รีวิวญี่ปุ่น :: 5 days itinerary Travel Plan for First Timers in Tokushima 🇯🇵

ชวนเที่ยวญี่ปุ่น 5 วัน ครั้งนี้ เราขอเปลี่ยนบรรยากาศจากเมืองแมส ๆ มาเสาะแสวงหาเมืองท่องเที่ยวฮิดเด้นเจมส์ใหม่ ๆ ไม่ซ้ำใคร ด้วยการพาทุกคนไปโร้ดทริปชิล ๆ ช้า ๆ ค่อย ๆ ใช้เวลาเพื่อทำความรู้จัก Tokushima จังหวัดบนเกาะชิโกกุ ที่เป็น 1 ในเกาะหลักที่เล็กที่สุดในบรรดาเกาะหลักทั้ง 4 แต่กลับเพรียบพร้อมไปด้วยความงดงามหมดจดของธรรมชาติทั้งภูเขาและทะเล แถมยังมีเสน่ห์ชวนหลงใหลจากตำนานเรื่องราวเล่าขาน ประวัติศาสตร์นับร้อยนับพันปี ตลอดจนงานเทศกาลสุดอลังที่เป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน บอกเลยว่า 8 เมือง ที่จะเช็คอินเที่ยวฉ่ำ ๆ รอบนี้ ขอยกให้เป็นสุดยอดคัมภีร์ฉบับรวมที่กิน ที่เที่ยว ที่พัก 25 พิกัด ที่สามารถใช้คำว่า สุโก้ยย!!! ได้เปลืองที่สุด

ถ้าพร้อมจะสัมผัสเรื่องราวแบบอินไซด์ของจังหวัดโทคุชิมะ ที่ทั้งสนุกและและภาพสวย ก็เลื่อนตามลงมาดูพร้อมกันได้เลย!!!

ก่อนที่จะออกเดินทาง เรามาทำความรู้จักกับเมืองโทคุชิมะกันก่อนสักเล็กน้อย Tokushima : 徳島 ที่นี่เป็นเมืองแห่งน้ำที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชิโกกุ ด้วยความที่เป็นแหล่งรวมแม่น้ำหลายสาย จึงทำให้อุดมไปด้วยป่าไม้แสนตระการตา ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติออันน่าตื่นตะลึง มีสะพานอันงดงาม ห้อมล้อมด้วยภูเขาที่สามารถขึ้นชมวิวเมืองยามค่ำคืนได้ พร้อมวัฒนธรรม งานเทศกาลเก่าแก่สืบทอดมากว่า 400 ปี และยังเป็นเมืองที่ผลิตหลอดไฟ, ปลูกสาหร่ายวากาเมะ, ปลูกส้มซึดาจิมากที่สุดในญี่ปุ่น โดยมาสคอตประจำเมืองของเขาคือเจ้า Sudachi-kun น้องหัวเขียวที่มาจากผลส้มสีเขียวรูปร่างคล้ายมะนาวแต่รสชาติมีความคล้ายเกรปฟรุตและยูสุ หรือส้มซึดาจินั่นเอง ออกแบบมาหน้าตายิ้มแย้มใจดีน่ากอดฝุด ๆ

การเดินทางเข้าถึงจังหวัดโทคุชิมะค่อนข้างสะดวกสบาย มีช้อยส์ให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนั่งเครื่องบินภายในประเทศจากเมืองหลัก ๆ อย่างโตเกียว โอซาก้า ฟุคุโอกะ ฯลฯ มาลงที่สนามบินโทคุชิมะ นั่งชินคังเซ็นมาที่โอคายามะ จากนั้นต่อรถไฟมาที่สถานีโทคุชิมะได้เลย หรือจะนั่งรถบัสจากสถานีโอซาก้าไปยังสถานีโทคุชิมะ ก็ใช้เวลาเพียงประมาณ 2 ชม. เท่านั้น เรียกได้ว่าไปง่ายมาง่าย เหมาะเป็นเมืองเปิดประสบการณ์สำหรับคนที่อยากหาอะไรใหม่ ๆ ในญี่ปุ่นสุด ๆ

Day 1

001 California Table

ออกจากสนามบินคันไซเรายิ่งยาวมาเริ่มต้นทริปวันแรกที่เมืองนารุโตะ จัดมื้อเที่ยงสไตล์ลูกคุณที่ ‘California Table’ ร้านอาหารภายในโรงแรม Hotel Ridge ความว้าวแรกอยู่ที่วิวแสนปังของร้าน ที่มีระเบียงกว้างให้เราเทควิวทะเล Seto Inland แบบพาโนรามา เห็นภูเขาฝั่งตรงข้ามพร้อมสะพานแขวน Naruto Ohashi สีขาวอันงดงาม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นอนพักที่นี่ก็สามารถมาใช้บริการร้านอาหารเขาได้เช่นกัน

ประเภทอาหารของร้านเป็นอาหารฝรั่งเศสฟิวชั่น เน้นเรื่องวัตถุดิบที่สดใหม่ หาได้จากฟาร์มและประมงท้องถิ่น โดยเน้นไปที่อาหารทะเล มีการตกแต่งหน้าตาให้ดูเรียบง่าย แต่ยังมีกลิ่นอายความหรูหราสไตล์ยุโรปอยู่กลาย ๆ  จัดเสิร์ฟเป็นคอร์ส มีให้เลือก 3 แบบ ทั้ง Lunch และ Dinner ซึ่งจะแตกต่างกันที่เมนู อย่างของเราเขาจะเสิร์ฟเอสคาร์โกต์อบด้วยเนย สมุนไพร ครีมชีส และทาร์ตลูกพลับเป็นเมนูเรียกน้ำย่อย ตามด้วยทูน่าหมักย่างออนท๊อปบนสลัดผลไม้ จากนั้นเป็นซุปแครอทออร์แกนิกที่ปลูกทางตอนใต้ของจังหวัดโทคุชิมะ ส่วนจานหลักเป็นปลาแมคเคอเรลเย็นพร้อมซอสปาปริก้า แล้วตอบท้ายด้วยของหวานเป็น ครีมา คาตาลาน่า พร้อมกาแฟดำเข้ม ๆ อีกหนึ่ง บอกเลยทุกจานคืออร่อยเลอค่า เปิดทริปได้สมมงสุด ๆ ไปเลย

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ งั้นเรามาพาทัวร์ที่พักด้วยเลยแล้วกัน เผื่อใครจะมาเที่ยวแล้วอยากปรนเปรอตัวเองกับโรงแรมระดับติดดาวจะได้กดจองมาอย่างไม่ลังเล ‘Hotel Ridge’ นี้มีพื้นที่กว้างถึง 70,000 ซึโบะ(เสื่อ) หรือราว ๆ 23,000 ตารางเมตรเลยทีเดียว มีห้องนอน 3 รูปแบบ เน้นความน้อยแต่มาก ดูคลาสสิกแต่แอบซ่อนความโมเดิร์นเอาไว้ ทิ้งสเปซห้องให้ดูกว้างขวางเหมาะแก่การพักผ่อน พร้อมสิ่งอำนววยความสะดวกครบครัน ที่สำคัญคือได้เป็นวิวทะเลจึ้ง ๆ แบบที่ไม่ต้องออกไปเที่ยวไหนก็ฟินสุด ๆ

นอกจากห้องนอนจะอลังการงานสร้างแล้ว ยังมีอีก 2 ห้องพิเศษ ที่ทางโรงแรมภูมิใจนำเสนอ ห้องแรก Banrisou อาคารที่สร้างโดยใช้เทคนิคญี่ปุ่นยุคเรวะ เมื่อ 1,000 ปีก่อน มีวิวหลักคือ karesansui ที่จะเปลี่ยนไปตาม 4 ฤดู นอกจากมาเยี่ยมชมแล้วที่นี่ยังเป็นห้องอาหารญี่ปุ่นที่เปลี่ยนเมนูไปตามฤดูกาลอีกด้วย ห้องต่อมา Heritage ห้องชมวิวที่ได้รับรางวัล ‘Mitsui Suishoen Annex’ สร้างจากไม้เนื้อดีที่หาได้ยากในปัจจุบัน ติดตั้งกระจกเปิดโล่งเห็นวิวทะลพร้อมแสงแดดอบอุ่น ถือว่าเป็นอัญมณีล้ำค่าทางวัฒนธรรมเลยทีเดียว

002 French Monstar Setouchi Foodart

ตามธรรมเนียมการเดินทางแบบโร้ดทริปที่ต้องมีพักเติมความหวานให้ร่างกายระหว่างวัน เราแวะมาที่ ‘French Monstar Setouchi Foodart’ ร้านที่ตั้งอยู่ใกล้จุดชมวิว เป็นอาคาร 2 ชั้น สีขาวมินิมอลทรงเหลี่ยม มุมด้านหนึ่งมีรอยแหว่งสะดุดตา พอก้าวผ่านประตูเข้ามาก็จะได้กลิ่นหอมหวนของกาแฟเป็นอย่างแรก พร้อมการแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูโคซี่ด้วยงานไม้ ส่วนด้านบนตกแต่งฟีลห้องรับแขกสุดโมเดิร์น มีโซนเอาต์ดอร์ให้เราไปเทควิวทะเลได้อย่างเต็มตา

นอกจากเขาจะมีวิวอันสวยงามรอบทิศ เห็นทั้งเกาะ ทะเล ช่องแคบมากมาย เขายังเป็นเลิศด้านขนมที่สร้างสรรค์เมนูจากวัตถุดิบท้องถิ่นของโทคุชิมะและเซโตะอุจิ เพื่อสื่อสารให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงความงดงามของพื้นที่ผ่านขนมอันหอมหวานเหล่านี้นั่นเอง เมนูซิกเนเจอร์ของเขาคือ Tsuki he Naruto he Strawberry บิสกิตกลิ่นหอมกรอบละมุนที่ตัดกับสตรอว์เบอร์รีอบแห้งรสเปรี้ยวได้อย่างลงตัว และ Tsuki he Naruto he Pudding พุดดิ้งที่มีครีมโปะอยู่ด้านบนเนียนนุ่มไปทุกอณู กินตัดกับชาหรือกาแฟดำแล้วดีงามไม่มีที่ติเลย 

003 Otsuka Museum of Art

จากนั้นก็ได้เวลาเติมอาหารสมองด้วยการเดินเข้าอาร์ตแกลกันสักกรุบที่ ‘Otsuka Museum of Art’ พิพิธภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ภายในอัดแน่นไปด้วยงานศิลปะจำลอง จากจิตรกรรมดัง ๆ จากทั่วทุกมุมโลกกว่า 1,000 รายการ แบ่งออกเป็น 5 ชั้น โดยมี 2 ชั้นบน และ 3 ชั้นใต้ดิน ซึ่งชั้นใต้ดินนี้ก็ไม่ได้เกิดจากการขุด แต่เป็นการถมที่ขึ้นไป ให้เหมือนมิวเซียมอยู่บนเนินเขาเข้ากับทัศนียภาพโดยรอบ เอาดี ๆ แค่ประวัติการสร้างอาคารก็จึ้งแล้ว ข้างในจะจึ้งขนาดไหน เราไปชมกันเล้ยยยยยย

อย่างที่บอกว่างานศิลปะของที่นี่เป็นงานเลียนแบบ แต่ด้วยความญี่ปุ่นเขาก็มีการทำหนังสือเพื่อขออนุญาตไปตามต้นสังกัดเรียบร้อย โดยการใช้สีของเขาจะติดทนนานกว่างานจริง และเราสามารถใช้มือสัมผัสงานเหล่านั้นเบา ๆ ได้อีกด้วย เป็นฝันที่ไม่กล้าฝัน ที่จะได้จับต้องงานศิลปะที่เราชื่นชอบด้วยมือเราเอง บอกเลยว่าเท็กซ์เจอร์ เนื้อสี การตวัดปลายผู้กันนั้นเหมือนเป๊ะ ไม่ว่าจะเป็นภาพดอกทานตะวันทั้ง 7 (Van Gogh), The Last Supper และ Mona Lisa (Leonardo Da Vinci) ตลอดจน The Birth of Venus (Sandro Botticelli, 1486) ซึ่งถ้าจะดูผลงานดัง ๆ ทั้งหมดอาจต้องไปหลายประเทศเลยทีเดียว

ดื่มด่ำกับงานศิลปะอันแยบแยลเสร็จ หากใครรู้สึกต้องการนั่งพักสักครู่ ที่นี่เขามีคาเฟ่รองรับด้วยกัน 2 จุด หากเป็นแฟนคลับของ Monet’s แนะนำที่ชั้น B2F คาเฟ่ธีม Giverny สีอ่อนโยนฟีลลิงสวนดอกไม้ มีไฮไลท์เป็นภาพสระบัวขนาดใหญ่ของ โคลด์ โมเนต์ โชว์โดดเด่นในสวนกลางแจ้ง แต่ถ้าอยากอยากสเปเชียลยิ่งกว่าตรงชั้น B3F จะมีคาเฟ่ที่เปลี่ยนธีมการจัดไปเรื่อย ๆ รออยู่ อย่างช่วงที่เราไปตรงกับครบรอบ 25 ปีมิวเซียม เลยได้จอยกับ Café Vincent under the ground เป็นคาเฟ่ธีมแวนโก๊ะ ที่มีการเลือกใช้สีสันร้อนแรงตามสไตล์ศิลปิน พร้อมกับบรรดาทานตะวันที่เป็นไอคอนประจำตัว และในชั้นเดียวกันยังมี Museum Shop ขายทั้งสมุดภาพ โปสการ์ด ปากกา ดินสอ เครื่องใช้ ตลอดจนของที่ระลึกต่าง ๆ ให้นักสะสมได้ถลุงทรัพย์อย่างเพลิน ๆ

004 AoAwo Naruto Resort

ที่ที่ทำให้เราหายเมื่อยล้าจากการเดินทาง และการเดินหลายพันก้าวต่อวันในทริปนี้คือ ‘AoAwo Naruto Resort’ รีสอร์ตริมทะเลขนาดใหญ่ที่มีห้องนอนมากถึง 16 ไทป์ รวม 208 ห้อง มอบวิวพระอาทิตย์ตกงาม ๆ จากห้องนอน โดดเด่นด้วยนานากิจกรรมที่เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ มากมาย ทั้งการขุดมันเทศที่ปลูกในทราย ตกปลากระพงแดง สร้างงานคราฟต์ด้วยทรายสี นั่งเรือชมวิว เก็บสาหร่าย ฯลฯ แต่ถ้าอยากมาแบบชิล ๆ สงบ ๆ เขาก็มีบ่อออนเซ็นให้แช่คลายกล้ามเนื้อ เร่งการสูบฉีดเลือดให้ได้ผ่อนคลายเช่นกัน

สำหรับห้องอาหารเย็นภายในโรงแรมจะเป็นไลน์บุฟเฟต์ที่จัดได้แบบอลังการงานสร้าง มีให้เลือกจุก ๆ แทบทุกประเภทอาหารญี่ปุ่น โดยเขาจะแบ่งเป็นสเตชั่นให้เราเดินไปตักอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นเมนูซูชิสีสดใสมีให้ไม่อั้น จุดทำอูด้งด้วยตัวเอง สเต๊ก เทมปุระมา สลัดบาร์ และเมนูสเปเชียลต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาอยู่ภายใต้ขั้นตอนการทำอาหารที่ชูรสชาติวัตถุดิบได้อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนไฮไลต์เด็ดที่พลาดไม่ได้เลย คือการโชว์ตัดเนื้อทูน่าที่ทางโรงแรมยกขึ้นมาทั้งตัว แร่เป็นซาชิมิเสิร์ฟกันสด ๆ ให้ฟินสุดใจกันไปเลย

ตามสไตล์โรงแรมใหญ่ของญี่ปุ่น มักจะมีห้อง Entertainment ตั้งตู้เกมส์ ปาจิงโกะ โต๊ะปิงปองให้เราได้ย่อยหลังมื้ออาหาร ซึ่งที่นี่เล่นใหญ่เล่นโตตกแต่งเป็นธีมงานวัดเลยทีเดียว ยกมาทั้งแผงลอยที่วางขายหน้ากากอนิเมะ โปสเตอร์โฆษณายุคเรโทร ตู้เกมส์ไม้ ซุ้มเกมส์งานวัด ร้านขายขนมโบราณ มีโคมกระดาษคอยส่องไฟส้มสร้างบรรยากาศยามค่ำคืนได้เหมือนสุด ๆ 

Day 2

มื้อเช้าวันนี้เราเริ่มต้นที่ห้องอาหารสไตล์ตะวันตก แต่หากใครชอบแบบญี่ปุ่นก็สามารถเลือกไปอีกชั้นหนึ่งได้เช่นกัน(ห้องเดียวกับห้องทานมื้อเย็น) หนึ่งเหตุผลที่เราเลือกห้องนี้คือความบรรยากาศ เพราะเขามีกระจกบานโตจากพื้นจรดเพดาน ปิดม่านบังแสง แต่ยังคงเห็นความระยับระยับของแดดที่ทออยู่เหนือผืนน้ำ การจัดวางเฟอร์นิเจอร์เหมือนคาเฟ่ยุโรปสมัยก่อน แค่หยิบเบเกอรีหน้าตาเกลี้ยงเกลา ผักสลัดสีสดใสวางก็ได้ภาพอาหารงาม ๆ เหมือนหลุดออกมาจากอนิเมะแล้ว

005 Wonder Naruto

แล้วก็มาถึงแลนด์มาร์กประจำเมืองนารุโตะที่เราเคยเห็นตามช่องท่องเที่ยว ตามโซเชียลหัวข้อที่เที่ยวมหัศจรรย์ และภาพโปรโมตจังหวัดโทคุชิมะกับน้ำวนอันอันยิ่งใหญ่นั่นเอง โดยการเดินทางไปชมนั้นเราจะล่องเรือชื่อ ‘Wonder Naruto’ จาก Uzushio Cruise ซึ่งมีให้เลือก 2 ขนาดคือ Aqua Eddy เรือลำเล็กพร้อมฟังก์ชันกระจกให้ชมภาพใต้น้ำได้ และ Wonder Naruto ลำขนาดใหญ่ขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญ ที่จะพาเราเข้าใกล้จุดน้ำวนมากที่สุด รอบหนึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที เริ่มตั้งแต่ 9:00 – 16:00 น. และบางวันงดให้บริการเพราะสภาพอากาศและคลื่นทะเล ฉะนั้นก่อนใปลองเช็กในเว็บไซต์ดูก่อนนะ

น้ำวน Naruto จะพบเจอได้บริเวณช่องแคบนารุโตะ ระหว่างเกาะอาวาจิและชิโกกุ เกิดจากการรวมตัวของ 2 แหล่งน้ำ Seto Inland Sea และมหาสมุทรแปซิฟิก ที่มีระดับน้ำสูงต่ำแตกต่างกัน โดยระดับน้ำนี้จะเปลี่ยนไปทุก ๆ 6 ชั่วโมง เราจึงเห็นปรากฏการณ์นี้ได้ 2 ครั้ง/วัน ครั้งละประมาณ 1-2 ชม. ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในน้ำวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และติด 3 อันดับแรกกระแสน้ำขึ้นน้ำลงของโลก หากใครมาก็อย่าลืมถ่ายภาพน้ำวนพร้อมสะพาน Ohanaruto มาด้วยนะ อันนี้ถือเป็นมุมยอดฮิตเลยล่ะ

006 Kanegin Sakano

หลังจากที่นั่งแต่งรูปอัปสตอรี่ ลงคอนเทนต์กันจนเสียเอเนอร์จี ก็ได้เวลาของมื้อเที่ยงพอดี เรามากันที่ ‘Kanegin Sakano’ ปกติเวลาเห็นคนญี่ปุ่นกินข้าวจะไม่ค่อยแบ่งกันโดยเฉพาะเมนูเส้น มักจะกินชามใครชามมัน แต่ที่นี่เป็นแบบแชร์ค่าทุกคน!! ร้านนี้โด่งดังเรื่องอุด้ง ด้วยภูมิประเทศเหมาะแก่การปลูกข้าวเปียกใช้ผลิตเส้นอุด้งได้ดี จึงกลายเป็นแหล่งผลิตเส้น ทาราอุด้ง (たらいうどん) ซึ่งเป็นอาหารอันโอชะของผู้คนที่อาศัยอยู่ในภูเขาแถบนี้มาเนิ่นนาน

โดยอุด้งของเขาจะเสิร์ฟมาในถังไม้มีขนาดตั้งแต่แบ่งได้ 1-5 คน ซึ่งเป็นการวิธีการกินของชาวบ้านหลังจากเลิกงานแล้วมานั่งล้อมวงกันทานอุด้งในสมัยก่อน และเมื่อ 90 ปีก่อนมีผู้ว่าราชการจังหวัดมากินแล้วพบว่าการเสิร์ฟแบบนี้ทำให้อุด้งอร่อยขึ้นจึงได้ตั้งชื่อเมนูนี้ จนกลายเป็นที่นิยมในพื้นที่ในเวลาต่อมา โดยเราจะกินกับซุปดาชิรสเข้มข้นหอมกลิ่นปลาแห้ง เส้นเด้ง ๆ เหนียวนุ่มแบบนี้แหละคืออุด้งที่ถูกต้อง แล้วยังสั่งเครื่องเคียงอย่างปูทอด ปลาย่าง คุชิยากิ(ไก่ย่างปรุงรส) และคามะเมชิ ฟีลข้าวอบในหม้อหุงข้าวโบราณสไตล์ญี่ปุ่น ทุกอย่างมีรสชาติอูมามิ กินตัดสลับข้าวท้องถิ่นแบบนี้แล้วมันฟินมากเว่อร์

007 Udatsu Old Street

ได้เวลามาชมรากเหง้าความเจริญของบ้านเมืองนี้กันบ้างที่ ‘Udatsu Old Street’ หากเรียกเป็นไทยแบบเต็ม ๆ คือเขตอนุรักษ์กลุ่มอาคาร สถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างดั้งเดิมอันทรงคุณค่าของประเทศญี่ปุ่น โดยความหมายก็เป็นไปตามชื่อยาว ๆ นี้เลย เป็นย่านการค้าที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ โดยมากจะค้าผ้าย้อมคราม เส้นไหม เพราะเมื่อก่อนบริเวณนี้เป็นแม่น้ำ จึงกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางเรือนั่นเอง ในแอเรียนี้มีโรงละครเก่า บ้านพ่อค้าสมัยก่อน วัดโบราณ ศูนย์แสดงหัตถกรรมพื้นบ้านให้เราได้แวะชม

เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเดินชม เราขอแวะมาเช่าชุดยูกาตะและกิโมโน ณ ร้านเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ทางเข้าย่านเมืองเก่า ซึ่งในเซตจะให้มาแบบครบชุด ทั้งเสื้อ กระเป๋า เครื่องประดับผม และร่มกระดาษสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมบริการพับ เก็บ จัดทรง ตกแต่งทรงผมให้เสร็จสรรพ สนนราคาอยู่ราว ๆ 3,500 – 5,000 เยน โดยสามารถเช่าได้ตั้งแต่ 9:00 – 16:00 น. ร้านปิดทุกวันอังคาร

จากนั้นก็เริ่มทำคอนเทนต์เป็นวัยรุ่นเอโดะบนถนนเส้นหลักของเมืองเก่า ที่เราจะได้เห็นคือความเป็นธรรมชาติของคนพื้นเมือง ไม่เหมือนหมู่บ้านป็อป ๆ ที่หนาแน่นไปด้วยผู้คน คึกคักไปด้วยร้านค้า อื้ออึงไปด้วยเสียงของพนักงานที่ออกมาเรียกลูกค้า ถือเป็นหมู่บ้านโบราณที่เราให้คะแนนเต็มเรื่องความสงบ แต่ก็ยังมีบริการสำหรับนักท่องเที่ยวครบ อย่างคาเฟ่ ร้านขายของฝากตกแต่งแสนวินเทจ รวม ๆ แล้วถ่ายรูปออกมาแล้วน่าหยิกสุด ๆ 

แล้วก็มาถึงจุดสำคัญของที่นี่ หากเพื่อน ๆ ลองสังเกตอาคารบ้านเรือนดี ๆ ก็จะเห็นช่องว่างระหว่างบ้าน พร้อมแผงฝากั้นที่ยื่นออกมาตรงกันสาด กั้นระหว่างบ้านแต่ละหลัง ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ทำขึ้นเพื่อป้องกันการลุกลามของเหตุเพลิงไหม้ในสมัยก่อนที่มักเกิดบ่อยครั้ง เรียกกันว่า ‘Udatsu’ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านนั่นเอง 

หลังจากเดินถ่ายรูปจนฉ่ำ นำชุดไปคืนเรียบร้อย เรามาเช็กอินกันต่อที่ ‘AIGURA (藍蔵)’ ร้านอาหารและร้านของฝากในที่เดียว โครงสร้างเป็นอาคารสองชั้น ด้านหน้าติดตั้งกระจกใสทั้งหมด เห็นวิวภายนอกแบบเคลียร์ ๆ สบายตาไปด้วยแมกไม้สีเขียวสด พร้อมแสงธรรมชาติส่องเข้ามาอย่างละมุนละไม ชั้นล่างเป็นแหล่งรวมสินค้าโอท็อปประจำภูมิภาค ทั้งไอศกรีม ขนมแพ็กเกจจิงน่ารักน่าสอย ของกระจุกกระจิกมากมาย ชั้นบนเป็นร้านอาหารที่มีเมนูเด็ดอย่างข้าวอบไก่อาวะโอโดริ ของขึ้นชื่อของที่นี่ให้ได้ลิ้มลอง

008 いちごはうす(イチゴ狩り)

ทาสรักสตรอว์เบอร์รีจะต้องหลงรักที่นี่กับ ‘いちごはうす(イチゴ狩り)’ ฟาร์มเก็บสตรอว์เบอร์รีเจ้าของรางวัลชนะเลิศ ‘its strawberry farming and is recognized on Nippon-1.net.’ ที่พร้อมให้เราเดินลุยฟาร์มเข้าไปเด็ดน้อง ๆ กินแบบบุฟเฟ่ต์จนอิ่ม โดยช่วงเวลาเก็บเกี่ยวที่ดีที่สุดคือช่วง ม.ค.-พ.ค. ส่วนเดือนอื่น ๆ อาจจะมีให้เก็บแต่ไม่ขึ้นเต็มเท่าเดือนที่ว่ามานี้ หรือถ้าเอาแบบชัวร์ ๆ ลองเข้าไปเช็กในเว็บไซต์ของฟาร์มได้เลย

ส่วนไฮไลท์เด็ดที่ทำให้ฟาร์มแห่งนี้แตกต่างไปจากฟาร์มอื่น ๆ ที่เคยไปก็คือ หลังจากทานบุฟเฟต์จากสวนเสร็จ เขาจะให้เราเด็ดสตรอว์เบอร์รีติดมือออกมาคนละ 1 ลูก เพื่อเข้าร่วมเวิร์คช็อปทำขนมชิ้นโปรด ‘strawberry daifuku’ โดยทางสวนจะเตรียมแป้งโมจิและถั่วแดงไว้ให้เรา Decorate เองว่าอยากได้ไดฟูกุรูปร่างแบบไหน จากนั้นก็เอาเข้าปาก จิบพร้อมน้ำสตรอว์เบอร์รีสดตามเข้าไปด้วย ก็จะได้ความนุ่มหนึบของแป้งโมจิผสานรสหวานฉ่ำของถั่วแดง แซมมาด้วยความหวานเปรี้ยวสดชื่นจากสตรอว์เบอร์รี เป็นของว่างที่ลงตัวและน่าภูมิใจเป็นที่สุด

009 The Great Camphor Tree of Kamo

ก่อนยิงยาวเข้าที่พัก เราพิกัดเที่ยวที่อยากแนะนำ The Great Camphor Tree of Kamo เหมาะมากกับสายชิลที่อยากฟินในบรรยากาศแสนโลคอล เพราะที่นี่เราจะได้นั่งจิบชาใต้ต้นการบูรยักษ์อายุ 1,000 ปี ที่มีความสูงราว ๆ 26 เมตร แต่ก่อนพื้นที่นี้เคยเป็นศาลเจ้าและพื้นที่เพาะปลูก ทำให้ต้นไม้ได้รับความเสียหายจากลม ฝน ฟ้าผ่า เพื่อดูแลรักษาต้นไม้ต้นนี้ ชาวเมืองจึงลงความเห็นว่าให้ปรับพื้นที่เป็นสวนสาธารณะ ส่งผลให้ต้นไม้แข็งแรงขึ้น จนมีกิ่งก้านแผ่ขยายเป็นที่อยู่ของสัตว์ตัวน้อย และให้ร่มเงาแก่ผู้คนได้พักผ่อนหย่อนใจ ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตก ภาพที่เห็นนั้นสวยเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอนิเมะเลยจริง ๆ

010  あわの抄

ค่ำคืนนี้เรามานอนพัก ณ โรงแรม ‘Awanasho : あわの抄’ ที่มองภาพรวมแล้วน่าจะเปิดมานานพอสมควร แต่สามารถรักษาความสะอาดได้อย่างไร้ที่ติ มีห้องพักให้เลือกทั้งแบบ Japanese-style room และ Western-style room จุดเด่นของเขาอยู่ที่ออนเซ็นจากบ่อน้ำพุ Samachi-no-yu เป็น alkaline hypotonic hot spring ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ ช่วยในเรื่องปวดข้อ กล้ามเนื้อ เส้นประสาท โรคผิวหนัง จนไปถึงการไหลเวียนของเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์

หลังจากที่ยืดเส้นสายคลายความเหนื่อยล้าเรียบร้อย ก็มาเติมหน้าท้องให้ตึงด้วยอาหารอันโอชะของโรงแรม โดยเขาจะมีคอร์สให้เลือก 3 แบบคือ Hot water tempura kaiseki cuisine, Shabu-shabu cuisine และ High Quality Kaiseki Meal โดยวัตถุดิบในการทำอาหารแต่ละช่วงจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับของที่เชฟหามาได้ ฉะนั้นรับประกันได้ว่าทุกชุดมีความสดใหม่ แถมมาซ้ำอีกทีก็อาจได้กินเมนูใหม่ ๆ แต่จะจานดูนิด ๆ หน่อย ๆ แต่อิ่มท้องยาวถึงเช้านะบอกเลย

Day 3

011 Obokekyo Mannaka 大歩危峡まんなか

เช้าวันนี้เราขอทำหน้าที่ไกด์ท้องถิ่นพาชมไฮไลต์ประจำเมืองที่ ‘Obokekyo Mannaka 大歩危峡まんなか’ ฟีลจุดบริการนักท่องเที่ยวที่มีครบทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านค้าขายของฝากของที่ระลึกแบบยูนีค รวมถึงเป็นจุดทำกิจกรรมกิจกรรมล่องเรือผ่านแม่น้ำโยชิโนะ ชมวิวธรรมชาติแสนอลังการที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว โดยเรือรอบแรกเริ่มตั้งแต่ 9:00 -17:00 น. ราคาอยู่ที่ 1,500 เยน/คน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

โดยช่องแคบที่เราล่องผ่านนี้เรียกว่าช่องเขาโอโบเกะ ขนาบข้างด้วยผาหินสูงชัน ซึ่งก่อตัวขึ้นสมัยอยู่ใต้ทะเลลึกเมื่อ 200 ล้าน – 100 ล้านปีก่อน เป็นอีกแหล่งธรณีวิทยาอันสำคัญให้เราเห็นการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก อุดมด้วยหินหายาก หากมาเห็นด้วยตาเนื้อเป็นใครก็ต้องว้าวกับความอลังการ หากโชคดีก็จะเจอสัตว์ป่าออกมาทักทายด้วย สำหรับสายแอดเวนเจอร์ ช่วงน้ำหลากที่นี่ยังเป็นจุดล่องแก่งยอดฮิตของคนญี่ปุ่นอีกด้วยนะ ลองมามันส์กันดู

012 Vine Bridge in the Iya Valley

พิกัดต่อมาเป็นจุดที่กลายเป็นภาพจำอันแสนตราตรึงของเรากับจังหวัดโทคุชิมะกับ ‘Vine Bridge in the Iya Valley’ สะพานเถาวัลย์แลนด์มาร์กประจำเมือง ซึ่งสะพานนี้แกว่งง่ายมากจึงถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในการเดินข้าม ย้อนไปเมื่อสมัย 840 กว่าปีก่อน เป็นช่วงที่ตระกูล Heike พ่ายแพ้ในสงคราม Genpei จึงลี้ภัยมาอยู่ในหุบเขา และเพื่อการสัญจรในชีวิตประจำวันจึงได้ใช้เถาวัลย์เส้นหนามาสร้างเป็นสะพาน โดยปัจจุบันมีการซ่อมแซมทุก ๆ 3 ปี และช่วงที่เรามาตรงกับการสำรวจจุดซ่อมแซมพอดีจึงไม่ได้เดินข้าม แต่ไม่เป็นไรข้าง ๆ ยังมี Biwa Waterfall น้ำตกขนาดเล็กที่มีความสูงชันข้าง ๆ ให้ให้ได้เชยชม เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว

013 Momiji-tei 

หลังจากที่นั่งเรือ เดินป่ากัน จนเริ่มหมดแรง ก็ได้เวลามาเติมพลังงานกันที่ ‘Momiji-tei’ ร้านขาย Iya Soba เส้นโซบะแบบทำมือภายในบ้านเก่าแก่อายุ 200 ปี เป็นบ้านหลังคามุงหญ้าสไตล์ Iya ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา มีต้นไม้ล้อมรอบ แม้ช่วงที่เรามาจะเป็นหน้าหนาว แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่าช่วงฤดูอื่น ๆ คงจะผลิใบออกดอกได้อย่างสวยงามแน่นอน ภายในบ้านนั้นอบอุ่นไปด้วยงานไม้สีเข้มแสนคลาสสิก เปิดไฟสลัว ๆ หากอยากได้แสงแดดอุ่น ๆ ก็สามารถไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างบานใหญ่ชมวิวเขาได้ถนัดตา บรรยากาศโดยรวมถือว่ามีความ Traditional อยู่มากทีเดียว

โดย Iya Soba นี้ถือเป็นของขึ้นชื่อในจังหวัดโทคุชิมะ มีมาตั้งแต่ยุคซามูไร โดดเด่นด้วยส่วนผสมที่ใช้แป้งบัควีต แป้งธรรมชาติสำหรับทำโซบะ 100% เท็กซ์เจอร์ของเส้นจึงมีความร่วน ขาดง่าย แต่กลิ่นโซบะจะหอมฟุ้งกระจายทุกคำที่กิน โดยที่นี่มีให้เลือกทั้งโซบะเย็นและร้อน แนะนำให้สั่งเป็นเซตที่มีเทมปุระมากินคู่ด้วย จะเป็นการจับคู่ที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุด พร้อมกับปลาย่างถ่านหอม ๆ นี่ก็ช่วยเสริมกลิ่น เสริมรสชาติกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ตบท้ายด้วยขนมและชาเป็นอันปิดจบมื้อไปอย่างเปรมปรีดิ์

014 Aizumicho Historical Museum

ด้วยความที่ผ้าย้อมครามถือสินค้าขึ้นชื่อของโทคุชิมะมานานหลายร้อยปี พิกัดนี้เราจึงขอพาทุกคนมาชมต้นกำเนิดหัตถกรรมอันเลื่องชื่อภายใน ‘Aizumicho Historical Museum พิพิธภัณฑ์ที่เมื่อก่อนเคยเป็นคฤหาสน์ของตระกูล Okumura พ่อค้าสีครามลายใหญ่ในสมัยเอโดะที่ยังคงสภาพไว้อย่างดี แบ่งสัดส่วนจัดแสดงประวัติ โซนบอกเล่าถึงขั้นตอนการทำและภูมิปัญญาอันชาญฉลาด จนไปถึงรูปแบบสินค้าที่วางขายเมื่อครั้งโบราณ ความน่าอัศจรรย์คืองานศิลป์ชนิดนี้ยังเป็นที่นิยมจวบจนปัจจุบัน ซึ่งลวดลายและรูปแบบสินค้าจะมีความแตกต่างจากงานผ้าครามของไทยอยู่มาก ใครชื่นชอบงานคราฟต์บอกเลยว่าต้องจดลงแพลน

และสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มาเยือนที่นี่ก็คือการเวิร์กช็อปย้อมผ้าครามกลับบ้านสักผืน โดยเขาจะมีลายให้เราเลือกว่าชอบแบบไหน จากนั้นจะสอนการมัดผ้า เตรียมส่วมผสมของสีที่ต้องย้อม จากนั้นนำไปแช่ตามระยะเวลาที่กำหนด มันสนุกตรงที่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะได้ลายที่จินตนาการไว้มั้ย จะสวยพอเป็นของฝากให้คนสำคัญหรือเปล่า ใครอยากรู้ก็ต้องมาลองเอง

015 Omatsu Daigongen

สถานที่ที่ทำให้เราเชื่อว่าแมวจะครองโลก ‘Omatsu Daigongen’ ศาลเจ้าแมวกวักที่มีประวัติเรื่องราวสืบต่อกันมายาวนานกว่า 340 ปีที่แล้ว เกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกปัญหารุมเร้าจากการตายของสามี ถูกเจ้าหนี้และผู้พิพากษากลั่นแกล้งจนถูกโทษประหารชีวิต มีเพียงแมวที่นางเลี้ยงไว้ช่วยอุ้มชูจิตใจ หลังจากที่นางเสียชีวิตมีเรื่องเล่าว่า แมวตัวนี้ก็ตายตามไปด้วยกลายเป็น monster cat ไปปรากฏตัวขึ้นในบ้านเจ้าหนี้และผู้พิพากษา สร้างภัยพิบัติให้แก่สองครอบครัวนี้จนสูญสิ้น หลังจากนั้นชาวบ้านจึงได้สร้างศาลเจ้าเพื่อเป็นเกียรติต่อหญิงสาวและสหายนั่นเอง ถือเป็นเรื่องเล่าที่ทัชใจสำหรับทาสแมว ที่ไม่ว่ายุคไหนความสัมพันธ์ของคนและแมวก็ยังคงเป็นสิ่งสวยงามเสมอ

ความใจฟูของเขาไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องราวเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีรูปปั้นแมวกวักนับ 10,000 ตัว นั่งตั้งหน้าตั้งตาต้อนรับเราอยู่ ไม่ว่าจะขนาดเล็กขนาดใหญ่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบสไตล์ญี่ปุ่นโดยน้อน ๆ แมวเหล่านี้เป็นการซื้อมาไหว้ถวายสำหรับการขอพรเรื่องการสอบ โดยข้าง ๆ จะมีร้านขายเครื่องรางอยู่ พร้อมกับเจ้าหน้าที่เป็นแมวอ้วนสองสี คอยให้บริการ หน้าที่ของแมวตัวนี้คือการเลือกเครื่องรางให้ผู้คนที่เดินเข้ามา เมื่อแมวเหยียบไปที่ชิ้นไหนก็ถือว่าอันนั้นเป็นเครื่องรางที่เหมาะกับเรา ถือเป็นกิมมิกเล็ก ๆ ที่น่ารักไม่เบาเลย

016 CAFE and BAR NuuN

มื้อเย็นวันนี้เรามาฝากท้องกันที่ ‘CAFE and BAR NuuN’ ภายในอาคารที่ดูเรียบง่ายนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความมีชีวิตชีวา โครงสร้างของร้านนั้นจะมีความดิบเท่แบบลอฟต์ ตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ฉาบไฟส้มทำให้ดูนุ่มนวลขึ้น มีการจัดวางโต๊ะที่เหมาะกับคนทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ เฟรนด์ลี่กับเด็ก ๆ ด้วยการจัด Child Space มีกิจกรรมและผู้ดูแลเด็กเพื่อให้ผู้ปกครองสามารถพักผ่อน และหากมีปัญหาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกก็มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำด้วย ใครที่มาเที่ยวกับลูก ๆ แล้วอยากกินข้าวอย่างสบายอารมณ์ก็ขอเรียนเชิญร้านนี้เลย

อาหารของร้านจะเป็นแบบฟิวชั่นทั้งสลัด พาสต้า ริซอตโต อูด้ง พิซซ่า สเต๊ก ทาโก้ แกงกะหรี่ ฯลฯ ครบครันไปด้วยเครื่องดื่มทุกแขนง ขนมหลายรูปแบบ ซึ่งวัตถุดิบหลักแต่ละจานนั้นจะใช้ของท้องถิ่น ทำให้มีความสด คุณภาพดี เนื้อวัวยังมีกลิ่นและรสชาติของวัวอย่างถูกต้อง เนื้อไก่มีความเด้งจุยซ์ น้ำไก่แทรกซึมทุกการบดเคี้ยว เป็นรสธรรมชาติที่แทบจะไม่ต้องปรุงแต่งเลย

017 Hotel Route Inn Anan

จากที่นอนเรียวกังก็ย้ายมาพักผ่อนแบบยุคใหม่กันบ้างที่ ‘Hotel Route Inn Anan’ พูดให้เข้าใจง่ายคือเป็น Business Hotel ที่ต้องตั้งบนโลเคชันปัง ๆ เดินทางง่ายใกล้กับ JR Shikoku Mugi Line Anan Station มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ การออกแบบดูค่อนข้างโมเดิร์น สะอาดสะอ้านทำให้เรารู้สึกคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว ห้องนอนขนาดกะทัดรัด แถมยังมีห้องแช่ออนเซ็นให้ พร้อมอาหารเช้ารสชาติดีเยี่ยม เป็นแบบบุฟเฟต์ใส่จานหลุมสไตล์ญี่ปุ่น ใครยังไม่เคยกินแนะนำให้เลือกชิมทีละชิ้น เพราะรสชาติแต่ละอย่างค่อนข้างเข้มข้นเหมาะกินคู่กับข้าวสวย

Day 4

018 DMV (Dual Mode Vehicle)

ประสบการณ์แบบใหม่แบบสับที่เราจะได้นั่งรถบัสและรถไฟไปพร้อม ๆ กันในคันเดียวกับ ‘DMV (Dual Mode Vehicle)’ ถือเป็นนวัตกรรมที่ญี่ปุ่นก้าวล้ำไปอีกขั้น สมมงหัวกะทิด้านเทคโนโลยี ด้วยยานพาหนะ 2 ระบบ ณ เวลานี้มีเส้นทางการวิ่งไปตามริมทะเลความยาวราว ๆ 15 กิโลเมตร จากโทคุชิมะไปยังโคชิ โดย 5 กิโลเมตรแรกจะเป็นการวิ่งบนท้องถนน และ 10 กิโลต่อมาจะขึ้นไปอยู่บนรางรถไฟ และในช่วงวันหยุดจะมีเส้นทางวิ่งพิเศษไปถึงจังหวัดโคจิ ระยะทางรวม 50 กิโลเมตรเลยทีเดียว เอาจริง ๆ ใครเป็นแฟนคลับการเที่ยวญี่ปุ่นอยากเห็นอะไรใหม่ ๆ ต้องรีบตามมาลองนั่งดู

019 Takesand

เรื่องเที่ยวไม่ขาด เรื่องกินเราก็ไม่พร่องเช่นกัน พิกัดเที่ยงนี้เรามาฝากท้องที่ ‘Takesand’ ร้านอาหารริมเลแสนชิล หากมาในวันที่ฟ้าสดใสจะมีไวบ์ความเป็นเป็นแคลิฟอร์เนียอยู่หน่อย ๆ กับรถตู้ทรงคลาสสิก เพียงเดินเข้าไปใกล้ก็จะได้กลิ่นอาหารหอมโชยจากครัวที่เปิดโล่ง เราสามารถเลือกนั่งภายในร้านที่เป็นบ้านไม้ดูอบอุ่น หรือจะเลือกนั่งบริเวณระเบียงหรือชั้นดาดฟ้าเพื่อเทควิวพร้อมลมทะเลหอม ๆ ก็ย่อมได้ 

เมนูเด่นของเขาจะเป็นเบอร์เกอร์ ที่มีการนำวัตถุดิบพื้นเมืองมาทำเป็นไส้ต่าง ๆ ตั้งแต่เนื้อ ชีส เบสิก ๆ จนไปถึงเบอร์เกอร์ที่มีไส้ถึง 5 ชั้น ซิกเนเจอร์อยู่ตรงขนมปังที่ทางร้านสั่งทำจากเชฟเบเกอรีท้องถิ่น เหมือนใช้แป้งโฮลวีตแต่มีความหอมนุ่มละมุนกินกับเนื้อ พร้อมจิบเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์ของทางร้าน แล้วเข้ากันจนหยุดกินไม่ได้เลยทีเดียว

020 Awaodori Kaikan

จากนั้นเรายิงยาวมายังตัวเมืองโทคุชิมะ เพื่อให้ถ้าถึงวัฒนธรรมของพื้นที่ได้ง่ายขึ้น เราเลือกมากที่ ‘Awaodori Kaikan’ เป็นจุดแรก อาคารกระจกขนาดใหญ่ที่มีแบคกราวน์ภูเขา Bizan ซึ่งภายในเป็นทั้งสถานีสำหรับขึ้นกระเช้าลอยฟ้าไปชมวิวบนภูเขาลูกนี้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งหาซือของฝากที่รวมของเด็ดประจำท้องถิ่นเอาให้เราเก็บตกจากที่ก่อน ๆ ด้วย รวมถีงเป็นฮอล์จัดการแสดงระบำ Awa Odori มรดกทางวัฒนธรรมอันโดดเด่นของโทคุชิมะที่เราตั้งใจมาชมในวันนี้

การร่ายรำแบบ Awa Odori การร่ายรำที่ได้ขึ้นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมในฮอลล์ชั้นบน หรือ Awa Odori ที่ต่างชาติเรียกว่ามหกรรม Summer Dance in Japan สืบทอดมานานกว่า 400 ปี โดยงานนี้จะจัดขึ้นช่วงกลางเดือนสิงหาคม เรียกผู้คนจากทั่วโลกมาชมได้ถึง 1.3 ล้านคน/ปี หากใครไม่ได้มาร่วมงาน เราแนะนำให้มาดูที่นี่เลย เพราะเขาจัดแสดงประวัติมีภาพในอดีต รูปปั้นจำลองขบวนแห่ เห็นความแตกต่างของชุดชายหญิง  เครื่องดนตรีโบราณที่ใช้ พร้อมทั้งชมการแสดงบนเวทีอย่างสนุกสนาน หลังจากโชว์เสร็จเขาก็จะสอนท่าเต้นเบสิกให้เราร่วมจอยด้วย เอาจริง ๆ พอเราได้มีส่วนร่วมกับการแสดงแบบนี้แล้วมันฟีลกู้ดมาก

021 Harubo はる坊

ทุกคนนนนนนนน!!!! นี่คือ ‘Harubo はる坊’ ร้านอาหารสไตล์อิซากายะที่ได้รับการโหวตจากคนท้องถิ่น ให้เป็นนัมเบอร์วันเรื่องความสดและรสชาติที่อร่อยเหาะ บรรยากาศร้านนั้นเป็นร้านสำหรับกินดื่มยามเย็นแบบ 100 % มีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์พูดคุยกับพ่อครัว และที่นั่งพื้นสไตล์ญี่ปุ่น ในทุกวันเขาจะรวบรวมวัตถุดิบพื้นเมืองชั้นดีเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ไก่อาวะโอโดริที่มีความเหนียวนุ่มจุยซ์ทุกมิติ ของทะเลสดระดับเพิ่งตกจากทะเล เนื้อแทรกมันแสนละมุนที่สามารถกินแบบเกือบแรร์ได้เลย เป็นร้านที่เราสัญญากับตัวเองไว้ว่าหากมีโอกาสมาโทคุชิมะอีกครั้ง จะต้องกลับมาซ้ำอีกสักรอบให้ได้

022 Tokushima Ramen Menoh Tokushima Ekimae Main Store

ยังไม่สาแก่ใจ จบจากอิซากายะเรามาต่อกันที่ร้านราเมงก่อนแยกย้ายกลับที่พัก ราเมงประจำเมืองที่เราหารีเสิร์ชมานั่นมีชื่อว่า ‘Tokushima Ramen Menoh Tokushima Ekimae Main Store’ อยู่ใกล้กับสถานี JR Tokushima เหมาะสมสำหรับคนชอบกินซุปโชยุที่เคี่ยวกระดูกหมูจนมีมันใส ๆ ลอยอยู่เหนือน้ำ รสเค็มหวานเข้มข้นกินพร้อมกับราเมงเส้นเล็กได้อย่างคล่องคอ เพิ่มความนัวอีกหน่อยด้วยการตอกไข่ดิบลงไป เป็นกิมมิกสำคัญของราเมงสไตล์โทคุชิมะเลย ให้ฟีลเหมือนกินสุกี้ยากี้ พอกินเส้นหมดก็สามารถสั่งข้าวมาคลุกกินต่อได้จนหมดชามได้อีกกกกก

023 JR Hotel Clement Tokushima

คืนสุดท้ายเราเลือกนอนโรงแรมที่อยู่ใกล้กับ สถานี JR Tokushima เป็นโรงแรมสไตล์ business hotel ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจ เดินทางสะดวก มีวิวภูเขา Bizan เป็นพระเอก ที่น่าเซอร์ไพรส์คือขนาดห้องค่อนข้างกว้าง สามารถแผ่กระเป๋าใหญ่ได้สบาย ๆ มีผ้าเช็ดตัว เครื่องอาบน้ำ ไดร์เป่าผมให้ครบ ราคาใช้ดีงามใครหาที่พักในเมืองเราแนะนำที่นี่เลย

Day 5

024 Monzen Ichiban & Ryozen-ji Temple

เช้าวันสุดท้ายขอเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยการโคฟเป็นนักแสวงบุญญี่ปุ่นที่ ‘Monzen Ichiban & Ryozen-ji Temple’ เคยเห็นแต่ในอนิเมะกับภาพพระใส่หมวกสานทรงสามเหลี่ยมเดินธุดงค์ในหุบเขา วันนี้เราจะได้รู้เรื่องราว ประวัติ และการเตรียมตัวของพวกท่านกันแล้ว โดยร้านนี้มองเผิน ๆ อาจจะเหมือนร้านขายของฝาก แต่ถ้ามองสินค้าที่วางขายนั้นดูน่าสนใจกว่าร้านไหน ๆ กับบรรดาเครื่องแต่งกายของพระ ให้เราเช่ามาแต่งพร้อมเดินถ่ายรูปบริเวณโดยรอบที่เป็นอาคารบ้านเรือนโบราณ

ร้านนี้จะตั้งอยู่ด้านหน้าวัด Ryozen-ji Temple เป็นวัดแรกของเส้นทางแสวงบุญบนเกาะแห่งนี้ เรียกว่าเส้นทางจาริกแสวงบุญชิโกกุ ที่มีมานานกว่า 337 ปีแล้ว เป็นระยะทางยาวถึง 1,400 กิโลเมตร เดินสู่วัดทั้ง 88 แห่งของภูมิภาค โดยภายในวัดค่อนข้างสงบ มีการแบ่งสัดส่วนได้อย่างน่าสนใจ มีความเป็นธรรมชาติสูงมากทั้งบ่อปลาคาร์ปขนาดใหญ่ สวนญี่ปุ่นอันงดงามพร้อมน้ำฟุเล็ก ๆ มีซุ้มประตูไม้โบราณเปี่ยมมนต์ขลังยืนรอต้อนรับ ส่วนด้านในตัวอาคารประดับไปด้วยโคมไฟจำนวนมาก พร้อมภาพวาดมังกรอยู่ด้านบน 

025 Road Station Kurukurunaruto

อีกความอร่อยแห่งนารุโตะที่พลาดแล้วจะต้องเสียใจ ‘Road Station Kurukurunaruto’ จุดพักรถที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคชิโกกุ ซึ่งอยู่ระหว่างทางที่เราจะไปสนามบิน ที่นี่ทำหน้าที่เป็นแหล่งรวมสินค้าจากเมืองต่าง ๆ  ส่วนที่เป็นไฮไลต์เลยคือเหล่าผลิตภัณฑ์จากมันม่วงชื่อว่า นารุโตะคินโตคิ รู้เลยว่าเด็ดเพราะมีรูปปั้นมันม่วงวางเด่นอยู่ด้านหน้า แถมเชลฟ์ที่เห็นชัดที่สุดยังมีแต่มันม่วง นั่นเป็นเพราะดินปลูกมันของที่นี่มีเกลือทะเลผสม ทำให้มีรสชาติที่แตกต่าง เป็นมันพรีเมียมที่คนญี่ปุ่นต่างเลื่องลือถึงความอร่อยเป็นเอกลักษณ์นั่นเอง 

นอกจากของฝากที่เราเดินชิมแล้วชิมอีก ซื้อจนซิปกระเป๋าเดินทางแทบปริ ภายในยังมีร้าน ‘Ouzushokudo’ ที่พร้อมเสิร์ฟข้าวด้งหน้าต่าง ๆ เน้นของทะเลที่สดเกินต้าน ให้ปริมาณล้นจานจนน่าตกใจ เมนูซิกเนเจอร์คือ くるくる大渦 海鮮絶景丼  ข้าวด้ง 3 ชั้น เอ็นเตอร์เทนสุดมันส์ด้วยการตีกลองตอนเสิร์ฟ สร้างความฮึกเหิมให้แก่การกิน พอเอาเข้าปากปุ๊บ ฟีลลิงเหมือนโดนคลื่นซัดอยู่ในปาก ทั้งความหวานจากปลา กุ้ง หมึก มันชุ่มฉ่ำไปหมด ยิ่งกินกับข้าวหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ช่วยตัดเลี่ยนกันได้อย่างดี 

ท้ายสุดของทริปขอลาไปกับความสดชื่นด้วยซอฟต์เสิร์ฟที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างน่ารัก กับรสชาติที่แสนเลอค่าจากร้าน ‘ナルトエエモン Check out ナルトエエモン’ ซึ่งตั้งอยู่ภายในศูนย์ขายของฝากเช่นเดียวกัน ที่เห็นนี้คือ 3 เมนูซิกเนเจอร์ ‘生絞りすだちソフト’ ส้มซึดาจิ ฝานเป็นแผ่นบางที่มีเพียง 10 เสิร์ฟต่อวัน ที่เน้นความเปรี้ยวเข้ากับนมรสหวานกลมกล่อม สร้างความสดชื่นเต็มตื่นขั้นสุด, ‘阿波和三盆糖蜜 ミルクソフト’  ซอฟต์เสิร์ฟโรยด้วยผงน้ำตาล wasabon ที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ รสชาติออกหวานละมุน และ ‘鳴門金時うずまきソフト’ ไอศกรีมที่ถูกคลุมด้วยเส้นมันหวานแสนนัว อันนี้เด็ดจนขอกินแบบไม่แบ่งใครเลย

ตลอดช่วงเวลาที่เราได้เที่ยวในจังหวัดโทคุชิมะนี้ มีหลายอย่างที่เป็นความแปลกใหม่สำหรับเรามาก ๆ ทั้งเรื่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ วัดที่มีสตอรี่ยาวนาน เทศกาลระดับชาติอันยิ่งใหญ่ ย่านเมืองเก่าแสนสงบ ความอุดมสมบูรณ์ด้านการเพาะปลูก และการประมง ครบทั้งวิวเขาวิวทะเล เรียกว่าเป็นเกาะแห่งสวรรค์ ใครอยากมาเปิดรูทก่อนเพื่อน อยากมีเรื่องเล่าญี่ปุ่นแบบไม่เหมือนใคร ก็รีบตีตั๋วตามมาเที่ยวกันได้เลย

สำหรับรีวิวนี้ต้องขอกล่าวคำปิดท้ายว่า… ยินดีที่ได้รู้จักนะ Tokushima 徳島県 (: