เปิดบทนำความน่ารักของฤดูหนาวปีนี้กันที่ Hakkaido กับ 14 พิกัดชวนใจฟูจาก Asahikawa, Biei และ Furano 3 เมืองที่ควรค่าแก่การหยิบเอาท์ฟิตกันหนาวมามิกมิกซ์แอนด์แมทช์ แล้วออกไปแอคท่าท่ามกลางหิมะขาวโพลนแสนนุ่มนิ่มที่สุด
สำหรับแพลนขับรถเที่ยวครั้งนี้ … เราเริ่มต้นกันที่ ‘อาซาฮิคาวะ’ เมืองที่เต็มไปด้วยความเจริญรอบด้าน ธรรมชาติรอบทิศ เพียบพร้อมไปด้วยนานากิจกรรมที่มีให้เลือกทำแบบฟิน ๆ ไม่ว่าย่ำราตรีไปกับแสงสีของเมือง เซลฟี่แบบคาวาอีกับเพนกวินตัวกลมน่ากอด ก่อนพาร่างขึ้นไปปะทะความหนาวเย็นบนเนินเขาเมือง ‘บิเอะ’ ถ่ายรูปเช็กอินกับเหล่าเซเลปต้นไม้สุดมินิมอล แล้วเลาะเข้าสู่ ‘ฟุระโนะ’ ทักทายน้องฮัสกี้หมาลากเลื่อนอย่างใกล้ชิด ปิดท้ายทริปด้วยหมู่บ้านที่สวยงามประหนึ่งเทพนิยาย แน่นอนว่าทุกโลเคชันต่อจากนี้ จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนุ่มฟูชวนฝัน ที่คนรักญี่ปุ่นควรค่าแก่การมาตามรอยให้ได้สักครั้งจริง ๆ






Asahikawa (อาซาฮิคาวะ)
เมืองใหญ่สุดคิวต์อันดับสองรองจากซัปโปโรแห่งภูมิภาคฮอกไกโด ด้วยภูมิประเทศของเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านมากกว่า 100 สาย ตั้งใกล้กับเทือกเขาไดเซ็ทสึซังจึงโดดเด่นเรื่องการควบรวมความเจริญของเมืองใหญ่และธรรชาติเข้ากันได้อย่างกลมกลืน พร้อมทั้งยังมีวัฒนธรรม งานศิลปะอันเฟื่องฟูเป็นเอกลักษณ์มาช้านาน ยิ่งได้มาหน้าหนาวก็ยิ่งทำให้มนุษย์เมืองร้อนอย่างเราตื่นเต้นขึ้นอีกสิบเท่า กับภาพเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาเตอะ ฉาบทุกส่ิงให้ดูนุ่มฟูเหมือนบ้านขนม นอกจากเที่ยวถ่ายรูปแล้วเขายังมีกิจกรรมให้เลือกทำทั้งสกีและสโนว์บอร์ด แถมมีงานเทศกาลหิมะที่จัดได้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ซัปโปโรเลยทีเดียว

01 Asahiyama Zoo
เริ่มทำความรู้จักเมืองนี้กันด้วยการเข้าไปเซลฟี่กับเหล่าสัตว์ตัวน้อยเอเนอร์จีชวนยิ้มใน ‘Asahiyama Zoo’ สวนสัตว์เก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 57 ปี เต็มไปด้วยสัตว์มากกว่า 700 ชนิด 124 สปีชีส์ แต่ที่โดดเด่นสุด ๆ คือสัตว์เมืองหนาวที่ถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมล้อไปกับถิ่นที่อยู่จริง ๆ ของสัตว์แต่ละชนิดได้อย่างดี เราจึงได้เห็นพฤติกรรมของน้อง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังเป็นสวนสัตว์แห่งแรกของประเทศที่เพาะพันธุ์หมีขั้วโลก เสือดาวอามูร์ และนกเค้าแมวด้วยวิธีธรรมชาติได้สำเร็จอีกด้วย เรียกว่าเป็นยอดพีระมิดเดสติเนชั่นสำหรับคนรักสัตว์เลย






หากพูดถึงไฮไลต์ขอเชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจว่าเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นโซนหมีขาวให้เราตามติดชีวิตน้องได้ทั้งบนบกและในน้ำ โดมหมาป่าที่อยู่เป็นฝูงอย่างน่าเกรงขาม ส่วนตัวเอกของที่นี่ต้องยกให้ พาเหรดเพนกวิน นกตัวกลมนุ่มเด้งสีขาวตัดดำเรียงแถวเดินผ่านเราไปแบบใกล้ชิดระยะทางราว ๆ 500 เมตร ให้เราเห็นความดุ๊กดิ๊ก เดินบ้างล้มบ้างพาใจบางน่าอุ้มมากอด โดยโชว์นี้จะมีเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น เพื่อสภาพแวดล้อมภายนอกจะได้เหมือนกับธรรมชาติที่น้องอยู่มากที่สุด สามารถแวะมาชมได้ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม – กลางเดือนมีนาคม เวลา 11:00 และ 14:30 น. (ในเดือนมีนาคมจะเหลือแค่ช่วงเช้าเท่านั้น)







02 Lampstand coffee
ร้านกาแฟและที่พักคอนเซปต์ปังที่แอบแฝงตัวอยู่ในโกดังอิฐแดงหลังเก่าอายุ 115 ปี ซึ่งตรงกับช่วงราว ๆ สงครามโลกครั้งที่สอง ภายนอกยังคงโครงสร้างเดิมไว้อย่างสง่างามคงทน ส่วนภายในถูกปรับอารมณ์ให้มีความโคซี่ลอฟต์ เพดานสูงเปิดโล่งเห็นผังท่อแอร์พาดผ่านกันอย่างเป็นระบบ ผนังถูกฉาบทับด้วยสีขาวที่ยิ่งทำให้โถงดูกว้างสบายตา ตัดด้วยลางไฟสีดำเพิ่มความเท่ แต่งแต้มความอ่อนช้อยน่าทะนุถนอมกับงานไม้-งานหนังได้อย่างลงตัว แถมเขายังปรับอุณหภูมิร้านให้อุ่นคอนทราสต์กับอากาศเย็นยะเยือกด้านนอก เป็นการสร้าง First Impression ได้ดีเยี่ยมตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในร้านจริง ๆ





เมนูของเขามีทั้งเครื่องดื่ม ไอศกรีม ของคาวจำพวกฮอตด็อก แซนด์วิช เบเกิล เค้ก ขนมอบสูตรเฉพาะของร้าน เมื่อทุกกลิ่นผสมกันกลายเป็นความหอมอบอวลชวนฝันฟุ้งไปทั่ว เราลองสั่ง Hot Americano ที่เขามีทั้งเฮาส์เบลนด์และสเปเชียลเบลนด์ กินกับชีสเค้กที่มีความนัวหนึบเข้มข้น มาช่วยเติมพลังงานสร้างความรุ่มร้อนในกายได้เต็มแมกซ์ ยิ่งใครมาเที่ยวแบบ unplan ยิ่งควรยัดร้านนี้มาไว้ในลิสต์เพราะเขาเปิดตั้งแต่ 9:00 – 22:00 น. (วันอาทิตย์ 9:00 – 17:30 น.) เปิดรอให้เรามาหม่ำตั้งแต่เช้าจรดค่ำเลย



03 Asahikawa Ramen Village
แน่นอนว่ามาถึงฮอกไกโด เกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องราเม็ง เราก็ต้องมาตามล่าหาเมนูเส้นให้สมมงนักชิมสักหน่อยที่ ‘Asahikawa Ramen Village’ หมู่บ้านราเม็งก่อตั้งมาร่วม 28 ปี ที่ปัจจุบันมีให้เลือกถึง 7 ร้านดัง คอยจัดเสิร์ฟราเม็งสไตล์อาซาฮิคาวะ บางร้านมีประวัติยาวนานเกือบ 80 ปี บางร้านเคี่ยวน้ำสต็อกนานกว่า 2 วัน บ้างใช้เส้นราเม็งแบบหยิกให้มิติการอุ้มซุปที่แตกต่าง ซึ่งรับรองว่าเข้าร้านไหนก็ไม่ผิดหวัง ออ … และนอกจากอาหารแล้ว เขายังมีศาลเจ้าราเม็งให้กราบไหว้บูชาด้วย แต่ไม่ได้บูชาเรื่องกินนะ เขามีสตอรีให้คนมาขอพรเรื่องความรักจ้า ฟีลลิงรักยืนยาวเหมือนเส้นราเม็ง ถือเป็นกิมมิกที่น่ารักน่าหยิกจริง ๆ




Biei ( บิเอะ )
ลัดเลาะมากันต่อที่ ‘บิเอะ’ หนึ่งในเมืองตากอากาศตัวท็อปในช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่น ถึงแม้เมืองจะมีขนาดเล็ก แต่ธรรมชาติที่รายล้อมนั้นเรียกว่ายิ่งใหญ่และเปี่ยมคุณภาพเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทุ่งดอกไม้งดงามยามใบไม้ผลิ สระน้ำสีฟ้าระยับตาในหน้าร้อน ภาพเนินเขาที่ปรับเปลี่ยนสีไปตามช่วงเวลา ป่าเมืองหนาวอันที่เราไม่คุ้นชิน ถือเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของคนที่ชอบเที่ยวในบรรยากาศสุขสงบ ไม่มีเสียงรถรกหู ตึกสูงให้รุงรังสายตา ปล่อยใจช้า ๆ ชิล ๆ พักผ่อนแบบไม่เร่งไม่รีบ


แน่นอนว่าหากมาในช่วงหน้าหนาวที่หิมะขาวโพลนปกคลุมทุกอณู นอกจากพิกัดเช็กอินฮิต ๆ แล้ว เราขอให้เพื่อน ๆ เผื่อเวลาสำหรับการเดินเล่นทอดน่องชมเมือง เพื่อเป็นการเปิดบทนำความน่ารักของบิเอะสักหน่อย เพราะแค่เดินผ่านซอยแรกก็ชวนให้เราตกหลุมรักในบรรยากาศ ก้าวต่อมาก็เริ่มกรี๊ดให้กับบ้านหลังเตี้ยทรงจั่วที่กำลังถูกหิมะทับถมจนเป็นทรงกลมมน ฟูฟ่องเหมือนขนมสายไหม ทางเดินถูกปูพรมไปด้วยสีขาว ย่ำเท้าทีก็มีเสียงกรุบ กรุบ ให้ฟังเพลิน ๆ พร้อมวิวไกลโพ้นที่เป็นเทือกเขาหิมะใหญ่มหึมายืนตระหง่านเป็น background กวาดตาไปตรงไหนมันก็ดูน่ารักน่าหยิก น่ากระโดดลงไปนอนสร้างรอยประทับบนพื้นหิมะไปซะหมด





04 Tree of Ken and Mary ( ケンとメリーの木 )
ด้วยความที่วิวอันโด่งดังของมิเอะส่วนใหญ่จะเป็นภาพต้นไม้สุดมินิมอล ซึ่งมีอยู่หลายจุด หลายฟอร์ม กระจายอยู่บนเนินเขาทั่วเมือง แน่นอนคนคูลอย่างเราเลยขอเปิดพิกัดแรกด้วยการร่วมเฟรมกับ ‘Tree of Ken and Mary’ ต้นป็อปลาร์ที่ยืนโดดเดี่ยวกลางเนินเขา ด้วยขนาดนั้นบ่งบอกถึงอายุที่ยืนต้นเรียกแขกมานานกว่า 90 ปี ช่วงที่มีหิมะก็จะได้ภาพ Lanscape ดูเหงา ๆ เหมาะทำมิวสิก แต่ถ้ามาช่วงต้นไม้ฟูเขียวก็จะได้ภาพที่มีดอกไม้ตามฤดูกาลขึ้นแซมดูมีชีวิตชีวา ส่วนชื่อเรียกนั้นตั้งตามตัวละครสองตัวที่ปรากฏในโฆษณาของรถนิสสัน ที่เลือกใช้โลเคชันนี้ถ่ายทำเมื่อ 52 ปีก่อนนั่นเอง


05 Mild Seven Hill ( マイルドセブンの丘 )
หากอยากได้เฟรมที่กว้างกว่าแนะนำให้ให้ขับรถมาอีกหน่อย ก็จะพบกับ ‘Mild Seven Hill’ เป็นชื่อที่มาจากการถ่ายโฆษณา Seven Star Cigarettes ราว 48 ปีที่แล้วเช่นกัน โดยเนินเขาขาว ๆ ที่เห็นนี้ คือทุ่งข้าวสาลีที่ทำมุมตรงกับทิศตะวันออกพอดี กลายเป็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นสุดมินิมอลที่ควรค่าแก่การมาเช็คอิน แกดูแสงอาทิตย์ที่ทอประกายเล่นเงาอยู่บนพื้นหิมะอันเนียนนุ่มนั้นสิ เป็นความเวิ้งว้างที่ดูโรแมนติกชอบกล เหมาะเป็นจุดแวะบนเส้นทางโร้ดทริปที่ขับดื่มด่ำบรรยากาศกับคนสำคัญสุด ๆ


มุมเด็ดมุมปังประจำเนินเขานี้ขอยกให้ต้นสนที่ยื่นเกาะกลุ่มกันเป็นกระจุกท่ามกลางลานโล่งกว้าง เห็นเพียงเนินหิมะตัดกับขอบฟ้าอันสดใส มีกลุ่มต้นไม้เมืองหนาวฟอร์มสวยยืนเด่นอยู่กึ่งกลางไร้ซึ่งแมกไม้อื่นขึ้นปะปน เป็นวิวเรียบง่ายที่น่ามอง แค่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายแบบไม่ต้องเล็งหามุมอะไรก็ได้ภาพสวยพร้อมระเบิดโซเชียลกันแล้ว แต่ขอบอกก่อนว่าตรงนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ฉะนั้นให้เราชมอยู่รอบ ๆ ตรงนอกรั้วที่เขากั้นไว้นะฮะ

06 Christmas Tree ( クリスマスツリーの木 )
พรีเซนต์นักแสดงคนอื่น ๆ ไปเรียบร้อย มาถึงคิวพระเอกของเหล่าเซเลปต้นไม้อย่าง ‘Christmas Tree’ ต้นสปรูซเยอรมัน หนึ่งในตระกูลต้นสนรูปทรงกรวยที่กิ่งก้านด้านบนยังมีรูปทรงเหมือนดาวประดับ มองภาพโดยรวมแล้วกลายเป็น shape ของต้นคริสมาสต์ในอุดมคติ จึงเป็นที่มาของชื่อด้วยนั่นเอง ลักษณะเด่นของต้นสนชนิดนี้อยู่ที่โคนต้นเขาจะยกสูงกว่าต้นสนปกติ ทำให้แม้หิมะจะขึ้นหนาขนาดไหนก็ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ ไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นบรรดานักท่องเที่ยวมายืนรุมถ่ายรูปอย่างหนาตาในทุก ๆ วัน ตลอดช่วงฤดูหนาวของเมืองบิเอะ




อ่ะ.. ขอแถมอีกหน่อย นอกจากมาช่วงกลางวันที่ฟ้าเปิด แสงแดดขับความขาวออร่าของหิมะแล้ว จะบอกว่าช่วงเย็นก็ยังคงงดงามชวนฝันไม่แพ้กัน กับการไล่เฉดสีของฟ้าฤดูหนาวที่จะเป็นสีทองประกายมีความละมุนเป็นพิเศษเหมือนใส่ฟิลเตอร์ ทำให้บรรยากาศดูหวานขึ้นหลายร้อยเท่า ใครพาแฟนมา บอกเลยว่าได้โมเมนต์สวีต ๆ กลับไปเป็นที่ระลึกแน่นอน


07 Seven Star Tree ( 七星之樹 )
สุดท้ายกับโพสต์นี้ขอไปจบที่ต้นไม้คู่บุญของเมืองที่ฉายแววเป็นดารามาตั้งแต่ 48 ปีก่อน ‘Seven Star Tree ( 七星之樹 )’ ที่ได้เป็นพรีเซนเตอร์หน้าซอง Seven Star ความพิเศษอยู่ที่ชนิดของเขาเป็นต้นโอ๊กที่จะมีสีสันผันเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ในช่วงที่อากาศอบอุ่นเราจะได้ชมดอกโอ๊กสีขาวตัดกับท้องฟ้าสีครามและทุ่งหญ้าสีเขียว ส่วนหน้าหนาวแบบที่เรามาก็จะเห็นเพียงกิ่งก้านสีน้ำตาลเข้มโดดเด่นอยู่กลางพื้นหิมะขาวบริสุทธิ์ เป็นเฟรมน่ารักที่เราใช้เวลานั่งมองอยู่นานกว่าจะมูฟออนสู่สปอตต่อไปได้




นอกจากนี้ในบริเวณเดียวกัน เราก็จะสะดุดตากับกลุ่มต้นไม้ที่ยืนเรียงหน้ากระดานกันอย่างเป็นระเบียบ ถูกตั้งชื่อว่า ‘白樺並木’ ต้นเบิร์ชที่มีลำต้นเป็นสีขาว พันธุ์ไม้ที่ทุกคนจะต้องเห็นตามหนังสือเทพนิยาย หรือซีรีส์เกี่ยวกับเวทมนตร์ เพราะเป็นไม้ที่ใช้ทำไม้กวาดของเหล่าแม่มด เชื่อกันว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ช่วยชำระล้างปกป้องความบริสุทธิ์ ในด้านวิทยาศาสตร์เปลือกของเขายังปรุงเป็นยาได้ด้วย เมื่อเทียบกับตัวคนแล้วถือว่าสูงใหญ่มาก พอตั้งเรียงกันบนเนินเขายิ่งดูสง่างามอย่างกับกลุ่มบอยแบนด์ออนสเตจ ไม่แวะถ่ายไม่ได้แล้วปะ?



08 Shirahige Waterfall
เปิดตัวเหล่าเซเลบของบิเอะกันไปแล้ว เราขอพามาเช็คอินกันต่อกับอีกหนึ่งพิกัดที่สวยไม่เคยเป็นสองรองใครกันบ้าง ‘Shirahige Waterfall’ น้ำตกชื่อดังของเมืองที่ถูกยกว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกสวยที่สุดของฮอกไกโด มีลักษณะเป็นหน้าผายาวเลียบแม่น้ำ พร้อมเส้นน้ำที่ไหลผ่านชั้นหินสูงชันคล้ายหนวดเคราสีขาว อันเป็นที่มาของชื่อ Shirahige นั่นเอง ซึ่งเราสามารถถ่ายรูปมุมที่สวยที่สุด เห็นภาพรวมของน้ำตกได้แบบเต็มตาจากบนสะพาน Blue River Bridge




เบื้องล่างนั้นคือแม่น้ำบิเอะ แม่น้ำสีน้ำเงินในตำนานที่มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี ส่งเสียงเรียกผู้คนจากทั่วสารทิศให้อยากมายลด้วยตาตัวเอง ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้อยู่แถวนี้สักคืนเพราะเขาได้จัดแสดงไฟฉายไปที่น้ำตกอย่างงดงามด้วย กระซิบอีกนิดนึงว่าให้จองที่พักในชิโรกาเนะออนเซ็น แหล่งน้ำพุร้อนที่เปิดมานานกว่า 74 ปี ใช้เวลาเสพสุขจากการแช่น้ำร้อนแบบเอาท์ดอร์เคล้าไอหนาว เติมแร่ธาตุให้ร่างกาย เพิ่มวิตามินให้ผิว สร้างความผ่อนคลายอย่างเต็มที่ถือเป็นแพลนที่ไม่เลวเลย


09 Shirogane Blue Pond (Aoiike)
บอกต่ออีกหนึ่งไฮไลต์ประจำเมือง ณ ‘Shirogane Blue Pond’ บ่อน้ำสีเทอร์คอยส์จัดจ้านกว่าที่ไหน ๆ จนคนญี่ปุ่นตั้งชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า Aoiike ที่แปลว่าบ่อน้ำสีฟ้า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากความหนาแน่นของคอลลอยด์จากกำมะถันผสมกับแร่อะลูมิเนียม เมื่อแสงอาทิตย์ชนกับอนุภาคคอลลอยด์ในน้ำแล้วทำให้เราเห็นเป็นสีน้ำเงินนั่นเอง แต่ถ้ามาช่วงหนาวจัด บ่อน้ำแห่งนี้จะกลายเป็นน้ำแข็งอย่างที่เห็น ทางการเขาเลยจัด illumination เพิ่มแสงไฟฟ้าแทนที่น้ำในบ่อ งดงามประหนึ่งโลกต่างมิติเลยทีเดียว โดยงานไฟจะมีตั้งแต่ต้นพฤศจิกายน – เมษายน เร่ิมเปิดตั้งแต่มืดจนถึง 3 ทุ่มของทุกวัน ( ช่วงหยุดปีใหม่จะเปิดให้ถึงตี2 )

10 Biei Forest KONON Cafe
บ้านหลังน้อยสีแดงเลือดหมูโดดเด้งกระแทกตาท่ามกลางหิมะหลังนี้ชื่อว่า ‘Biei Forest KONON Cafe’ คาเฟ่ที่พรีเซนต์ความยูนีคของป่าเมืองบิเอะได้อย่างชัดเจน ผ่านวัตถุดิบที่ใช้ประกอบขนม-เครื่องดื่ม และบรรยากาศท่ามกลางแมกไม้เมืองหนาว ยามอบอุ่นก็จะมีเสียงนกเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันยามลมพัด ส่วนหน้าหนาวก็จะเห็นความขาวโพลนที่มีเงากิ่งไม้แห้งพาดทับสร้างลวดลาย พร้อมการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าของ ผู้กล่าวคอนนิจิวะเปื้อนรอยยิ้มทันทีที่เราเดินผ่านประตูเข้ามา โดยรวมแล้วเรายกให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับคำว่าธรรมชาติบำบัดที่แท้ทรู





ภายในร้านนี้ดูเรียบสบายตาไปด้วยแสงธรรมชาติจากกระจกบานใหญ่ดั่งเฟรมภาพงานศิลปะ ชุดเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้เน้นไปที่งานไม้ไล่เฉดดูเข้ากันทั้งร้าน จัดเสิร์ฟกาแฟดริป ที่บรรจงชงทีละแก้วอย่างใจเย็น เคียงด้วยมัฟฟินเบอร์รีตัวเด็ดประจำร้าน ซึ่งทำจากผลไม้ที่เก็บได้ตามป่า อย่างราสเบอร์รี แฮสแคป แบล็กเคอร์แรนต์ และส่วนผสมอื่น ๆ อย่างแป้ง เนย นม ไข่ น้ำตาลก็จะใช้ของดีในฮอกไกโดทั้งหมด รวมเป็นรสชาติเมืองหนาวที่มีคุณภาพและถูกต้องที่สุด




11 Cafe Kita Kouboh ( 自家焙煎珈琲 北工房 )
หากใครเป็นสายกาแฟที่ต้องการเมล็ดแบบสเปเชียลตี เราขอแนะนำให้มาที่ ‘Cafe Kita Kouboh ( 自家焙煎珈琲 北工房 )’ บ้านที่มีหลังคาทรงจั่ว 3 ด้านคล้ายบังกะโลสไตล์ตะวันตกเหมือนหลุดมาจากอนิเมชันของจิบลิ มีทั้งความน่ารักและคลาสสิกอยู่ในตัว ส่งกลิ่นกาแฟหอมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เพราะนอกจากเป็นคาเฟ่แล้ว ที่นี่ยังเป็นโรงคั่วกาแฟ ที่เปิดมานานกว่า 35 ปี เมื่อเปิดเข้ามาด้านในสิ่งแรกที่เห็นคือชุดถ้วยกาแฟหลากหลายรูปทรง หลายลายวางเรียงที่หน้ากระจก อีกด้านเป็นบาร์ที่นั่งห้อมล้อมเคาน์เตอร์ชงเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นแปลนร้านกาแฟยุคคลาสสิก พร้อมของสะสมที่วางตกแต่งอีกมากมายเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปอดีตเลย



ด้านคนทำก็วินเทจไม่แพ้กัน เป็นคุณลุง คุณป้าอายุราว 50 ขวบ ช่วยกันทำช่วยกันเสิร์ฟอย่างขะมักเขม้น กาแฟของร้านมีเบลนด์ให้เลือกถึง 11 ชนิด ยังไม่รวมเมล็ดสเปเชียลที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ส่วนเฮาส์เบลนด์ของเขาก็มีความแตกต่างจากชาวบ้านด้วยการคั่วผสมกับถั่วเหลือง ชงผ่านกระบวนการดริปเพื่อให้เราได้รับกลิ่นและรสชาติสมูทของเนินเขาเมืองบิเอะ กินคู่กับซินนามอนโทสต์ขนมปังปิ้งกรอบ ๆ นุ่ม ๆ โบกหน้ามาด้วยวิปครีมหวานซอฟต์มีกลิ่นอบเชยเจือ ๆ เข้าคู่กับกาแฟเนื้อบางเบาอะโรมาหอมกรุ่นได้อย่างลงตัวเลย




Furano
ปิดท้ายกับเมืองเล็กพริกขี้หนูที่ตั้งอยู่ใจกลางเกาะฮอกไกโดจนถูกเรียกว่าเป็นเมืองสะดือ ‘ฟุระโนะ’ ในหน้าหนาวที่นี่จัดเป็นสวรรค์ของนักสกี เพราะมีเส้นทางผ่านป่าอันงดงามจนเป็นที่นิยมระดับโลกและเคยจัดการแข่งขันระดับเวิลด์คัพมาแล้ว สำหรับสายคอนเทนต์ยังมีหมู่บ้านกลางป่าท่ามกลางหิมะที่เห็นผ่านหน้าฟีดแล้วอยากจะตีตั๋วมาทันที ส่วนในฤดูอื่น ๆ นั้นจะแย้มบานไปด้วยดอกไม้หลากสีของทุ่งลาเวนเดอร์ ผืนป่าที่มีพืชพรรณนานาชนิด เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงน้ำไหล ใบไม้ไหว เคล้าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ถือเป็นอีกเมืองที่มีความสวยงามแบบคอนทราสต์ทุกฤดู

12 Ningle Terrace
สปอตนี้ถือเป็นแลนด์มาร์กประจำเมืองในฤดูหนาว เพราะเมื่อพูดถึงชื่อ Furano ภาพของที่นี่จะต้องโผล่ขึ้นมาในหัวทุกครั้ง ‘Ningle Terrace’ หมู่บ้านงานคราฟต์ที่เต็มไปด้วยกระท่อมไม้ทรงยุโรปกระจุกตัวอยู่ใจกลางป่าสน มีสะพานไม้เชื่อมถึงกันเป็นทางยาวที่ตอนนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ มองแล้วเหมือนหมู่บ้านในนิทานวัยเด็กที่เราอ่านเป๊ะ ในบ้านแต่ละหลังก็จะจัดแสดงและวางขายผลงานของศิลปินแต่ละคน เน้นไปที่งานทำมือ ไม่ว่าจะเป็นเซรามิก แกะสลัก ทำเทียน การพับกระดาษ ฯลฯ ทั้งยังมีคาเฟ่คอยให้บริการอยู่ด้วย




ยิ่งตอนกลางคืนก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นหมู่บ้านในจินตนาการเมื่อเขาเปิดไฟส้มที่สะท้อนหิมะจนกลายเป็นสีเหลือง-ทองระยิบระยับ บวกกับแสงไฟภายในร้านที่เน้น warm tone ถ่ายรูปออกมาแล้วดูอบอุ่นจนอยากเอาตัวเข้าไปซุก เป็นการแต่งแต้มเสน่ห์ทำเราตกหลุมรักหมู่บ้านนี้แบบโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว โรแมนติกสุด ๆ


13 Furano Trekking Support YUMA
พิกัดที่พร้อมมอบความสดใสกับกิจกรรมฤดูหนาวปังปุไม่ซ้ำใคร ‘Furano Trekking Support YUMA’ ช่วงซัมเมอร์ที่นี่จะเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ให้เราเอ็นจอยกับการขี่ม้าเข้าป่าลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้า ส่วนช่วงหิมะโปรยปรายก็เป็นเวลาเฉิดฉายของน้องฮัสกี้ พี่โกลเด้น หมาพันธุ์โตขนปุกปุย ที่มีอุปนิสัยขี้เล่น ออกมาวิ่งรับแขกหว่านเสน่ห์กันไม่หยุด นอกจากขนาดโตเต็มวัยแล้วก็ยังมีเบบี๋กำลังน่าอุ้มให้เล่นด้วย ทำเราตกเป็นทาสตั้งแต่วินาทีแรกเลย





ไฮไลต์ของที่นี่ไม่ได้มีแค่ให้เราเข้าไปเล่นไปเซลฟีน้อง ๆ เท่านั้น เขามีกิจกรรมสุนัขลากเลื่อนที่ฮัสกี้เหล่านี้ทำหน้าที่ลากพาเที่ยวตามเส้นทางหิมะในฟาร์ม โดยเขาจะให้เราทำความรู้จักสตาฟ 4 ขาประจำรถเราก่อน จากนั้นก็สอนวิธีการยืน การเบรกที่อุปกรณ์ดูแมนนวลกว่าที่คิดไว้มาก แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่สนุกและหาทำยากสุด ๆ กิมมิกน่ารัก ๆ คือหลังจากจบกิจกรรมเขาจะมอบนามบัตรของสุนัขที่พาเราเที่ยวชมด้วย สรรหาของที่ระลึกหวนให้คิดถึงได้น่ารักสุด ๆ





14 Oshokuji to Goenkai no Mise Kumagera
จบมื้อท้ายด้วยมื้ออาหารสุดฟินที่ ‘Oshokuji to Goenkai no Mise Kumagera’ จัดเสิร์ฟอาหารสไตล์ฟูราโนะแท้ ๆ มานานกว่า 32 ปี ท่ามกลางบรรยากาศที่ทวิสต์ความเก่า-ใหม่เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ตั้งแต่หน้าร้านตกแต่งด้วยกำแพงหินทับซ้อนกันที่นำมาจากหินในฟาร์มของเมืองฟูราโนะ มีเถาว์ไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมคล้ายเป็นเถาว์องุ่นที่ใช้ทำไวน์ของฟูราโนะนั่นเอง ส่วนด้านในก็ยังมีเรื่องราวของฟูราโนะฝังไว้ทั้งบนคานไม้จากโรงนา ผ้าม่าน โต๊ะหิน ฯลฯ ทางร้านได้แบ่งโซนที่นั่งเป็นแบบบาร์เหมาะสำหรับคนเหงามากินดื่ม และนั่งเสื่อทาทามิเพิ่มความดื่มด่ำในการกินอาหารแบบดั้งเดิม



อาหารชื่อดังของร้านมีทั้งหม้อร้อนนาเบะ สุกี้ ปลาดิบ เนื้อวัว ส่วนเมนูที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ Wagyu Beef Sashimi Rice ข้าวหน้าเนื้อดิบที่เขาจะแร่เนื้อชิ้นบางกำลังดี ทำให้เรารับเท็กซ์เจอร์ความนุ่มเด้ง พร้อมรสชาติเค็มหวานธรรมชาติของเนื้อผสานกลิ่นวากิวที่ละลายกระจายไปสู่ทุกโสตรับรส รับกลิ่น สร้างความพริ้มเพราบนใบหน้าได้อย่างอัตโนมัติ แปะป้ายวาซาบิ กินตัดกับผักดองไปเรื่อย ๆ แป๊บ ๆ ก็แทบหมดชาม อีกจานเคียงที่อยากแนะนำ Cheese Tofu เต้าหู้เย็นชิ้นขาวอวบที่เนื้อมีความแน่นหนึบแตกต่างจากเต้าหู้เย็นธรรมดา กินไปกินมาให้ความรู้สึกคล้ายชีสกินกับซอสสูตรเฉพาะของร้านที่มีความเค็มกลมกล่อม หวานปลาย ๆ ก็ยิ่งหยุดไม่ได้



ทั้งหมดก็ต้องยกให้เป็นทริปฮีลใจฤดูหนาวที่ตอนแรกคิดว่ามาแล้วจะเหงา แต่ธรรมชาติทางตอนเหนือของญี่ปุ่นเขาออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยวได้ดีเกินคาดจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ยังคงมอบความสะดวกสบายใกล้ชิดกับที่เที่ยวธรรมชาติเจ๋ง ๆ ที่มีความมินิมอลตะโกนความเป็นญี่ปุ่นได้ดี หมู่บ้านในเทพนิยายแบบทำถึงอึ้งตาแตก กิจกรรมเอาท์ดอร์ที่มนุษย์เมืองร้อนอย่างเราคงไม่มีโอกาสได้เล่น เรียกว่าแต่ละสปอตทำให้เราได้เปิดประสบการณ์ในหลาย ๆ อย่างจริง ๆ ฉะนั้นหนาวนี้ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ญี่ปุ่นก็รีบกดตั๋วตามมากันได้เลย หิมะนุ่ม ๆ ฟู ๆ รอทุกคนอยู่นะ ^^







