ทริปนี้เราจะปล่อยเวลา 2 วันอันสดใสให้ละลายไปกับความเขียวชอุ่มบนเกาะคิวชูช่วงซัมเมอร์ พาเที่ยว 𝐊𝐮𝐦𝐚𝐦𝐨𝐭𝐨 และ 𝐅𝐮𝐤𝐮𝐨𝐤𝐚 สองเมืองใหญ่ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ที่หน้าตาเรียบง่ายแต่เปล่งประกายความคาวาอิอย่างมีชั้นเชิง เริ่มจากกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดคุมะมงยักษ์ แวะชมความงามปราสาทแปะก๊วย ขับรถลัดเลาะเส้น Aso Milk Road ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวฉ่ำ พร้อมภูเขาไฟหน้าตาละม้ายเค้กชาเขียวลาวาแสนคิวท์ ก่อนไปฟินต่อกับทุ่งดอกไฮเดรนเยียกว่า 7,000 ต้น ที่บานชูช่อในวัดเก่าแก่ ถ่ายรูปเช็คอินกับสถานีรถไฟธีมกัปปะแสนยูนีค และอื่น ๆ อีกเพียบ รวมกว่า 10 พิกัดแบบจัดเต็ม
แพลนเที่ยว 2 วัน 2 จังหวัด กับความน่ารักแบบจุใจที่คัดสรรมาเสิร์ฟครั้งนี้ จะมีที่ไหนโดนใจบ้าง … เลื่อนตามไปดูกันเล๊ยยยยย!!!!!







Day 1
001 Kumamon Port
ทริปเราจะเริ่มด้วยการใช้เวลาหนึ่งวันในจังหวัดคุมาโมโตะ โดยปักหมุดแรกไปที่ ‘Kumamon Port’ ท่าเรือในเมืองยัตสึชิโระ ที่รองรับเรือเดินสมุทรระหว่างประเทศ มีสวนสาธารณะริมทะเลอันเงียบสงบ จากที่เคยเงียบเหงาอยู่นาน ล่าสุดเมื่อปี 2020 ที่นี่ก็ถูกชุบชีวิตให้กลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าคุมะมง พรีเซนเตอร์ตัวท็อปของจังหวัดมากถึง 84 ตัว จนกลายเป็นที่เที่ยวสุดป๊อป แลนด์มาร์กใหญ่สุดอยู่ตรงลานวงกลมที่พี่ ๆ เขามายืนล้อมเป็นวงประสานเสียงถึง 54 ตัว แค่เราเอาร่างเข้าไปร่วมเฟรม ทำท่าเป็นคอนดักเตอร์ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันตา นอกจากนี้เขายังตกแต่งสวนสไตล์ญี่ปุ่น ดูเรียบสบายตา เติมลูกเล่นด้วยคุมะมงที่กระจายเล่นซนอยู่ในมุมต่าง ๆ ทั้งปิกนิก แช่ออนเซ็น ฯลฯ พร้อมจุดบริการร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ให้เราเริ่มต้นทริปด้วยความคาวาอิและพร้อมละลายทรัพย์ตั้งแต่โลเคชั่นแรกเลยทีเดียว





ส่วนไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เลยคือ ‘BIG KUMAMON’ คุมะมงตัวใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความสูงกว่า 6 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานโล่งริมทะเลแบบไร้สิ่งบดบัง ทำให้แมสคอตขวัญใจมหาชนดูยิ่งใหญ่และน่าเอ็นดูในคราวเดียวกัน แค่ยืนเทียบก็รู้สึกตัวเล็กตัวน้อย น่ารักน่าหยิกแบบไม่ต้องพยายาม จุดนี้กลายเป็นแบ็คดรอปยอดฮิตของทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีโซน “Kumamon Zodiac” ที่จับคุมะมงมาแต่งตัวตาม 12 ปีนักษัตร ให้เราเลือกแชะภาพกับตัวประจำปีเกิดแบบสนุก ๆ ใครจะมาที่นี่ เคลียร์เม็มกล้องไว้ให้ดี เพราะทุกมุมคือพร็อปพร้อมโพสต์แบบไม่ต้องจัดฉาก!





002 Kumamoto Castle
ถ่ายรูปจนฉ่ำก็วนรถกลับเข้าเมือง มายังแลนด์มาร์กสำคัญ ‘Kumamoto Castle’ ปราสาทหลังใหญ่ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ปราสาทที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น อยู่คู่เมืองมานานกว่า 400 ปี ความโดดเด่นอยู่ที่โทนสีขาว-ดำอันน่าเกรงขาม มีอาคารหลัก 2 หลัง สูง 6 ชั้น และ 4 ชั้น ที่แม้จะผ่านทั้งไฟสงครามและแผ่นดินไหว ก็ยังถูกบูรณะขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตรบรรจง ไม่เสียเอกลักษณ์เดิม อีกหนึ่งความน่าสนใจคือการออกแบบที่แฝงจุดยุทธศาสตร์ไว้มากมาย ทั้งมุมยิงธนู ซ่อนทางหนี และแนวกำแพงที่ตั้งใจให้ปีนยาก นอกจากเดินชมความอลังการภายในแล้ว ยังมีสวนญี่ปุ่นเขียวร่มรื่น พร้อมจุดชมวิวและมุมถ่ายรูปที่เปลี่ยนบรรยากาศตามฤดูกาล ไม่ว่าจะใบไม้เปลี่ยนสีหรือซากุระบาน ในราคาค่าเข้าแค่ 800 เยน บอกเลยว่าคุ้มเกินคาด




เมื่อเดินเข้าสู่ภายใน ก็จะพบกับนิทรรศการที่เล่าประวัติศาสตร์ของปราสาทไว้อย่างละเอียดยิบ ไม่ว่าจะเป็นแบบจำลองเสมือนจริง แผนผังการก่อสร้างที่เผยให้เห็นความชาญฉลาดด้านการสู้รบ เช่น ชั้นใต้ดินที่ทำไว้หลอกข้าศึก หรือกำแพงหินที่ชันจนมีบันทึกว่าไม่มีนินจาคนไหนไต่ขึ้นได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้ ของตกแต่งอาคาร ลวดลายกระเบื้อง เครื่องแบบทหาร ไปจนถึงภาพเขียนและงานศิลปะที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตและความรุ่งเรืองในอดีต แถมยังมีโซนสอนท่าต่อสู้ในยุคนั้นให้ชมกันแบบครบเครื่อง เรียกได้ว่าเดินวนได้เป็นชั่วโมงไม่มีเบื่อ





จุดที่ไม่ควรพลาดคือชั้นบนสุดของปราสาท ที่เผยให้เห็นวิวพาโนราม่าของเมืองได้อย่างเต็มตา เป็นมุมมองเดียวกับเหล่าโชกุนที่ได้ทอดสายตามองชาวเมือง พอคิดแบบนี้แล้วความอินในประวัติศาสตร์ก็จะกรุ่นขึ้นมาในกายอย่างรุนแรง หากใครอยากไปเที่ยวชมจุดอื่น ๆ ของปราสาทให้ครบ แนะนำว่าเตรียมเวลามาเยอะ ๆ และพกแผนที่ติดตัวไว้หน่อย เพราะเขามีให้เที่ยวถึง 10 โซน เดินให้ฉ่ำ ศึกษาประวัติศาสตร์ให้ม่วนใจกันไปเลย!




003 Sakura-no-baba josaien
เดินถัดออกมาจากปราสาทเพียงนิดเดียว เราจะเจอกับโซนร้านค้า ‘Sakura-no-baba Josaien’ ที่สร้างขึ้นบริเวณฐานปราสาทซึ่งเคยเป็นพื้นที่ของค่ายทหารในยุคเอโดะ ปัจจุบันถูกปรับให้กลายเป็นหมู่บ้านจำลองที่จำลองบรรยากาศเมืองในศตวรรษที่ 17 ไว้อย่างมีเสน่ห์ ด้วยอาคารญี่ปุ่นโบราณสีขาวดำสอดรับกับปราสาทอย่างกลมกลืน ทำให้เราเดินดื่มด่ำวัฒนธรรมได้แบบไหลลื่น ทั้งอาหาร ผลิตภัณฑ์พื้นเมือง ของที่ระลึก และกิจกรรมดั้งเดิมจากร้านค้ากว่า 20 ร้าน ส่วนใหญ่เป็นร้านเก่าแก่ที่คนท้องถิ่นให้การยอมรับ ของขึ้นชื่อที่ต้องลองคือ บาซาชิ (เนื้อม้าดิบ), คาราชิเร็งกง (รากบัวทอดไส้มัสตาร์ด), และอิคินาริดังโงะ (ดังโงะไส้มันเทศ) ยังไม่รวมขนมญี่ปุ่นและของจุกจิกน่ารักที่ทำเราตาวาวได้ไม่หยุดหย่อน








ในหมู่ของกินเล่นน่ารักน่าชิม ทางเราขอแนะนำขนมแสนเบสิกแต่ใส่กิมมิกไม่เหมือนใครอย่าง ‘Kumamon’s Ningyoyaki’ ขนม Ningyo-yaki ที่ใช้แป้งคัสเตลลาเนื้อฟู ลักษณะเหมือนเค้กฟองน้ำ แต่พิเศษตรงที่ใช้แป้งจากข้าวเมืองคุมาโมโตะ ผสมกับไข่ นม และถั่วเหลือง ก่อนหยอดลงพิมพ์ลายพี่หมีคุมะมงสุดคิวท์ มีไส้ให้เลือกทั้งถั่วแดง คัสตาร์ด ช็อกโกแลต และมันหวาน ตัวใหญ่เต็มคำ ในราคาเบา ๆ เพียง 280 เยนเท่านั้น


สำหรับสายกิน ทางเราขอแนะนำร้านเด็ดอย่าง ‘Yamami Chaya’ ที่รวมเมนูประจำถิ่นไว้ครบ ตั้งแต่เนื้อม้าดิบ เนื้อม้ากระทะร้อน ข้าวเนื้อวัวแดง ไปจนถึงอาหารพื้นเมืองอย่างชุดข้าวปั้นเสิร์ฟกับซุปหอมกรุ่น วัตถุดิบส่วนใหญ่ได้จากเมืองอาโสะ จังหวัดคุมาโมโตะ สำหรับคนชอบลองของแปลก ‘เนื้อม้า’ ที่นี่นุ่ม ไร้กลิ่นสาบ และรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ส่วนคนที่อยากกินแบบเบสิก ลอง ‘ข้าวหน้าเนื้อแดง’ เนื้อวัวย่างแบบแรร์ตรงกลางแดงฉ่ำ นุ่มละมุนพร้อมกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ กินคู่ซุปเครื่องเคียงแล้วฟินสุด ที่สำคัญราคาก็ไม่แรงด้วยนะ



ส่วนใครที่อยากลองเนื้อม้าในพอร์ชั่นเล็ก ๆ แนะนำให้แวะที่ร้าน ‘Suganoya’ ร้านผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อม้าโดยเฉพาะ ควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด มีฟาร์มเลี้ยงเองตั้งแต่ปี 1789 จึงมั่นใจได้ทั้งรสชาติและความสะอาด เราสั่งซูชิเนื้อม้าที่ต้องกินพร้อมสาหร่ายและซอสสูตรพิเศษ รสชาติเนื้อนุ่มละมุนคล้ายเนื้อวัว แต่กลิ่นจะมีความแตกต่างเล็กน้อยซึ่งช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร ราคาเพียงประมาณ 500 เยน คุ้มค่ากับการลองมาก ๆ



004 ถนนอาโสะมิลค์โรด ( Aso Milk Road)
หลังจากเติมพลังกับอาหารท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว เราขอพาทุกคนไปสัมผัสธรรมชาติสวยงามบนเส้นทาง ‘Aso Milk Road’ ถนนสายเลียบเทือกเขาที่ทอดยาวสวยที่สุดในจังหวัดคุมาโมโตะ เชื่อมระหว่างเมืองและภูเขาไฟ Mt. Aso ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและมีปล่องใหญ่ที่สุดในโลก เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติอาโสะ-คุจู ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ธรรมชาติพิเศษของญี่ปุ่น ถนนสายนี้ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้ากว้างที่ชาวบ้านใช้เลี้ยงวัวเพื่อผลิตนมคุณภาพสูง จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘Milk Road’ วิวที่นี่จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล อย่างหน้าร้อนที่เราเจอ ก็จะเขียวขจีเหมือนภาพวาดจนเคยถูกใช้เป็นฉากในอนิเมะ ‘Castle in the Sky’ ของ Studio Ghibli นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักขี่จักรยานและสายโร้ดทริป มีจุดแวะชมวิวที่จัดไว้อย่างดีให้ถ่ายรูปพร้อมสัมผัสลมเย็นและกลิ่นธรรมชาติ เหมาะมากสำหรับใครที่อยากหลีกหนีความวุ่นวาย เติมพลังบวกให้ชีวิต



ขับมาเรื่อย ๆ เพื่อน ๆ จะสะดุดตากับภูเขารูปร่างคล้ายเค้กชาเขียวลาวา โดดเด่นอยู่กลางทุ่งหญ้า ลักษณะเป็นเนินค่อย ๆ ไล่ระดับอย่างน่ารัก ส่วนตรงกลางมีความเว้าลงเล็กน้อย ดูเหมือนภูเขาที่หลุดออกมาจากการ์ตูน เขาลูกนี้ชื่อว่า ‘Mt. Komezuka’ สูงกว่า 80 เมตร เคยเป็นขวัญใจนักเดินป่า แต่หลังแผ่นดินไหวใหญ่ปี 2016 โครงสร้างไม่สมบูรณ์ จึงปิดไม่ให้เข้าแบบไม่มีกำหนด แต่อย่างไรก็ดี แค่มองจากมุมไกล ๆ ก็สวยงามน่าประทับใจแล้ว


005 Kusasenri
สปอตต่อมาเหมาะสำหรับสายชิลที่ชอบเทควิวธรรมชาติและใช้เวลากับตัวเองอย่างเนิ่นนาน ‘Kusasenri’ คือทุ่งหญ้ากว้างที่มีบึงน้ำแสนสงบทอดตัวอยู่เบื้องหน้า โดยมีฉากหลังเป็น Mt. Nakadake ภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม ถ้ามองจากระยะไกล คนจะดูเล็กเท่าเม็ดถั่วเลยทีเดียว บรรยากาศมินิมอลและสบายตาชวนให้ใจสงบ ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างและแหล่งน้ำ จึงกลายเป็นพื้นที่สำคัญทางนิเวศวิทยาของภูมิภาค มีทั้งพืชน้ำ นก และสัตว์ป่าเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่อย่างสมดุล รวมถึงวัวและม้าของชาวบ้านที่มักมาแทะเล็มหญ้าอย่างเป็นธรรมชาติ ที่นี่มีเสน่ห์ต่างกันไปตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นสีเขียวสดในหน้าร้อน สีทองในฤดูใบไม้ร่วง หรือความขาวโพลนของหิมะในฤดูหนาว จึงเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของอุทยานแห่งชาติอาโสะ-คุจู ที่ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นต่างหลงใหล




ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติกลุ่มแรกของญี่ปุ่นที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1934 แน่นอนว่ากิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่นี้ก็มีให้เลือกเยอะมาก เหมาะกับสายลุยที่ชอบออกแรงท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้าในทุ่งหญ้า เทรกกิ้งตามเส้นทางชมวิวเบา ๆ หรือเช่าจักรยานปั่นรับลมเย็น ๆ แต่ถ้ามีโอกาสได้มาอีกครั้ง เราอยากลองแคมปิงสักคืน เชื่อว่าท้องฟ้าที่นี่เมื่อยามค่ำคืนจะต้องเต็มไปด้วยดาวพร่างพราย สวยเกินบรรยายแน่นอน






นอกจากนี้เรายังสามารถมองเห็นภูเขาไฟอาโสะ (Mount Aso) หนึ่งในภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีความสูง 1,592 เมตรจากระดับน้ำทะเล และเป็นส่วนหนึ่งของแอ่งภูเขาไฟขนาดยักษ์ ประกอบด้วยยอดเขาหลัก 5 ยอด ได้แก่ Nekodake, Takadake, Nakadake, Eboshidake และ Kijimadake โดยยอด Nakadake คือปล่องภูเขาไฟเพียงแห่งเดียวที่ยังคงมีการปะทุและพ่นก๊าซอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นหากใครมีแผนจะมา แนะนำให้เช็กสถานการณ์ล่าสุดล่วงหน้าที่เว็บไซต์ทางการ https://www.aso-volcano.jp/eng/index.html ซึ่งจะมีข้อมูลเวลาเปิด-ปิดทางเข้า รวมถึงระดับความเข้มข้นของก๊าซกำมะถันเพื่อความปลอดภัยในการเยี่ยมชม


Day 2
006 Tanushimaru Station 田主丸駅
สำหรับวันที่สอง เราขอเริ่มต้นเช้าวันใหม่แบบเบา ๆ ขับรถชิลล์จากคุมาโมโตะสู่จังหวัดฟุกุโอกะ แล้วปักหมุดไปที่ ‘Tanushimaru Station’ หนึ่งในสถานีรถไฟที่มีเอกลักษณ์ที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยอาคารสถานีที่จำลองรูปร่างของ “กัปปะ” ภูตน้ำในตำนานของญี่ปุ่นซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองคุรุเมะ บ้างเล่าว่าเป็นภูตพิทักษ์สายน้ำผู้แสนซุกซน บางตำราก็ว่าให้โชคลาภหากเคารพอย่างเหมาะสม อาคารสถานีจึงถูกออกแบบให้ส่วนหัวเป็นทรงหลังคาแฉกคล้าย “จานน้ำ” บนหัวกัปปะ ตามด้วยจั่วสีเหลืองตรงกลางที่คล้ายปากเป็ด หน้าต่างกลมกลายเป็นดวงตา ส่วนยอดแบน ๆ คล้ายผมด้านบนยิ่งทำให้ดูมีคาแรกเตอร์ พอถ่ายรูปแล้วมันคาวาอี้ไม่ไหว สร้างความสนุกเล็ก ๆ ระหว่างทางได้ดีมาก






ภายในอาคารสถานีสุดครีเอทนี้ยังซ่อนความอบอุ่นไว้อีกหนึ่งจุด กับมุมพักใจเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “Kapateria Cafe” คาเฟ่สีเขียวเหลืองสุดคาวาอี้ ที่ทั้งเมนูและบรรยากาศมาในธีมกัปปะเต็มรูปแบบ เสิร์ฟทั้งอาหาร ขนม และของที่ระลึกน่ารัก ๆ ให้ได้ช้อปและชิมควบคู่กันไป จุดเด่นคือหลายเมนูได้รับการพัฒนาร่วมกับเชฟจากร้านอาหารฝรั่งเศสหรู “Spoon” ในเมือง ทำให้รสชาติดีงามเกินหน้าตาไปอีกขั้น เช่น “かっぱのマカロン” มาการองหน้ากัปปะตัวจิ๋ว หอมหวานจากน้ำตาลและอัลมอนด์ในราคาเบา ๆ 3 ชิ้น 650 เยน หรือ “KAPATERIAのスムージー” สมูทตี้สีเขียวฉ่ำที่ผสมกีวี แอปเปิ้ล โยเกิร์ต และกล้วยได้อย่างสดชื่น แก้วละ 800 เยน ส่วนใครที่อยากจัดหนัก ก็มีทั้งข้าวหน้าแกงกะหรี่และราเมงร้อน ๆ เสิร์ฟด้วยเช่นกัน ราคาประมาณ 1,550 เยน เรียกว่าเป็นจุดพักเล็ก ๆ ที่อัดแน่นด้วยความตั้งใจ และทำให้การมาเยือนสถานีนี้พิเศษขึ้นอีกหลายเท่าเลยทีเดียวครับ






หากอยากดื่มด่ำกับโลกของกัปปะมากกว่านี้ แนะนำให้ลองเดินเล่นรอบ ๆ เมือง จะพบรูปปั้นน้องกระจายอยู่ทั่ว ทั้งริมถนน หน้าร้านค้า หรือซ่อนตัวอยู่ในมุมลับอย่างน่ารัก บางตัวก็โพสท่ารอต้อนรับนักท่องเที่ยวเหมือนมีชีวิต หรือจะแวะถ่ายรูปเช็กอินกับอนุสาวรีย์กัปปะตัวโตแสนคลาสสิกก็ถือเป็นมุมห้ามพลาด เมืองทานุชิมารุเองก็ไม่ธรรมดา เพราะมีตำนานเล่าขานว่านี่คือถิ่นกำเนิดของกัปปะในแถบคิวชู โดยเชื่อกันว่ากัปปะในละแวกนี้เป็นมิตรและคอยดูแลผู้คน ไม่ใช่ภูตซุกซนแบบที่เล่ากันทั่วไป ทำให้ทั้งความเชื่อ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของเมืองนี้ล้วนหลอมรวมเข้ากับตัวตนของกัปปะอย่างแนบเนียน เป็นอีกมุมที่ทั้งสนุกและอบอุ่นใจในเวลาเดียวกัน



007 Senkoji Temple
โลเคชั่นต่อไปนี้ขอให้สาว ๆ ขุดเดรสพริ้ว ๆ มาให้พร้อม พกอินเนอร์สาวหวานมาให้ฉ่ำ เพราะเราจะพาเข้าไปในวัดที่มีสวนดอกไม้อันงดงาม ‘Senkoji Temple’ วัดนิกายโซโตะอันเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 831 ปี ซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาในเมืองคุรุเมะ จังหวัดฟุกุโอกะ และในปี 1420 เนินเขาแห่งนี้ก็ได้รับพระราชทานชื่อว่า “Ryugozan” จากจักรพรรดิ แสดงถึงความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ วัดนี้ยังมีระฆังทองสัมฤทธิ์ยุคคามาคุระที่ขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของจังหวัด พร้อมอนุสรณ์ของเหล่าขุนศึกและหลุมฝังศพของโชกุนหลายยุค แต่ที่สวยสะบัดจนต้องหยุดหายใจ ขอเทใจให้กับดอกไฮเดรนเยียกว่า 7,000 ต้น ที่เบ่งบานละลานตาทั่วไหล่เขาในช่วงต้นฤดูร้อน ราวกับพรมน้ำเงิน ม่วง ชมพู ที่แซมอยู่ระหว่างต้นสนอายุหลายร้อยปี ภาพรวมเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในฉากหนังรักโรแมนติกของญี่ปุ่นเลย





แล้วต่อจากนี้จะเป็นการพรรณาที่เราอยากให้ทุกคนลองจินตนาการไปพร้อม ๆ กับภาพของทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งไล่เฉดอย่างอิสระจากลานกว้างเข้าสู่แนวป่าลึก ราวกับธรรมชาติได้แต่งแต้มภาพศิลปะขนาดยักษ์ไว้ตรงหน้า ที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือบรรยากาศโดยรอบที่เงียบสงบไร้เสียงวุ่นวายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีเพียงคนญี่ปุ่นท้องถิ่นที่ใช้พื้นที่นี้อย่างอ่อนโยน บางคนจูงน้องหมามาเดินเล่น บางคู่เป็นคุณตาคุณยายที่ช่วยกันถ่ายภาพให้กันด้วยรอยยิ้มละมุน ทุกอณูในวัดและสวนเหมือนกลั่นกรองมาเพื่อความสงบและการเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างแท้จริง เป็นความทรงจำเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งที่คิวชูได้มอบให้เราในทริปนี้






008 Fukuoka Art Museum
หลังจากสัมผัสธรรมชาติและบรรยากาศชานเมือง เราขอพาทุกคนเข้าสู่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะ เพื่อแวะชมศิลปะที่ ‘Fukuoka Art Museum’ อาคารสองชั้นสีอิฐน้ำตาลคลาสสิกตั้งอยู่ริมน้ำภายในสวนสาธารณะโอโฮริ ออกแบบโดย Mayekawa Kunio สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่แห่งญี่ปุ่นผู้สร้างสรรค์อาคารสำคัญ ๆ หลายแห่งในช่วงปลายทศวรรษ 1960 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องให้ทันสมัยด้วยการจัดแสงและมุมมองที่ลงตัว ภายในรวบรวมงานศิลปะมากกว่า 16,000 ชิ้น ทั้งจากญี่ปุ่นและต่างประเทศ แบ่งเป็นสองโซนหลัก ชั้นล่างจัดแสดงงานโบราณที่สะท้อนวัฒนธรรม ศาสนา และประวัติศาสตร์ เช่น ชุดพู่กัน อุปกรณ์ชงชา พระพุทธรูป ผ้าทอ และงานเซรามิก ส่วนชั้นบนเป็นงานศิลปะร่วมสมัยหมุนเวียนเปลี่ยนธีมไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึกและร้านกาแฟวิวสวนให้ได้นั่งพักผ่อนอย่างสบ




และแลนด์มาร์กที่เราตั้งใจมาเซย์ไฮนั้นก็คือ งานฟักทองยักษ์ลายจุดสีเหลือง อีกหนึ่งงานไอคอนิกของ Kusama Yayoi ตั้งอยู่บนลานกว้างชั้น 2 แบบโอเพ่นแอร์ ถือเป็นงานประติมากรรมกลางแจ้งชิ้นแรกของป้าจุด สร้างมาตั้งแต่ปี 1994 และสองปีต่อมาก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นเอง เรียกว่าอยู่ตรงนี้มาก่อนจะปังดังเป็นพลุแตก แต่ถ้ายังถ่ายรูปไม่ฉ่ำใจ ก็ลองเดินรอบสวนโอโฮริ มีทั้งงานรูปปั้น แมกไม้ และชาวเมืองมาคอยสร้างสีสัน ให้เรากดชัตเตอร์ได้อย่างเพลิดเพลิน





009 Ganso Hakata Mentaiju
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราเลือกมาเยือนฟุกุโอกะ คือโอกาสได้ลิ้มลองไข่ปลาเมนไทโกะ ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้ โดยเฉพาะเมื่อได้ทานคู่กับราเมงสุดโปรดที่ร้าน ‘Ganso Hakata Mentaiju’ ร้านดังที่ใคร ๆ ก็พร้อมใจมาต่อคิว ตั้งอยู่ในอาคารไม้สีน้ำตาลเข้มที่โดดเด่นในย่าน Hakata แหล่งช็อปปิงใจกลางเมือง ร้านเปิดมาตั้งแต่ปี 1964 ถือเป็นหนึ่งในร้านต้นตำรับเมนไทโกะสูตร Hakata แบบดั้งเดิม บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง ตกแต่งเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ญี่ปุ่น มีทั้งโต๊ะนั่งและเคาน์เตอร์บาร์สำหรับผู้ที่อยากชมเชฟปรุงอาหารแบบสด ๆ จุดเด่นอยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง ไข่ปลาเมนไทโกะผ่านการหมักอย่างพิถีพิถัน และน้ำซุปที่เคี่ยวนานจนได้รสชาติกลมกล่อม ทำให้ร้านนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่ต้องการลิ้มลองรสชาติแท้จริงของฮากาตะ


เมนูยอดฮิตของร้านมีอยู่ 2 อย่าง ซึ่งเราก็ไม่พลาดสั่งมาลองทั้งหมด! เมนูแรกคือ Mentai Nikomi Tsukemen ราเมงแบบจุ่มที่ใช้ซุปผสมไข่ปลาเมนไทโกะและผักมากกว่า 10 ชนิด ทำให้มีรสชาติหวาน เค็ม และอูมามิอย่างลงตัว ส่วนอีกเมนูคือ Ganso Hakata Mentaiju ข้าวญี่ปุ่นที่โปะหน้าด้วยสาหร่ายกรุบกรอบ และเมนไทโกะดองที่ห่อด้วยสาหร่ายทะเลอีกชั้น เสิร์ฟพร้อมซอสสูตรพิเศษที่สามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ถึง 4 ระดับ ซึ่งมีความเผ็ดลึกถูกใจคนไทย ซอสนี้ช่วยเสริมรสชาติของเมนไทโกะให้อร่อยยิ่งขึ้น หากรู้สึกเลี่ยนก็มีผักดองให้กินแซม ช่วยเพิ่มความสดชื่น ทำให้มื้อนี้เป็นความอิ่มจุกที่อร่อยจนต้องบอกต่อเลยทีเดียว


010 teamLab Forest Fukuoka
สำหรับกิจกรรมหลังมื้อเย็น และโลเคชั่นสุดท้ายของทริปนี้ เราขอเลือก ‘teamLab Forest Fukuoka’ เป็นจุดฟินาเล่ งานแสดงศิลปะอินเทอร์แอคทีฟที่ใช้แสงไฟและเสียงเพลงมาเติมเต็มประสบการณ์ ให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะขณะเดินผ่าน เมื่อเราขยับตัว แสงและสีสันรอบ ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะ สร้างความตื่นเต้นและความมหัศจรรย์ใจ ทำให้เราหลงรัก teamLab อย่างไม่รู้ตัว กลายเป็นแฟนคลับนัมเบอร์วันในทันที

การจัดแสดงภายในแบ่งออกเป็น 2 โซนหลัก โซนแรกคือ ‘Catching and Collecting Forest’ ที่ให้เราได้จับสัตว์นานาชนิดทั้งในผืนป่าและในน้ำผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสัตว์เหล่านั้น เช่น ชนิดของสัตว์และทวีปที่พบเจอ ทำให้สนุกสนานไปพร้อมกับการเรียนรู้ อีกโซนคือ ‘The Athletics Forest’ ที่ชวนเราใช้พละกำลังสนุกกับงานศิลปะ ผ่านกิจกรรมวิ่ง กระโดดบนลูกบอลสีสันสดใสที่จะแตกตัวแล้วเปลี่ยนสีเมื่อสัมผัส รวมถึงการเดินบนเบาะทรงต่าง ๆ และเนินสโลปที่พลิ้วไหว เห็นเด็ก ๆ วิ่งเล่นอย่างมีความสุข ส่วนใครที่เคยมาแล้วคิดว่าจะไม่ต้องมาอีก บอกเลยว่าคิดผิด เพราะที่นี่มีการจัดแสดงงานศิลปะแบบหมุนเวียนตามฤดูกาล ที่จะสร้างความตื่นเต้นใหม่ ๆ ให้เสมอ




บอกเลยว่าคิวชูเป็นอีกหนึ่งภูมิภาคที่เราอยากมาเที่ยวซ้ำบ่อย ๆ เพราะที่นี่รวมทั้งความทันสมัยของเมืองและความงดงามของธรรมชาติไว้ได้อย่างกลมกลืน ทำให้ทุกทริปมีความหลากหลายและไม่ซ้ำซาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น แลนด์มาร์กสวยงามที่ต้องหยุดมองซ้ำหลายรอบจนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง อาหารและขนมท้องถิ่นก็อุดมสมบูรณ์ รสชาติไม่เหมือนใคร และยังมีงานศิลปะสุดคูลที่ทุกครั้งที่ได้ชมก็ทำให้ใจเต้นแรงขึ้น เชื่อเถอะว่าถ้าได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง จะต้องตกหลุมรักคิวชูเหมือนกับเราแน่นอน








