ไม่ลังเลที่จะแวะทันที เพราะนอกจากภูเขาฟูจิที่สามารถมองได้เต็มตาแล้ว ยังมีต้นไม้ใบหญ้า อาคารบ้านเรือนแบบฉบับญี่ปุ่น รวมถึงอาคารรูปทรงสีขาวเล็ก ๆ  พร้อมงานปั้นจัดวางเป็นองค์ประกอบที่กวาดตาไปตรงไหนก็มีแต่คำว่าใจฟูเต็มไปหมด

Lover’s Cape (Koibito Misaki)

พิกัดต่อมาถือเป็นอีกแลนด์มาร์กประจำเมืองที่ห้ามพลาดเด็ดขาด Koibito Misaki ขึ้นชื่อเรื่องวิวพระอาทิตย์ตกที่สุด ผู้มาเยือนแทบทุกคนต่างชื่นชมถึงบรรยากาศอันแสนโรแมนติก ถึงกับต้องเปลี่ยนชื่อผาเป็น Lover’s Cape เลยทีเดียว จุดแรกที่เราเห็นคือแท่นหินทรงโดนัท ที่รูตรงกลางเป็นภาพภูเขาไฟฟูจิพอดิบพอดี ข้าง ๆ กันคือ Love Call Bell เชื่อว่าเมื่อสั่นกระดิ่งครบ 3 ครั้ง และเรียกชื่อคนในใจ จะทำให้ความรักสมหวัง แล้วยังมีน้องแมวส้มเป็นเจ้าถิ่น ที่จะชอบเดินมาทักทายผู้คน ถ้าหาน้องไม่เจอลองไปหาในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดูได้ บางทีลมแรงไปน้องบอกขอหลบหนาวแป๊บนะนุดดดดดด!!!!!

จากจุดแรกเราเดินต่อไปบนสะพานไม้ ที่ปูไล่ลงไปตามเขาระยะทางประมาณ 700 เมตร เรียกว่าเป็นทางเดินที่สวยระดับที่ถ่ายรูปออกมาแชะเดียวจบเลย ทั้งเนื้อไม้ที่เรียบเนียน สีที่เข้ากับธรรมชาติโดยรอบ เส้นทางที่โค้งนำสายตาไปสู่ทะเลอย่างงดงาม รอบข้างเป็นแมกไม้สีเขียว ยามใบไม้ผลิก็คงจะแผ่กิ่งก้านมาทักทายให้ร่มเงาตามทางเดินด้วย เป็นวิวที่จินตนาการได้เลยว่าจะต้องสวยทุกฤดูกาลแน่นอน

เมื่อไปจนสุดปลายทาง สิ่งที่เราเจอคือวิวพาโนรามาของภูเขาไฟฟูจิอย่างเด่นชัด ตั้งแต่ยอดเขาไล่ลงมาสู่เชิงเขาที่ลาดลงพาดขนาบไปกับอ่าว Suruga มีรูปปั้นคู่รักชายหญิงยืนกอดเอวจับมือกันอย่างหวานแหวว และ golden bell ซึ่งเป็นอีกสัญลักษณ์ของที่นี่เช่นกัน แม้ที่นี่จะเด่นช่วงพระอาทิตย์ตก แต่การแวะมาช่วงกลางวันก็ไม่ได้สร้างความผิดหวังให้แม้แต่นิด มันสวย มันสะกด มันตรึงตาตรึงใจแบบอยากให้ทุกคนไปเห็นกันเองด้วยตาเนื้อมาก

Dogashima (堂ヶ島)

ยังคงมาต่อกันที่จุดชมวิวหน้าผาอันน่าอัศจรรย์นามว่า Dogashima (堂ヶ島สถานที่นี้โดดเด่นเรื่องหินที่เกิดจากจากการไหลหลากของลาวาภูเขาไฟ เมื่อเย็นตัวลงก็ถูกกัดเซาะเป็นถ้ำ เป็นรูเว้าแหว่งด้วยคลื่นทะเลตรงแนวชายฝั่ง ลักษณะเป็นชั้นหินอายุ 2 ล้าน – 20 ล้านปี มีความยิ่งใหญ่สมบูรณ์จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณีโลกจาก UNESCO พระเอกของที่นี่คือถ้ำเท็นโซโด ถ้ำสีมรกตแสนงดงาม เกิดจากแสงที่ส่องผ่านรูโหว่บนเพดานถ้ำ สะท้อนน้ำทะเลสีฟ้าเขียวกระจายฉาบไปทั่วทั้งผนัง ซึ่งเราจะต้องนั่งเรือเข้าชม ใช้เวลาราว ๆ 20-25 นาที แต่ด้วยวันนี้คลื่นลมแรงมาก เขาจึงไม่สามารถออกเรือกันได้ ทางเราก็ได้แต่ยืนมองศิลปะทางธรรมชาติจากจุดชมวิว แต่ก็ฟินไม่แพ้กันเพราะลมบนนี้สดชื่นมาก ฟอร์มเขาก็สวยถูกใจ ถ้ามีข้าวปั้นกับชาสักหน่อยน่าจะฟิน

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว เราเลือกชมวิวพระอาทิตน์ตกดินอันแสนล้ำค่ากันที่นี่ โดยเดินไปที่ Kameiwa Observation Point แล้วเดินลาดลงไปตามสันเขาที่ยื่นออกไปนอกทะเล มุมนี้เราจะเห็นทะเลในแนวราบ ตรงกับพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า ฉาบผิวทะเลด้วยสีส้มอบอุ่น สร้างแสงเงาที่คมชัด จนเห็นเท็กซ์เจอร์ชั้นหินอายุหลายล้านปีได้สวยขึ้นหลายเท่าตัว เป็นสุดยอด Magic Hour ช่วยให้จบวันได้ฟินสุด ๆ 

กลับถึงที่พักก็มาผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ผ่านการเดินขึ้นลงเขากันสักหน่อย ด้วยการมาอบซาวน่าก่อนดินเนอร์ ห้องซาวน่าเขาดูเผิน ๆ จะเหมือนซาวน่าทั่ว ๆ ไป คือด้านในบุไม้ทั้งหมด มีม้านั่งหันหน้าเข้าหากัน มุมในสุดมีกองหินร้อนวางอยู่ กิมมิกเด็ดคือน้ำราดหิน ที่เขาได้แช่ส้มฝานจากสวนที่เด็ดกันวันต่อวันเอาไว้หลายลูก ( หากมาฤดูอื่นก็อาจจะเป็นดอกไม้ หรือผลไม้ของช่วงนั้น ๆ ) ทุกครั้งที่เราราดน้ำลงบนหิน จะมีไอน้ำโชยพร้อมกลิ่นหอมสดชื่นของส้มคละคลุ้งขึ้นมา บวกกับความร้อนที่ช่วยเรียกเหงื่อ ยิ่งทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายหลังซาวน่าได้เป็นอย่างดี

แล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย นั่นคือดินเนอร์ใต้แสงจันทร์อันน่าจดจำของแกลมปิง วันนี้เขาได้เปลี่ยนฟีลเป็นเซตบาร์บีคิว พร้อมเนื้อแสนพรีเมียมให้เรามาย่างกินกันเองแบบจอย ๆ จัดเสิร์ฟมาอย่างสวยงาม สามารถนำมาประกอบอาหารได้ง่าย เหมือนกินในที่พักห้าดาวเลยทีเดียว ครบทั้งเครื่องจิ้ม สลัด เมนูเคียง มาช่วยตัดรสชาติกันอย่างเมามันส์ เห็นเยอะ ๆ แบบนี้ก็กินกันหมดแบบไม่รู้ตัวเลยล่ะ

Day 3 : izu glamping resort ishiki 385

ส่วนมื้อเช้าวันนี้เขาคงกลัวเราเบื่อ เปลี่ยนอารมณ์จากเสิร์ฟแบบตะวันตก มาเป็นแบบญี่ปุ่น 100% บรรจงจัดอาหารลงในช่องหลุมเล็ก ๆ อย่างสวยงาม ดูกระจุกกระจิกสีสันน่ากิน ทั้งผักดอง ปลาซาบะ ไก่ย่าง ซุป และข้าวธัญพืช เรียกว่าเป็นเซตรักสุขภาพตามคอนเซปต์อาหารญี่ปุ่นแท้ ๆ แถมยังมีน้ำส้มคั้นสด ๆ ที่เราเก็บเองจากสวน มาดื่มสร้างความซาบซ่า ให้ฟีลฟาร์มสเตย์แต่สบายกว่าร้อยเท่าไปเลย

ถ้าใครมาพักที่นี่ยาว ๆ แล้วอยากกินแกงแบบกระหน่ำเครื่องเทศ เราแนะนำให้ลองสั่งข้าวราดแกงสูตรลับของที่นี่ ซึ่งเราลองสั่งมากินเสริมกับข้าวเช้า บอกเลยว่าทำถึง ทำดี รสจึ้ง แบบยืดเวลาคิดถึงอาหารไทยไปได้อีกยาว โดยทั้งหมดมีส่วนประกอบของเนื้อนกกระจอกเทศ ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน แกงกะหรี่แบบอินเดีย หากอยากได้สไตล์ตะวันตกหน่อยจะมี ซอสฮายาชิ และเนื้อแฮมเบิร์กนกกระจอกเทศราดครีมซอส สามารถสั่งกินได้ตลอดการเข้าพัก แต่ถ้าติดใจก็สามารถซื้อแพ็กเกจแช่ฟรีซกลับไปกินได้ด้วยจ้าาาา

Sawada Park Open Air Bath

สังเกตดี ๆ ที่เที่ยวแต่ละแห่งที่เราไปจะอยู่ใกล้กันหมด ทำให้กะเวลาง่าย ขับรถได้แบบไม่เหนื่อย แต่ได้ประสบการณ์เที่ยวไม่เหมือนครั้งไหน ๆ อย่างโลเคชันนี้ก็เปิดโลกการแช่ออนเซ็นวิวทะเลให้เราเช่นกันล Sawada Park Open Air Bath บ่อน้ำพุร้อนสาธารณะ จ่ายค่าเข้าที่ด้านหน้า เข้ามาจะมีห้องเปลี่ยนเสื้อแยกชาย-หญิง จากนั้นก็เดินออกมาแช่ได้ชิล ๆ ขนาดของอ่างสามารถแช่เต็มที่ได้ 4-5 คนเท่านั้น แต่บรรยากาศคือหลักล้านเว่อร์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงคลื่นที่ซัดอยู่ใกล้ ๆ วิวเวิ้งทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บวกกับอากาศเย็น ๆ ไอแดดอุ่น ๆ แบบนี้ก็แทบอยากกระโจนลงบ่อซะเดี๋ยวนี้เลย 

Nishina Fishing Port

มาเมืองทะเลขนาดนี้จะไม่แวะท่าเรือของเขาได้ยังไง บริเวณ Nishina Fishing Port นี้ที่อยู่ไม่ไกลจากบ่อออนเซ็น จะมีอาคารเล็ก ๆ ที่ภายในทำหน้าที่เป็นตลาดชื่อว่า Hanbata Market รวบรวมผลิตภัณฑ์ของเหล่าเกษตรกร ชาวประมงท้องถิ่นมาขาย ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ อาหารแปรรูปส่งตรงจากฟาร์ม สัตว์น้ำที่เพิ่งตกมาจากทะเล หากในตู้แช่ยังสดไม่พอ เดินถัดมาหน่อยจะเจอกับแทงก์น้ำที่ยังมีปลาแหวกว่าย เรียกว่ายืนหนึ่งเรื่องความสดและราคาที่ถูกแบบตาวาว แถมติดกันจะมีร้านอาหาร  沖あがり食堂 ขายพวกข้าวหน้าซาชิมิ ข้าวแกงกะหรี่ ฯลฯ ให้เราได้ฝากท้องด้วย

Dogashima Shokudo

ส่วนเราเลือกขับรถออกมานิดหน่อย เพราะไปปักเจอร้านเด็ดที่คนพื้นที่ต่างรีวิวว่าดีงามแบบต้องห้ามพลาด Dogashima Shokudo ที่นี่เน้นอาหารทะเลท้องถิ่นรสชาติแสนตราตรึง แม้ว่าตัวร้านจะดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่ เป็นอาคารสีขาวความสูงสองชั้น แต่วิวที่มองเห็นจากด้านในนับว่าแกรนด์ไม่แพ้จุดชมวิวที่ไปมาเลยทีเดียว กับวิวทะเลสีฟ้าสดใส เห็นแนวเขายื่นออกนอกทะเล พร้อมเรือประมงที่จอดโต้คลื่นอย่างน่ารัก ภายในร้านอบอวลไปด้วยความอบอุ่นแสนคลาสสิก จากเฟอร์นิเจอร์ไม้ บาร์เครื่องดื่ม ตู้ใส่ถ้วยชาม มันดูวินเทจไปซะหมด 

เมนูของเขารังสรรค์มาจากวัตถุดิบที่หาได้จากทะเลแถบนี้ ความสดหวานนั้นไม่ต้องพูดถึง คะแนนเต็ม 10 เราให้ 100 ถ้าเป็น 100 เราให้ 1,000 ไปเลย ซิกเนเจอร์ของร้านคือ Bukkakedon ข้าวหน้าปลาดิบ หอยปีกนกผสมน้ำลื่น ๆ เป็นเท็กซ์เจอร์ที่คนญี่ปุ่นชอบ ​โปะท็อปมาด้วยไข่ดิบ พอกินเข้ากันแล้วมันจะนัว ๆ แบบสดชื่น อีกเซตคือ Fried Horse Mackeral  เซตข้าวปลาทอดชิ้นใหญ่ม๊ากกก ใหญ่แบบคนท้องถิ่นโต๊ะข้าง ๆ อึ้ง คนสั่งอึ้ง เพื่อน ๆ ในโต๊ะก็อึ้ง แถมรสชาติขอกราบพ่อครัว ทอดมาเลิศมาก มีความกรอบนอกนุ่มใน อืมมม… อาหร่อยยยย ส่วนอีกจานเบสิกหน่อยเป็น Sashimi Teishoku ข้าวหน้าปลาดิบ แต่ที่พลาดไม่ได้ ทุกโต๊ะต้องสั่งมาแกล้มคือ กุ้งซากุระ อันเป็นของดีประจำเมือง

わさびの駅 Wasabi no Eki

เราเคยได้ยินว่าหากต้องการวาซาบิรสชาติดี ถูกต้องตามต้นตำรับที่สุดจะต้องเป็นวาซาบิที่ปลูกด้วยน้ำบริสุทธ์จากบนเขา ซึ่งที่ญี่ปุ่นมีแค่ที่นากาโน่อันเป็นแหล่งปลูกมากที่สุดของประเทศ และชิซูโอกะเมืองที่เรามาครั้งนี้เท่านั้น แน่นอนว่า วาซาบิ เลิฟเว่อร์มาถึงถิ่น ก็ไม่พลาดที่จะพาทุกคนมาดูไร่วาซาบิที่ わさびの駅 Wasabi no Eki ไร่ของเกษตรกรชาวญี่ปุ่นที่ทำการปลูกวาซาบิอยู่ 2 สายพันธุ์เกรดสูงสุดคือ ซาวะวาซาบิ เติบโตได้ดีในน้ำที่เย็นระดับตื้น ๆ โดยใช้ธารน้ำจากภูเขา และฮาตะวาซาบิที่ปลูกบนดิน ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของน้ำที่มีตลอดทั้งปี อากาศที่อบอุ่นของแถบนี้ทำให้วาซาบิของเขาสมบูรณ์แบบที่สุด สามารถติดต่อขอเข้าชมไร่ได้โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 

นอกจากได้ดูวิธีการเด็ดวาซาบิสด ๆ ด้วยมือแล้ว ด้านในอาคารเขามีร้านค้าที่นำทุกส่วนของวาซาชิมาแปรรูปให้ได้ประโยชน์สูงสุด จัดใส่แพ็กเกจน่ารักน่าหยิบ โดยส่วนตัวการได้ลองชิมวาซาบิของที่นี่ทำให้เรารู้ว่าเทสต์ที่แท้จริงของเขาจะมีรสเผ็ด เย็นที่ซับซ้อนและให้ความสดชื่นสุด ๆ แล้วพอเขานำมาทำเป็น wasabi Soft Serve Ice Cream ทั้งกลิ่น ทั้งสัมผัสให้ความหวานเย็นซ่านไปถึงสมอง อร่อยแบบอึ้ง ๆ งง ๆ เป็นความลงตัวสไตล์ญี่ปุ่น ที่เซอร์ไพรส์เราได้ไม่หยุดจริง ๆ 

แม้เราจะเคยมาเที่ยวญี่ปุ่นหลายสิบครั้ง จนบางปีแทบจะบินมาทุกเดือน บอกตามตรงว่าครั้งนี้ เป็นทริปที่เปิดประสบการณ์ใหม่แบบ 100% กับการพันผ่อนสไตล์แกลมปิงที่มีบริการครบจบในตัว คอยเสิร์ฟความสุขแก่เราได้แม้ไม่ออกไปเที่ยวไหน หรือจะขับรถออกไปชมพระอาทิตย์ตก ถ่ายรูปทำคอนเทนต์หน่อย ๆ แล้วกลับมาพักผ่อน ก็ยังสร้างความฟินได้อย่างต่อเนื่อง หากใครอยากมีทริปสเปเชียลแบบนี้ก็มาได้เลยที่ Izu Glamping Resort Ishiki 385 ไปเที่ยวกัน go go